ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    end - (exo) lone wolf | chanbaek

    ลำดับตอนที่ #4 : L O N E W O L F | Only the dead have seen the end of war.

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.5K
      115
      27 ธ.ค. 59

    ? cactus




     

    Chapter 3

    Only the dead have seen

    the end of war.

    (สงครามในห้วงเวลาสุดท้าย มีแต่คนตายได้เห็น)






                ไม่มีพิรุธ


                เขานึกอย่างดูแคลน ขณะจับตาดูทุกอิริยาบถ แบคฮยอนจัดเตียงไปพลาง ร้องเพลงหงุงหงิงไปพลาง เสียงสูง แหบเล็กน้อยเดินทางมาถึงหูของชานยอลด้วยลำโพงเล็ก ๆ ต่อเข้ากับเครื่องดักฟังด้วยสัญญาณอินทราเน็ต ฟังอู้อี้คล้ายดังมาจากใต้โลก


    “อาหารเย็นจะพร้อมในอีกครึ่งชั่วโมง หวังว่าจะพบคุณในเวลาอันสมควร” เขาบอกอีกฝ่ายอย่างนั้น


    อินทราเน็ตส่วนตัว ซึ่งไม่กี่ครอบครัวเท่านั้นที่ครอบครองทำให้การสอดแนมเป็นไปโดยราบรื่น ต้องขอบคุณพ่อ... ปาร์คมินกูเขี้ยวลากดิน ผู้ติดตามคนใหม่ไม่แม้แต่จะตรวจสอบ มองหากล้องวงจรปิดหรือเครื่องดักฟัง แบคฮยอนไม่ใช่สายลับที่ดีแน่ ชายหนุ่มร่างสูงยิ้มย่อง ช่าง... ไม่ระวังตัวเสียเลย






     

    มีกล้องวงจรปิด มีเครื่องดักฟัง


    แบคฮยอนคิดขณะจัดเตียงไปพลาง ร้องเพลงหงุงหงิงไปพลาง แน่อยู่แล้ว... ร้อยโทปาร์คย่อมไม่ปล่อยให้เขาคลาดสายตา


    ก่อนจากห้องไป ชายหนุ่มร่างเล็กสอดไส้ดินสอ ทิ้งไว้ระหว่างบานพับสแตนเลสแบบแหวนลูกปืน หากประตูถูกเปิดจากภายนอกระหว่างที่เขาไม่อยู่ ไส้ดินสอจะหักกระเด็น ตกอยู่กับพื้น ความที่เป็นไส้ดินสอ จึงไม่เป็นที่น่าสังเกต ไม่เป็นที่น่าสงสัย... เช่นเดียวกับท่าทีของผู้ติดตามจอมปลอม



    (สอดไว้กับบานพับประตู ไส้ดินสอจะหักเมื่อประตูถูกเปิดจากภายนอก

    เครดิต: Death Note)


              เห็นไส้ดินสอหักครึ่งตกอยู่ไม่ไกลนัก ถูกลูบคมเข้าให้แล้ว! ก้าวเข้ามาในห้อง ไม่เห็นว่าสะอาดสะอ้านกว่าเก่าก็เข้าใจ ผู้บุกรุกไม่ใช่แม่บ้าน แต่เป็นคนอื่น คำสั่งของชานยอลไม่ผิดแน่ ร้อยโทปาร์คคงกำลังเอกเขนก จ้องดูเขาผ่านกล้องวงจรปิด รวมทั้งเงี่ยหูฟังแบคฮยอน ไม่ให้คลาดไปแม้แต่ประโยคเดียว


              ร้องเพลงไปด้วย คิดสะระตะไปด้วย


              ในห้องน้ำจะมีกล้องวงจรปิดไหมนะ


              เพื่อความปลอดภัย ควรตัดไฟเสียแต่ต้นลม...






     

              “ทำอะไรน่ะ ไม่ได้บอกให้อาบน้ำไม่ใช่หรือไง!


              ชานยอลร้องเสียงหลงเมื่อผู้ติดตามปลดกระดุมเสื้อ ก่อนจะก้าวออกไปที่ระเบียงเพื่อสะบัดผ้าเช็ดตัว แบคฮยอนเดินกลับไปกลับมาอยู่พักหนึ่ง เขาเบือนหน้าหนีเมื่ออีกฝ่ายเริ่มถอดกางเกง


              ได้ยินเสียงปิดประตูห้องน้ำ ชายหนุ่มร่างสูงไม่กล้าหันไปมอง น้ำฝักบัวไหลซู่ซ่า แบคฮยอนหมุนก๊อกแกรก ๆ ไม่ช้า ชายหนุ่มร่างเล็กเริ่มคราง ด้วยเสียงอย่างคนที่กำลังรู้สึก... สบาย


              “ให้ตาย... เสียงบัดสี”


              “อะไรกัน ปรับยังไง” จู่ ๆ แบคฮยอนก็อุทาน “ทำยังไง... เฮ้ย!


              ภาพจากกล้องวงจรปิดดับลง “หยุดนะ! หยุด! ” อีกฝ่ายตะโกนอยู่อย่างนั้น “หยุดเสียที! ” เกิดเสียงคล้ายกำลังลื่นไถล ร้อยโทปาร์คหันไปมองแล้วตอนนี้ ท่าทีตื่นตระหนกของผู้ติดตามทำให้เขาหมดความอดทน ชานยอลคว้าเสื้อคลุมและถลันออกจากห้อง


              “แบคฮยอน! เปิดประตู! ” คนงานหนึ่งหรือสองคนแหงนมองอย่างใคร่รู้ “แบคฮยอน! เกิดอะไรขึ้น!


              หลายวินาทีซึ่งชานยอลรู้สึกราวกับหลายนาทีต่อมา ชายหนุ่มร่างเล็กเปิดประตูห้อง หอบหายใจไปด้วย แบคฮยอนผูกผ้าเช็ดตัวกับเชิงกรานอย่างหลวม ๆ น้ำร้อนทำให้ผิวเปียกชื้นเป็นสีชมพู


              “ผม... ควบคุมฝักบัวไม่ได้” อีกฝ่ายสารภาพ “พยายามปรับอุณหภูมิ แต่แรงดันน้ำมาก ฝักบัวกระดอนไปมา ท่านรู้ได้ยังไงครับ”


              ร้อยโทปาร์คอึกอัก “คุณตะโกนเสียลั่น” เขาแก้ตัว “ใคร ๆ ก็ได้ยิน”


              แบคฮยอนก้มหน้าลง เห็นรอยยิ้มน้อย ๆ ซึ่งเขาเดาว่าเป็นความกระดาก “ขอโทษครับ” ผู้ติดตามว่า “สภาพในห้องน้ำ... ตอนนี้ไม่น่าดูเลย”


              ชานยอลก้าวเข้าไปในห้อง พยายามไม่จ้องดูร่างกายท่อนบนของอีกฝ่าย หลังจากเยี่ยมหน้าเข้าไปในห้องน้ำ เขาก็รู้ว่าเพราะอะไร ภาพจากกล้องวงจรปิดจึงดับลง


              บนเพดานมีน้ำเปรอะ ค่อย ๆ หยดลงราวกับฝนในถ้ำหินปูน คงเกิดจากการที่แบคฮยอนควบคุมฝักบัวไม่ได้นั่นเอง “ตอนนี้รู้แล้วใช่ไหม ว่าฝักบัวใช้งานยังไง” ชายหนุ่มร่างสูงหันไปถาม เห็นอีกฝ่ายพยักหน้าก็ถอนหายใจ “เอาเถอะ... อย่าให้เกิดเรื่องยุ่ง ๆ ขึ้นอีกก็พอ”


              แบคฮยอนไม่ได้จงใจทำให้เพดานเปียกน้ำหรอก เขาคิดอย่างนั้น ไม่มีทางรู้หรอก เห็น ๆ กันอยู่


                ก็ชายหนุ่มร่างเล็กอาบน้ำไปด้วย ส่งเสียงไปด้วยนี่ เสียงอย่างคนที่กำลังพอใจ... สบายใจ ชานยอลกลืนน้ำลาย หูสองข้างร้อนขึ้น


              เห็นอะไรกันเล่า ไม่เห็นอะไรเสียหน่อย!


                น้ำร้อนไม่เคยทำให้ผิวของร้อยโทปาร์คกลายเป็นสีชมพูมาก่อน แบคฮยอนคนอ่อนแอ... เพราะมาจากมูซาน มาจากทางเหนือไม่ผิดแน่


              แม้จะพยายามอย่างสุดชีวิตเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเอง เมื่อกลับมาถึงห้องและส่องกระจก ชานยอลกลับยังเห็นว่าหูนั้นแดงเรื่อ


              “ไอ้... ” ชายหนุ่มร่างสูงคำราม “เสียงบ้า เสียงบัดสีเอ๊ย!






     

              อดสงสัยไม่ได้เมื่อเห็นซุปหัวหอม บาแก็ต (ขนมปังฝรั่งเศส) และนมแพะ ว่าร้อยโทปาร์คผู้ต่อต้านวัฒนธรรมตะวันตก รวมถึงทุกสิ่งที่ได้ชื่อ (โดยท่านผู้นำ) ว่าทุนนิยม ทนกระเดือกอาหารของคนขายชาติลงท้องได้อย่างไร





              “คุณสาย”


              “ขอโทษครับ” แบคฮยอนค้อมศีรษะ “ผมเพิ่งจะทำความสะอาดห้องน้ำ”


              ชานยอลไม่ตอบ อีกฝ่ายเอื้อมมือมาบิบาแก็ตให้เขาคำหนึ่ง จากนั้นคนทั้งคู่จึงก้มหน้าก้มตาตักซุป สลับกับกัดบาแก็ตอย่างเงียบ ๆ แบคฮยอนเหลือบมองผู้บังคับบัญชาเป็นครั้งคราว เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มร่างสูงมีท่าทีกระอักกระอ่วน


              “อาหารไม่อร่อยหรือคะ คุณชาย” ในที่สุด แม่บ้านซึ่งชะเง้อชะแง้ดูอยู่ก็เอ่ยขึ้น “อิฉันจะให้พ่อครัวทำใหม่”


              ชานยอลสำลัก “ไม่ต้อง” ไอโขลก ๆ “ผมไม่เป็นไร”


              แบคฮยอนคว้ากล่องบรรจุกระดาษเช็ดปากได้ เมื่อหันไปส่งให้ ก็เห็นว่าหูของอีกฝ่ายเป็นสีแดงเข้ม


              “ท่าน... ไม่สบายหรือครับ”


              คราวนี้ร้อยโทปาร์คหน้าแดง “อะไร”


              “ดูเหมือน... ท่านจะไม่สบาย” ชายหนุ่มร่างเล็กแบ่งรับแบ่งสู้ “หูของท่าน...”


              “ช่างหูเถอะน่า! ” คราวนี้อีกฝ่ายถลึงตาใส่ “ผมหมายถึง... ไม่มีอะไรหรอก ไม่สบายใจเท่านั้นเอง”


              “เรื่องอะไรหรือครับ”


              ชานยอลรามือจากอาหาร “ฟังนะ แบคฮยอน อย่าหาว่าหยาบคายเลย” ดูก็รู้ว่ากำลังจะพูดอะไรประหลาด ๆ อย่างไก่ออกลูกเป็นตัว หรือแมวออกลูกเป็นไข่ “แต่... คุณไม่มีเสื้อคลุมอาบน้ำ... อย่างนั้นใช่ไหม”


              ผู้ติดตามจอมปลอมนิ่วหน้า “อะไรนะครับ”


              “ถึงได้ยืนโทง ๆ ทั้งที่อยู่กับผม”


              ความร้อนไต่ระดับจากหัวใจสู่ใบหน้า “ย่า! ฉันน่ะนะ! ” แบคฮยอนหลุดปาก “โทง ๆ อะไรกัน! มีผ้าเช็ดตัวหรอก”


              ร้อยโทปาร์คขมวดคิ้ว


              “ขอโทษครับ” ชายหนุ่มร่างเล็กโคลงศีรษะ “ผมไม่ควรพูดอย่างนั้นกับท่าน”


              “ผมเข้าใจ มันออกจะ... น่าอาย” อีกฝ่ายกระแอม “ในฐานะผู้บังคับบัญชา ผมจะหาเสื้อคลุมอาบน้ำให้ ที่นี่ไม่ใช่มูซาน และคุณก็ไม่ได้อยู่ลำพัง อยากให้ใช้เสื้อคลุมอาบน้ำจริง ๆ มากกว่าผ้าเช็ดตัว เอ้อ... อย่างน้อยก็ขอร้องล่ะ”


                ขอร้องเนี่ยนะ...


                “ได้ครับ แล้วแต่ท่าน”


              “เมื่อกี้... คุณพูดกับผมว่าอะไรนะ”


              “ขอโทษจริง ๆ ท่านจะลงโทษผมก็ได้ เพราะชินกับความรู้สึกที่ว่า... ท่านอ่อนกว่า ถึงได้ใช้คำพูดไม่เหมาะสม”


              “ผมจะไม่ลงโทษคุณหรอก”


              แบคฮยอนผงกศีรษะช้า ๆ “ขอบคุณครับ”


              “ก็แปลกดี ผมอ่อนกว่าคุณสี่ปี ถือว่าไม่ไกลนัก อาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน เท่ากับว่า ใกล้ชิดกว่าผู้ร่วมงานอื่น ๆ” ร้อยโทปาร์คทำท่าครุ่นคิด “เป็นกรณีพิเศษทีเดียว”


              ชายหนุ่มร่างเล็กไม่กล้าตักซุป “กรณีพิเศษหรือครับ”


              แต่ชานยอลกลับยุติการสนทนา “รีบกินให้หมด” ผู้บังคับบัญชาของเขาบอก “หนึ่งทุ่ม มาพบผมที่ห้องทำงาน จะให้คุณสอนภาษาเยอรมัน แล้วจะพิจารณาเรื่องที่ว่าอีกครั้ง ทำใจให้สบาย”


              และเพราะอีกฝ่ายพูดอย่างนั้น แบคฮยอนแห่งมูซานจึงทำใจให้สบายไม่ได้เลย






     

              เห็นได้ชัดว่าผู้ติดตามของเขาตกประหม่า


              “มาใกล้ ๆ นี่” ชานยอลสั่ง “มาที่โต๊ะทำงาน ต้องการอะไรไหม หนังสือ เพลง หรือเครื่องฉาย ผมจะหาให้”


              “ไม่เป็นไรครับ” ชายหนุ่มร่างเล็กตอบ “ตอนนี้... ไม่เป็นไร”


              “เริ่มจากตรงไหนดี”


              “ตัวอักษรครับ”


              ดึงเก้าอี้ล้อเลื่อนซึ่งแบคฮยอนนั่งอยู่เข้าหาตัวอย่างถือวิสาสะ “ไม่เหมือนภาษาอังกฤษหรือไง”


              “การออกเสียงและการแทนเสียงต่างกันเล็กน้อยครับ” อีกฝ่ายถดตัวออกห่าง ส่งกระดาษให้ “ท่านเองพอจะมีพื้นฐานภาษาอังกฤษ ถูกต้องไหมครับ”


              “แน่ล่ะ ถึงจะไม่อยากนัก แต่รู้เขารู้เราไว้เป็นดี”


              “เอ บี ซี และดี ในภาษาอังกฤษ เท่ากับอา เบ เซ และเด ในภาษาเยอรมัน” ผู้ติดตามเริ่ม “เอ บี ซี ดี อี เอฟ จี เท่ากับอา เบ เซ เด เอ เอฟ เก”


              “ช้า ๆ หน่อย” ร้อยโทปาร์คว่าตามและจดลงบนกระดาษ “เกคือจี ใช่แล้ว... อะไรต่อ”


              “เอช ไอ เจ เค แอล เอ็ม เอ็น โอ พี” แบคฮยอนต่อให้ “เท่ากับฮา อี ยอท คา เอล เอ็ม เอ็น โอ เพ”


              “เอฟ เอ็ม เอ็น โอ เท่านั้นที่เหมือนภาษาอังกฤษ อะไรต่อ”


              ราวกับเด็กเล็ก ๆ ท้ายที่สุด คุณครูคนใหม่สอนให้เขาร้องเพลงอาเบเซในทำนองเดียวกับเพลงเอบีซี ไม่ช้า ชานยอลพบว่าชายหนุ่มร่างเล็กมีเสียงที่ดี และผู้ติดตามก็ดูจะรักการร้องเพลง แบคฮยอนหลับตาในบางครั้ง ขณะเสียงแหบเล็กน้อยแต่มีเสน่ห์นั้นขึ้นสูงลงต่ำอย่างราบรื่น ทำให้เพลงซึ่งไม่เคยมีความหมายฟังดูราวกับเพลงกล่อมนอนอันน่าจดจำ


              “คุณร้องเพลงบ่อย ๆ  หรือเปล่า”


              อีกฝ่ายนิ่งไปอึดใจหนึ่ง คล้ายประมวลคำตอบ “จงอินมักจะออกไปทำงานกับพ่อและแม่ ผมอ่อนกว่าจึงอยู่บ้าน ดูแลจุนมยอน เมื่อน้องงอแงต้องร้องเพลง จุนมยอนชอบฟังเพลง”


              “เมื่อร้องเพลง เสียงของคุณนุ่มนวล ต่างจากเสียงที่ใช้ตะโกน ย่า! ’ เอามาก ๆ”


              “ท่านยัง... โกรธอยู่หรือครับ”


              ไม่ว่าแบคฮยอนจะเป็นคนของพลเอกชเว อย่างเต็มตัว... หรือไม่ ขณะนั้น ร้อยโทปาร์คไม่อาจสัมผัสได้ถึงเล่ห์กลหรือความฉุนเฉียว ระหว่างสบตาเขาด้วยสีหน้าเป็นกังวล ผู้ติดตามดูเหมือนเด็กชายเล็ก ๆ ซึ่งเพิ่งจะทำแจกันแตก และรู้สึกผิดเอามาก ๆ เท่านั้น


              “ไม่โกรธแล้ว ผม... ” คำคุณศัพท์ดังกล่าวติดอยู่ที่ริมฝีปาก ค้างเติ่งอยู่บนรอยแผลเป็น ก่อนชานยอลผลักมันออกไป “ชอบ... ต่างหาก”


              “ท่าน... ”


              “ไม่มีใคร... พูดแบบนี้กับผมอีกแล้ว พ่อกับแม่มีงานล้นมือ ยุ่งเหยิงเกินกว่าจะพร้อมหน้า เพื่อน ๆ แยกย้ายกันไป อ้อ... ไม่นับซงมินโฮนะ” ชายหนุ่มร่างสูงอธิบาย “หลายปีมานี้ ท่ามกลางภาษาทางการและความนอบน้อม หลายครั้งชวนให้รู้สึกอึดอัดและเหินห่าง เพราะฉะนั้น”


              คุณครูหมาด ๆ มีท่าทีเคลือบแคลง


              “เพราะฉะนั้น ถ้านายไม่ว่าอะไร... แบคฮยอน”


              ชายหนุ่มร่างเล็กอ้าปากค้าง เห็นได้ชัดว่าคิดไม่ถึง


              “เวลาที่เราอยู่ด้วยกัน... แค่สองคน ฉันไม่อยากเป็นร้อยโท ไม่อยากเป็นเจ้านาย”


              แม้อากาศจะเย็น และแสงไฟในห้องทำงานเป็นสีเหลือง ก็ยังเห็นได้ชัด... ผิวขาว ค่อนไปทางเซียวของอีกฝ่ายกลายเป็นสีชมพูเช่นเดียวกับเมื่อถูกน้ำร้อน


              ครั้งนี้ ร้อยโทปาร์คเป็นฝ่ายชนะ





     

              เพราะอะไรบางอย่าง เขาฝันถึงพลเรือเอกเขี้ยวลากดิน


    เมื่อมินกูมายังมูซาน ร้อยโทปาร์คยังเล็ก อายุไม่เกินหกหรือเจ็ดปี ผิวขาว ใบหน้าอิ่มเอิบ มีเลือดฝาด แก้มของเด็ก ๆ ชาวมูซานเป็นสีแดงเช่นกัน แต่เพราะอากาศหนาวมากกว่าเลือดลม วัยรุ่นผิวขรุขระด้วยมลภาวะ ทุกใบหน้าสะท้อนภาวะร่วงโรยอันปกคลุมเหมืองเหล็กรวมถึงแดนลับแลนอกเปียงยางทั้งหมด


              เด็กชายและเด็กหนุ่มที่แข็งแรงที่สุด มีสุขภาวะดีที่สุดถูกเกณฑ์ เพราะชานยอลต้องการเพื่อน ถนนทุกสายว่างเปล่า สะอาดสะอ้าน ใครก็ตามที่ถูกพิจารณาว่าขาดคุณลักษณะอันพึงประสงค์เก็บตัวเงียบ จงอินเป็นหนึ่งในเด็กชายผู้ถูกเกณฑ์ ขณะที่เขากับจงแดผอมเกินไป จุนมยอนยังเล็กมากและเป็นโรคเลือดไหลไม่หยุด เด็กทั้งสามจึงนอนขดตัว เบียดชิดกันอยู่หน้าเตาไฟ ฟังเสียงเครื่องยนต์ในเหมืองดังคึก ๆ สลับกับเสียงท้องร้องโครกคราก


              ศาสนาเกือบจะเป็นสิ่งต้องห้ามในประเทศสังคมนิยม ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจถูกลบหาย แม่ของจงอินและจุนมยอนพอจะมีความรู้ หล่อนมักเล่าเรื่องราวที่น่าสนใจให้ฟัง หนึ่งในนั้นคือปฐมบทแห่งศาสนาต่าง ๆ


              “เหมือนเขาออกมาจากปราสาทสามฤดู ในเรื่องของเจ้าชายสิทธัตถะ” คือสิ่งที่จงแดตัวน้อยปรารภถึงชานยอล “ไม่รู้ว่าความป่วยไข้ ความตาย และความผิดหวัง... หน้าตาเป็นยังไง และจะไม่มีวันได้รู้”


              “สักวันจะรู้” แบคฮยอนรับรองแข็งขัน “สักวันต้องรู้”


              ประตูเปิดผาง เด็ก ๆ ตกใจ พ่อเดินสะโหลสะเหลเข้ามาก่อน ตามด้วยชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่


              “ฟังนะ... แกต้อง... ”


              ชายคนนั้นคือปาร์คมินกู


              เสียงอาซาน (เสียงเรียกเพื่อละหมาด) ปลุกเขาในที่สุด แบคฮยอนกะพริบตา ถอนหายใจเมื่อไม่เห็นร้อยโทปาร์ค เช้าวานนี้ชานยอลยืนค้ำศีรษะเขา จ้องเขม็งคล้ายกำลังรอเวลา น่าจะเริ่มไว้ใจฉันแล้ว ชายหนุ่มร่างเล็กคิด หรือไม่... ก็เพราะเห็นว่าวิธีเดิมไม่ได้ผล


                ถนนสายเล็ก ๆ ซึ่งบ้านของชานยอลตั้งอยู่ ทอดสู่สถานเอกอัครราชทูตโรมาเนียประจำกรุงเปียงยาง รวมถึงมัสยิดนิกายชีอะห์ ถ้าไม่ใช่เพราะวันก่อน แบคฮยอนตื่นขึ้นด้วยอารมณ์หวาดระแวงอย่างคนที่ถูกจ้องมอง เขาคงตื่นขึ้นด้วยเสียงอาซานเหมือนวันนี้ พลางมองเลยไปยังหลังคามัสยิดทาสีเขียวสด สายตาเปี่ยมล้นด้วยความหวัง


    เขาอาจใช้มัสยิดเป็นที่หลบภัย วันใดวันหนึ่ง... แต่ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าของเสียงอาซาน มุอัซซิน (ผู้ประกาศเวลาละหมาด) มักได้รับความเคารพมาก อีกฝ่ายอาจเลือกจะต่อต้านรัฐบาลซึ่งไม่เคยให้ความอุปถัมภ์ใด ๆ หรือรอมชอมพร้อมทั้งส่งตัวเขาให้ก็ได้ นั่นมันในกรณีที่แบคฮยอนติดกับ ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหนี และเจ้าตัวก็หวังอย่างยิ่งว่าจะไม่มีวันนั้น


    เขารอจนได้ยินคำว่าลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ(ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์) แล้วจึงลุกจากเตียง ช่างหาญกล้า ชายหนุ่มร่างเล็กเผยอยิ้ม อย่างน้อยพวกเขาก็กล้าพอจะประกาศความศรัทธาในพระเจ้าของตัวเอง ไม่ใช่พระเจ้าในร่างประธานาธิบดีที่คนกว่าครึ่งคาบสมุทรถูกบังคับให้กราบไหว้


    แบคฮยอนยังยิ้มอยู่กระทั่งเสร็จภารกิจยามเช้า แต่เมื่อเปิดประตูห้อง เงยหน้าขึ้น รอยยิ้มก็หายไป ชานยอลยืนอยู่ตรงนั้น ใช้ศอกเท้ากรอบประตู “นายเกือบจะสายแล้ว” ร้อยโทปาร์คทักทาย “อรุณสวัสดิ์ภาษาเยอรมันว่ายังไง”


    ชายหนุ่มร่างเล็กอึกอัก “Guten Morgen. (กูเทน มอร์เกน) ” เขาตอบ “War dein schlaf gut? (วาร์ ไดน์ ชลาฟ กูท? ) ”


    “แปลว่า... ”


    “หลับสบายหรือเปล่า”


    “และฉันต้องตอบว่า... ”


    Ja oder… nein. (ยา โอเดอร์ ไนน์) ใช่ หรือไม่ใช่”


    อีกฝ่ายหัวเราะหึ ๆ “Ja! (ยา! ) ” ก่อนจะเสริมว่า “นายตื่นเช้ากว่าเมื่อวาน”


    “ท่าน... เอ้อ... คุณ ไม่ใช่สิ” แบคฮยอนกลืนน้ำลาย “นายตื่นเช้าเสมอหรือเปล่า”


    “เป็นนิสัย ไง... การใช้ภาษาแบบไม่เป็นทางการยากเกินไปสำหรับนักศึกษาทุนแห่งพยองยางอึยกุกกอแทฮักหรือไง”


    “เปล่าเสียหน่อย”


    “หรือว่า... ไม่พอใจที่จริง ๆ แล้วฉันอ่อนกว่า แต่กลับพูดจาตีเสมอ”

     

    “ไม่ถือสาครับ... ไม่สิ ไม่มีครับ จงอินเองแก่กว่าผม... เอ้อ... ฉันสามปี เราสองคนเลือกใช้ภาษาแบบไม่เป็นทางการ เพราะต่างเป็นเพื่อนเล่นกันมาก่อนที่แม่ของจงอินจะแต่งงานกับพ่อ”


    “ถ้าอย่างนั้นก็ใช้ให้คล่อง”


    ช่างบงการ สมแล้วที่เป็นสุนัขรับใช้จอมเผด็จการ “ผม... เอ้อ... ฉันจะพยายาม”

             

             แต่เมื่อไปถึงโต๊ะอาหาร ซึ่งแม่บ้านและพ่อครัวรออยู่แล้วนั่นเอง ชานยอลกลับมีท่าทีเคร่งขรึม และแบคฮยอนที่ไม่ทันระวังก็พลาดไปถนัด

              

              “นายควรจะกินอาหารเช้าจริง ๆ สักครั้ง ไม่ใช่แค่ดื่มกาแฟ”


              “คุณว่ายังไงนะ” ร้อยโทปาร์คตำหนิ “ระวังคำพูดด้วย แบคฮยอน”


              เขาเหลือบมองอีกฝ่าย เห็นชานยอลขยิบตาให้ทีหนึ่ง ชายหนุ่มร่างเล็กทำหน้าบึ้ง


              ผู้ดีตีนแดง... ช่างสับปลับจริง ๆ !

     






                แบคฮยอนคล้ายจีซูเมื่อย้ายมาอาศัยอยู่ในเปียงยางใหม่ ๆ คือช่างถามซอกแซก อยากรู้อยากเห็นไปเสียทุกเรื่อง “ไม่ใช่แค่สถานทูตโรมาเนีย” เขาตอบเมื่ออีกฝ่ายถามถึงสถานที่ต่าง ๆ รอบ ๆ ที่พักอาศัยใหม่ “ใกล้ ๆ กับบ้านของเรา มีสถานทูตขึ้นพรืด ที่ใกล้กับสถานทูตโรมาเนียมากที่สุด คือสถานทูตอิหร่าน มัสยิดนิกายชีอะห์ตั้งอยู่ในสถานทูตที่ว่า ถัดออกไปไม่เท่าไหร่ ทางใต้ ใกล้กับบ้านเดิมของฉัน คือสถานทูตอียิปต์ ห่างออกไปราวสองช่วงถนนทางตะวันออก เยอรมนี อังกฤษ สวีเดน ใช้สถานทูตร่วมกัน มีสถานทูตปากีสถานตั้งประจันหน้า รอบ ๆ เป็นสถานทูตบราซิล โปแลนด์ มองโกเลีย ฉันจำได้ไม่หมดหรอก... ”


              “พูดให้ถูกก็คือ... ย่านมุนฮุงเป็นย่านสถานทูต”


              ชายหนุ่มร่างเล็กมีสีหน้าเป็นกังวลอย่างน่าสงสัย “เป็นอะไรไป”


              “เปล่านี่”


              ผู้ติดตามโกหกแน่ เพียงแต่ร้อยโทปาร์คไม่รู้ว่าเพราะอะไร มีอะไรน่าสนใจหรือในการใช้ชีวิตท่ามกลางสถานเอกอัครราชทูต สำหรับเขาผู้คุ้นเคยกับมันแล้ว... ไม่มี


              “เราไม่ได้ตัดขาดจากสหรัฐอเมริกาโดยสิ้นเชิง” เขาหยั่งเชิง “ผลประโยชน์ต่าง ๆ ที่สหรัฐอเมริกา แคนาดา และออสเตรเลียพึงได้ ทางสถานทูตสวีเดนรับหน้าที่เป็นผู้จัดการ”


              แต่แบคฮยอนกลับไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบที่น่าสนใจเมื่อชานยอลพูดคำว่าสหรัฐอเมริกา


              อาจไม่ใช่พวกขายชาติ ชายหนุ่มร่างสูงครุ่นคิด แต่ทำไม... ถึงได้สนใจเรื่องพวกนี้


              “ไม่มีมัสยิดอื่นแล้วใช่ไหม สถานทูตอียิปต์ หรือปากีสถาน ไม่มีมัสยิดเป็นของตัวเองหรือ”


              ชานยอลขมวดคิ้ว ถามทำไม เขาเกือบจะถามออกไป แต่แล้วก็ตอบว่า “ไม่มี เคยมีผู้เสนอให้สร้างมัสยิดนิกายซุนนีเพื่อความเท่าเทียม เห็นปัญหาของศาสนาหรือยัง แบคฮยอน มันนำมาซึ่งการเกิดมีของชนชั้นและความแตกแยก และท่านผู้นำของเราก็ปราดเปรื่องพอจะผลักมันออกจากอุดมการณ์แห่งรัฐ”


              ดูก็รู้ว่าแบคฮยอนไม่รู้สึกเต็มตื้นนัก อีกฝ่ายกำลังจ้องมองวงโค้งของแกซอนมุนอย่างชิงชังอีกแล้ว


              “สังคมนิยมจงเจริญ” ผู้ติดตามกระซิบเบา ๆ ฟังไม่ออกว่าเป็นการสรรเสริญหรือเสียดสี


              “นายมีโทรศัพท์หรือเปล่า” ในที่สุดเขาก็ถามขึ้น “โทรศัพท์มือถือน่ะ”


              คราวนี้ชายหนุ่มร่างเล็กยิ้มออกมา “ไม่มีหรอก” ก่อนจะเสริมว่า “ไม่มีใครในมูซานมีโทรศัพท์ ฉันจำเป็นต้องมีหรือเปล่า”


              ต้องมีแน่ ถ้ายังพูดจากำกวมทุกครั้งที่ฉันพูดถึงพ่อ กองทัพ หรือท่านผู้นำอย่างนี้ “จำเป็นต้องมี” เขาแบ่งรับแบ่งสู้ “แล้วฉันจะซื้อให้”


              ไม่มีวัตถุประสงค์อื่นนอกจากการติดตาม ถ้าแบคฮยอนมีโทรศัพท์มือถือที่เขาซื้อให้ และถ้า... ถ้าอีกฝ่ายพกมันติดตัวตลอดเวลาล่ะก็...


              “ดีเท่าของนายหรือเปล่า หรือของนายแพงเกินไป”


              อีกฝ่ายพยักเพยิดมาทางสมาร์ตโฟนยี่ห้ออารีรังของเขา มันถูกผลิตขึ้นเมื่อสามปีก่อน และเป็นสมาร์ตโฟนยี่ห้อเดียวในประเทศ


              “ตอนนี้ยังแพงอยู่ อีกเดี๋ยวจะถูกลง” ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเพิ่งจะพูดอะไรที่ฟังดูคล้ายทุนนิยมอันชั่วร้ายออกไป “ฉันจะซื้อให้นายก็ได้ ยังไงท่านผู้นำก็สนับสนุนให้คนในประเทศใช้อยู่แล้ว ท่านอยากให้เรามีเท่ากัน”


              รถหยุดเมื่อเดินทางมาถึงอาคารที่ทำการพรรคแรงงาน


              “หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง” จู่ ๆ แบคฮยอนแห่งมูซานก็โพล่งออกมา “สหภาพโซเวียตพัฒนาระบบเศรษฐกิจอย่างหนึ่งขึ้นมา หน่วยงานของรัฐส่งผลผลิตให้หน่วยงานอื่น ๆ เป็นระบบที่ไม่มีการใช้เงิน ทุกคนทำงานโดยไม่มีค่าแรง รับเป็นสิ่งของโดยเท่าเทียมกัน”


              เขาหันไปปลดเข็มขัดนิรภัย


              “น่าเสียดายที่มันมีอายุสั้น ท้ายที่สุดก็นำไปสู่การล่มสลายของสหภาพเมื่อปี 1991


              กว่าจะหันไปมองอีกที ผู้ติดตามก็ลงจากรถไปแล้ว ชานยอลฟังออกว่าในคำบอกเล่านั้นมีความขึ้งโกรธที่เขาไม่เข้าใจ ชายหนุ่มไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแบคฮยอนได้ฟังเรื่องราวเหล่านี้จากไหน


              ชักจะน่าสงสัยขึ้นไปทุกที







    #ฟิคเปียงยาง

    ช่วงนี้อัพช้าหน่อยนะคะ ไฟนอลปีสามรุมเร้ามาก TT


    เข้าสู่ช่วงตอบจดหมายจากทางบ้าน *ผิด* ตอบเมนต์ กดข้ามได้นะ ยาวอ่ะ

    ขอบคุณสำหรับทุกความเห็นและกำลังใจเลยนะคะ ซาบซุ้งมาก TT ตอนเริ่มเขียนนี่ทะเลาะกับตัวเองหนักมากว่าหล่อนเขียนอะไรออกไป ก็ค่อนข้างเซอร์ไพรส์ทุกครั้งที่เห็นว่ามีคนยอมอ่าน 555 มา เดี๋ยวเมาท์ให้ฟัง 555 


    ในส่วนของข้อมูล ก็ดีใจ... ดีใจที่อุตส่าห์หามาได้ค่ะ 555 ตอนแรก ไม่ได้คิดถึงเปียงยางเลย กะจะให้เป็นฟิคพีเรียด แล้วสร้างประเทศสมมติโลด แบบว่าช่วงสงครามเย็น เกิดเกาหลีเหนือ ใต้ แล้วก็เกิดเกาหลีไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดเป็นรัฐที่สามงี้ แต่คุยกับเพื่อน ได้ข้อสรุปว่า เคสนั้นเป็นไปได้ยาก เลยตัดสินใจเปลี่ยนพล็อต ดำเนินเรื่องในเปียงยางยุคปัจจุบันไปเลย


    ถ้าถามว่าอยากไปเกาหลีเหนือไหม ก็อยากไปนะคะ ._. คือเราเก็บเงินแบ็คแพ็คบ่อย ๆ อยู่แล้ว แต่ทริปเกาหลีเหนือนี่ที่บ้านเบรกแรงมาก เซย์โนสุด ตัดออกจากกองมรดกสุด ก็พับโครงการไป


     เราว่าเกาหลีเหนือเป็นประเทศที่สวยนะ คืออากาศบ้านเขาจะดูเย็น ๆ ทึม ๆ หม่น ๆ (ซึ่งเราชอบ คนอื่นชอบไม่ชอบไม่รู้ 555) ภูเขาเยอะ คาบสมุทรเกาหลีเป็นหนึ่งในคาบสมุทรที่มีภูเขามากอยู่แล้ว โดยรวมคือ ภูมิประเทศมีเสน่ห์ค่ะ น่าเสียดายที่ปิดประเทศนะ


    พล็อต... ต้องยอมรับว่าสองตอนแรกเขียนแบบตอนชนตอนมาก คิดอะไรออกเขียนไปก่อน 555 แต่ตอนนี้ร่างพล็อตคร่าว ๆ แล้ววกั๊บ สนุกแน่... มั้ง 555


    น่าจะตอบครบทุกประเด็นแล้ว ไปก่อนนะคะ

    ข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับเกาหลีเหนือ อาจจะได้พูดในตอน T I P S อีก สรุปว่าฟิคเรื่องนี้คนเขียนพูดมากพอ ๆ กับตัวละครเลย 


    ไปแล้ว จุ๊บ <3



     
















    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×