ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ♡ CINDERELLA STORY [LuhanxBaekhyun]

    ลำดับตอนที่ #16 : CHAPTER 12 100%

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.15K
      4
      29 ก.ค. 56

    CHAPTER 12





     

    Alívio Imediato | via Tumblrchanyeol; | via Tumblr

     

         " ผมคิดถึงเซฮุนจัง... "

     




    “ปล่อยฉัน ไม่ต้องมายุ่งเลยนะ แล้วไม่ต้องมาเดินตามฉันต้อยๆอีกแล้วด้วย”

                “ฉันรำคาญนายทุกวันเลย รู้ตัวบ้างไหม!!!

     

                น้ำเสียง สีหน้า แววตา การกระทำทุกอย่างของรุ่นพี่โอเซฮุนทำให้นักฟุตบอลตัวสูงนอนก่ายหน้าผากอยู่บนเตียงนอนสีน้ำเงินเข้มอยู่อย่างนั้น

     

                ทั้งๆที่เวลาล่วงเลยมาจนตีสองแล้ว ทั้งๆที่พวกเขาไม่เป็นแบบเดิม ไม่คุยกันอีกเลยมาเป็นอาทิตย์แล้ว

                ชานยอลรู้สึกเหงา เหงามากจนอยากโทรไปหา ดวงตาคมนั่งมองจอภาพมือถือของตัวเองแล้วปิดเปลือกตาลง เขาคิดถึงใบหน้าของคนที่ตั้งใจตามจีบมาเป็นเดือน

     

                รูปของพี่เซฮุนตอนยิ้มยังคงเป็นรูปหน้าจอของชานยอลเหมือนเคย รูปที่เขาแอบถ่ายเอาไว้หลังจากที่พาไปกินข้าวมันไก่แล้วสั่งแบบใส่หนังเยอะๆ แถมยังยกน้ำซุปทั้งหมดให้จนเซฮุนเผลอแอบอมยิ้ม

               

                ที่จริงแล้ว เซฮุนเป็นคนมีความสุขง่ายๆกับเรื่องราวในชีวิตเล็กๆน้อยๆมาก เพียงแต่มีไม่กี่คนที่เห็นมัน ชานยอลมั่นใจว่าคนที่ได้สัมผัสสิ่งเหล่านั้นของเซฮุน ต่างก็ต้องหลงรักในตัวรุ่นพี่เชียร์หลีดเดอร์เช่นกัน

                ชานยอลไม่เคยคิดอยากจะสูญเสียช่วงเวลาที่เขาได้เห็นรอยยิ้มนั้นของเซฮุนเลย

     

                ในค่ำคืนที่ไร้แสงดาว สิ่งที่ยังยุ่งเหยิงในหัวใจของนักบอลตัวโตครั้งนี้ คือกลัวพี่เซฮุนเขาจะรำคาญ กลัวพี่เขาจะยิ่งไม่รัก

     

                ชานยอลไม่กล้าแม้แต่จะไปบอกว่า ในวันเดียวกันกับที่เซฮุนตวาดนั้น ชานยอลนั่งกินคุกกี้ช็อคโกแลตจนหมด เขาตั้งใจดูคุกกี้ทุกชิ้น ก่อนจะกัดลงไปแล้วกลืนมันหมดแล้ว รสชาติที่สัมผัสได้มีเพียงกลิ่นเฝื่อนๆออกจะเค็มไปด้วยซ้ำ

                แต่เขาก็ดีใจ ดีใจที่สุดที่ได้รับคุกกี้ของพี่เซฮุน

     

     

                คนตัวสูงยังคงใช้ความคิดอยู่เนิ่นนาน ชานยอลตัดสินใจลองนับแกะเพื่อให้คืนนี้ได้หลับตาลงซักที

                เซฮุนครับ ... มันมีอะไรที่ผมกับพี่ทำหล่นหายไปหรือเปล่า

     

     



     

     

                เสียงหัวเราะฮาเฮดังออกมาจากเพื่อนรักทั้งสาม การได้อยู่ด้วยกัน ได้คุยกันมันทำให้พวกเขารู้สึกดี

                แม้ทุกคนต่างมีสิ่งที่ยังคั่งค้างอยู่ในใจ แต่คำว่า ”มิตรภาพ” ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่เป็นกำลังใจ และทำให้เรายังยิ้มได้และลืมเรื่องราวความรักที่ทำร้ายจิตใจได้ เซฮุนแกล้งจักจี้แบคฮยอนแบบเดิม ส่วนคยองซูก็เล่ามุขตลกจากซีรีย์ที่ตนเองได้ดูให้ฟังเหมือนเดิม

     

                พวกเขามานั่งกันอยู่ที่โรงอาหาร ตอนนี้คยองซูเดินไปซื้อน้ำอัดลม เหลือแบคฮยอนนั่งคุยเล่นกับเซฮุนอยู่

     

                แบคฮยอนเหมือนมีอะไรอยู่ในใจ ส่วนเซฮุนก็เหมือนมีอะไรในใจเช่นกัน เพียงแต่พวกเขาเลือกที่จะพูดคุยกันเรื่องสนุกสนานเพื่อให้เพื่อนรักสบายใจมากกว่า

     

                “นี่เซฮุน วันก่อนเราขำ มหาจงแด คนที่เรียนเอกภาพยนตร์มากเลยนะ เขาบอกฉันว่าจะทำลองทำรายการ คนอวดหมี ดู แล้วคือไปตามบ้านของคนดังๆในมหาลัย เพื่อไปดูว่ามีตุ๊กตาหมีอยู่กี่ตัว มีชื่ออะไรบ้าง ฉันละไม่เข้าใจเขาจริงๆ”

                “ฮ่าๆๆๆ คิม จงแดจะทำรายการนี้จิงดิ มาตีตลาดกับคนอวดผีปะเนี่ย ถ้าไปบ้านคยองซู อาจจะมีพลังงานอยู่หลายตัวก็ได้นะ”

                “คิก จริงด้วยนะ รายนั้นน่ะ ชอบซ่อนตุ๊กตาหมีไว้หลายตัว แถมมีแต่หมีสีน้ำตาลไม่ก็ดำ งั้นแบคฮยอนขอเชิญคุณคิมจงแด จิตสัมผัสเลยคร้าบ”

                แบคฮยอนทำท่าไหว้ล้อเลียนแถมยังอมปากพองเมื่อเห็นว่าเซฮุนขำออกมาเสียงดัง พวกเขาคุยกันเพลินจนไม่เห็นว่า ตอนนี้มีผู้ชายตัวโตคนหนึ่งมานั่งข้างๆเซฮุนอย่างไม่ทันตั้งตัวแล้ว        

     

                “อ้าว ชานยอล!!  มาได้ไงเนี่ย ไม่เจอหน้ากันนานเลยนะ”

                แบคฮยอนตกใจเล็กน้อย แต่ยังส่งรอยยิ้มสว่างและคำทักทายแสนดีไปให้ ส่วนรุ่นน้องหูกางก็เพียงอมยิ้มให้รุ่นพี่แล้วหันไปมองคนตัวขาวที่นั่งข้างๆ

                สิ่งที่แบคฮยอนเห็นตอนนี้ คือชานยอลที่รอยยิ้มดูเศร้าลง ส่วนเซฮุนก็ตัวแข็งทื่อ หุบรอยยิ้มไปซะแล้ว

     

                “วันนี้แข่งกีฬามหาลัยวันแรกแล้ว อย่าลืมมาเชียร์ผมนะ”

     

                ชานยอลใช้น้ำเสียงอ่อน หันหน้าไปมองเซฮุนด้วยสีหน้าจริงจัง หากแต่กลับไม่มีเสียงอะไรเลยตอบกลับมา

                แบคฮยอนมองภาพของสองคน ซ้ายทีขวาทีด้วยสีหน้างงงวย

     

                โต๊ะอาหารเงียบเป็นเวลานาน ซักห้านาทีได้ แต่แล้วอยู่ดีดีเซฮุนที่ก้มหน้าจนคางชิดอกก็เงยหน้าฝืนยิ้มกับเพื่อนรักตัวเล็ก

     

                “แบคฮยอน เดี๋ยวไงฉันไปก่อนนะ จะต้องไปเช็คความเรียบร้อยน้องหลีดอีกรอบ ปีนี้มีเด็กหน้าตาดีเยอะเลย คนน่ารักอ่ะเนอะ ทำอะไรคนก็ต้องชอบหมด”

                “เซฮุน....”

     

                ว่าแล้วก็ลุกออกจากโต๊ะไปเลย ทิ้งให้ทั้งชานยอลและแบคฮยอนมองตามแล้วนั่งจมอยู่กับความคิดตัวเองอยู่อย่างนั้น

     

     

     

                เซฮุนอย่ารำคาญผม อย่าทำกับผมแบบนี้ได้ไหม

                ผมคิดถึงเซฮุนจัง...

     

     


     

     

                ร่างโปร่งของรุ่นพี่เชียร์หลีดเดอร์เดินผ่านโรงอาหารไปด้วยสีหน้าที่ดูเศร้า เซฮุนเงยหน้าขึ้นกัดริมฝีปากเพื่อระงับอารมณ์ตัวเอง

     

                ไม่อยากเจอหน้าเลย เจอแล้วก็รู้สึกเจ็บ รู้สึกน้อยใจ ทุกอย่างตีกันไปหมด

                ยิ่งมาพูดด้วยน้ำเสียงแสนดีแบบนั้น เซฮุนก็ยิ่งใจโหวงจนอยากจะร้องไห้ออกมา

     

                รุ่นพี่ตัวขาวตัดสินใจจะไปซื้อชาเขียวมาดื่ม อย่างน้อยจะได้รู้สึกดีขึ้นบ้าง พอเดินไปที่ร้านน้ำก็พบกับกลุ่มแฟนคลับชานยอลยืนรอต่อแถวอยู่ พวกเธอหันมาเห็นหน้าจึงโค้งให้แล้วมองเซฮุนด้วยสีหน้าเป็นห่วงปนตกใจ

     

                “คุณหัวหน้าเป็นอะไรรึเปล่า?

                “เป็นอะไร ฉันก็ปกติดีนี่”

     

                ปกติบ้าอะไรวะ ตาแดง จมูกแดง เสียงสูดน้ำมูกเหมือนจะร้องไห้ขนาดนั้น

                เรื่องง่ายๆเล็กน้อยแค่นี้ ทำไมกลุ่มแฟนคลับจะดูไม่ออก

     

                “เฮ้ คุณหัวหน้าทะเลาะกับชานยอลหรอ? ไอ้บ้านั่นมันทำอะไรคุณหัวหน้าอ่ะ?

                “เปล่าหรอก ไม่มีอะไร แล้วนี่พวกเธอไม่มีเรียนหรือไงกันนะ แล้วกระโปรงอย่าใส่สั้นให้มากนักซิ เฮ้อเด็กสมัยนี้นี่ยังไงกันนะ ทำผมสีสันฉูดฉาด ถึงจะดูเปรี้ยวก็เถอะนะ แต่งหน้าจัดนู่นนี่อีก...”

                “แถวยาวดีจริงๆสินะ ฉันเดินไปซื้อน้ำที่เซเว่นข้างๆมหาวิทยาลัยดีกว่า”

     

                เซฮุนแกล้งขมวดคิ้วแล้วบ่นไปตามประสาราวกับคนแก่ แท้จริงแล้วอาจจะแค่ว่าไม่ต้องการให้ใครมาเห็นมุมอ่อนแอนี่ซักนิด

     

                “คุณหัวหน้า......”

               

                พวกแฟนคลับมองตามไปด้วยสีหน้าเป็นกังวลและหนักใจ ผู้หญิงผมบลอนด์คนหนึ่งในกลุ่มมองไปยังอีกด้านหนึ่งที่เห็นว่าชานยอลนั่งอยู่ไกลๆ จึงเอ่ยขึ้นมา เธอดีดนิ้ว ยกยิ้มมุมปากเจ้าเล่ห์ แววตาสื่อความหมายว่ามีแผนการอยู่ในใจแล้ว

     

                “นี่สาวๆ ฉันรู้แล้วละว่าต้องทำไง ฉันเชื่อว่าคุณหัวหน้ามีปัญหาชานยอลชัวร์ ชานยอลนะโง่เง่า ไอ้บ้านั่นสมองทึบจริง ฉันละอยากจะให้เจอผู้ชายของหัวหน้าบ้างจัง ชานยอลจะล้มได้ไหมนะ คิคิ คิดแล้วก็น่าหนุกจัง”

     

                ว่าแล้วทั้งกลุ่มก็พยักหน้าเห็นด้วย พวกเธอยิ้มแย้มแจ่มใส ก่อนจะกดต่อสายไปยังคนที่อยู่ในใจทันที

     


     

     

                เสียงเชียร์เฮฮาดังขึ้นที่สนามฟุตบอลของมหาวิทยาลัย กองเชียร์นั่งที่แสตนด์ร้องเพลงและแปรอักษรกันอย่างแข็งขัน คยองซูคอยช่วยแจกพัดแจกยาดมให้น้องๆ ส่วนแบคฮยอนก็คอยจัดการดูแลน้ำกับข้าวกล่องอย่างดี เซฮุนที่อยู่ด้านล่างแสตนด์มองภาพน้องๆในชมรมเชียร์หลีดเดอร์แล้วน้ำตารื้น วันนี้แล้วสินะที่ทุกคนจะได้หล่อและสวยเจิดจริส อย่าลืมร้องนำเชียร์ให้ดังที่สุดเลยนะ

                รุ่นพี่หัวหน้าชมรมอย่างโอ เซฮุนเลยวัยช่วงนั้นมาแล้ว ร่างโปร่งจึงอยู่ในชุดนักศึกษาผูกไทด์เป็นระเบียบเรียบร้อยเท่านั้น แต่การเซตผมขึ้น ทาอายไลน์เนอร์เพียงเล็กน้อย ก็ทำให้เซฮุนโดดเด่นอย่างประหลาดเช่นเดียวกัน

     

                “กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด ชานยอลลลลลล”

     

                เสียงกรี๊ดของสาวน้อยใหญ่ดังขึ้น เมื่อนักเตะลงมาในสนาม คนตัวสูงหูกางในวันนี้อยู่ในชุดเสื้อนักบอลตัวโคร่งสีแดง พร้อมกับรองเท้าสตัชท์สีน้ำเงิน มันเป็นรองเท้าที่ชานยอลเคยชวนเซฮุนไปเลือกซื้อด้วยกัน เสียงกรี๊ดดังชึ้นมากกว่าเดิมเมื่อชานยอลวิ่งลงมาในสนามพร้อมกับหันไปมองด้านแสตนด์เชียร์

     

                ในระยะหลายร้อยเมตรที่ห่างกัน มีชานยอลที่หันมามอง มีเซฮุนที่ยืนหน้านิ่ง และมีรุ่นน้องชอนจีที่วันนี้ใส่ชุดหลีดและแต่งหน้ายิ้มกว้าง ดูน่ารักอยู่ สิ่งที่ทุกคนมองเห็นจึงมีเพียงรอยยิ้มพิฆาตสาวจากชานยอลส่งมาทางนี้เพียงเท่านั้น

               

                เหมือนมีช่วงวินาทีที่เซฮุนสบตากับรุ่นน้องอารมณ์ดี สิ่งที่เขานึกอยู่ในใจเต็มไปด้วยความสับสน

     

                มองใคร นายมองใครกันหรอชานยอล

                นายมองฉัน หรือนายมองน้องชอนจีกันแน่

                ช่วยบอกฉันทีได้ไหม...

               

                ปรี๊ดดดด

                เสียงเป่านกหวีดในสนามเริ่มต้นขึ้นแล้ว ชานยอลผละออกจากการมองไปยังแสตนด์มาโฟกัสยังลูกบอลกลมๆแทน เวลาล่วงดำเนินไป การแข่งขันในวันนี้เป็นการแข่งขันระหว่างคณะนิเทศศาตร์กับคณะวิศวะ ผลัดกันรุก ผลักกันรับ ชานยอลอยู่ในส่วนกองกลาง คอยช่วยรุ่นพี่คุมเกมอย่างต่อเนื่อง บางครั้งก็ชำเลืองไปทางเชียร์หลีดเดอร์บ่อย

     

                “เซฮุน ไม่เจอนานเลยนะ”

                เสียงเรียกจากทางด้านหลังทำให้เซฮุนต้องหันไปมอง

     

                “อ้าว พี่จุนกิ มาได้ไงครับ?

                “ฮ่าๆ พี่อยากมาดูเด็กรุ่นน้องบ้าง เซฮุนว่างเปล่า? เราลองไปนั่งดูน้องๆจากบนแสตนด์กันบ้างไหม?

     

                รุ่นพี่จุนกิ รุ่นพี่เชียร์หลีดเดอร์ที่อยู่ปีสี่เดินเข้ามาทักทายเซฮุน สมัยก่อนเขาเคยตามจีบเซฮุนอยู่เหมือนกัน แต่เหมือนเซฮุนไม่ได้เล่นด้วยเท่าไหร่

                ทั้งๆที่แสดงท่าทีไม่ได้รังเกียจ หากแต่เวลาผ่านไปก็ยังปฏิบัติต่อรุ่นพี่หน้าหล่อตาตี่เหมือนเดิม สุดท้ายพี่จุนกิก็ต้องยกธงขาวยอมแพ้ ทั้งสองคนจึงเป็นรุ่นพี่และรุ่นน้องที่ดีต่อกันเท่านั้น

     

                “เอาสิครับพี่ ผมอยากเห็นเหมือนกันว่าน้องจะตั้งการ์ดแน่นและพร้อมกันรึเปล่า..”

                พี่จุนกิยิ้มละมุนให้แล้วเดินจับข้อมือเซฮุนออกไป ทั้งสองเดินไปทางด้านหลังแสตนด์เพื่อจะขึ้นไปยังพื้นที่ด้านบน คนนั่งอยู่ส่วนด้านบนเยอะทำให้นักเตะในสนามไม่อาจรู้ได้เลยว่าใครเป็นใคร

     

                เหมือนเพียงชั่วแวบเดียวใกล้ช่วงเวลาพักครึ่งที่ชานยอลเลือกจะหันไปมองด้านแสตนด์เชียร์อีกครั้ง

     

                แต่กำลังใจของเขาดันหายไปจากตรงนั้นเสียแล้ว

     

                  กองเชียร์ในสนามไม่รู้หรอกว่าชานยอลจะเตะบอลได้ดีหรือเปล่า

                รู้แต่ก่อนหมดเวลาไม่กี่นาที เขากลับโดนโค้ชสั่งให้ออกจากสนามตั้งแต่ที่ชานยอลเผลอเลี้ยงลูกจะไปเตะเข้าประตูตัวเอง

     

                “อนาคตกัปตันทีมจอมเปิ่น” คือฉายาที่ชานยอลได้รับในอนาคตต่อมา

     

     

     


     




     

     

    (2) indie | Tumblr♔ 感情

    " เทอมแห่งการฝึกงาน "



     

                เทอมสอง คือเทอมแห่งการฝึกงาน โชคดีหน่อยที่อาจารย์ไม่ได้บังคับว่า นักศึกษาจะต้องไปฝึกงานที่ตรงต่อสายอาชีพ เช่น บริษัทโฆษณา โรงภาพยนตร์ โรงพิมพ์หรืออะไรที่จำกัดเฉพาะคณะนิเทศศาสตร์เท่านั้น

                อาจารย์บอกว่า ไม่ว่าเราจะฝึกงานด้านไหน หรือสัมผัสโลกการทำงานของจริงในด้านไหน ทุกอย่างล้วนนำมาประยุต์ใช้ในสาขานิเทศศาสตร์ได้หมดทั้งนั้น

                เซฮุนเลือกไปฝึกงานที่สายการบินตามบริษัทของคุณพ่อ คยองซูฝึกงานที่ร้านกาแฟ ส่วนอี้ชิงนั้น เขาใฝ่ฝันอยากชิงทุนไปเรียนต่อด้านภาพยนตร์มาซักพักแล้ว ทำให้คนหน้าสวยแฟนของลู่หานเลือกจะไปฝึกงานที่บริษัทภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่แทน

     

                อย่างไรก็ตาม,แม้ใจจริงของแบคฮยอนอยากไปฝึกงานที่อื่นเต็มที เขาอยากลองไปที่บิรษัทช่างภาพดูบ้าง

                แต่ตัวเขาเองก็หนีไม่พ้น... บริษัทพี่ชายตนเอง 

     

                วันนี้คือวันประชุมใหญ่ของบอร์ดผู้บริหาร รวมไปถึงวันที่มีการเซ็นสัญญาระหว่างบริษัทเครืองเสี่ยวของลู่หาน และบริษัทเครืออู๋ของอี้ฟานอย่างเป็นทางการ

                ในตอนนี้พวกเขาเลือกที่จะเปิดเผยต่อสาธาณชนแล้วว่าพวกเขาคือหุ้นส่วนกัน ไม่ใช่คู่แข่งทางการค้าอีกต่อไป นั่นเป็นเพราะลู่หานคิดคำนวณแล้วว่า ตอนนี้มีบริษัทเล็กๆที่เกิดขึ้นมาเยอะ การรวมตัวกันจะสร้างความเป็นปึกแผ่นและมั่นคงได้มากกว่า

                ลู่หานมองว่า กลยุทธทางการตลาดที่พวกเขาคิดขึ้นมาไม่ควรหยุดนิ่งอยู่กับที่ เราสมควรพัฒนาและคอยดูการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไปเรื่อยๆ

     

                เวลาเปลี่ยน บริษัทก็สมควรเปลี่ยนไปตามเวลา

                มันคงเป็นการรักษาสถานะของบริษัทที่มั่นคงที่สุดและเพื่อให้บริษัทได้รับความสูญเสียที่น้อยที่สุด

                เท่านั้นเอง..

     

     

                แบคฮยอนในชุดเสื้อเชิ้ตสีชมพูอ่อน พร้อมกับห้อยป้ายนักศึกษาฝึกงาน คอยยืนช่วยนางแบบที่บริษัทจะนำเสนอในรูปแบบของแฟชั่นโชว์

                ผ้าชีฟองถูกนำมาเรียงตัวหันเป็นรูปดอกกุหลาบสีสวย มีดอกกุหลาบหลายร้อยดอกที่เย็บติดอยู่กับชุดเดรสสีอ่อนแนวพาสเทล แบคฮยอนชอบมันมาก เขาช่วยผูกโบว์สีขาวตรงข้อมือนางแบบตัวผอมอย่างอารมณ์ดี

     

                ระหว่างการจัดการที่ดูวุ่นวาย คิ้วบางขมวดเมื่อเลือกชุดตุ้มหูให้กับนางแบบไม่ได้อยู่อย่างนั้น

                ในห้องแต่งตัวไม่มีใครเลย มีแค่คนตัวเล็กที่ยังค้นหาสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อนางแบบในวันนี้
     

    ในช่วงที่ชั่งใจว่าจะเอาตุ้มหูสีขาวมุก หรือตุ้มหูลายทางแบบยาวดี แบคฮยอนก็สัมผัสได้ว่า มีใครคนนึงเดินมากอดแล้วเอาหน้าซุกลงกับไหล่

     

                “ทำไมวันนี้เจ้าหญิงน่ารักจัง”

                เสียงทุ้มอ่อนโยนที่คุ้นเคยดังออกมาจากหลัง

     

                “เจ้าชาย”

                แบคฮยอนหันไปมองพี่อี้ฟานแล้วยิ้มออกมา วันนี้เจ้าชายดูดีจัง สมควรได้รับฉายาเจ้าชายจริงๆเลย

                คงเพราะพี่อี้ฟานไม่ค่อยได้ใส่ชุดสูทสีดำเท่าไหร่ทำให้การใส่ชุดเป็นทางการในครั้งนี้ละลายหัวใจสาวในออฟฟิศจนพังแล้วหลายคน ไหล่กว้างคล้ายนายแบบลงตัวกับสูทที่ตัดมาอย่างดี เสื้อเชิ้ตสีขาวก็ผูกเน็กไทเอาไว้อย่างเรียบร้อย มีดอกกุหลาบสีแดงสวยที่ทำจากกระดาษเป็นเข็มกลัดติดอยู่ที่หน้าอก ผมที่ตั้งเซ็ตขึ้น ใบหน้าที่หล่อเหลาราวกับเทพบุตรมองมายังแบคฮยอนด้วยแววตาเอ็นดู

     

                “วันนี้เจ้าชายก็หล่อที่สุดไปเลยครับ”

     

    เขี้ยวเล็กปรากฏขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มจนตาปิด แบคฮยอนยกนิ้วโป้งเพื่อบอกว่าเจ้าชายน่ะ เจ๋งสุดๆ 
     

                “แน่นอน เป็นแฟนแบคฮยอนก็ต้องหล่อสิ ไม่หล่อเดี๋ยวแบคฮยอนไม่รักแล้วพี่แย่เลย”

                “ฮ่าๆ ไม่อยากยืนใกล้เจ้าชายเลย ดูผมสิ ไม่คู่ควรกันเลยนะ

     

                แก้มใสบนใบหน้าเล็กพองออกมาจนอู๋อี้ฟานหัวเราะออกมาเสียงดังก้องเช่นกัน คนตัวสูงดีดไปยังหน้าผากแล้วยีผมคนตัวเล็กไปหมด

     

                “คิดมากน่ะ เจ้าชายออกจะรักเจ้าหญิงจะตาย"
     

    อี้ฟานเห็นแบคฮยอนอมยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วพยายามเปลี่ยนประเด็น 


     

    "ว่าแต่ เจ้าหญิงทำอะไรอยู่หรอครับ?

                “เลือกตุ้มหูให้นางแบบอยู่ครับ เลือกไม่ได้ซักที”

     

                “เจ้าชายช่วยเลือกไหม?”

                คนตัวเล็กพยักหน้าหงึกหงักในทันที แบคฮยอนถูกจูงมือมานั่งลงเก้าอี้ เจ้าชายยิ้มอ่อนให้ ก่อนจะหยิบตุ้มหูทั้งสองขึ้นมาวางลงบนฝ่ามือเล็กทั้งสองข้าง

     

                “เอาที่แบคฮยอนคิดว่าชอบมากที่สุดสิ แบคฮยอนต้องเลือกอันที่แบคฮยอนคิดว่าเหมาะสมกับนางแบบคนนั้นด้วยนะ”

                อี้ฟานสบตากับดวงตาเรียวเล็กอย่างอ่อนโยน ก่อนจะมองลงไปยังตุ้มหูสองแบบที่แตกต่างต่างกันแล้วใช้ความคิด

     

                “อืม จริงอยู่ว่ามันดีทั้งคู่ เหมือนว่าตุ้มหูยาวจะดูหรูหรา สง่างาม คล้ายกับความฝันเลยถ้านางแบบคนนั้นจะใส่”

     

                “แต่มองดูดีดีนะ ถ้าเราเอาไปรวมกับชุดเดรสดอกกุหลาบนั้น เจ้าชายกลับคิดว่ามันมากเกินไป ไม่รู้สิ ดูไม่ลงตัว ไม่เรียบง่าย ไม่เป็นธรรมชาติเหมือนกับตุ้มหูสีมุกเลย น่าแปลกประหลาดดี แบคฮยอนคิดว่างั้นเหมือนเจ้าชายไหม?

     

                คนที่นั่งอยู่พยักหน้า เขาก้มลงมองตุ้มหูสีมุขขนาดกลางในมือก่อนจะยิ้มกว้างให้กับเจ้าชาย

     

                อันที่จริงแล้วตุ้มหูสีมุขอยู่ในใจของแบคฮยอนมานานแล้ว หากแต่คนตัวเล็กยังตัดสินใจไม่ได้ซักที

                ทำไมเจ้าชายเข้าใจแบคฮยอนทุกอย่างกันนะ แถมยังเป็นคนใจดีจังเลย

     

                “เจ้าชาย ผมเลือกได้แล้วล่ะครับ”

                แบคฮยอนยิ้มกว้างจนตาปิดไปให้คนที่นั่งยองลงตรงหน้า

     

                “อื้มม เก่งจัง เอาล่ะ เจ้าชายต้องไปก่อนนะ อยากเจอหน้าเจ้าหญิงก่อนไปประชุมเท่านั้นเอง”

     

                ว่าแล้วก็ยืดตัวสูงขึ้น ก่อนจะกอดแบคฮยอนเอาไว้

                “เดี๋ยวยังไงเซ็นสัญญาเสร็จแล้วจะมาหานะ ตอนเย็นเราแอบไปเที่ยวเล่นกันสองคน ดีมั้ยครับ?

     

                อี้ฟานยิ้มมาให้แล้วจับแก้มนิ่มเบาๆ ก่อนแบคฮยอนจะพยักหน้าตกลงแล้วจูงมือออกจากห้องแต่งตัวกันไปทั้งสองคน

     

     







     

     






     

                “สวัสดีครับ คุณเลขา”

                แบคฮยอนโค้งตัวทักทายอมยิ้มให้เลขาสาวของลู่หานหลังจากที่นำตุ้มหูไปให้นางแบบ สตรีวัยสามสิบตอนต้นยืนอ่านลิสต์รายการอยู่ เธอสวมแว่นพร้อมผูกผมเพื่อให้ถนัด วันนี้ดูยุ่งและวุ่นวายมากจริงๆ    

     

                “อ้าว สวัสดีค่ะคุณแบคฮยอน มาพอดีเลย รบกวนฝากดอกไม้นี้ให้คุณแบคฮยอนช่วยเอาไปติดให้คุณลู่หานเธอหน่อยได้ไหมคะ?

                คุณเลขายื่นเข็มกลัดดอกไม้พลาสติกมายื่นให้คนตัวเล็กอย่างเร่งรีบ

     

                “คุณลู่หานทำงานทั้งวันไม่ออกมาจากห้องทำงานเลย ไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้าง ทั้งที่จะเซ็นสัญญาอยู่แล้วนะคะเนี่ย”

                “ดิฉันก็ต้องจัดเตรียมงานเยอะเลย รบกวนหน่อยนะคะคุณแบคฮยอน คุณลู่หานเธอคงจะเพลิน ทำงานไม่รู้ตัวว่างานใกล้จะเริ่มแล้ว”

     

                คุณเลขาบ่นไป เช็คลิสรายการไปแล้วส่ายหน้า ประโยคดังกล่าวทำให้แบคฮยอนชะงัก

     

                เขาไม่เจอหน้าพี่เลี้ยงใจร้ายคนนั้นมาหลายวันแล้วจริงๆ

                นับตั้งแต่วันที่แบคฮยอนป่วยจนหายดี มีเพียงเจ้าชายที่คอยมาดูแล ชวนคุย บางวันก็นอนข้างเตียงเป็นเพื่อนเท่านั้น

                และเหมือนว่าลู่หานเอาแต่ทำงานและนอนบริษัท ไม่กลับบ้านเลย

     

                “คุณเลขาเอาไปให้คุณลู่หานเขาเองไม่ได้หรอครับ?

                “อยากไปนะคะ แต่ว่าตอนนี้ยุ่งมากเลย ต้องไปคุยกับประธานคิมก่อนด้วยค่ะ รบกวนคุณแบคฮยอนช่วยหน่อยได้ไหมคะ?

     

                คุณเลขาพูดพลางยกมือขอร้องจนทำให้แบคฮยอนไม่กล้าปฏิเสธ

     
     

                มือเล็กรับดอกไม้มาถือไว้ก่อนจะพาขาเรียวเดินไปยังห้องทำงานของคนใจร้าย

                ขาสองข้างยืนอยู่หน้าห้อง ชั่งใจอยู่นานแล้วจึงตัดสินใจเคาะปรตู



     

                ก๊อกๆ

     

                “ขอโทษนะครับ”

                ใบหน้าเรียวเล็กยืนเข้าไปในห้องทำให้คนที่หน้านิ่งขมวดคิ้วอ่านรายงานอยู่เงยหน้าขึ้น สายตาของลู่หานที่มองขึ้นมาชะงักเพียงเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าคนที่เข้ามาคือใคร เขาถอดแว่นสายตาออกแล้วเอื้อนเอ่ย

     

                “อืมว่าไง?

     

                “คุณเลขาเขาบอกให้ผมเอาดอกไม้มาให้คุณลู่หานครับ”

                “อ๋อ อืม ขอบใจ”

     

                “วางไว้ตรงนี้นะครับ”

                แบคฮยอนเดินเข้ามาเอาดอกไม้วางไว้บนโต๊ะแล้วหันหลังกลับ น้ำเสียงของคนตัวเล็กราบเรียบ ภายในน้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นต้องการแสดงออกเพียงความมั่นคง ไม่ไหวหวั่นใดๆ รวมไปถึงพยายามจะไม่สนใจคนตรงหน้าด้วยซ้ำ

     

                “เดี๋ยวก่อนแปปนึง”

                “ครับ?

     

                ลู่หานลุกยืนขึ้นมาเก้าอี้อย่างรวดเร็วแล้วเดินมาจับข้อมือของแบคฮยอนเอาไว้ น้องชายหันมาตกใจ เมื่อมองไปยังแววตาสีน้ำตาลที่อ่อนไหวของพี่เลี้ยงใจร้าย

     

                “นายช่วยติดให้ฉันทีได้ไหม?"

               

                น้ำเสียงที่อ่อนแรง ประโยคที่ไม่มีการตวาดหรือดุด่าว่ากล่าวใดใดทั้งนั้น สีหน้าที่เหนื่อยอ่อนของคนตัวสูงกว่ามองมายังแบคฮยอน ดวงตาคล้ายกวางหนุ่มสบตาคล้ายกับการขอร้อง

                พี่ชายในตอนนี้มีขอบดวงตาที่ดำคล้ำ แถมยังมีหนวดขึ้นรำไร ดูก็รู้ว่าช่วงนี้เขาไม่ค่อยดูแลตัวเองดีเท่าไหร่นัก

     

                ลู่หานตั้งใจทำงานหามรุ่งหามค่ำจนเกินไปหวังเพื่อจะให้ลืมทุกอย่างจริงจริง

                บางทีเขาก็รู้สึกว่า น้องชายใจร้ายกับเขา พอๆกับที่เขาใจร้ายกับน้องชายซะเหลือเกิน

     

                แบคฮยอนก้มลงถอนหายใจ พอเห็นใบหน้าของพี่ชาย ความสงสารอยู่ดีดีก็ปรากฎขึ้นมาในหัวใจ

     

                แบคฮยอนนึกไม่ชอบที่ตัวเองยังเป็นแบบนี้ที่สุด
     

                เขาไม่ชอบตัวเองเลยซักนิดที่เขาก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหัวใจของเขาพร่ำบอกทุกวันว่าคิดถึงพี่ชายคนเดียว คิดถึงมากที่สุด แถมยังพร้อมจะให้อภัยพี่ชายได้เสมอทุกวินาที

               ทั้งๆที่ผ่านมา ลู่หานพูดไม่ดีกับเขา ทำร้ายจิตใจเขาต่างๆนานา แต่พอเวลาผ่านไป เขากลับเผลอตัวลืมมันไปอย่างง่ายดาย ไม่รู้และไม่เคยบอกได้เลยว่าทำไมหัวใจยังคงหยุดที่คนเดิม

     

                สุดท้ายแล้วคนตัวเล็กก็ตัดสินใจเลือกหยิบดอกกุหลาบขึ้นมา ลู่หานมองภาพของน้องชายที่กำลังหยิบดอกไม้ขึ้นมาแล้วก้มลงตั้งใจกลัดเข็ม


                มือเล็กของแบคฮยอนใช้เข็มแทงลงไปตรงส่วนเนื้อผ้าเสื้อเชิ้ตสีขาว

    มันเป็นส่วนที่ตรงกันพอดีกับทางด้านหน้าอกซ้ายของพี่ชาย

     

                กลิ่นหอมบางเบาจากเส้นผมที่โชยมา ใบหน้าขาวเรียวเล็กที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม

    ลู่หานก้มลงมองใบหน้าของแบคฮยอนอยู่เนิ่นนาน

     

               ในที่สุด  พี่ชายผมทองก็ตัดสินใจยกมือหนาของตัวเองขึ้นมากุมมือเล็กที่ยังค้างอยู่ตรงหน้าอก ความอบอุ่นไหลผ่านมือหนาส่งไปยังมือขาวเล็กอยู่อย่างนั้น 
               เวลาผ่านไปเพียงซักพักคนตัวสูงกว่าเล็กน้อยก็ก้มตัวใช้ริมฝีปากจูบแผ่วเบาไปยังฝ่ามือเล็กที่ตนเองกอบกุมอยู่ตรงหน้าอกซ้าย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตา 

     

     

                ไม่มีคำพูดใดใดที่ถุกเอื้อนเอ่ยออกมาจากคนสองคน

                มีเพียงแววตาที่สบประสานกันอยู่อย่างนั้น
     

                ความไหวหวั่นฉายออกมาจากดวงตา น้ำสีใสไม่ได้ไหลออกมาซักนิด
                หากแต่ความรู้สึกทุกอย่างของคนสองคนเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่หลากหลาย

     

    ทั้งเสียใจ อึดอัด ไม่แน่ใจ ไม่มั่นใจ
    ความคิดถึง ความสับสน รวมไปถึงความเจ็บปวด

     

     

     

                แบคฮยอน น้องชายของพี่

                เราสองคน เคยคิดถึงกันบ้างไหม

                หรือเป็นพี่คนเดียว ที่ยังคิดถึงนายตลอดมา

     

     

     

           -ต่อ-




     

                แบคฮยอน น้องชายของพี่

                เราสองคน เคยคิดถึงกันบ้างไหม

                หรือเป็นพี่คนเดียว ที่ยังคิดถึงนายตลอดมา

     

                “คุณลู่หานปล่อยผมเถอะครับ....”

     

                กลับเป็นแบคฮยอนที่หลบตาสายตาก่อนไปก่อน มือเล็กดันตัวเองออกจากการกอบกุมอย่างรวดเร็ว

                หัวใจข้างซ้ายของคนเป็นน้องเต้นไม่เป็นจังหวะคงที่คล้ายจะระเบิดออกมา ใบหน้าปรากฏสีชมพูอ่อนอย่างช่วยไม่ได้

                สัมผัสที่เขาโหยหามาตลอดจากพี่ชายมันทำให้แบคฮยอนไม่มั่นคงเลยซักนิด

     

                แต่แบคฮยอนเองก็รู้ดี เขาไม่ควรแสดงความหวั่นไหวใดใดออกไป ร่างบางตัดสินใจหันหลังให้ ผมสีน้ำตาลอ่อนจากทางด้านหลังเป็นเพียงภาพให้พี่ชายมองเห็นเพียงเท่านั้น

                แบคฮยอนไม่คิดจะหันกลับไปแล้ว ริมฝีปากบางเม้มเขาหากัน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงค่อย

     

                “การประชุมจะเริ่มแล้ว คุณลู่หานรีบลงไปเถอะครับ พี่อี้ฟานรออยู่”

     

                แบคฮยอนรีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ลู่หานมองภาพหลังของร่างบางที่ออกไปจากห้องทำงานแล้วหลับตาถอนหายใจ อย่างเจ็บปวด มือหนาสัมผัสไปที่ดอกไม้พลาสติกที่มีตำแหน่งเดียวกับหัวใจก่อนจะยกกุมหน้าผากตัวเอง

     

                เขาลืมตัวจนได้ ...

                ไม่รู้ตัวหรือไงว่าน้องไม่คิดจะกลับมาเขาหรอก

                แล้วตัวเขาเองก็เลวเกินไป ไม่สมควรทำให้น้องกลับมายินเคียงข้างเขาเลยซักนิดเลย



     

     




     

     

                การเซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการระหว่างเครืออู๋และเครือเสี่ยวผ่านไปด้วยดี

                อี้ฟานจับมือกับลู่หานแล้วพยักหน้าให้กัน แววตาแห่งมิตรภาพ และสัญญาลูกผู้ชายที่ตกลงกันไว้อย่างดีฉายออกมาให้เห็นในดวงตาของคนทั้งคู่ เพื่อนรักทั้งสองคนหัวเราะออกมาเล็กน้อย ชกไหล่เบาๆซึ่งกันและกันก่อนจะโค้งขอบคุณบอร์ดบริหารคนอื่นๆ

                ภาพบรรยากาศของงานเซ็นสัญญาดูครึกครื้นขึ้น ถึงจะมีผู้บริหารที่มีอายุหลายคน แต่เนื่องจากบริษัททั้งสองเองต่างก็ให้พนักงานเข้าร่วมด้วย ทำให้บรรยากาศดูไม่เป็นทางการจนเกินไป พวกพนักงานดูตื่นเต้นกับจานคอนเทลที่บริกรนำมาเสริ์ฟกันยกใหญ่


                แบคฮยอนโค้งทักทายกับพี่บางคนในแผนกที่สนิทกัน คนตัวเล็กมองไปยังนางแบบที่สวมตุ้มหูไข่มุกแล้วยิ้มบางออกมา นางแบบคนนั้นสวยจังเลย ดีใจจังที่เธอได้ใส่ตุ้มหูที่เหมาะกับเธอขนาดนี้

                ร่างบางมองเห็นอี้ฟานกำลังคุยทักทายผู้บริหารในวัยเดียวกันอยู่ไม่ไกล เจ้าชายแอบส่งยิ้มละมุนมาให้ แบคฮยอนเองก็ยิ้มกว้างตอบกลับไปเช่นกัน ก่อนรอยยิ้มจะหุบลงเมื่อสายตาเรียวเล็กเผลอไปเห็นพี่ชายผมทองในชุดสูทสีดำเข้า


                ลู่หานอยู่ไกลออกไปจากอี้ฟานอีกหลายเมตร เขายืนอยู่ที่มุมห้อง ขมวดคิ้ว มองและชี้ไปที่กระดาษสั่งงานคุณเลขาอย่างเอาจริงเอาจัง


                สีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ไม่ยิ้มแย้มมากแต่ก็ตั้งใจกับการบริหารงานซึ่งก็ถือว่าเป็นปรกติไปแล้วสำหรับตัวพี่เลี้ยงใจร้าย

     

                แบคฮยอนมองภาพนั้นแล้วก้มลงมองมือเล็กของตัวเอง ไม่รู้ทำไม เขายังจำร่องรอยความอบอุ่นของจุมพิตที่แผ่วเบาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนได้ดี

     

                บอกกับตัวเองให้ลืม ลืมมันไปซักที แต่ไม่รู้ทำไมยังจำอยู่อย่างนั้น

     

                จำได้ดีเลย รอยยิ้มของคนนั้น ความดีงามที่เขาคนนั้นเคยมอบให้

                รวมไปถึงความเจ็บปวดที่ตนเองได้รับ มันไม่เคยลบเลือนไปซักนิดเลย

     

                ในที่สุด แบคฮยอนก็เลือกที่จะมองไปทางอื่นแทน คนตัวเล็กกำลังเหม่อมองใช้ความคิดไปยังประติมากรรมหนึ่งในงานที่ทำขึ้นพิเศษเฉพาะงานนี้ จะเรียกได้ว่ามันสวยงามที่สุดในงานเลยก็ว่าได้

     

                “แก้วคริสตัลที่ประดับประดาเรียงตัวกันคล้ายพิระมิด”

     

                บนโต๊ะที่ผ้าคลุมสีขาว มีแก้วใสหลายใบเรียงซ้อนกันขึ้นไป น้ำอำพันหลากหลายสีภายในแก้วเรียงตัวกันทำให้การตกแต่งสวยงามเข้าไปใหญ่ แสงไฟสะท้อนระยิบระยับเป็นประกาย

                แก้วที่เรียงรายกันพวกนี้ งดงามเหมาะสมกับวันเซ็นสัญญาของบริษัทจริงๆ มือเล็กสัมผัสไปที่แก้วน้ำนั้นแผ่วเบาแล้วใช้ความคิด ถ้าแก้วใดแก้วหนึ่งขาดหายไป มันคงจะต้องล้มลงมาอย่างแน่นอน

     

                 แก้วคริสตัล สวยงามเสมอ แต่ความจริงที่เราไม่ควรลืมเลย ว่าบางครั้ง มัน “เปราะบาง” เกินไป

                รองเท้าแก้วของซินเดอเรลล่าเองก็เช่นเดียวกัน

     

                “น้องแบคฮยอน มาถ่ายเซลก้ากับพี่หน่อยนะคร้าบบบบบบ”

                พี่พนักงานหนุ่มในบริษัทที่สนิทกับแบคฮยอนวิ่งเข้ามาอย่างไม่ดูตามาตาเรือ

                เขาเป็นครีเอทีฟโฆษณาที่เก่ง ผมยาวเซอร์หยิกประบ่า วาดรูปสวยมาก แต่ติดอย่างเดียว ซุ่มซ่ามไปหน่อย ในมือถือกล้องโพลารอยด์เอาไว้ยิ้มแย้มแจ่มใส วิ่งเข้าหาคนตัวเล็กอย่างรวดเร็ว

                ด้วยความที่ไม่ทันระวังตัว พี่พนักงานบริษัทจึงสะดุดจนตัวไปกระแทกกับโต๊ะที่วางแก้วไว้อย่างแรง

     

                ตึง!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

     

                “โอ้ยยยยยยยยยยยยย เชี้ย ใครขัดขากูวะ”

     

     

                กริ๊ง....

     

                เสียงแก้วที่กระทบกัน มันโคลงเคลง เดาได้เลยว่าแก้วทั้งหมดนั้นกำลังจะล้มมาทับตัวแบคฮยอนอย่างแน่นอน

                อี้ฟาน เจ้าชายที่อยู่ห่างไปไม่ไกลมองมาด้วยสีหน้าตกใจเป็นอย่างมาก เขาตะโกนออกมาเสียงดังพร้อมพนักงานสุดเซอร์คนนั้น

     

                “เจ้าหญิงงงงงงงงงงงง!!!!!!

                “น้องแบคฮยอนนนน!!!!!!!”

     

     

                ระวัง!!!!!”

                เสียงของพี่เลี้ยงใจร้ายที่ดังออกมาเช่นเดียวกัน     

     

     

     

                “เพล้งงงงงงงง!!!!!!!!!!!!!!!

     

                ลู่หานผลักแบคฮยอนออกไปอย่างรวดเร็วโดยที่หลังของเขาออกรับแก้วทั้งหมดเอาไว้ แขนที่กางออกบ่งบอกว่าต้องการปกป้อง แน่นอน แบคฮยอนไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากมายซักนิด แผลของเขามีเพียงรอยล้มจากการที่ถูกลู่หานผลักออกไปเท่านั้น

                ทั้งศีรษะและส่วนหลังของลู่หานเปียกโชกไปด้วยเลือกสีแดงสด สีหน้าเหยเก แต่ก็ยังกัดฟันพูดเสียงหนักแน่น

     

                “อี้ฟาน มึงเอาน้องไป”

                “เร็วๆสิวะ!!!!!!

     

     

                “เอออ กูรู้แล้ว!!

     

                คนตัวสูงรีบวิ่งเดินเข้ามาอุ้มแบคฮยอนเอาไว้กับอกตนแล้วกอดแน่น แบคฮยอนเองก็ตกใจจนตัวสั่นไปหมด

     

     

                ลู่หานมองภาพที่เพื่อนรักตัวสูงเข้ามาช่วยแล้วหลับตาลงอย่างสบายใจ

                ก่อนตัวเขาเองก็ต้องล้มลงไปอย่างลมหายใจรวยริน จนแทบจะหยุดหายใจ

     

     

     

     

                “คุณลู่หานนนนนนนนน!!!!!!

     

     

     

     

     

     ·Riega mis flores con palabras. | sopadebombillas♡ P a l e  B l o g

     "เห็นแก่ตัวเกินไปหรือเปล่า?"


     


     

                โรงพยาบาล Gangnum

     

                แบคฮยอนนสภาพแปะผ้าก๊อตที่หัวเข่านั่งซึมอยู่ข้างหน้าห้องพยาบาลโดยมีอี้ฟานนั่งอยู่เคียงข้าง คนตัวเล็กในตอนนี้ทั้งตกใจและทั้งเป็นห่วงพี่ชายมากๆ

                ลู่หานถูกพามาที่โรงพยาบาล เข้าไปในห้องฉุกเฉินแล้วยังไม่ฟื้นซักที แบคฮยอนไม่กล้าร้องไห้ออกมา เขากลัวว่าอี้ฟานจะเป็นห่วงแล้วต้องมานั่งดูแล ดวงตาแดงก่ำฝืนทนอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งดวงตาที่โศกเศร้านั้นจะเหลือบขึ้นไปเห็นคนๆหนึ่งกำลังวิ่งเข้ามาอย่างเหนื่อยหอบ

     

                “จาง อี้ชิง...”

                เสียงทุ้มขออู๋อี้ฟานเอ่ยขึ้นมา

     

                “ฉันโทรไปหาคุณเลขาพอดี ถึงได้รู้เรื่อง….พี่ชายเป็นอะไรมากมั้ย?

     

                คนสวยหน้าหวานสอบถามด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล ตั้งใจโทรไปที่บริษัทเพื่อยินดีกับแฟนหนุ่ม แต่กลับได้รับคำบอกกล่าวจากคุณเลขาว่าลู่หานวิ่งเข้ามาช่วยแบคฮยอนที่กำลังจะโดนแก้วทับจนตัวเองได้รับบาดเจ็บแทน

                อี้ชิงตกใจมากจึงรีบขับรถมายังโรงพยาบาลทันที

     

                “ยังอยู่ห้องฉุกเฉิน คิดว่าอาจจะเข้าไอซียู ตอนนี้เสียเลือดมาก...”

                “ไม่รู้จะฟื้นเมื่อไหร่ หมอ ยังไม่ได้บอกอะไรเลย”

     

                เมื่อได้ฟังคำนั้น อี้ชิงก็กำมือแน่นจนสั่น น้ำตาคลอเบ้าด้วยความสงสารลู่หาน อย่างไรก็ตามเขาก็หันไปตวาดแบคฮยอนด้วยน้ำเสียงที่กราดเกรียว

     

                “เป็นไง มีความสุขมั้ย? ได้ข่าวว่าพี่ชายมาช่วยนาย ช่วยทำไมว่ะ คนที่สมควรนอนในห้องตอนนี้ก็คือนาย รู้ไว้ด้วย!!!!

     

                เสียงดังไปทั่วจนอี้ฟานต้องเอ่ยขึ้น

     

                “จางอี้ชิง พูดให้มันดีดี”

                “ไม่ต้องยุ่งได้ไหม ฉันจะคิด จะพูดอะไรก็เรื่องของฉัน!!

     

                โกรธจัด อี้ชิงโกรธจนไม่รู้จะพูดว่ายังไง แววตามองแบคฮยอนด้วยความเกลียดชังเต็มเปี่ยม เขามองเห็นแค่คนตัวเล็กที่เอาแต่ก้มหน้าอยู่อย่างนั้น รอยยิ้มเหยียดหยาม ประโยคประชดประชันก็เอ่ยออกมาอีกครั้ง

     

                “ทำไมนายไม่ตายไปซักทีว่ะ อยู่ไปก็ทำร้ายพี่ชายเปล่าๆ ถ้าพี่เขาเป็นอะไรขึ้นมา มันเป็นความผิดของนายคนเดียว รู้ตัวไว้ซะ!!

     

                อี้ชิงตวาดอีกครั้งก่อนจะเลือกเดินไปข้างนอกเพื่อสงบสติอารมณ์

     

     

                สิ่งที่อี้ชิงยิ่งทำให้แบคฮยอนก้มหน้าเข้าไปใหญ่

                เจ็บปวดหัวใจจัง ทุกอย่างมันอาจจะเป็นความผิดของแบคฮยอนจริงๆ

     

     

     

     

     

                วันเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง อี้ชิงกลับมานั่งรอเฝ้าหน้าห้องไอซียูพร้อมกับคนทั้งสองคน

                อี้ชิงยืนอยู่หน้าห้องไอซียูไม่สงบนิ่งเท่าไหร่ คอยมอง เดินวนไปวนมาอยู่ตลอด แต่ไม่คุยกับอี้ฟานและแบคฮยอนเลย บางครั้งก็มีเพียงสายตาที่ส่อแววโกรธชังส่งมาให้เสมอ คาดว่ามีเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้พวกเขายังนั่งอยู่ด้วยกัน คือพวกเขาทั้งสามคนเป็นกังวลมาก

                แบคฮยอนมีดวงตาคล้ำและใบหน้าไร้สี เขาคิดถึงคำพูดของอี้ชิงอยู่ตลอด ถึงจะรู้ว่าอี้ชิงมักแสดงอารมณ์ร้ายใส่เสมอ แต่ก็อดเสียใจไม่ได้เลย

                อดโทษตัวเองไม่ได้ซักวินาทีเลย

     

                ในที่สุด นางพยาบาลในชุดสีขาวเปิดประตูออกมาแล้วยิ้มให้ อี้ชิงรีบวิ่งเข้าไปหาอย่างร้อนรน

     

                “คุณลู่หานฟื้นแล้วนะคะ”

                “จริงหรอครับ?

     

                คำพูดของนางพยาบาลทำให้แบคฮยอนรู้สึกดีใจ เขาเองก็รีบลุกยืนขึ้นจากเก้าอี้เช่นกัน

                “ค่ะ ไม่ต้องเป็นกังวลแล้วนะคะ อาการปลอดภัยทั้งหมด แต่พอดีว่า คุณหมอขอพบกับทางญาติหน่อยน่ะคะ”

               

                แบคฮยอนเผลอตัวเดินเข้ามาหาคุณพยาบาลข้างๆอี้ชิงพร้อมกับตั้งใจจะเข้าไป ก่อนจะโดนมือของอี้ชิงผลักไปที่ไหล่บางอย่างแรง

     

                พลั่กก!!

     

                “โอ้ยยย”

                “ไปไกลๆเลยนะ!!!”       

     

     

                “ฉันจะเข้าไปเอง”

                แบคฮยอนโดนผลักออกอย่างไม่ใยดี

     

                “จางอี้ชิง!!!! แบคฮยอนเป็นน้องชายลู่หานนะ”

                อี้ฟานวิ่งเข้ามาประคองรับแบคฮยอนเอาไว้พอดีแล้วเอ่ยเสียงดุ แต่นั้นไม่มีผลกับอี้ชิงซักนิด คนหน้าหวานก็ยังพูดคำร้ายๆออกมา

     

                “หึ แล้วยังไงวะ นายไม่ต้องมาเยี่ยมพี่ชายด้วยนะ ตัวเองทำเขาเจ็บยังจะกล้ามาเฝ้า มาคุยกับหมออีก”

     

     

     

                “คนเห็นแก่ตัว หน้าด้านไปหรือเปล่า?

     

     

                ยืนนิ่ง...แบคฮยอนยืนค้างนิ่งอยู่อย่างนั้น ไม่กล้าขยับตัว ไม่กล้าเคลื่อนไหวอะไรซักนิด

     

                ในใจเต็มไปด้วยเสียงเรียกร้องที่ดังก้องขึ้นมา

                ผมอยากเจอพี่ชายเหมือนกัน แต่ผมเองก็ไม่สมควรจะไปเจอหน้าพี่ชาย อย่างที่อี้ชิงพูดจริงๆ

                ใช่หรือเปล่าครับพี่ชาย..

     

     

     

                ภายในห้องทำงานของคุณหมอ จางอี้ชิง คนที่มีท่าทางคล้ายนางพญาเดินเข้าไปในห้องแล้วโค้งให้อย่างนอบน้อม คุณหมอหญิงวัยกลางคนขยับแว่นพยักหน้าแล้วเชิญนั่ง อี้ชิงสอบถามอาการของลู่หานด้วยสีหน้าเป็นห่วง

     

                “พี่ชายเป็นอย่างไรบ้างครับ?

                “คุณลู่หานโหมงานไม่ได้พักเลยค่ะ ก็เลยล้มลงไป”

                “แล้วอีกอย่าง...”

     

     

     

     




     




     

    Untitled Tumblr | via Tumblr

     "ความฝันของน้องชาย"

     

                “เสี่ยวลู่ ความฝันของเสี่ยวลู่คืออะไรหรอ?

                “หืม นายถามพี่ทำไมหรอ?

     

                ในตอนนั้นครอบครัวทั้งสี่คนกำลังทานข้าวเย็นด้วยกันอย่างอบอุ่น คุณพ่อซื้ออาหารซีฟู๊ดสดๆมาจากทะเล มีของโปรดทั้งแบคฮยอนและลู่หานอยู่ น้องชายวัยสิบขวบเคี้ยวข้าวแก้มตุ่ยแต่หันมาถามพี่ชาย เรียกรอยยิ้มของคุณพ่อคุณแม่ได้ดี

     

                “ก็วันนี้คุณครูเค้าสั่งการบ้านให้แบคฮยอนกลับมาเขียนเรียงความเรื่องความฝันของตัวเองอะ ต้องวาดรูปด้วยนะ แบคฮยอนก็เลยอยากรู้ความฝันของพี่ชาย”

                “อื้มม .. พี่อยากเป็นหมอ ได้ช่วยคนอื่นก็คงจะดี”

     

                พี่ชายในวันสิบแปดส่งรอยยิ้มเท่มาให้แล้วขยิบตา ลู่หานเป็นคนหล่อ แม้จะหน้าหวาน แต่ก็หล่อและเท่มาก ยิ่งตอนนี้อยู่ม.6 ด้วยแล้ว ทำให้เขาป๊อปปูลาร์ในหมู่สาวๆเข้าใหญ่ แบคฮยอนมักจะเห็นว่าพี่ชายได้รับดอกไม้ไม่ก็จดหมายอยู่เสมอ แน่นอนคนตัวเล็กชอบแย่งช็อคโกแลตมากินบ่อยๆด้วย

     

                “โห ทำเป็นเท่เชียว ขี้เก๊กชะมัด ผมละหมั่นไส้คนเรียนเก่ง”

                แบคฮยอนตักข้าวอีกคำเข้าปากจนแก้มตุ่ยแล้วจิ้มไก่ทอดของโปรดตัวเองเข้าปาก มันหิวนี่นา ทานไปด้วยคุยไปด้วย ไม่เป็นไรหรอกมั้ง

     

                น้องชายตัวเล็กทำเป็นมองค้อน คว่ำปากแล้วมองพี่ชายที่นั่งอยู่ข้างๆ ทำให้การเคี้ยวไก่ทอดมันส์เข้าไปใหญ่

                แบคฮยอนน่ะเรียนไม่ค่อยเก่ง โดยเฉพาะวิชาวิทยาศาสตร์ แบคฮยอนได้เกรด C ไม่ก็ D อยู่เสมอ

     

                “ฮ่าๆ โธ่ แบคฮยอนลูกรัก เดี๋ยวโตขึ้นลูกก็ให้พี่เค้าสอนให้นะ ถ้าแบคฮยอนขยันพ่อเชื่อว่าแบคฮยอนต้องได้เกรดดีแน่ๆเลย”

                คุณพ่อเอ่ยขึ้นมาแล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยน รอยยิ้มของคุณพ่ออบอุ่นคล้ายกับของพี่ชาย พวกเขามีหน้าตาคล้ายคลึงกันมาก จะผิดก็แต่คุณพ่อมีดวงตาเล็กกว่า และมีความภูมิฐานอย่างมาก

     

                “ว่าแต่แบคฮยอนละ ความฝันของแบคฮยอนคืออะไรละลูก?

                คุณแม่เองที่เดินมาจากด้านหลัง ตักซุปร้อนๆใส่ชามให้แต่ละคน เด็กชายวัยสิบขวบทำหน้าคิดไปมาอยู่อย่างนั้น คิ้วบางขมวดเข้าหากัน เดี๋ยวก็คลายเดี๋ยวก็ขมวดอีกจนพี่ชายที่นั่งข้างๆต้องหัวเราะเสียงดังออกมา

     

                สุดท้าย เมื่อโดนสายตาลุ้นระทึกและกดดัน(เล็กน้อย)จากคนในครอบครัวเข้า เด็กชายตัวผอม ก็จำเป็นต้องตอบความจริงที่อยู่ในใจออกไป ปากยู่ลงด้วยความอายเล็กน้อย

     

                “งื๊ออออ ตอนนี้คิดไม่ออกเลยครับ แต่ผมอยากอยู่กับพี่ชายมากที่สุดในโลกกกกนะ”

                “ฮ่าๆ เด็กน้อย มันใช่ความฝันที่ไหนกัน”

     

                ลู่หานเอ่ยขึ้นมา แต่ว่าแขนเล็กก็เอื้อมมาจับไหล่หนาของเขาเอาไว้

     

                “นี่ แบคฮยอนชอบบ้านสีขาวหลังนั้นที่ทะเลสาบมากเลย พี่ชายต้องมาอยู่ด้วยกันนะ”

                “นะนะ อยู่กับแบคฮยอนเถอะ ได้ไหม?

     

                อมยิ้ม

                ลู่หานอมยิ้มจนแก้มแทบแตก หากแต่เขาก็กระแอมดังแล้วทำหน้าดุ

     

                “แล้วถ้าพี่ไม่อยู่ด้วย?

     

                “ผมก็จะเกาะติดเป็นปลาหมึกเลยคอยดู” 

     

                ว่าแล้วก็เอาช้อนจิ้มปลาหมึกย่างแล้วยัดเข้าปากพี่ชายในทันใด     

                คุณพ่อคุณแม่หัวเราะออกมา แล้วแบคฮยอนเองก็ยกคิ้วอย่างผู้ชนะ...

     

     

     

     

                ความทรงจำทุกอย่าง หรือแม้แต่ความฝันของน้องชาย..
     

    รู้อะไรบ้างไหม ว่าพี่จำได้

                เหมือนกับที่พี่เคยบอกกับนายในวันนั้น

     

                “จำได้สิ่ แบคฮยอนเคยบอกความฝันกับพี่ว่าอะไร พี่ก็จำได้หมดแหละ..”

     

                พี่จำได้ เพราะแววตาของนายในตอนนั้นบอกว่านายอยากอยู่กับพี่จริงๆ

                พี่จำได้เพราะพี่รู้ว่านายรักพี่มากจริงๆ..





               

      



     
     

                กลิ่นของโรงพยาบาล กลิ่นที่ลู่หานไม่ชอบเท่าไหร่นัก เขาฟื้นขึ้นมาแล้วเห็นอี้ชิงที่นั่งจับมือน้ำตาคลออยู่ เมื่อร่างบางเห็นว่าเขาลืมตาแล้วก็รีบเดินไปหยิบน้ำมาให้ดื่มแล้วช่วยพยุงให้คนผมทองนั่งบนเตียง

                แฟนหนุ่มของลู่หานนั่งลงบนเตียง ทั้งสองคนมองหน้ากันอยู่นาน ก่อนอี้ชิงจะร้องไห้ออกมา เช็ดน้ำตาของตัวเองและเป็นฝ่ายพูดก่อน

     

                “จะ เจ็บ เจ็บมากมั้ยครับพี่ชาย?

                ลู่หานโดนสวมกอดอย่างแน่น ถึงเขาจะมีริมฝีปากซีดเซียวแต่ก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วลูบหลังแฟนของตัวเองอย่างอ่อนโยน

     

                “พี่ชาย ทำไม ทำไมถึงเป็นแบบนี้? ฮืออออออออ

     

                “ไม่เป็นไร พี่ไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องห่วงพี่นะ”

                “ฮึก ฮือ พี่ชาย.....อี้รู้เรื่องทุกอย่างแล้ว....”

     

                “พี่ขอโทษ...พี่ขอโทษนะครับ”

    “อย่าบอก....อย่าบอกแบคฮยอนเรื่องนี้นะอี้ชิง”

     

                ไม่ให้บอก

     

                พี่ลู่หานเค้าไม่ให้อี้ชิงบอกแบคฮยอนว่าตอนที่เขาบาดเจ็บจนแทบไม่ได้สติ

     

                เขาเอาแต่ถามหมอว่า แบคฮยอนเป็นยังไงบ้างครับ แบคฮยอนดีแล้วใช่ไหมครับ

                แบคฮยอนไม่เป็นไรแล้วใช่ไหมครับอยู่อย่างนั้น

     

                เหมือนคนเพ้อ แต่ก็ทำให้คุณหมอที่กำลังจะช่วยผ่าตัดเศษแก้วออก อดสงสารไม่ได้เลย

     

                “แล้วทำไมเป็นอี้ไม่ได้ ฮืออออออ พี่ชายย ทำไม ทำไมไม่เป็นอี้?

     

     

    เจ็บ...อี้ชิงเจ็บหัวใจไปหมด

    เขาเกลียดแบคฮยอน เกลียดที่ตัวเองรักพี่ลู่หานมากเกินไป เกลียดที่พี่เค้ารักแบคฮยอนมาก

     

    พยายามแล้ว อี้ชิงพยายามทุกอย่าง แต่ไม่รู้ทำไม เรื่องราวที่ผ่านมามันกลับทำให้รู้สึกแย่ รู้สึกผิดมาก มากจนเกินไป

     

     

    อิ้ชิงเลือกทำร้ายคนที่เขารัก เขาเลือกด่าว่าแบคฮยอนเสียๆหายๆ

    เขาอยากได้หัวใจของผู้ชายที่รักคนอื่นเต็มหัวใจไปแล้ว

     

                จากวันนั้น จนวันนี้เขารู้ความจริงอย่างหนึ่ง เรื่องหัวใจเป็นเรื่องที่บังคับใครไม่ได้       

                และแน่นอน..เราต่างไม่อยากเห็นคนรักต้องเจ็บปวด

     

    ยิ่งเห็นพี่ลู่หานเป็นแบบนี้

    อี้ชิงไม่อยากให้ลู่หานเจ็บปวดแม้แต่วินาทีเดียว

     

     

    น้ำตาไหลของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นตัวร้ายลงมาเป็นสาย เขาคงจะต้องพอซักทีแล้วใช่ไหม ?

    อี้ชิงรู้ดีเต็มหัวใจ การเดินทางของพวกเขาสองคนมันมาถึงทางตันแล้ว

     

     

    บางทีเขาควรเลือกที่จะเสียสละ เพื่อให้คนที่เขารักมีความสุขซักที

    หัวใจของพี่ลู่หานไม่ได้มีอี้ชิงแต่แรกแล้ว

     

    บางทีการฝืนใจพี่ชายคงไม่ใช่ “ความรัก” ที่แท้จริง

     

     

    “ฮึก พี่ชาย...ผมรักพี่นะ...”

    “อื้มม ขอบคุณนะครับ ขอบคุณที่อยู่ข้างพี่นะ....”

     

     

    คำว่ารัก อี้ชิงบอกรักลู่หานหลายต่อหลายครั้ง

    แต่เขาไม่เคยเลยซักครั้งที่จะได้ยินคำบอกของคนรัก “ว่ารักเหมือนกัน”

     

    มีแต่คำว่าขอบคุณ...ขอบคุณ และ ขอบคุณ

    คนรักกันไม่สมควรเป็นอย่างพวกเขาสองคนเลย

    ไม่เลยซักนิดเดียว

     

     

    “พี่ชาย เราเลิกกันไหม อี้ไม่อยากเป็นแบบนี้แล้ว ไม่เอาแล้ว ฮือ”

    “อี้ชิง.....”

     

                “ฮึก นะครับ...ผมก็รักพี่เหมือนเดิม แต่ผมไม่อยากยื้อพี่ไว้แล้ว”

                “นะครับ เราเลิกกันเถอะนะ ผมก็ยังเป็นน้องของพี่อยู่เสมอ”

     

     

     

     

     

                “อี้ชิง.....พี่ขอโทษนะ”

                ทั้งสองคนกอดกันแน่น อี้ชิงซบลงกับไหล่หนาด้วยน้ำตาที่ไหลริน

     

     

     

                พี่ชาย อี้จะปล่อยมือแล้วนะ อี้เจ็บจนทนไม่ไหวแล้ว พี่ชายห้ามเป็นแบบนี้อีกแล้วนะครับ

                พี่ชายจะต้องเข้มแข็ง และปกป้องคนๆนั้นแบบที่พี่ชายต้องการนะ

     

                อย่าเป็นแบบนี้ อย่าต้องมานอนโรงพยาบาลแบบนี้อีกเลยนะครับ...

     

     

     

                อิ้ชิงร้องไห้ออกมาตัวโยนโดยมีลู่หานลูบหลังอยู่อย่างนั้น แต่พวกเขาไม่ได้สังเกตว่ามีเด็กหนุ่มตัวเล็กที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องมองเข้าม้าวยสีหน้าเจ็บปวดเช่นเดียวกัน            

                ตัวแบคฮยอนเองคงทำได้เพียงแค่นี้สินะ ทำได้เพียงแอบมองว่าพี่ชายปลอดภัย

     

     

                ถ้าจะเข้าไปหา ไปเยี่ยม ไปถามอาการ

                คงจะหน้าด้านและก็เห็นแก่ตัวอย่างที่อี้ชิงพูดจริงๆ

     

     

     




     

     Untitledlove | via Facebook
    "เราทุกคนล้วนต่างเจ็บปวด"

     



     

                แววตาเหม่อลอยมองไปยังพื้นหญ้าสีเขียว แบคฮยอนบอกกับอี้ฟานว่าจะไปเดินเล่นซักหน่อย เจ้าชายเดินมาเป็นเพื่อนแล้วบอกว่าจะไปซื้ออะไรเย็นๆมาให้ดื่ม

                เพียงแค่วินาทีเดียวที่คนตัวสูงหันหลังให้เท่านั้น แบคฮยอนก็ร้องไห้ออกมา น้ำตามันไหลลงมาอย่างช่วยไม่ได้ ริมฝีปากที่กัดกันแน่นบ่งบอกได้ดีว่าตนเองเจ็บปวดแค่ไหน ไม่อยากให้ใครมาเห็นความทรมาณนี้เลย แม้แต่เจ้าชาย...


                คนตัวเล็กนั่งอยู่คนเดียวในสวนของโรงพยาบาล เขาก้มลงหลับตาแล้วจับมือของตัวเองไว้แน่น

     

                วันนี้มีเหตุการณ์อะไรมากมายที่เกิดขึ้น มันรวดเร็วและทำให้แบคฮยอนสับสนไปหมด หัวใจและสมองใช้ความคิดอยู่กับตัวเองอยู่นาน จนได้รับแรงดึงกระชากจากคนที่อยู่ด้านหลังให้ลุกยืนขึ้น

               



                “นายลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลยนะ”



     

    อยู่ดีดี อี้ชิงเดินเข้ามากระชากแล้วตบแบคฮยอนจนหน้าหัน มือขาวจิกผมแบคฮยอนขึ้นอย่างไม่ปราณี เขาตบไปอีกข้างอย่างไม่สงสารเลยซักนิด


     

             เพี๊ยยยยยะ

                เสียงตบที่ดังก้องไปทั่ว



     

                “เกลียด ฉันเกลียดนายจริงๆ ทำไมนะ ทำไมพี่เค้ารักนายขนาดนี้?

     

                

                เหตุการณ์วุ่นวายเกิดขึ้น แบคฮยอนเองก็ไม่คิดจะโต้ตอบหรือป้องกันอะไรทั้งนั้น มันสมควรแล้วละที่เขาจะโดนอี้ชิงทำร้าย ใบหน้าเรียวเล็กหันซ้ายขวาหันตามแรงกระทบอยู่อย่างนั้น รอยมือเต็มใบหน้าไปหมด น้ำตาเองก็เริ่มไหลไปด้วย


                อู๋อี้ฟานเมื่อได้ยินเสียงคนทะเลาะกัน เขาก็รีบวิ่งเข้ามาจึงได้เห็นเหตุการณ์พอดี เจ้าชายต้องรีบทิ้งถุงที่ใส่เครื่องดื่มสามกระป๋องลง คนตัวสูงตกใจจนต้องรีบดึงอี้ชิงให้ออกห่างจากแบคฮยอนในทันที

     

                “หยุดนะอี้ชิง นายเป็นบ้าอะไร ปล่อยแบคฮยอนเดี๋ยวนี้เลยนะ!!!

                “ไม่นะ ปล่อยฉัน....ปล่อย”

     

                ยื้อยุดกันอยู่นาน แรงของอี้ชิงมาก บอกได้ดีว่าเป็นคนดื้อแค่ไหน แต่คนที่ตัวสูงกว่าย่อมได้เปรียบกว่าอยู่แล้ว อี้ฟานล็อคตัวอี้ชิงออกมาจนได้ พอสุดท้าย เหตุการณ์ก็เริ่มสงบลง

     

                อิ้ชิงหายใจแรงจนเหนื่อยหอบ

                ในที่สุด......เขาทรุดลงกับพื้นแล้วร้องไห้ใส่ฝ่ามืออยู่อย่างนั้น

     

                ทุกคนต่างแปลกใจกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น มีสายตามากมายจากผู้ป่วยและคนอื่นๆมองมาเต็มไปด้วยความสงสัย

     


     

                ภาพที่เห็นเป็นเพียงอี้ชิงที่ร้องไห้อย่างหนักอยู่อย่างนั้น


     

    แบคฮยอนปาดน้ำตาตัวเองแล้วค่อยๆนั่งลง เขาเลือกที่จะปลอบใจคนในวัยเดียวกัน

                พอมือเล็กที่อ่อนโยนลูบไปที่หลัง อี้ชิงก็เงยหน้าขึ้นมาน้ำตาคลอ

    น้ำเสียงที่อ่อนโยนเอ่ยออกมาจากปากของแบคฮยอน พร้อมกับรอยยิ้มที่อบอุ่นมอบมาให้

     

                “อี้ชิง...ไม่ต้องร้องไห้นะ..อย่าร้องไห้เลย”

     

    แบคฮยอนพูดออกมาทั้งๆที่สภาพตนเองก็ดูไม่ได้ สภาพแย่ ผมชี้โด่เด่ ดวงตาแดงก่ำ น้ำตาที่ยังไหล



     

                คาดเดาไม่ได้เลยว่าสัมผัสที่รวดเร็วแบบไม่ทันตั้งตัวที่คนตัวเล็กจะได้รับ คือ “กอด”

     


     

                อี้ชิงกอดแบคฮยอนจนแน่นไปหมด ร่างของจางอี้ชินสั่นไหวไปพร้อมกับน้ำตาหลากหลายหยดที่ร่วงหล่นลงมา ครั้งนี้เขาไม่ได้ร้องไห้เพราะจงใจแกล้ง เขาร้องไห้ออกมาจากใจจริงทั้งหมด

     

                “ฉันขอร้อง..ขอร้องได้ไหม ยกพี่ชายให้ฉันเถิดนะ ฉันรักเขามากที่สุดเลยนะ แบคฮยอน ได้โปรดเมตตาฉันเถอะ..”

                “เป็นฉันได้ไหม เป็นฉันที่จะมอบความรักให้พี่ลู่หานได้ไหม ฉันอยากดูแลเขา..”

                “ฮืออออ แบคฮยอน ได้โปรดเถอนะ...”

     

                อี้ชิงเหมือนคนบ้าที่สติหลุดเพียงเพราะความโกรธ แบคฮยอนไม่ได้ตอบอะไร คนตัวเล็กฟังแล้วหยุดน้ำตาของตนเองที่ไหลลงมาอย่างช่วยไม่ได้

     

                เขายกพี่ชายให้อี้ชิงได้หรอ? เขามีสิทธิ์ขนาดนั้นเลยหรอ?

     

                ใบหน้าเล็กหันกลับมายิ้มละมุนให้กับอี้ชิงทั้งๆที่ตนเองก็น้ำตาเปรอะเปื้อนหน้าไปหมด แบคฮยอนใช้มือเล็กสั่นๆเช็ดน้ำตาให้กับคนหน้าสวยที่มีความสูงระดับไล่เลี่ยกัน

     

    “อี้ชิง....ฉันไม่ใช่เจ้าของพี่ชายหรอกนะ ฉันไม่ได้เป็นเจ้าของชีวิตของใคร อีกอย่าง อี้ชิงอย่าลืมว่าพี่ชายก็ไม่ได้รักฉัน เขารักอี้ชิงนี่นา...อี้ชิงอย่าคิดมากเลยนะ”

     

     

    “ฮึก ฮือ เพราะนายเป็นแบบนี้ไงแบคฮยอน เพราะนายเป็นคนดีแบบนี้...”

    “ฮือ แบคฮยอนขอโทษนะ ฉันขอโทษที่ทำร้ายนาย ฉันขอโทษจริงๆ”

    “ฉันมันเลว ฉันมันแย่ที่สุดเลย พี่ชายกับแบคฮยอนไม่ควรให้อภัยฉันซักนิดเลย ฮือออออออออออออออ”

     

     

    คำพูดของอี้ชิง แบคฮยอนไม่เข้าใจเลยซักนิดเลย

    เขาไม่รู้อะไรเลยซักนิด หากแต่ไม่รู้ทำไม น้ำในตาของตัวเองก็ไม่อาจหยุดไหลได้เลย

     
     

    อี้ฟานเฝ้ามองภาพเหตุการณ์ข้างหน้าด้วยสีหน้าที่สงสารคนทั้งสองจับใจ

    ผู้ชายตัวเล็กสองคนกำลังกอดกันกลมอยู่อย่างนั้น

     

     

    น้ำตาแห่งการจำเป็นต้องปล่อยวาง และน้ำตาแห่งความรักที่ไม่อาจปล่อยมือไปได้

    น้ำตาที่เด็กผู้ชายสองคนหลั่งลงพื้นดิน ล้วนมาจากความเจ็บปวดจากความรักเช่นเดียวกัน

     


     

    ในตอนนี้ เขารู้สึกสงสารทั้งอี้ชิงและแบคฮยอนเหลือเกิน

     

     

     

                {TBC}   



     

               ทำไมตอนนี้มันยาวเหลือหลาย ฮ่าๆ คือเราแค่อยากสื่อให้ทุกคนเห็นถึงความเจ็บปวดของอาอี้ด้วยค่ะ T^T

    เราขอบคุณคนอ่านทุกคนมากๆเลยนะคะ  เราดีใจเสมอที่มีคนอ่านฟิคเรา ^_^ ขอบคุณจริงๆค่ะ

     

    LITTLE  SWEET
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×