|
|
ในบทนี้จะได้กล่าวถึงการใช้ Past tenses ทั้ง 4 รูปคือ Simple Past ,Past progressive,Past perfect,และ Past perfect progressive. 1. Simple Past โครงสร้าง
ดังตัวอย่าง
การใช้
หมายเหตุ ในการเล่าเรื่องโดยปกติจะใช้ simple past tense และอาจใช้ past continuous tense เพื่อให้เห็นสถานการณ์ขณะนั้น ดังตัวอย่างการเล่าเรื่องต่อไปนี้
2. Past Progressive โครงสร้าง
ดังตัวอย่าง
การใช้
หมายเหตุ เปรียบเทียบการใช้ Simple Past และ Past Progressive
3. Past Perfect โครงสร้าง
ดังตัวอย่าง
การใช้
ตัวอย่างการใช้งาน คุณไปที่สถานีรถไฟตอน 09.15 น. . เจ้าหน้าที่ของสถานีรถไฟแจ้งคุณว่า
หมายเหตุ การใช้ Past Perfect นี้ มีการใช้ในเรื่องของประโยคคาดคะเน สมมติ หรือประโยคแสดงความปรารถนา และใน indirect speech อีก ซึ่งจะได้มืรายละเอียดในบทต่อๆไป
โครงสร้าง
ดังตัวอย่าง
การใช้
เปรียบเทียบการใช้ Past Perfect และ Past perfect Progressive
เปรียบเทียบการใช้ Past Perfect Progressive กับ Past Progressive
|
มันอาจจะไม่ตรงกันนะคะ เพราะเอามาจากคนละเว็บกัน ^O^
หลักการใช้
1. ใช้กับการกระทำที่เกิดขึ้นและสิ้นสุดลงแล้วในอดีต ซึ่งจะมีคำที่บอกเวลาในอดีตกำกับไว้อย่างชัดเจน ดังนี้ คือ
yesterday (เมื่อวานนี้) , last night (week/month/ year/..etc.)(...ที่แล้ว) , at that time (ในตอนนั้น),
formerly (เมื่อก่อน) , in the past (ในอดีต) , just now (เมื่อสักครู่นี้) , ago (ที่แล้ว), once (ครั้งหนึ่ง),
in the old days (ในสมัยก่อน) , the day before yesterday (เมื่อวานซืน) , the previous day
(วันก่อน), in those days (ในสมัยนั้น) , the other day (วันก่อน) , a few minutes ago
( 2-3 นาทีที่ผ่านมา), in 1990 , etc...
- They came to see me last Thursday.
- Two days ago I asked you to do the report.
- I didn't go to school yesterday.
- Did you learn French last year?
2. ใช้กับการกระทำอันเป็นนิสัยหรือเคยปฏิบัติมาในอดีต แต่ปัจจุบันไม่เกิดขึ้นแล้ว เช่น
- John lived in Manchester when he was young.
(He doesn't live there now and he is no longer young. A completed action and
a completed state)
- In the old days we could travel all over Bangkok by boat.
- Did your father smoke when he was young?
- No, he didn't.
3. ใช้กับคำว่า used to ซึ่งแสดงถึงการกระทำอันเป็นนิสัย หรือเคยปฏิบัติมาแล้วในอดีต และในปัจจุบัน
การกระทำอันนั้นมิได้เกิดขึ้นอีก
used to + V1 (= เคยมาแล้วในอดีต) เช่น
- Mr. Smith used to teach in Japan. (But now he teaches in Thailand.)
- In the past people used to travel on foot much more often.
- You used to live in that house , didn't you?
หมายเหตุ--- ประโยคที่มีคำว่า always, sometimes , often , usually , every day , etc...อาจจะเป็น
present หรือ past ก็ได้ ถ้าเป็น pasy จะต้องมีคำที่บอกเวลาในอดีตกำกับไว้ด้วย เช่น
- We usually learned English six hours a weeks when we were in M.3.
- She went to school every day last week.
4. ใช้กับการกระทำในอดีต แสดงลำดับของความต่อเนื่องของเหตุการณ์ เช่น
- I opened my bag , took out some money and gave it to my brother.
หรือใช้กับการกระทำที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กัน เช่น
- He took a bath and listened to the 6 o'clock news.
5. ใช้กับ clause หลังสำนวน I would rather...... (ฉันอยากจะ...) , It's time ...... (ถึงเวลาแล้ว),
It's about time ........(ถึงเวลาแล้ว) เช่น
- I would rather you did your homework.
- It's time the children went to bed.
* * * * * *
THE SIMPLE TENSE
1.2PAST SIMPLE TENSE
โครงสร้าง: ประโยคบอกเล่า
Subject + V2+ ( Object ) ในกรณีที่เป็น active voic
Subject + was/were+ V3+ ( Object ) ในกรณีที่เป็น passive voice
โครงสร้าง: ประโยคปฏิเสธ
Subject + Verb did + not + V1+ ( Object )
โครงสร้าง: ประโยคคำถาม
Did + Subject + V1 ?
สิ่งที่ควรทราบ
- เมื่อใช้ did เข้ามาช่วยในประโยคคำถามเเละปฏิเสธต้องใช้ Verb1 เสมอ
- ตัวบอกเวลาที่สำคัญ เช่น last week, last
, yesterday,
ago
- ถ้า Verb ตัวไหนไม่สามารถผันเป็น Verb 2 ได้ ให้เติม d,ed
- Verb บางตัวผันได้ 3 ช่อง เช่น cut, put เป็นต้น
วิธีใช้
1. ใช้กับเหตุการณ์ในอดีตที่จบสิ้นไปเเล้ว
2. ระบุเวลาที่เกิดขึ้นชัดเจนเเน่นอน
Example: We met some terrific people on our trip last summer.
Tense ที่ใช้กับเหตุการณ์ในอดีต
ดังที่บอกไปในหน้าที่แล้วว่า Tense สำคัญที่ใช้กับเหตุการณ์ในอดีตมีสอง Tense ที่สำคัญ คือ 1) Present Perfect Tense 2) Past Simple Tense
* * * * *
การใช้แบบที่ 1
ใช้กับการกระทำที่ทำสมบูรณ์ในอดีต โดยการกระทำนั้นเริ่มในอดีต และจบไนอดีต บางครั้งผู้พูดอาจไม่ได้บอกออกมาว่าเหตุการณ์นั้นทำไปเมื่อไหร่ แต่จริงๆแล้วเขาทราบเวลาที่แน่นอนที่การกระทำนั้นเกิดขึ้น
เช่น
- I saw a movie yesterday.
ฉันดูภาพยนตร์เมื่อวานนี้ - I didn't see a movie yesterday.
ฉันไม่ได้ดูภาพยนตร์เมื่อวานนี้ - Last year, I traveled to Japan.
ปีที่แล้วฉันเดินทางไปญี่ปุ่น - Last year, I didn't travel to Japan.
ปีที่แล้วฉันไม่ได้เดินทางไปญี่ปุ่น - She washed her car.
หล่อนล้างรถของตัวเอง - She didn't wash her car.
หล่อนไม่ได้ล้างรถของตัวเอง
การใช้แบบที่ 2
ใช้กับการกระทำหลายอย่างที่สมบูรณ์ไปหมดแล้ว โดยเราจะใช้ Past simple เพื่อบอกการกระทำต่างๆ ทำทำเสร็จแล้ว การกระทำเหล่านี้เกิดขึ้นตามๆ กันมาเป็นลำดับ
เช่น
- I finished work, walked to the beach, and found a nice place to swim.
ฉันทำงานเสร็จ เดินไปชาดหาด แล้วก็พบสถานที่ที่ดีสำหรับการว่ายน้ำ - He arrived at the airport at 8:00, checked into the hotel at 9:00, and met the others at 10:00.
เขามาถึงสนามบินตอน 8 โมง เช็คอินเข้าโรงแรมตอน 9 โมง และก็เจอกับคนอื่นๆตอน 10 โมง
การใช้แบบที่ 3
ใช้กับช่วงเวลาหนึ่งที่เกิดขึ้นในอดีต และจบลงในอดีต ช่วงเวลานั้นๆเป็นช่วงเวลาของการกระทำที่กินเวลานาน มักมีคำว่า for เพื่อบอกระยะเวลาว่าเหตุการณ์กินเวลานานเพียงใด เช่น for two year (เป็นเวลาสองปี), for five miniutes (เป็นเวลาห้านาที), all day (ตลอดทั้งวัน), all year (ตลอดทั้งปี)
เช่น
- I lived in Brazil for two years.
ฉันอยู่ในบราซิลเป็นเวลาสองปี (เวลาไม่ได้อยู่ที่บราซิลแล้ว) - Shauna studied Japanese for five years.
โชนาเรียนภาษาญี่ปุ่นเป็นเวลาห้าปี (ตอนนี้ไม่ได้เรียนแล้ว) - They sat at the beach all day.
พวกเขานักอยู่ที่ชายหาดตลอดทั้งวัน (ตอนนี้ไม่ได้นั่งที่นั่นแล้ว) - We talked on the phone for thirty minutes.
พวกเราคุยโทรศัพท์กันเป็นเวลาสามสิบนาที่ (ตอนนี้วางหูไปแล้ว) - How long did you wait for them?
We waited for one hour.
คุณรอเขาอยู่นานแค่ไหน?
พวกเรารอเขาเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง (ตอนนี้ไม่ได้รอแล้ว)
การใช้แบบที่ 4
ใช้กับนิสัยที่ทำเป็นประจำในอดีต ซึ่งตอนนี้ไม่ได้ทำอย่างนั้นอีกแล้ว บางครั้งอาจมีความหมายเหมือนกับการใช้คำว่า used to (เคย) ดังนั้นถ้าเราต้องการเน้นว่าสิ่งที่พูดเป็นนิสัยที่ทำอยู่เป็นประจำในอดีต เราจะใช้คำต่อไปนี้ในประโยคที่ใช้ Past Simple ด้วย เช่น always (เป็นประจำ), often (บ่อยๆ), usually (โดยปกติ), never (ไม่เคย), when I was a child (ตอนที่ฉันเป็นเด็ก), when I was younger (ตอนที่ฉันอายุน้อยกว่านี้)
เช่น
- I studied French when I was a child.
ฉันเคยเรียนภาษาฝรั่งเศสตอนที่ฉันเป็นเด็ก - He played the violin.
เขาเล่นเปียโน (ตอนนี้เลิกเล่นไปแล้ว) - She worked at the movie theater after school.
หล่อนทำงานที่โรงหนังหลังเลิกเรียน (ตอนนี้ไม่ได้ทำอย่างนั้นแล้ว) - They never went to school, they always skipped.
พวกเขาไม่เคยไปโรงเรียน พวกเขาโดดเรียนอยู่เป็นประจำ
ระวัง ถ้าเรานำอนุประโยค When ... มาขึ้นต้นประโยค เราต้องใช้เครื่องหมายคอมม่าก่อนขึ้นประโยคหลัก
อนุประโยค คือ ส่วนขยายประโยคที่มีประธานและกริยา แต่ยังเป็นประโยคที่ไม่สมบูรณ์ อนุประโยคบางประโยคจะขึ้นต้นด้วยคำว่า when เช่น When I dropped my pen ... (เมื่อฉันทำปากกาตก) หรือ When class began ... (เมื่อการเรียนเริ่มต้น) อนุประโยคแบบนี้เราเรียกว่า อนุประโยค when (when clauses)
เช่น
- When I paid her one dollar, she answered my question.
เมื่อฉันจ่ายเงินให้หล่อนหนึ่งดอลล่าร์ หล่อนตอบคำถามของฉัน - She answered my question, when I paid her one dollar.
หล่อนตอบคำถามของฉัน เมื่อฉันจ่ายเงินให้หล่อนหนึ่งดอลล่าร์
ที่ครูสอนการใช้อนุประโยค When ก็เพราะว่า อนุประโยค When มักวางอยู่หน้าประโยคเมื่อทั้งอนุประโยคและประโยคหลักอยู่ใน Past Simple ประโยคตัวอย่างข้างบนทั้งสองประโยคมีความหมายเหมือนกัน คือ ฉันจ่ายเงินก่อน แล้วหล่อนค่อยตอบคำถามของฉัน แต่สำหรับประโยคตัวอย่างต่อไปนี้จะมีความหมายที่ต่างออก กล่าวคือ หล่อนตอบฉันก่อน จากนั้นฉันค่อยให้เงิน (ให้สังเกตวิธีการใช้ when ในประโยค)
เช่น
- I paid her a dollar, when she answered my question.
ฉันจ่ายเงินให้หล่อนหนึ่งดอลล่าร์ เมื่อหล่อนตอบคำถามของฉัน
ไงค่ะทุกคนเข้าใจกันรึป่าวเอ่ย?? >w<
เอาไปเเค่นี้ก่อนละกันนะคะ เเหะๆ
มีรูปมาฝากด้วยเเหละ สวยป่าว???
ความคิดเห็น