ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สมมติว่าโลกหยุดหมุน

    ลำดับตอนที่ #10 : บทที่สาม ทะเลทราย (เรื่องเล่าจากลัชช์)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 50
      0
      25 เม.ย. 52

    “หวาย...ลัชช์ สภาพแผลดูไม่ได้เลยนะ”ฝ้ายทำหน้าเบ้ ขณะที่เอาสำลีชุบแอลกอฮอล์ทารอบๆ ปากแผลที่อยู่ตรงขมับด้านซ้ายของผม
    “อ๊าก! เบาๆ สิฝ้าย” ผมโอดครวญ เมื่อแม่คุณเล่นทำแผลซะไม่มีออมแรง โดยที่มีวินั่งข้างๆ คอยเป็นลูกมือ
    หลังจากเอากิ๊กเข้าห้องแล้ว ไอ้วิก็ลากผมมาทำแผล ค้นลังที่วางกองอยู่ในมุมห้องและกลับมาพร้อมกับชุดปฐมพยาบาลเบื้องต้น จากนั้นก็ปล่อยให้ฝ้ายจัดการคนเจ็บ
    “จะให้ทำยังไงล่ะ แผ่นดินไหวมันไม่หยุดซักทีนี่”ฝ้ายบ่นกับผม แต่สายตากลับตวัดไปมองที่วิ ซึ่งเจ้าตัวก็หลบตาทันที ผมเฝ้าดูอาการของเพื่อนทั้งสองคนที่ดูท่าจะมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ แต่นิสัยผมก็ไม่ใช่พวกช่างถาม จึงได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ
    “เอ้า! เสร็จแล้ว! ฝ้ายผลักหัวผมออกหลังจากที่พันแผลเสร็จ ผมที่ไม่ทันระหวังตัวจึงหงายหลังตึง
    “เฮ้ย! นี่จะทำแผลหรือสร้างแผลกันแน่เนี่ย”ผมโวยวาย แต่ก็ต้องหุบปากเงียบ เพราะฝ้ายดึงมือวิเข้ามา ส่วนมืออีกข้างขยี้ตาแรงๆ แล้วเริ่มทำแผลให้อีกคน
    ผมชักทำหน้าไม่ถูก จะให้นั่งอยู่เป็นก้างขวางคอก็กระไรอยู่ เลยลุกขึ้นตั้งใจจะเดินไปดูยัยตัวเล็ก แต่ยังไม่ทันบิดขี้เกียจเสร็จ จู่ๆ ก็มีแรงกระชากมหาศาลเหวี่ยงพวกเราอัดกำแพง
    ผมเก็บคองอเข่าทันทีตามสัญชาตญาณทำให้ไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก ลงมานอนไอแค่กๆ กับพื้น ทันใดนั้นภาพดวงตาโตสีดำคู่สวยก็ผุดขึ้นมา ดวงตาที่เต็มไปด้วยความร่าเริงแต่แฝงความหม่นหมองไว้ลึกๆ
    กิ๊ก!?
    ผมวิ่งไปที่ห้องเล็กนั้นด้วยความทุลักทุเล และเมื่อเปิดเข้าไปภาพที่เห็นก็ทำเอาใจหาย ยัยตัวเล็กนอนกองอยู่กับพื้น พอผมปราดเข้าไปประคองก็เห็นสภาพเธอชัดมากขึ้น
    กิ๊กตาบวม มีคราบน้ำตาอยู่บนแก้มทั้งสองข้าง ท่าทางเหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก ร่างกายอ่อนปวกเปียก
    “กิ๊ก...กิ๊กเป็นยังไงบ้าง เจ็บตรงไหนรึเปล่า”ผมถาม แต่ก็ไรซึ่งคำตอบเหมือนทุกครั้ง อันที่จริง...เธอไม่ได้มองหน้าผมด้วยซ้ำ
    “นี่...ตอบเราหน่อยสิ เงียบอย่างนี้เราใจไม่ดีนะ”
    “...กิ๊กโกรธเราเหรอ”
    ผมเกือบจะเป็นคนบ้าที่พูดอยู่คนเดียวแล้วตอนที่ได้ยินเสียงฝ้ายหวีดร้อง ผมรีบอุ้มกิ๊กไปวางไว้บนเตียงแล้วเอาผ้าห่ม ห่มให้
    “เดี๋ยวเรากลับมานะ”ผมบอกเธอแล้ววิ่งออกไป
    ไอ้บ้าวิ... มัวทำอะไรอยู่วะเนี่ย ผมก่นด่าเพื่อนในใจ เมื่อเลี้ยวเข้าไปในห้องโถงก็พบกับฝ้ายที่นั่งหน้าซีดตัวสั่น มือที่กุมหัวตัวเองไว้สั่นระริก ในขณะที่วิซึ่งหน้าขาวไม่แพ้กันกำลังปลอบฝ้ายด้วยเสียงสั่นๆ ที่จับใจความไม่รู้เรื่อง
    “เกิดอะไรขึ้น” ผมถาม ไอ้วิอ้าปากจะตอบแต่ก็หุบลง แล้วอ้าปากขึ้นมาใหม่แต่ก็หุบลงไปอีก มันได้แต่อ้าปากพะงาบๆ อยู่อย่างนั้นจนในที่สุดก็ส่ายหน้าเป็นเชิงยอมแพ้ แล้วชี้นิ้วไปที่ทางออกแทน
    ผมทุบปุ่มสีแดง ประตูเหล็กกล้าค่อยๆ เลื่อนออก และเมื่อหัวพ้นช่องลับไปแล้วก็ต้องตะลึงตาค้างกับสิ่งที่เห็น
    ทะเลทราย! ผืนทรายกว้างสุดลูกหูลูกตา บนท้องฟ้ายังไม่มืดมากนักแต่เริ่มมีดาวอยู่ประปราย พระสุริยะลูกกลมโตสีส้มอมชมพูส่องแสงเรืองรอง ไม่สามารถแยกออกได้ว่าเป็น รุ่งอรุณหรือยามอาทิตย์อัสดงกันแน่
    ผมมองทะเลทรายสลับกับหน้าเพื่อทั้งสองคน กลืนน้ำลายอึกใหญ่
    “ให้ตายเถอะ” ดูเหมือนว่าลางสังหรณ์ของผมจะเป็นเรื่องจริง...
    นี่มันแย่ยิ่งกว่าแผ่นดินไหวซะอีก!
    **********************
     
    “ก่อนหน้านี้ก็แผ่นดินไหว คราวนี้ก็ทะเลทราย นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!” ฝ้ายร้อง ผมกับวินั่งกันอีกคนละมุมห้อง แม้จะไม่ได้พูดอะไรแต่สิ่งที่คิดก็ไม่ได้ต่างจากฝ้ายเท่าไหร่
    นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นมา
    ทำไมและเพราะอะไร
    เราจะรอดได้ย่างไร
    จะเกิดอะไรกับเราต่อไป...
    ผมเอาศีรษะพิงกำแพงอย่างอ่อนแรง ความคิดมากมายประเดประดังอยู่ในหัว แต่ยิ่งคิดมากเท่าไหร่ ความท้อแท้และสิ้นหวังกลับเพิ่มขึ้นเท่านั้น
    บรรยากาศในฐานทัพลับแห่งนี้น่าอึดอัดเข้าไปทุกที มันเข้มข้นจนหายใจลำบาก ความเครียดที่ทำให้หัวแทบระเบิด
    และในที่สุดความกดดันก็มาถึงขีดสุด เมื่อวิลุกขึ้นมาตะคอกฝ้ายที่ยืนโวยวายอยู่กลางห้องแล้วเริ่มทะเลาะกัน ผมเอามือกุมขมับ แค่เสียงฝ้ายคนเดียวก็แย่แล้ว แต่ตอนนี้ดันมีเสียงไอ้เพื่อนเวรอีกคน ผมได้ยินเสียงเส้นประสาทเต้นตุบอยู่ในสมอง
    “หนวกหูโว้ย! แม่งจะทะเลาะอะไรกันนักหนาวะ” ผมตะคอกใส่เพื่อนทั้งสองคน แล้วก็เดินปึงปังจากมา
    **********************
     
    กิ๊กนอนตาลอย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมเข้ามาในห้อง ผมจับมือเล็กๆ มาแนบแก้ม
    “...เราควรจะทำยังไงดีนะกิ๊ก” ผมถามแม้จะรู้อยู่แล้วว่าเธอไม่มีทางตอบแน่
    หนึ่งปี...ก็มีผลกระทบเหมือนกันนะ ผมไม่ได้รู้สึกไร้ที่พึ่งแบบนี้มานานมากแล้ว ที่ผ่านมาเวลาผมมีปัญหาอะไร ยัยตัวเล็กก็จะมาช่วยแก้ทุกครั้ง
    ผมเอาคางเกยฟูก มองหน้ากิ๊กที่ไร้ความรู้สึกและเย็นชา ไม่เหมือนคนช่างยิ้มคนเก่า
    “ไม่สมกับเป็นกิ๊กเลยนะ” ผมบอกเธอ “กิ๊กที่เรารู้จักน่ะร่าเริงสดใสตลอดเวลา ไม่ได้ทำหน้าตายแบบนี้ซักหน่อย” ผมว่า แล้วจู่ๆกิ๊กก็เอ่ยขึ้นมาเป็นครั้งแรก
    “พ่อ...แม่...” แทนที่จะดีใจผมกลับอารมณ์เสีย พ่อแม่มีดีอะไรนักหนา ทำไมต้องให้ความสำคัญ ทำไมต้องเป็นห่วงมากมาย ก็แค่...คนที่สนองความอยากของตัวเอง บังคับให้เราเกิดมา ไม่ถามเราซักคำ พอเราเกิดมากลับทิ้งขว้างราวกับเป็นขยะ คนเหล่านี้มีดีอะไร...
    เหมือนกิ๊กจะอ่านใจผมออกจึงพูดต่อ “ลัชช์ไม่เข้าใจ... ไม่จำเป็นต้องเป็นพ่อแม่ ขอแค่เป็นคนที่รักเราโดยไม่หวังผลตอบแทน เป็นคนที่สอนให้เรารู้จักรักคนอื่น เป็นใครก็ได้ที่สามารถทำให้เรารู้ว่า โลกที่เราอยู่ก็ไม่ได้เลวร้ายเกินไปนัก”
    ระหว่างที่กิ๊กพูดอยู่นี้ เธอไม่ได้มองหน้าผมเลยแม้แต่ครั้งเดียว แถมยังดูเหม่อๆเหมือนไม่รู้สึกตัว ผมนั่งฟังกิ๊กเงียบๆ ในใจมีภาพของคนสองคน
    คนแรกคือคนที่นอนอยู่ตรงนี้ ส่วนอีกคน...
    ความคิดของผมถูกขัดจังหวะเมื่อกิ๊กเริ่มพูดต่อ “แต่ตอนนี้...คนสำคัญที่สุดของเราไม่เป็นตายร้ายดียังไง มันทรมานนะลัชช์ การเฝ้ารอโดยไม่มีจุดหมายอย่างนี้ เค้าไม่อยากรอ เค้าไม่อยากสูญเสีย เค้าไม่อยากอยู่คนเดียว เค้า...เค้า...”
    ภาพลักษณ์ของกิ๊กคือเด็กสาวตัวเล็กที่เข้มแข็ง นี่เป็นครั้งแรกที่เธอทำตัวอ่อนแอขนาดนี้ แต่ก็เพราะสิ่งที่กิ๊กเล่ามา ทำให้ผมเริ่มเข้าใจสาเหตุของอาการหมดอาลัยตายอยากของยัยตัวเล็กขึ้นมาบ้างแล้ว
    การรอคอยไม่มีที่สิ้นสุด...
    “กิ๊กจำได้มั้ยเมื่อตอนบ่ายเราเล่าเรื่องค้างไว้ เราขอเล่าต่อเลยนะ”
    **********************
     
    ตอนผมอายุได้ราวสิบสามปลายๆ ชิกิก็เริ่มแปลกไป เวลาเธอคุยกับผม เธอจะไม่สบตา บางครั้งจะนั่งเงียบๆ เหมือนคิดอะไรคนเดียว ความสดใสลดลง บรรยากาศชวนอึดอัดเพิ่มมากขึ้น
    จากการมาเยี่ยมทุกๆสามวันก็กลายเป็นเป็นหนึ่งอาทิตย์ สามอาทิตย์ และสุดท้ายก็กลายเป็นสองเดือน
    ชิกิไม่ใช่ “ยัยม้าดีดกะโหลก” อีกต่อไป เลิกปีนต้นไม้ เลิกวิ่งเล่น ไม่สู้อากาศร้อน ไม่ทนอากาศหนาว อาการหอบก็ถี่มากขึ้น ดูเหมือนว่าปัญหาสุขภาพของชิกิจะแย่ลงไปทุกที
    มีอยู่วันหนึ่ง ผมบอกชิกิไปเหมือนทุกทีว่า ให้ห่วงตัวเอง ไม่ต้องห่วงผม ตัวผมน่ะจะมาหาเมื่อไหร่ก็ได้ แต่สุขภาพของเธอน่ะต้องดูแลให้ดี
    ทว่าปฏิกิริยาตอบโต้ของเธอคือร้องไห้ ภาพที่เกิดขึ้นในตอนนั้นผมยังจำได้ติดตา
    “ลัชช์! ลัชช์ไม่รักชิกิแล้วเหรอ!” หน้าหวานเลอะไปด้วยคราบน้ำตา สองมือกระชากคอเสื้อผมจนหน้าเราห่างกันไม่ถึงคืบ
    “ใจเย็นสิชิกิ พี่ไม่ได้พูดอย่างนั้นซักหน่อย” ผมมองหน้าน้องสาวด้วยความงุนงง ผมพูดอะไรผิดไปหรือ ก็แค่บอกให้ดูแลสุขภาพทำไมถึงต้องโกรธขนาดนี้ ปกติไม่เคยเป็นอย่างนี้เลย
    “ทำไมล่ะลัชช์! ทำไม! ทำไมถึงไม่อยากเจอชิกิ! ชิกิทำผิดตรงไหน!” หน้าเธอเริ่มซีด หายใจถี่เร็ว มือที่กำคอเสื้อผมสั่นไม่หยุด
    “ไม่ใช่อย่างนั้น พี่ก็แค่เป็นห่วง” ผมว่า จับมิเล็กของชิกิไว้ แต่เธอสะบัดออกทันที
    “โกหก! ลัชช์ไม่รักชิกิแล้ว! ลัชช์เกลียดชิกิแล้วใช่มั้ย!” เธอร้องแล้ววิ่งหนีไป
    “เฮ้ย! เดี๋ยวชิกิ อย่างวิ่ง...” พูดไม่ทันขาดคำ ชิกิก็ล้มลง ผมสบถวิ่งเข้าไปประคองเธอไว้
    ชิกิกดหน้าอกข้างซ้ายไว้แน่นราวกับว่าจะมีอะไรระเบิดออกมา ตาเหลือก หน้าที่เหยเกด้วยความทรมานเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียว ตอนนั้นผมตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ร้องเรียกให้ใครสักคนมาช่วย
    โชคยังดีที่ยังมีคนอยู่แถวนั้นทำให้สามารถส่งชิกิไปโรงพยาบาลได้ทัน ส่วนผม...ถูกลงโทษสารพัด ทั้งโดนกดน้ำ พอจะหมดสติก็ถูกดึงขึ้นมาแล้วกดลงไปอีก จากนั้นก็ถูกเอาไปขังคุกเย็นทั้งๆที่ตัวยังเปียก อดข้าว แล้วก็ไปนั่งคุกเข่าขอขมาโอโบะซัง(น้าสาว-แม่ของชิกิ) กับพ่อ ซึ่งระหว่างที่ขอขมาอยู่นั้นก็ยังโดนเฆี่ยน โอโบะซังเหยียบ พ่อกระทืบ และปิดท้ายด้วยการถอนเล็บห้าเล็บเป็นของกำนัล บรรเทาโทสะท่านเจ้าบ้าน
    บทลงทัณฑ์ที่ยาวนานและทรมานที่สุดในชีวิต สามวันที่ถูกบังคับไม่ให้นอน แต่ต่อให้โดนปล่อยตัว ผมก็คงไม่ได้หลับอยู่ดี เมื่อภาพของน้องสาวที่อาการกำเริบคอยหลอกหลอนคลอดเวลา
    ชิกิ...คงเกลียดผมแล้วกระมัง
    คงจะไม่มาหาอีกแล้ว อืม...เอาเถอะ อย่างไรเสียก็ดีต่อร่างกายของชิกิ
    อยู่ด้วยกันก็ดูแลไม่ได้อยู่ดี
    เป็นอย่างนี้แหละดีแล้ว...ดีแล้วจริงๆ
     
    ผมไม่ได้พบกับชิกิอีกเลยตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งนั้น จนกระทั่งเกือบถึงเดือนธันวาคมที่เป็นเดือนเกิดของผม
    ผมออกมาเดินดูดอกไม้ในช่วงฤดูหนาว แล้วเผอิญไปเจอครออบครัวของพ่อเข้าอย่างจัง ผมรู้ว่าน้องสาวเห็นผมแต่ผมกลับเสมองไปทางอื่น ทำท่าจะเดินย้อนกลับ ตอนนั้นเองที่ชิกิวิ่งเข้ามากระโดดกอดผมโดยไม่สนคำห้ามปรามของโอโบะซัง
    “ลัชช์! ชิกิขอโทษ ชิกิขอโทษ ชิกิขอโทษ ลัชช์ไม่เกลียดชิกิใช่มั้ย” ชิกิเอาหน้าซุกอกผม สะอึกสะอื้น
    “เอ่อ...” ผมเริ่มรู้สึกถึงอันตรายที่ส่งผ่านสายตา โดยผู้ใหญ่ที่อยู่แถวนั้น
    “ลัชช์ไม่เกลียดชิกิใช่มั้ย” เธอถามซ้ำอีกครั้ง ผมยิ้ม ลูบหัวน้องสาว
    “จะเกลียดได้ยังไงล่ะ น้องพี่ทั้งคน” ช่วงเวลาหนึ่งที่ผมเห็นว่าสายตาที่ชิกิมองผมนั้นกลับดูปวดร้าวมากกว่าเดิม แต่ผมทำเป็นไม่สนใจ
    “ลัชช์ไม่เกลียดชิกิ ทั้งๆที่ชิกิพาลใส่ลัชช์งั้นเหรอ” ชิกิช้อนสายตาขึ้นมามองผม ขนตาพราวระยับราวกับมุกด้วยน้ำตา
    “อืม...ไม่เกลียดหรอก”ผมยืนยัน ชิกิยิ้มเศร้าๆ ให้ผม
    “งั้นถ้าชิกิไม่อยู่แล้วลัชช์ยังจะรักชิกิอยู่มั้ย” ผมยืนนิ่ง เค้นคำพูดที่อยู่ในลำคออกมาอย่างยากเย็น
    “...หมายความว่ายังไง” ผมบีบไหล่น้องสาวแน่น ตาสีน้ำตาลเข้มเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา
    “ช่วงครึ่งปีที่ผ่านมานี้...อาการชิกิกำเริบบ่อยขึ้น หมอบอกว่าถ้าไม่รีบผ่าตัดอาจจะไม่รอด” ชิกิสะอื้น ไหล่เล็กๆของเธอสั่นสะท้าน
    “ก็รีบไปผ่าตัดสิ” ดึงตัวน้องสาวไปปลอบ
    “มันไม่ง่ายอย่างนั้นน่ะสิ ลัชช์... ที่ผ่านมาชิกิก็รอ รอให้มีหัวใจมาปลูกถ่าย แต่ว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีหัวใจที่ชิกิสามารถใช้ได้” ชิกิเอามือปาดน้ำตาออก จ้องหนาผมนิ่ง
    “ลัชช์...ชิกิต้องไปอเมริกา” เหมือนสายฟ้าผ่าเข้ามากลางใจ
    อเมริกา... ถ้ายังอยู่ในเมืองไทยอย่างไรก็คงหาวิธีมาเจอกันได้ แต่นี่...
    “ชิกิขอโทษที่อยู่เป็นเพื่อนลัชช์ไม่ได้ ลัชช์ ถ้าชิกิไม่อยู่แล้วลัชช์จะคิดถึงชิกิมั้ย” ผมคลี่ยิ้มบางๆให้น้องสาว แม้มันจะเป็นยิ้มที่อ่อนแรงมากก็ตามที
    “เรื่องนั้นมันแน่อยู่แล้ว” ชิกิยิ้มให้ผม เขย่งเท้าขึ้นมากระซิบเบาๆที่ข้างหู
    “ชิกิรักลัชช์นะ” แล้ววินาทีนั้นเองเธอก็ดึงคอเสื้อผมลงมา ผมเบิกตากว้างสัมผัสที่ได้รับ
    “ชิ...ชิ...ชิกิ”ผมพูดไม่เป็นภาษารู้สึกร้อนไปจนถึงใบหู ชิกิหัวเราะคิก “ชิกิรู้อยู่แล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้ ลัชช์ไม่เคยมองชิกิอย่างนั้นเลย นี่...เป็นบทลงโทษสำหรับพี่ชายที่ไม่ยอมรับความรู้สึกของน้องสาว”
                    ผมได้ยินเสียงพ่อเรียกชิกิให้ขึ้นรถ เธอเอามือไขว้หลัง “สัญญานะลัชช์..ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็อย่าลืมชิกิเด็ดขาดนะ” เธอว่าอย่างนั้นแล้วก็เดินไปหาพ่อ
    ผมเอามือแตะริมฝีปาก เรื่องแบบนี้จะไปลืมลงได้ยังไงวะยัยน้องสาวบ้า
     
    หลังจากชิกิออกไปแล้วผมก็โดนเรียกตัวให้ไปพบท่านเจ้าบ้าน
    “เรื่องของเจ้าที่ถูกประโคมเป็นข่าวเมื่อสิบปีก่อนทำให้เรากำจัดเจ้าไม่ได้ แต่ตอนนี้ถึงเวลาแล้ว...”ชายชราเอ่ยเนิบๆราวกับไม่ได้พูดเรื่องสลักสำคัญอะไร
    “ในคราแรกนั้นเราตั้งใจว่าเมื่อถึงเวลาเจ้าจะหายสาบสูญไปจากโลกนี้ทันที ทว่า...หลานสาวของเรา ชิกิ ได้ขอร้องเราไว้ให้ไว้ชีวิตเจ้า เห็นแก่หลานสาวของเรา...เราจะปล่อยเจ้าไป” ผมนั่งนิ่งไม่ได้พูดอะไร ทันใดนั้นผมก็โดนฟาดที่หลัง
    “เฮ้ย! ไอ้หนู ท่านเจ้าบ้านอุตส่าห์ไว้ชีวิตแก แกจงกราบขอบคุณท่านซะ” ผมกัดฟันกรอด แต่ก็ยอมก้มคำนับอยู่ดี
    “ที่อยู่ของเจ้าเราได้จัดเตรียมไว้ให้แล้ว จะเอาไปใช้อยู่หรือจะใช้ฆ่าตัวตายก็ตามใจ ส่วนเงินที่จะใช้กินใช้อยู่...คงรู้สินะว่าต้องทำอย่างไร ไปได้แล้ว...แล้วอย่าได้เข้ามาที่นี่อีกเป็นครั้งที่สอง เพราะเจ้าไม่มีโอกาสอีกแน่” ผมโดนฟาดอีกทีเป็นความหมายให้โค้งคำนับอีกครั้ง แต่ในเมื่อผมถูกไล่ออกจากตระกูลแล้วก็คงไม่ต้องเกรงใจอีกต่อไป หมัดลุ่นๆ อัดเข้าใส่ชายผู้ไม่ทันระวังตัวจนกระเด็น
    “ขอบคุณสำหรับความเมตตาของท่านเจ้าบ้าน งั้นผมก็ขอลาและหวังว่าเราคงจะไม่ได้เจอกันอีก”
     
    ผมยังติดต่อกับชิกิอยู่เรื่อยมา
    จนกระทั่งหลังจากผมมาอยู่ได้สามเดือน
    ชิกิก็ขาดการติดต่อไป
    ...ก่อนการผ่าตัด
    **********************
     
    “...ตั้งแต่วันนั้นชิกิก็ไม่โทรหาเราอีกเลย กิ๊กรู้มั้ย เรารอ...รอมานานมาก ได้แต่เฝ้ารอ ภาวนาขอให้การผ่าตัดประสบผลสำเร็จ ได้แต่หวังว่าชิกิจะยังมีชีวิตอยู่ หวัง หวัง หวังอย่างเดียว โดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้
    “กิ๊กอาจจะเจ็บปวดที่ต้องอยู่ตัวคนเดียว แต่ก็ไม่ได้มีแค่กิ๊กคนเดียวหรอกนะที่รู้สึกอย่างนั้น เราเข้าใจ ในเมื่อเรารอมานานมากกว่ากิ๊กซะอีก
    “แต่ต่อให้ไม่เหลือใครแล้วกิ๊กก็ยังจะมีเราอยู่ข้างๆ กิ๊กไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว อย่าบอกว่าไม่มีใคร เพราะฉะนั้น เราขอร้องล่ะ อย่าแบกรับความทุกข์ไว้คนเดียวอีกเลย แบ่งมาให้เราบ้างก็ได้ อย่าปิดใจตัวเองแบบนี้
    “หรือว่าเรายังรักกิ๊กไม่พอ ยังดีไม่พอให้กิ๊กเปิดใจ...!” ผมหยุดพูดกะทันหันเมื่อมือเล็กลูบแก้มผมเบาๆ
    “ขอโทษนะลัชช์ที่เค้าพูดจาเอาแต่ได้ ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วลัชช์ยังต้องเจ็บปวดกว่าเค้าอีก เค้านี่แย่จริงๆ เลยเนอะ”
    “กิ๊ก...”
    “จากนี้ไปเค้าต้องเข้มแข็งให้มากขึ้น”กิ๊กมองผมด้วยสายตาเด็ดเดี่ยวไม่เหมือนคนอ่อนแอเมื่อหลายชั่วโมงก่อน ผมแค่นยิ้มให้ยัยตัวเล็ก ไม่รู้จะบอกเรื่องที่เกิดขึ้นให้รู้ได้อย่างไร
    ผมมองเธอด้วยสีหน้ากังวล กิ๊กที่แม้จะยังไม่รู้เรื่องทั้งหมดแต่ก็เข้าใจความหมายดีพยายามชันกายลุกขึ้น
    “ลัชช์...เกิดอะไรขึ้น” ผมไม่พูดอะไรแต่จูงมือกิ๊กให้เดินตามมา ฝ้ายกับวิดูเหมือนจะเลิกทะเลาะกันแล้วฝ้ายนั่งกอดเข่าอยู่ข้างๆบันได ส่วนวินั่งอยู่อีกฟากตรงมุมห้องที่มีกล่องกระดาษวางอยู่ ผมเมินเพื่อนทั้งสองคนแล้วพากิ๊กเดินออกมาจากฐานลับและภาพที่เห็นก็ทำให้ยัยตัวเล็กตัวแข็งทื่อ บีบมือผมแน่น
    “เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง พอแผ่นดินไหวหยุด...หลังจากที่มีแรงเหวี่ยงพวกเราอัดกำแพงน่ะ พอออกมามันก็กลายเป็นอย่างนี้ไปแล้ว” ผมอธิบายสถานการณ์ที่ฟังดูแล้วไม่มีทีท่าว่าจะช่วยได้สักนิด
    กิ๊กไม่ได้พูดอะไรแต่เงยหน้าขึ้นและผมก็ทำตาม เรายืนจับมอดูท้องฟ้ากันอยู่อย่างนั้น
     
    “ต่อให้ไม่เหลืออะไรอยู่ในมือ แต่ขอแค่ที่ตรงนี้มีเธอข้างๆก็เพียงพอแล้ว...”
     
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×