ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    end - ครั้งหนึ่งในวสันตกาล

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 2 ตอนที่ 2

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 648
      6
      11 ก.ย. 55




             ‘ …You hold me in your arms, and say once again you love me.

     And that your love is true, everything will be just as wonderful… ’[1]

             “ไม่เห็นน่าฟังเลย เวเรน่า... ”

             เขาทำริมฝีปากบิดเบี้ยว แต่เธอไม่ใส่ใจ

             “มันฟัง -- ” เขาพยายามอีก “ประโลมโลก”

             “ให้ความรู้สึกที่สวยงามต่างหาก!

             เธอเท้าสะเอว จ้องมองเขาอย่างขุ่นเคืองใจ คำพูดของเธอดูมั่นหมายจนเขาไม่อยากจะต่อปากต่อคำ  

              อาเธอร์เร่งเสียงเพลง ประโลมโลกให้ดังขึ้นอีก

                เตียงนอนที่นุ่มนิ่มมากเกินไปอ่อนยวบเมื่อเขาทิ้งตัวใส่ เวลาค่ำมาเยือนพร้อมกับอาการหมดสิ้นเรี่ยวแรงจากการทำงานตลอดทั้งวันและความกังวลที่ไม่สามารถจะหาคำอธิบายได้

             หลับสักตื่น -- เขาบอกตนเองอย่างนั้นมาตลอดทาง ถ้าโชคดี บางทีเขาอาจจะคิดอะไรดี ๆ ออกบ้าง

             เพล้ง!

                อาเธอร์อยู่ในช่วงครึ่งหลับครึ่งตื่น แต่ถูกเสียงแตกฉุดกลับเข้ามาสู่การตื่นเต็มตา เขามองหาต้นเสียง ก่อนจะยกมือขึ้นลูบบนใบหน้าและถอนหายใจพร้อม ๆ กัน 

                มันเป็นกรอบรูปเล็ก ๆ เก่า ๆ ที่เขาแทบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำ รูปข้างในถูกแสงแดดและการเก็บรักษาที่ไม่ได้ความของเขาทำร้ายจนกลายเป็นสีเหลืองซีเปีย เด็กชายในรูปยืนขมวดคิ้วใส่เลนส์กล้อง ขณะที่เด็กหญิงข้าง ๆ ยิงฟันยิ้ม ทั้งสองคนมีใบหน้าและทรงผมเหมือนกัน ความแตกต่างระหว่างทั้งคู่มีเพียงอารมณ์ที่แสดงออกกับเสื้อผ้าที่สวมใส่เท่านั้น

             แรงลมอาจจะพัดมันที่วางอย่างหมิ่นเหม่จนตกลงมา แต่มันยังดูเป็นปกติ อย่างน้อยก็ในฝั่งของเด็กชาย เพราะบานกระจกแตกร้าวลากรอยยาวผ่านใบหน้าของเด็กหญิงเหมือนฟ้าผ่า

                มันทำให้อาเธอร์คิดถึงน้องสาวฝาแฝดจับใจ แต่ไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเลย

               

                “ข้าพบนาง” เด็กบ่มเหล้าองุ่น พูด

                “มิน่า... ” สายตาของของเธอไม่ได้แสดงความประหลาดใจหรือตกตะลึงเลย “เจ้ากำลังพูดถึงสิ่งที่ไม่อาจเป็นจริงได้”

                “แต่มันเกิดขึ้นจริง”

                “ถ้าเช่นนั้นก็ปาฏิหาริย์”

                “เช่นนั้นก็ปาฏิหาริย์! ” ไดโอนีซุสเสียงดัง “และมันเกิดขึ้นจริง!

                “ที่ไหน -- เมื่อไหร่”

                “สถานที่อันพลุกพล่าน ใต้เงาแห่งอะโครโพลิส ใต้จมูกอธีน่า[2]เลยทีเดียว!

                อาร์เทมีสสูดหายใจ “เจ้าไม่ควรเอ่ยชื่อนางดัง ๆ ” เธอกระซิบ “เจ้ารู้ดีว่าพี่น้องของเราคนนี้ [3]จะไม่ยอมให้ใครคนใดเอ่ยถึงนางโดยไร้เหตุผล”

                “ข้าจะไม่ทำอีก”

                “แต่ -- จริงหรือ” เธอยังไม่ยอมปักใจเชื่อ “แล้วคำสาบานเล่า”

                “ข้ารู้” ไดโอนีซุสยกสองมืออย่างอ่อนล้า “เพียงแต่ข้าเชื่อมั่นอย่างที่สุดว่าเราพบนางแล้ว”

                “แล้ว -- ” อาร์เทมีสกลืนน้ำลาย “เจ้ารู้ได้ยังไง”

                “ข้ารู้สึกว่าทุกพืชพรรณในวิมานมีชีวิตชีวา มันเหมือนกับเวลาที่นางมาเยือน” เขาหยุด และเล่าต่อ “แล้วข้าก็พบนาง เป็นนางแน่ -- แค่สำเนียงพูดแปร่งไป และผิวของนางก็เผือดขาวกว่าเดิม”

                “เดี๋ยว! ” เทพีร้องเสียงหลง “นางเป็นมนุษย์!

                “ใช่”

                “ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ใช่เพอร์ซีโฟเน่”

                “ต้องเป็นนนาง” เขายืนกราน “ดวงตาของนาง -- อาร์เทมีส มันไม่มีทางจะเป็นแก้วตาของมนุษย์ไปได้! ข้ามั่นใจว่าหญิงสาวคนนั้นคือนาง!

                “แม้แต่อาร์เทมีสก็ต้องรับฟังหรือนี่” อพอลโลขัดขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวอย่างเกียจคร้าน “ข้ารู้ -- เราทั้งสามรักและห่วงหาเพอร์ซีโฟเน่อย่างบริสุทธิ์ใจเหมือนน้องสาวแท้ ๆ แต่นางจะไม่มีวันหวนคืนมา แล้วเจ้าจะทำอะไร... ขอเปิดประชุมสภาเทพโอลิมเปียนหรือ”

                อพอลโลไม่ได้หวังให้เป็นอย่างนั้น แต่ความเชื่อมั่นของไดโอนีซุสเข้มข้นเกินไป

                “ถ้าเจ้าคิดว่าอย่างนั้น... ” เขายืนเหยียดตรง ยืดแขนขวาชูสูง ที่กลางฝ่ามือมีสัญลักษณ์เทพโอลิมเปียนซึ่งเปล่งแสงเรืองรองโบกไหวเหมือนเปลวไฟกลางพายุ

                 “ข้า! ไดโอนีซุส เทพแห่งโอลิมปัสอันสูงส่งลำดับสุดท้าย น้อมคำนับพระบิดา ขอเปิดประชุมสภาแห่งเหล่าทวยเทพโอลิมเปียนด้วยความเคารพและภักดียิ่ง!

                ได้ยินเสียงท้องฟ้าคำราม การประชุมของเทพเจ้าทั้งสิบสองผู้ทรงอำนาจที่สุดกำลังจะเริ่มต้นขึ้น!

               

                เอเรอาญ์นอนลืมตาโพลง

                ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอฝันร้าย แต่ก็ไม่เคยรู้สึกว่าจะชินกับมันเสียที พอ ๆ กับที่ยังคงรู้สึกว่าแสงแดดและเสียงโบกสะบัดของผ้าม่านเป็นสิ่งแปลกที่แปลกทาง

             “เอเรล ฉันไม่อยากให้เธอไป”

             “ฉันจะไปที่ไหนล่ะ พี่คิดอะไรอยู่กันแน่”

             มันเป็นความฝัน และแววตาสิ้นหวังของอาเธอร์ก็เป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในชั่วชีวิตของฝาแฝด

             “เธอต้องไปแน่”

             “อาเธอร์! พอได้แล้ว! ฉันไม่ไปไหนหรอก!

             “เธอต้องไป ไม่ว่าใครก็ปฏิเสธเรื่องนี้ไม่ได้ -- เธอต้องไป”

                แล้วพี่ชายฝาแฝดก็ปล่อยมือเธอ หรือพูดให้ถูกต้องคือไม่มีใครสามารถรั้งมือของกันไว้ได้ เอเรอาญ์ล่องลอยอยู่ในที่ไหนสักแห่งซึ่งมืดสนิทและเปียกชื้น ไม่มีอาเธอร์ ไม่มีแสงสว่าง ไม่มีหนทางจะไป

                จากนั้นเธอเห็นใครกัน เอเรอาญ์ไม่แน่ใจ ใบหน้าของเขาซ่อนอยู่ใต้ผ้าคลุมมิดชิด เขายื่นผลทับทิมผลหนึ่งให้เธอ เธอรู้สึกไม่ไว้ใจเขาเอาเสียเลย แต่แล้วก็รับมันมา

                เขาไม่พูด ไม่แม้แต่จะส่งเสียง เอเรอาญ์ควรจะกลัวเขา แต่กลับไม่เป็นอย่างนั้น แล้วเขาก็ดึงเธอเข้าไปกอด มันอบอุ่นที่สุดเท่าที่ความฝันจะมอบให้ได้

               “เหนื่อย... เหลือเกิน”

             เขาอาจจะพูดอะไรมากกว่านั้น เพียงแต่เธอสะดุ้งตื่นขึ้นเสียก่อน

     

                ในเวลาไล่เลี่ยกัน ตัดข้ามแผ่นดินและท้องทะเลไป ในห้องนอนที่ใหญ่โตหรูหราที่สุดห้องหนึ่ง อาเธอร์ลืมตาตื่นขึ้น

                ว่ากันว่าฝาแฝดมีความเชื่อมโยงถึงกันอย่างพิเศษเสมอ และคู่แฝดอาร์เรห์นก็ดูจะไม่ได้รับการยกเว้นจากกรณีนั้น

                “เธอต้องไป ไม่ว่าใครก็ปฏิเสธเรื่องนี้ไม่ได้ -- เธอต้องไป”

                มันเป็นเสียงสุดท้ายก่อนเขาสะดุ้งตื่น แต่อาเธอร์ไม่เชื่อว่าการปล่อยมือจากเอเรอาญ์อย่างง่ายดายจะเป็นเรื่องธรรมดาสามัญสำหรับเขา ความฝันทำให้อาเธอร์รู้สึกกระอักกระอ่วน  ท้องไส้บิดเป็นเกลียวแบบเดียวกับเวลาที่เคร่งเครียด เขาสะบัดตัวออกจากเตียงนอน ท้องฟ้านอกหน้าต่างยังมืด พอเห็นแสงรำไรเป็นเสี้ยวบาง ๆ จากที่ไหนสักแห่งไกล ๆ เท่านั้น ถ้าเขาคิดจะทำอะไร ก็ควรจะเริ่มเสียตอนนี้ --

                ที่ผ่านมาเขาไม่เคยเสี่ยงโทรศัพท์ติดต่อฝาแฝดเลยแม้แต่ครั้งเดียว นอกจากการพูดคุยสั้น ๆ ทางอินเตอร์เน็ตเพื่อเป็นข้อมูลในการเล่าสู่กันฟังของแม่ และมันก็ประสบความสำเร็จอย่างดี อย่างน้อยก็ในแง่ที่ว่าแม่ไม่เคยนึกเอะใจสงสัยจนต้องโทรศัพท์ตามหาเธอ หรืออย่างมากก็คือการที่ทุกคนยังคงเชื่อว่าเอเรอาญ์อยู่ในออสเตรีย

                เขากดโทรศัพท์และรอคอย สายที่หนึ่งผ่านไปโดยไม่มีการตอบรับ

                อาเธอร์ชั่งใจ ท้องฟ้าสว่างขึ้นแล้ว แต่คงไม่เสี่ยงเกินไปนักสำหรับสายที่สอง...

                “สวัสดี อาเธอร์”

                คราวนี้เอเรอาญ์รับสายทันทีหลังจากสิ้นเสียงกริ่งแรก

             “เอเรล!” เขาแทบจะตะโกนออกมา “ตอนนี้เธออยู่ไหนน่ะ”

                “ในห้องนอน ฉันกำลังแต่งตัวอยู่” ฝาแฝดตอบ “จวนจะแปดโมงเช้าแล้ว อีกเดี๋ยวก็ได้เวลาเปิดร้าน”

                “ร้าน? ”

                “ใช่ เรามีร้านกาแฟที่ชั้นล่างของบ้าน”

                “ไม่มีอะไรใช่ไหม”

                ไม่รู้ว่าทำไมเขาจึงถามอย่างนั้น และเอเรอาญ์ก็คงจะคิดไม่ต่างกัน น้ำเสียงของเธอจึงแผ่วลง “ทำไมล่ะ หรือว่าเกิดอะไรขึ้น”

                “เปล่าหรอก” อาเธอร์ถอนใจ “ฉันแค่ไม่สบายใจนิดหน่อย”

                “นิดหน่อย? ”

                “คือ... อันที่จริง ฉันฝันร้ายน่ะ”

                คราวนี้เอเรอาญ์หัวเราะเสียงดัง “ฝันร้าย!

                “จริง ๆ นะ” เขาเล่าความฝันให้เธอฟังเร็วปรื๋อ “เธอคิดว่ายังไงล่ะ”

                เสียงของน้องสาวฝาแฝดแผ่วเบาลงอีกครั้ง “รู้ไหม พี่ฝันเหมือนฉันเลย”

                “เฮ้... ”

                มันเบายิ่งกว่าเสียงกระซิบ ความกลัวคืบคลานเข้ามาอย่างคุกคาม และมันเป็นความกลัวแบบเดียวกันกับผลทับทิมบนพื้นถนนในอุบัติเหตุวันนั้น ซึ่งอาเธอร์ไม่สามารถอธิบายได้

                “อย่าใส่ใจดีกว่า” เอเรอาญ์พูด “พี่ก็รู้ว่าเราฝันเหมือนกันออกบ่อย เราเป็นฝาแฝดกันนี่!

                “ใช่... ”

                “ถ้าพี่เจอเรื่องแปลก ๆ ที่เกี่ยวกับผลทับทิมยังจะดูน่ากลัวกว่านี้อีก”

                ความหนาวเหน็บไต่ไปตามร่างกายของเขา “อะไรนะ” อาเธอร์ถาม

                “ผลทับทิม” ปลายสายตอบ “วันก่อน ๆ มีลูกค้าคนหนึ่งมาตอนที่ร้านใกล้จะปิดเต็มที เขาสั่งลาเต้ แต่ตอนที่ฉันยกกาแฟไปให้เขา เขาก็หายไปแล้ว เหลือแต่ทับทิมผลเดียววางอยู่ เผอิญเขานั่งหลบมุมร้านด้วยสิ ฉันเลยมองไม่เห็นว่าเขาหายไปตอนไหน”

                ทับทิม...

             ภาพของเนื้อทับทิมสีแดงสุกปลั่งสะท้อนแสงอาทิตย์ในอุบัติเหตุวันนั้นกำลังเต้นเป็นจังหวะเดียวกับชีพจรของเขา

                “ละ... แล้ว” อาเธอร์เลียริมฝีปาก รู้สึกว่าลำคอแห้งเป็นผง “ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง เธอได้งานหรือยัง”

                “ยัง แต่ก็เร็ว ๆ นี้ ฉันพอคุ้นที่คุ้นทางบ้างแล้ว และอาจจะได้ทำงานเป็นมัณฑนากรในบริษัทเดียวกับเขาด้วย เขาเปิดร้านกาแฟ แต่จริง ๆ แล้วมีอาชีพเป็นสถาปนิกน่ะ เพียงแต่ไม่ค่อยมีงานมาถึงมือเท่าไหร่”

                “อย่างนั้น? ”

                “ใช่”

                “โอเค เอเรล” เขากระแอม “ฉันรู้สึกดีขึ้นแล้วล่ะ ตอนนี้ใกล้เช้าแล้วด้วย ฉันกลัวใครจะมาได้ยินเข้า แค่นี้แล้วกันนะ”

                สองฝาแฝดล่ำลากันและวางสาย หัวใจของพี่ชายเต้นรัวจนเจ็บแปลบ

    WRITER : ชอบกันหรือเปล่าเอ่ย? ถ้าชอบ โรมจักรก็ขอกำลังใจหน่อยนะคะ 
    และถ้ามีข้อที่อยากให้ปรับปรุงแก้ไข สามารถวิจารณ์ได้เลยนะคะ น้อมรับฟังทุกความคิดเห็นค่ะ 



    [1] เพลง  A lover’s concerto โดย Kelly Chen

    [2] อะโครโพลิสเป็นเนินแห่งหนึ่งในเอเธนส์ เป็นที่ตั้งของวิหารพาร์เธนอน ซึ่งเป็นวิหารสักการะอธีน่า เทพีแห่งสติปัญญา

    [3] เทพเจ้าแทบทุกองค์ล้วนแล้วแต่เป็นญาติพี่น้องกันไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง เช่น เทพไดโอนีซุส เทพีอธีน่า เทพ อพอลโล เทพีอาร์เทมีส เทพเฮอร์มีส เทพีเพอร์ซีโฟเน่ เป็นพี่น้องร่วมบิดาเดียวกัน คือเทพซุส ราชันแห่งทวยเทพ


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×