ด้วยความเป็นนักศึกษาเอกภาพยนตร์ พักนี้เลยต้องดูหนังบ่อยขึ้น แล้วก็ต้องเริ่มถามหาสาระมากกว่าความบันเทิงแล้วด้วย
อย่างไรก็ตาม อย่าเข้าใจผิดเชียนะว่าบล็อกนี้จะเขียนวิจาณณืหนังแบบซีเรียส
ผมแค่ต้องการเขียนว่าหนังเรื่องไหนมีอิทธิพลต่อผมบ้าง มีอิทธิพลอย่างไร
ส่วนเรื่องย่อนั้น ตอนแรกผมกะใส่มาด้วย แต่ผมคิดว่าบางทีไม่ใส่จะดีกว่า หากสนใจจริงๆก็ตามหาเรื่องย่ออ่านกันเอาเองละกันนะครับ 555
หนังบางเรื่องเราชอบ แต่มันอาจจะไม่ใช่หนังดี ดังนั้น หนัง11เรื่องที่ผมจะเขียนถึงต่อไปนี้ จะมีทั้งหนังที่ดี มีคุณค่า ได้รางวัลมากมาย ไปจนถึงหนังตลาดทั่วไปที่ดูก็ได้ไม่ดูก็ได้ ไม่จัดว่าดี แต่ก็ไม่ถึงกับห่วย ดูเอาเพลินได้ ประมาณนั้น
ส่วนหนังบางเรื่องที่ติดอันดับนั้น อาจจะมีหนังอื่นมาทำให้ผมประทับใจทีหลังมากกว่าก็ได้ แต่หนังที่มาทีหลังนั้นถ้าเป็นแนวเดียวกันหรือเล่าประเด็นเดียวกันก็จะไม่ได้ไต่อันดับขึ้นมาแทนที่ เพราะว่ามาช้าไป ความประทับใจกับหนังที่มาก่อนมันเปลี่ยนชีวิตผมไปแล้ว
ดังนั้น10หนังที่ผมเขียนถึงก็อาจไม่ใช่หนังที่ผมเห็นว่า "ชอบที่สุด หรือ ดีที่สุด" ก็ได้ เพียงแค่มาก่อนเท่านั้น อยากให้เข้าใจด้วยนะครับ
งั้นก็มาเริ่มที่เรื่องแรกกันเลย
1. The Lord of The Rings : The Fellowship of the ring
แม้ผมจะชอบภาคสามมากกว่า แต่ความที่ภาคแรกมาก่อน มันเลยเปลี่ยนชีวิตผมได้มากกว่า จำได้ว่าทันทีที่ออกจากโรงหนัง ผมรู้สึกว่าจินตนาการของผมเปิดกว้างมาก ถึงขั้นกลับบ้านไปนั่งเขียนนิยายแฟนตาซีแบบจริงจังเลยทีเดียว นี่เป็นหนังที่ทำให้ผมหันมาเอาดีทางด้านแต่งนิยายเปิดจินตนาการ แม้นิยายที่ผมแต่งส่วนมากจะเป็นแนวสยองขวัญ แต่บางเรื่องก็มีแฟนตาซีปนเข้าไปด้วย ก็เพราะอิทธิพลจากหนังเรื่องนี้นี่แหละครับ
2. The Ring
เหมือนผมจะชอบอะไรที่มันเป็นแหวนจังเลย หนังสยองขวัญเวอร์ชันรีเมคโดยฮอลลีวูดเรื่องนี้ก็มีอิทธิพลสูงมากๆสำหรับผม อันที่จริง สิ่งที่มีอิทธิพลแรกเริ่มคือซีรีส์เรื่องนี้จากฝั่งญี่ปุ่นมากกว่า แต่บล็อกนี้กล่าวถึงหนังเลยขอยกเรื่องนี้มากล่าวถึงด้วย เพราะให้อิทธิพลคนละแบบ อันที่จริงนิยายเรื่องนี้ก็เปลี่ยนชีวิตผมเหมือนกัน เอาไว้จะกล่าวถึงฉบับนิยายอีกทีในภายหลังครับ
หากซีรีส์เรื่องนี้จากทางญี่ปุ่นทำให้ผมชื่นชอบแนวสยองขวัญและเริ่มเปลี่ยนมาเขียนนิยายแนวนี้ หนังฉบับฮอลลีวูดก็สร้างอิทธิพลความหลอนในฉากผีคลานออกจากทีวีเหมือนกัน จำได้ว่ากลัวจนไม่กล้าเปิดทีวีตอนดึกหลายอาทิตย์ แม้เวอร์ชันฝั่งยุ่นจะน่ากลัวกว่า(แต่ฉากอื่นน่าเบื่อกว่า 555+) แต่ผมเห็นเวอร์ชันนี้เป็นฉบับแรก เลยประทับใจมากกว่า ทำให้ผมอยากแต่งนิยายแนวไขปริศนาแข่งกับเส้นตายไปพักใหญ่ทีเดียว (เอ๊ะ นิยายผมเรื่องนึงก็มีส่วนคล้ายคลึง รู้มั้ยเอ่ยว่าเรื่องไหน 555) เรียกได้ว่าชีวิตผมเปลี่ยนแบบหักเหครั้งใหญ่เพราะหนังเรื่องนี้นี่แหละ (ก็เล่นเปลี่ยนแนวแต่งนิยายจากแฟนตาซีเป็นสยองขวัญเลยนี่นา)
3. Kairo
เป็นหนังที่คนไทยด่าและสาปแช่งมากที่สุด ซึ่งทำเอาผมสมัยเด็กกลัวจนไม่กล้าบอกใครว่าชอบหนังเรื่องนี้ แต่เมื่อโตขึ้นและได้รู้ว่าหนังเรื่องนี้ดังมากในต่างประเทศ แถมผู้กำกับยังถูกกล่าวขานว่าเป็น new wave คนหนึ่ง ของวงการภาพยนตร์ในศตวรรษนี้ ผมก็รู้สึกดีใจว่า ตกลงมันคือหนังดีนี่เอง ผมไม่จำเป็นต้องอายใครว่าผมชอบหนังเรื่องนี้อีกแล้ว แต่อย่าได้เข้าใจผิดว่าผมเอารางวัลมาตีค่าหนัง หนังรางวัลหลายเรื่องผมไม่ชอบก็มี แต่แค่รางวัญสำหรับเรื่องนี้เป็นเครื่องบ่งชี้ให้ผมสบายใจว่าหนังที่ผมชอบไม่ได้ "ห่วย" ประมาณนั้นน่ะครับ
ผมชอบหนังเรื่องนี้เพราะอะไรเหรอ เพราะบรรยากาศกับบทและสถานการณ์ในเรื่องมันชวนหลอนจนขนลุกมาก ความโดดเดี่ยว ทะมึน ห่างเหินกัน การที่คนค่อยๆหายไปทีละคนสองคน และประเด็นเรื่องสื่ออินเตอร์เน็ตก็ดีจนต้องอุทานออกมาว่า "คิดได้ไงเนี่ย" แม้หนังจะไม่มีผีโผล่มาแบบทุกๆ5-10นาที เหมือน Ju-on หรือหนังผี GTH ทุกเรื่อง(ที่คนไทยชอบอวดกันเองว่าดีกว่าหนังผีอื่น แต่ผีบางตัวก็ก็อปสไตล์หนังผีต่างประเทศมานั่นแหละ บางเรื่องมาแนว เดอะ ริง ด้วย หึหึ ที่ผมพูดนี่ไม่ได้แปลว่าหนังผีไทยไม่ดีนะ ผมชอบหนังผีไทยเรื่องหนึ่งมาก แต่ขอบอกเลยว่าไม่ใช่หนังผีของ GTH แต่จะเป็นเรื่องไรนั้นขออุบไว้ก่อน หึหึ) เพราะหนังเรื่องนี้แม้ปิดลำโพงก็ไม่ลดความน่ากลัวของหนังลง ไม่ใช่หนังผีตุ้งแช่ และนิตยสารไบโอสโคป ก็จัดหนังเรื่องนี้เป็น1ใน6หนังสยองขวัญที่สามารถเขย่าขวัญคนดูได้โดยไม่ใช้เสียง เพราะบท ประเด็น บรรยากาศ สถานการณ์ในเรื่อง มันหลอนมากกว่าผีอีกน่ะสิ
ผีในเรื่องนี้ก็โผล่มาน้อยมาก โผล่มาแบบหลอนนิดๆ ไม่มากเท่าไหร่ แต่ฉากที่ผีผู้หญิงค่อยๆเดินช้าๆออกมาจากใต้บันไดแล้วบิดตัวไปมานี่ทำเอาผมเสียวสันหลังพอดูเหมือนกัน
หนังเรื่องนี้ทำให้ผมได้บทเรียนว่า บางครั้งสถานการณ์ที่ผีไม่โผล่ ก็สามารถเขย่าขวัญคนดูได้เหมือนกัน นิยายบางเรื่องของผม บางฉากจึงไม่มีอะไรโผล่ออกมาให้เห็นชัดๆ หากแต่อาศัยบรรยากาศและบริบทโดยรอบมาเป็นตัวเขย่าขวัญแทน ถ้าผมไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ นิยายผมอาจจะไม่ได้ออกมาเป็นแบบปัจจุบันนี้ก็เป็นได้
4. Signs
หนังสยองขวัญมนุษย์ต่างดาวเรื่องนี้ทำเอาผมแทบช็อคกับฉากลือชื่อที่มีมนุษย์ต่างดาวโผล่ให้เห็นในทีวี เป็นหนังที่ทำให้ผมประทับใจการเล่าเรื่องเน้นความสยองแบบเห็นไม่ครบไม่หมด ให้ไปจินตนาการต่อเอาเอง (the village ผมก็ชอบ แต่ไม่ถึงขั้นเปลี่ยนชีวิตผม)
สิ่งที่หนังเรื่องนี้เปลี่ยนชีวิตผมก็คือ ความที่ตัวหนังไม่ได้เล่นกับผี หรือฆาตกรโรคจิต แบบในหนังสยองขวัญทั่วไป แต่เล่นกับมนุษย์ต่างดาวได้แบบหลอนสุดขั้ว ทำให้ผมได้บทเรียนอีกขั้นว่า แนวสยองขวัญไม่จำเป็นต้องมีผี การที่นิยายแต่ละเรื่องของผมไม่ได้ผูกติดความสยองขวัญอยู่ที่ผี แต่เปลี่ยนไปเรื่อยๆตามแต่ละเรื่อง ก็เพราะอิทธิพลจากหนังเรื่องนี้แหละครับ (ว่าจะลองแต่งนิยายสยองขวัญที่เกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวซักที แต่ผ่านหลายปีก็ยังไม่ได้แต่งเลย 55)
5. Spiderman 2
หนังซุปเปอร์ฮีโร่เรื่องนี้ไม่ได้ส่งอิทธิพลกับแนวคิดในการแต่งนิยายของผมหรอก แต่ส่งผลถึงมุมมองของผมต่อความพยายามในการใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าต่างหาก ประเด็นเรื่องการทำความดีท่ามกลางอุปสรรคต่างๆนั้นกินใจผมมาก เรื่องราวต่างๆที่ปีเตอร์ต้องเผชิญทำให้เขาท้อแท้จนอยากเลิกเป็นฮีโร่ และเขาก็ได้รับบทเรียนมากมายว่าการใช้ชีวิตของคนเรานั้น จะต้องเผชิญกับอะไรบ้าง และเขาจะต้องเตรียมพร้อมรับมัน หากเค้าจะเป็นฮีโร่ บางครั้งเวลาผมพยายามอะไรสักอย่างแล้วท้อแท้ ผมก็จะคิดถึงชีวิตฮีโร่ผู้อาภัพในเรื่องนี้เป็นแรงผลักดันนี่แหละครับ
6. Dead Poet Society
ขอกล่าวถึงสั้นๆสำหรับหนังเรื่องนี้ว่า โคตรโดนใจ ประเด็นการฉีกกรอบที่ผู้ใหญ่วางและกำหนดให้เรา การทำตามฝัน ตามใจอยาก แต่หนทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบนั้น ทำเอาผมแทบน้ำตาซึมกับฉากจบ ผมเป็นคนที่มีแนวคิดอยากทำตามฝันตัวเองมากกว่าตามใจผู้ใหญ่อยู่แล้ว การดูหนังเรื่องนี้ก็เหมือนกับเด็กได้กินขนมหวานนั่นแหละ ไม่อยากบอกอะไรมากนอกจากแนะนำให้หามาดูกัน หนังเรื่องนี้ทำให้ผมมั่นใจกับแนวคิดของตัวเองมากขึ้น เพราะว่าคนเรานั้นจะต้อง "Seize the Day!" แบบในหนังไง
7. All about Lily Chou-Chou
หนังเรื่องนี้ส่งผลกับชีวิตผมสองอย่าง อย่างแรกคือทำให้ผมสนใจหนังนอกกระแส การตีความสัญญะในหนัง เรียกได้ว่าชักนำผมให้เข้าไปสู่เส้นทางการชมภาพยนตร์เพื่อมองหาสาระในตัวหนังมากกว่าความบันเทิง แถมหนังเรื่องนี้ยังตีแผ่ปัญหาชีวิตวัยรุ่นได้ดีมากจนผมดูกี่รอบก็ยังชอบ โดยส่วนตัวผมรู้สึกคล้ายตัวเองเป็นยูอิจิผสมทสึดะ แต่ผมไม่เจอเรื่องร้ายแรงเท่าพวกเขาเท่านั้นเอง ดังนั้นอิทธิพลอีกอย่างที่หนังมีต่อผมก็คือ การได้ "กำลังใจ" และ "มุมมองการใช้ชีวิต" ที่ทำให้ผมพยายามทนใช้ชีวิตมาได้ถึงวันนี้ อารมณ์ประมาณนั้นเลย
8. Love Letter
จาก ผกก. คนเดียวกับเรื่องที่7 แต่เป็นแนวรัก เป็นหนังรักไม่กี่เรื่องที่ผมชอบ ปกติผมกล้าพูดได้เลยว่าเป็นคนไม่ชอบดูหนังรัก แต่เรื่องนี้ต้องยกเว้นให้ ด้วยบทที่ดีไม่ต้องหวานเลี่ยนแบบหนังเกาหลีหรือหนังไทย"บางเรื่อง" (ที่ต้องเขียนว่า "บางเรื่อง" เพราะหนังดีๆของสองประเทศนี้ก็มีเหมือนกัน หากไม่เขียนไว้จะเหมือนเป็นการเหมารวม แต่ทุกประเทศมักจะมีหนังแย่มากกว่าหนังดีอยู่แล้ว) มันทำให้ผมได้แง่คิดแนวบวกว่า บางครั้งแม้รักจะไม่สมหวัง แต่ก็แอบมีความสุขลึกๆในใจเหมือนกัน หนังไม่ได้เฟคแนวๆ เพื่อรักฉันทำได้ทุกอย่าง รักโดยไม่หวังอะไร แต่เล่าความรักในแบบที่เป็นจริง นี่แหละที่ทำให้ผมชอบที่สุด โดยเฉพาะตอนจบที่เล่นเอาน้ำตาซึมเลย
9. Hana & Alice
หนังของ ผกก. คนเดิมกับสองข้อก่อนหน้านี้ เรียกได้ว่า ผกก. คนนี้ ทำหนังออกมาโดนใจผมไปหมด หนังเรื่องนี้ทำให้ผมรู้สึกว่า แม้คนเราจะเจ็บกับการรักใครแล้วคนนั้นไม่รักตอบ แต่ในอนาคตถ้ามองย้อนไปแล้วผ่านมันไปได้ ก็จะรู้สึกว่ามันเป็นแค่เรื่องตลก (หนังไม่ได้พูดถึงประเด็นนี้ตรงๆ หากแต่ต้องตีความสัญญะเอา) และที่สำคัญที่สุดก็คือ ต่อให้จะชอบผู้หญิงคนเดียวกัน แต่ถึงยังไง เพื่อนก็สำคัญกว่าอยู่ดี (หนังเรื่องนี้ช่วยผมไว้ถึงสองครั้ง กับการที่ผมอกหักจากผู้หญิงสองคน แม้หนึ่งในสองนั้นจะยังทำให้ผมเจ็บมาจนทุกวันนี้ก็ตาม)
10. Taiyo no Uta (Midnight Sun)
หลังจากที่9เรื่องแรกมีหนังคุณภาพซะเยอะ มาถึงเรื่องสุดท้ายนี้ผมเองก็ยังลังเลว่าจะเป็นหนังที่ดีหรือไม่ ผมรู้สึกว่ามันเป็นหนังที่คุณจะดูหรือไม่ดูก็ได้ ตัวผมเคยดูหนังเรื่องนี้รอบนึงทางเคเบิลทีวีก็เกือบหลับไปแล้ว แม้ผมจะชอบนักแสดงนำในเรื่องที่เป็นนักร้องก็ตาม (เพลงเธอเพราะและความหมายดีมาก แถมเธอยังน่ารักและเรียบร้อยอีกตะหาก ไม่เคยแต่งตัวโป๊เลย ผมชอบผู้หญิงเรียบร้อยด้วยสิ 55)
พลังของหนังเกินครึ่งมาจากความน่ารักของนางเอก เพราะเป็นหนังขายเพลงและนักร้องที่มาแสดงนำ ความน่ารักของเธอจึงทำให้ผมทนดูไปได้จนเกือบจบ บทหนังประเด็นไม่ลึกเท่าไหร่ การตามฝันของนางเอกเพื่อเป็นนักร้องยังไม่มีพลังเท่าที่ควร ฉากรักก็ยังไม่ซึ้งขนาดนั้น แต่ฉากท้ายของหนังที่จบแบบสูตรสำเร็จหนังแนวนี้คือขึ้นเพลงคลอไปกับฉากจบนั้นสะเทือนใจจนคราวนี้ไม่ใช่แค่น้ำตาซึม แต่ถึงกับน้ำตาคลอเลยทีเดียว
ส่วนถัดจากนี้ไปจะสปอยล์ตอนจบของหนัง ซึ่งคนที่ไม่เคยดูแล้วอยากดูมาอ่านอาจสาปแช่งผมเอาก็ได้ ใครที่ยังไม่อยากรู้ก็ข้ามไปได้เลยครับ
หนังแนวนางเอกตายตอนจบเนี่ย จบแบบไม่ต้องกระชากอารมณ์คนดูแบบสุดๆกลับสะเทือนใจผมกว่าที่คิด อาจเพราะบทปูมาให้เห็นความใสซื่อ ไร้เดียงสา ไม่แก่แดด แถมมีฝันของทั้งสองคน จึงทำให้ผมรู้สึกอินขึ้นมามั้ง แถมตอนจบตอนที่หนังขึ้นเพลงคลอไปด้วยแล้ววิ่งฉากสถานที่ที่นางเอกเคยอยู่นั้น ทำให้ผมรู้สึกใจหาย ซึ่งหากบทไม่ได้ปูให้ตัวละครนางเอกมาดีในระดับนึง ฉากนี้ย่อมขาดพลัง แต่ผมว่าส่วนหนึ่งเพราะผมชอบนักร้องที่แสดงนำคนนี้ด้วยและ ก็เลยอินกว่าเดิม หึหึหึ อ้อ ลืมไป สัญญะในเรื่องที่ผมชอบคือ ดอกทานตะวัน ซึ่งเห็นได้บ่อยมากในเรื่องนี้
สรุปคือนี่ไม่ใช่หนังที่พูดได้เต็มปากเต็มคำว่า กำกับดี บทดี แสดงดี เพลงเพราะและตอนจบทำออกมาได้ดีกว่าตอนเริ่มเรื่อง ถ้าผมดูหนังเรื่องนี้ในช่วงเวลาอื่นผมอาจจะไม่อินก็ได้ แต่เพราะผมหยิบมันมาดูในช่วงนี้ ก็เลยอิน เรียกได้ว่าเป็นเรื่องของช่วงเวลามากกว่าตัวหนังเองที่ทำให้ผมชอบหนังเรื่องนี้ 55
สิ่งที่ทำให้ผมเก็บมาคิดก็คือ เรื่องของนางเอกที่มีความฝันและความรักนั่นแหละ แม้หนังจะประเด็นไม่ลึกมากอย่างที่บอกไปตอนต้น แต่ผมที่ช่วงนี้ชอบรู้สึกอยากตาย แต่อยากทำฝันให้ได้ก่อนตายนั้น เก็บเอามาคิดว่า นางเอกของเรื่องเอกก็อยากทำฝัน อยากมีความรักก่อนตาย และเธอมีวันนี้ได้ก่อนตายเพราะเธอมีคนรักที่คอยสนับสนุน จึงอยากมีชีวิตอยู่นานๆ
การที่ผมกำหนดว่าอยากตายตอนอายุ28 เพราะผมอยากทำฝันให้เสร็จเหมือนนางเอก แต่ผมเองก็ไม่แน่ใจตัวเองนักว่าอะไรกันที่มีอิทธิพลกับตัวผมมากพอกับความฝัน อะไรที่ทำให้ผมอยากมีชีวิตยืนยาว และหนังเรื่องนี้ก็ตอบผมได้ว่า บางทีผมอาจแค่ต้องการคนที่ผมรักและคนนั้นก็รักผม มาคอยให้ความรัก ให้กำลังใจ ให้การสนับสนุนอยู่เคียงข้างก็เป็นได้
ความคิดเห็น
เฮีย บางเรื่องจอยก็ยังไม่ได้ดู บางเรื่องก็ ดูแล้ว
เด๊ยว จะไปหาเรื่องที่ ยังไม่ได้ดูมาดู อิอิอิอิ
เฮีย บรรยายซะอยากดูเลย วุ้ย