คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #19 : บทที่ 9 ตอนที่ 1
บทที่ 9
“ไม่ยุติธรรม”
เขาจำได้ว่าเคยได้ยินเสียงนี้ แต่จำไม่ได้ว่าเมื่อไหร่บ้าง
“เวเรน่า... ” อาเธอร์คราง ศีรษะหนักอึ้ง “เวเรน่าไม่ได้ฆ่าตัวตาย... ”
“มาหาเราสิ” มันดังขึ้นอีก
“เวเรน่าไม่ได้ฆ่าตัวตาย... ”
“อาเธอร์! พี่ฟื้นแล้วใช่ไหม! ขอบคุณพระเจ้า!”
เสียงนี้เป็นเสียงที่เขาจำได้ขึ้นใจ อาเธอร์ค่อย ๆ กะพริบตา จ้องมองเพดานที่รางเลือนกับใบหน้าที่เขาคุ้นเคยมาตลอดชีวิต
“เอเรล... ”
“อาเธอร์! ฉันเอง! ให้ตายสิ อย่าเอาแต่พูดช้า ๆ แบบนี้ได้ไหม ฉันใจคอไม่ดีเลยนะ”
“เอเรล! ละ... ” เสียงสั่นอย่างกระวนกระวาย “แล้วเวเรน่าล่ะ”
“ไม่ต้องห่วง กำลังจะมีการพิพากษาเธออีกครั้ง มีแนวโน้มว่าผลจะเป็นเอลลีเซียมด้วย รู้ไหมว่าสิ่งที่พี่ทำจะทำให้การพิพากษาเป็นไปอย่างรอบคอบมากขึ้น”
เขายิ้ม มันสดใสขึ้นมากในรอบหลายวันที่ผ่านมา ชายหนุ่มรีบกะพริบตาถี่ ๆ เขาพยายามลุกขึ้นนั่ง แต่ถูกเอเรอาญ์ดันกลับลงไปนอนราบ อย่างน้อยที่สุดดวงตาของเขาก็สามารถมองเห็นใบหน้าของน้องสาวฝาแฝดที่ชะโงกอยู่เหนือตัวเขาได้อย่างชัดเจนแล้ว
“อย่าเพิ่งลุก ต้องให้แน่ใจก่อนว่าพี่ไหว”
“ฉันไหว”
“ฉันไม่เชื่อหรอก นอนลงไปเดี๋ยวนี้นะ! ”
เป็นน้องสาวของเขาจริง ๆ... อาเธอร์ยิ่งยิ้มกว้าง ขณะที่มีใครอีกคนผลุบเข้ามาที่ข้างเตียงเขาและจ้องมองเขาอย่างพิจารณา
“เทพทานาทอส อาเธอร์ฟื้นพอดีเลยค่ะ”
“ขอรับ”
เขาได้ยินเสียงแหบแห้งไม่น่าฟังตอบเธอ จากนั้นมือของเทพแห่งความตายก็กดลงไปตามเนื้อตัวของเขา ทำให้อาเธอร์ตกใจด้วยสัมผัสที่เย็นเยียบทะลุเนื้อผ้า เหมือนนิ้วของทานาทอสสอดลงไปใต้เนื้อหนังของเขา
“อย่าตระหนก ข้าเป็นนายแห่งยมทูตผู้นำความตาย สัมผัสที่มีต่อวิญญาณเป็นเช่นนี้เสมอ” ทานาทอสพูดเหมือนรู้ใจ แล้วหันไปบอกกับเอเรอาญ์ “ไม่มีสิ่งใดน่ากังวลใจขอรับ วิญญาณอ่อนแรงลงบ้าง อาจมีบางเวลาที่เขาจะหลับใหลยาวนานนับวัน แต่ทุกสิ่งเป็นปกติ”
“ขอบคุณค่ะ” เอเรอาญ์ตอบ “เอาล่ะ ทีนี้ถ้าอยากจะลุกก็ลุกเถอะ”
อาเธอร์ลุกขึ้นนั่ง จ้องมองน้องสาวฝาแฝดราวกับกลัวว่าจะไม่ได้มองเธออีก “แล้ว -- องค์ราชันล่ะ เขาไม่ขังเธอไว้แล้วหรือ”
น่าแปลกที่เอเรอาญ์ยิ้ม “ไม่แล้วล่ะ”
“นายท่านตัดสินใจแล้วว่าจะโอนอ่อนต่อนายหญิงมากขึ้น” ทานาทอสพูด และอาเธอร์ก็ต้องแปลกใจอีกเมื่อเห็นว่าเอเรอาญ์มองเทพแห่งความตายด้วยใบหน้าเหยเก “นับแต่นี้ต่อไปเจ้าได้รับอนุญาตให้อาศัยร่วมกับองค์ราชินีในปีกปราสาทด้านตะวันตก และมีอิสรเสรีตามแต่ต้องการ”
“ไกลจากที่นี่ไม่เท่าไหร่หรอกอาเธอร์ และห้องก็กว้างขึ้น สว่างขึ้นด้วย”
“โดยอย่าคิดหนีเป็นอันขาด” เทพแห่งความตายเสริมอย่างรู้ทัน
สองฝาแฝดมีสีหน้าเหมือนเพิ่งกลืนของบูดลงคอ แต่แล้วก็หัวเราะ เมื่อเรื่องเลวร้ายผ่านพ้นไปและได้รับอิสรภาพมากขึ้น การอยู่ในยมโลกที่เริ่มคุ้นเคยทีละน้อยก็ดูจะไม่น่ากลัวเท่าที่ผ่านมา อันที่จริงทั้งอาเธอร์และเอเรอาญ์แทบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าต้องทำอะไรเพื่อกลับไปหาโลกที่จากมา
“ว่าแต่เทพฮิปนอสล่ะ -- ” อาเธอร์ถามตอนที่ถดตัวลงจากเตียง “ฉันต้องขอบคุณแบบที่ไม่รู้จะขอบคุณยังไงเลย”
“พี่ชายข้ายังคงหลับใหล เขาต้องพักผ่อน” แต่เมื่อเห็นสีหน้าของอาเธอร์ ทานาทอสก็เสริมขึ้น “กล่าวตามความเป็นจริงคือ พี่ชายของข้าได้กลับสู่ปกติวิสัยของเขาแล้ว”
อาเธอร์หัวเราะ “ฉันอยากจะไปเยี่ยมเขาสักหน่อย”
“ข้าจะพาเจ้าไปเอง” ทานาทอสตอบ “นายหญิงด้วยไหมขอรับ”
“ไม่ล่ะค่ะ ฉันขอดื่มด่ำกับอิสรภาพอีกหน่อย”
“เธอพูดจาเหมือนคนแก่”
“ฉันจะใช้สิทธิ์ของนายหญิงขังพี่ไว้ในห้องนะ”
อาเธอร์กางแขนออกแทนคำว่าพูดว่า ‘ไม่แฟร์เลย! ‘ ก่อนจะหัวเราะและขยี้ผมเธอ
“แล้วเจอกัน”
“ได้เลย ฝาแฝด แล้วเจอกัน! ”
เอเรอาญ์โบกมือให้พี่ชาย แล้วในไม่ช้า เท้าที่เปลือยเปล่าทั้งสองข้างของเธอก็ย่ำลงไปบนทุ่งนาร์ซิสซัส ด้านนอกปราสาทอย่างร่าเริง
ฮาเดสจะอ่อนข้อให้เธอด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ ตอนนี้หญิงสาวตัดสินใจแล้วว่าไม่ใช่เวลาจะมาคิดถึงเรื่องของเขา หรือโลกด้านที่สว่างไสวของใครแม้แต่คนเดียว
เธอกลับไปเยี่ยมห้องสมุดอีกครั้ง ทานาทอสไม่ได้ปิดแผ่นหินที่ทางเข้า แต่มันก็ยังคงอบอุ่นและมีแสงสว่างอย่างที่หญิงสาวต้องการ
เอเรอาญ์ใช้อิสรภาพของเธออย่างคุ้มค่าเท่าที่จะทำได้ พยายามไม่คิดถึงเรื่องการ ‘เปลี่ยนโลกของฮาเดสให้สว่างไสว’ หรือ ‘คืนความเป็นเทพีเพอร์ซีโฟเน่’ ให้รบกวนจิตใจที่ล่องลอยไปทั่วทุกที่เท่าที่เธออยากจะเห็น เธอออกไปไกลจนถึงทุ่งแอสโฟเดล เดินอยู่ท่ามกลางวิญญาณที่เหม่อลอยราวกับไร้ตัวตน เอเรอาญ์ยังไม่นึกอยากเดินตามรอยอาเธอร์ด้วยการเข้าไปในพระบัญชรว่าการ หรือใจกล้าบุกบั่นไปถึงอิเรบัส[1]ข้างนอกนั่น เมื่อเดินต่อไปยังไม่ถึงใจกลางทุ่งแอสโฟเดลดี เธอก็หมุนตัวกลับและตัดสินใจไปสำรวจอีกทางแทน
ไกลออกไปอีกฟากหนึ่งของปราสาทที่ทานาทอสไม่เคยพาเธอไปเห็น เอเรอาญ์พบแม่น้ำสายเล็ก ๆ สายหนึ่งทอดยาวไปตามเนินหญ้าสีเทาไกลสุดลูกลูกตา มันเป็นสีดำสนิทเช่นเดียวกับแม่น้ำสายอื่น ๆ ในยมโลก และเมื่อเธอเดินเลียบทวนกระแสน้ำขึ้นไปอย่างที่เธอคำนวณเล่น ๆ ว่าราว ๆ ครึ่งหรืออย่างมากที่สุดคือหนึ่งไมล์ก็มีอะไรบางอย่างที่ทำให้เธอต้องหยุดชะงัก
มันคือแสงอาทิตย์สีทอง
เธอกวาดตามองท้องฟ้าอย่างตื่นเต้น แต่มองไม่เห็นดวงอาทิตย์อยู่ตรงไหนเลย หญิงสาวจึงออกวิ่ง ไม่ช้าจากผืนหญ้าสีเทาและลำน้ำสีดำสนิท เธอก็กำลังวิ่งอยู่บนเนินหญ้าสีเขียวชอุ่มสลับกันเป็นลูก ๆ ขนาบด้วยลำน้ำสีขาวสะอาด ใสจนมองเห็นเม็ดกรวดด้านใต้
“เอลลีเซียม!”
เธอป้องปากตะโกน กระโดด และกลิ้งไปบนพื้นหญ้า ก่อนจะหยุดเมื่อนอนหงายและหัวเราะใส่ท้องฟ้าสีฟ้าสดใสที่มีเมฆขนแกะกระจัดกระจาย มองดูเหมือนท้องฟ้าในฤดูใบไม้ผลิตามชนบท
“เอลลีเซียม!”
เธอตะโกนอีก สีเทาของยมโลกที่อยู่ต่ำลงไปตัดกันกับความมีชีวิตชีวาของทุ่งเอลลีเซียมโดยสิ้นเชิง เธอได้กลิ่นของชีวิตเต็มปอด ทั้งกลิ่นต้นหญ้า แสงแดด และความชุ่มชื้นของสายน้ำ และถึงแม้จะต้องยอมรับว่านึกอุปาทานไปเอง เอเรอาญ์ก็อยากจะคิดว่าเธอกำลังสูดกลิ่นขนมปังที่อบใหม่ ๆ
และแล้วในขณะที่กำลังตัดสินใจว่าจะมาที่นี่ทุกวันในฐานะที่ได้รับอิสรภาพแล้วนั่นเอง สายตาของเธอก็มองเห็นอะไรบางอย่างที่แทงยอดแหลมอยู่เหนือปุยเมฆบนท้องฟ้า อะไรบางอย่างที่ทำให้เธอต้องพลิกตัวมอง...
หอคอย
แล้วเธอก็เดินเข้าไปหามัน
มันเป็นหอคอยรูปกลมเล็ก ๆ ไม่สูงเท่าที่เธอประเมินไว้แต่แรก ก่อด้วยอิฐสีขาวมอ ๆ กลางใหม่กลางเก่า มีเถาไอวี่เลื้อยพันสลับไปมาเหมือนสร้อยคอ มองเห็นเศษกระเบื้องดินเผาสีส้มอิฐจากหลังคาหล่นอยู่บนพื้นประปราย รอบ ๆ หอคอยเต็มไปด้วยไม้ดอกต้นเล็ก ๆ สีเหลืองบานสะพรั่ง หญิงสาวเดินวนจนครบรอบ แต่มองไม่เห็นประตูหรือสิ่งที่มีหน้าตาเหมือนทางเข้า นอกจากหน้าต่างทรงโค้งที่สูงจนเงาจากหลังคาทาบทับเอาไว้
ต้องเป็นหอคอยของราพันเซลไม่ผิดแน่
เธอหัวเราะกับความคิดนั้น แต่แล้วก่อนจะตัดสินใจเดินจากไปนั่นเอง หญิงสาวก็เงยหน้าขึ้น ป้องปาก และตะโกนไปยังยอดหอคอยสุดเสียง
“เฮ้! ราพันเซล หย่อนผมของเธอลงมาหน่อยสิ! ”
เอเรอาญ์หัวเราะคิกคักก่อนจะหมุนตัวกลับ แล้วอะไรบางอย่างก็จู่โจมเธอราวกับสายฟ้าฟาด
“ผมของข้าไม่ได้ยาวขนาดนั้น”
เขาไม่จำเป็นต้องตะโกนเลย แต่เอเรอาญ์กลับได้ยินอย่างชัดเจน เธอจำเสียงของเขาได้ เพียงแต่ไม่อยากจะจำได้เสียเท่าไหร่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเธอไม่อยากจะให้มันดังขึ้นหลังจากเธอตะโกนอะไรแบบนั้นขึ้นไปด้วย!
เธอรีบจ้ำเท้า
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
เธอจ้ำเท้าเร็วขึ้น
“หรือว่าไม่รักอิสรภาพที่เจ้าเพิ่งได้มาเสียแล้ว”
“ไม่นะคะ ท่านจะทำแบบนั้นไม่ได้! ”
เธอหันกลับทันที มองเห็นใบหน้าเฉยชาของฮาเดสเท้าคางอยู่กับขอบหน้าต่าง
“ข้าจะทำอะไร”
“ท่านจะขังฉันไว้น่ะสิ! ”
“ข้าถือว่าข้ายังไม่ได้พูด มันเป็นข้อเสนอของเจ้าเอง”
เอเรอาญ์เดาะลิ้นอย่างหงุดหงิด “ฉันจะกลับแล้วล่ะค่ะ ไม่รบกวนท่านหรอก”
“ขึ้นมาสิ”
คำพูดของเขาทำให้เธอประหลาดใจ
“ฉันรู้ค่ะว่าเทพทานาทอสให้คำปรึกษาท่านว่าอะไร แต่ท่านไม่ต้องโอนอ่อนให้ฉันขนาดนั้น”
“จะขึ้นมาหรือไม่ขึ้น! ”
นี่ถึงควรจะเป็นเสียงของเขา!
“ฉันไม่ใช่นกนะคะ”
“อย่ามาเล่นลิ้นกับข้า มองไม่เห็นประตูที่เท้าเจ้าหรือ” น้ำเสียงของเขาติดจะรำคาญหน่อย ๆ
หญิงสาวสะดุ้ง เธอก้าวถอยหลัง มองเห็นประตูกลบานหนึ่งอยู่ตรงจุดที่เธอเคยยืนอยู่ มันถูกหญ้าและมอสขึ้นคลุมจนกลืนไปกับสีเขียวรอบ ๆ
“ฉันมองไม่เห็นหรอกค่ะ”
“ตอนนี้เห็นหรือยัง”
“เห็นแล้วค่ะ”
“ก็แค่นั้น” เขาทำเหมือนกับเธอเป็นฝ่ายผิดอย่างสมบูรณ์แบบ “คงไม่ต้องให้ข้าบอกอีกว่าจะขึ้นมายังไง”
เอเรอาญ์เกือบจะขอให้เขาบอกอยู่แล้วแต่ก็เปลี่ยนใจ ถึงจะดูใจเย็นขึ้น แต่ฮาเดสไม่ใช่คนที่เธอจะต่อล้อต่อเถียงโดยไม่ห่วงสวัสดิภาพของตนเองได้ เธอทาบมือลงกับประตูกล
“ดึงออกสิ ทำแบบนั้นมันจะเปิดให้เจ้าหรือ! คิดอะไรอยู่! ”
“ค่ะ! ”
เธอตะโกนตอบ หน้าง้ำ ลองเลื่อนประตูกลไปในแบบเดียวกับประตูทางลงของห้องสมุด แล้วมันก็เปิดออกอย่างง่ายดายไม่สมกับสภาพเก่าแก่ร้างผู้ใช้ เอเรอาญ์มองเห็นบันไดหินทอดลงไปยังพื้นเบื้องล่างไม่กี่ขั้น แต่ทุกอย่างมืดสนิท
“มันมืดมากเลยค่ะ”
“ไม่มืดเท่าในห้องเดิมของเจ้าหรอก”
หญิงสาวเม้มริมฝีปาก เธอก้าวลงไป ก่อนจะพบว่ามันเป็นทางเดินแคบ ๆ ระยะทางสั้น ๆ ไม่ช้าก็มีบันไดนำขึ้นไปอีกไม่กี่ขั้น แล้วกลายเป็นบันไดเวียนสีขาวสูงลิ่วนำไปสู่ยอดหอคอย
“ฉันจะขึ้นไปแล้วนะคะ! “ เธอตะโกนขึ้นไป
“ไม่จำเป็นต้องบอกข้า! “ เขาตะโกนตอบกลับมาแทบจะในทันที
แต่แล้วเสียงของเขาก็ดังขึ้นอีก เพียงแต่เบากว่าเดิม “ก็ได้ เจ้าบอกข้าก็ได้ มันไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร”
ฟังเหมือนเขากำลังพูดกับตัวเอง นั่นทำให้เอเรอาญ์แปลกใจ แต่แล้วเมื่อนึกถึงคำพูดของทานาทอส เธอก็ถอนใจ
เธอจะลองยอมรับดูสักครั้งก็ได้ว่าเนื้อแท้เขาไม่ใช่คนแบบที่เธอยอมรับไม่ได้
ตลอดทางบันไดเวียนประดับด้วยธงที่ปักลวดลายราวกับเรื่องราวในนิทาน สลับกับช่อดอกไม้และภาพเขียน แสงแดดอ่อน ๆ จากที่ไหนสักแห่งส่องกระทบผิวเธอ และเธอก็ยิ้มอย่างพอใจเมื่อคิดว่าอาจจะมองเห็นดวงอาทิตย์ทั้งดวงจากที่ยอดของหอคอย มันน่าจะเป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยม ถึงจะมีเขายืนอยู่ด้วยก็ตามที!
“เจ้าช้ามาก”
นั่นเป็นเสียงต้อนรับเธอ และยิ่งทำให้เธอเงยหน้าด้วยความหงุดหงิดปนเหนื่อยอ่อน
“มันสูงน่ะค่ะ ฉันเองไม่เคยมาที่นี่ เลยเผลอมองอะไรรายทางมากไปหน่อย”
“มีอะไรให้น่ามองกัน”
เธออ้าปากและกำลังจะตอบว่ามันน่ามองกว่าห้องสีดำของเขาเป็นไหน ๆ แต่ก็ยั้งใจไว้ทัน เขาอาจจะหันหลังให้เธอ และกำลังมองออกไปทางหน้าต่าง แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้เลยว่าเขาจะไม่หันกลับมาแล้วบีบคอเธอด้วยความโมโหร้าย
“ขอโทษค่ะ”
“ขอโทษทำไม”
เอเรอาญ์จ้องมองแผ่นหลังใหญ่โตที่บดบังทัศนียภาพของหน้าต่างไปจนหมด “ถ้าอย่างนั้น ไม่ขอโทษก็ได้ค่ะ”
“จะเล่นลิ้นกับข้าหรือ”
“ก็ท่านไม่ให้ฉันขอโทษนี่คะ” เธอระบายลมหายใจ
“ข้าเพียงแต่ถามว่าทำไม ไม่ได้ห้ามเจ้าไม่ให้ทำ”
เอเรอาญ์เม้มริมฝีปากสนิท ตัดสินใจไม่ต่อปากต่อคำกับเขาอีกต่อไป
แต่แล้ว ทั้งที่ยังคงมองออกไปทางหน้าต่างหอคอยอย่างนั้น ฮาเดสกลับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย ไม่เย็นชาดุดันอย่างที่เป็นมาโดยตลอด มันทุ้มและนุ่มนวลขึ้นมาก ทว่าต่อให้ฟังอีกครั้งเอเรอาญ์ก็ยังรู้สึกว่ามันติดจะแข็งอยู่ในทีเหมือนน้ำเสียงที่คนเป็นนายจะใช้พูดกับผู้ใต้บังคับบัญชา หรือชายหนุ่มไร้เดียงสาซึ่งพูดกับหญิงที่หมายปองเป็นครั้งแรก
และแน่นอนว่าแนวโน้มเป็นอย่างแรกมากกว่าอย่างหลัง!
ความคิดเห็น