ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (END) 두근두근 ♡ HEARTBEAT | chanbaek hanhun

    ลำดับตอนที่ #27 : ` ( 두근두근 ♡ 24 )

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.33K
      14
      29 พ.ค. 58









        


     


     

     

     

    โยนปากกาใส่สมุดด้วยความหงุดหงิดงุ่นง่าน ร่างสูงสไลด์เก้าอี้ออกห่างจากกองการบ้านมหึมาในวันเปิดและเงยขึ้นมองเพดานสีขาว ไม่ว่าจะทำอย่างไร เรื่องที่ติดอยู่ในหัวทั้งวันนี้ก็ยังสลัดออกไปไม่ได้ เขาอยากหาคำอธิบายให้มัน ให้เรื่องบ้าๆที่เข้ามาขัดขวางความสัมพันธ์ระหว่างคนในความคิด ลู่หานก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ตลอดทั้งช่วงบ่ายก็เอาแต่หน้าบูดและพูดจาชวนให้เขาฟุ้งซ่านเป็นเพื่อน พากันเข้าสู่ยุคมืดเห็นๆ

     

     

    เสียงข้อความเข้าเรียกให้ปาร์คชานยอลละสายตาจากสมุดการบ้านแล้วเอื้อมไปหยิบมันมากดดู ทั้งที่ก็ทำเฮิร์ทไปอย่างนั้น พอเห็นว่าชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอเป็นของใคร หัวใจเจ้ากรรมก็เล่นทรยศความเสียใจทั้งหมดทั้งมวลที่ตั้งแง่มาตลอดวัน

     

     

    วันนี้ขอโทษนะ

     

     

    ชานยอลยิ้มกว้างเท่าที่ริมฝีปากจะฉีกออกได้ เอนตัวพิงพนักเพื่ออ่านข้อความซ้ำอีกหลายต่อหลายรอบแล้วจึงผุดลุกจากหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อเดินไปทิ้งตัวลงนอนบนเตียงขนาดห้าฟุต ร่างสูงกลิ้งไปกลิ้งมาเหมือนคนบ้า คิดแล้วคิดอีกว่าคำตอบดีๆที่เหมาะกับการตอบรับคำขอโทษเช่นนี้จะมีคำไหนดีไปกว่า ไม่เป็นไร

     

     

    อย่างน้อยแบคฮยอนยังแสดงออกว่าแคร์เขาอยู่บ้าง หลังจากที่ปล่อยให้นายคิมจงอินทำตัวติดอยู่ได้ทั้งวัน ทั้งพูดจาแย่ๆใส่เขาและทำทองไม่รู้ร้อนด้วยการยั่วให้โมโหต่างๆนานา นึกถึงทีไรก็รู้สึกโมโห จะหาว่าหึงไม่เข้าท่าก็ได้ แต่เพื่อนที่ไหนเขาเที่ยวกันท่าคนอื่นให้ห่างจากเพื่อนกัน หายจากแบคฮยอนไปนานแค่ไหน อยู่ดีๆก็กลับมาแล้วทวงคืนทุกอย่างเหมือนแฟนเก่าไม่มีผิ --

     

     

    บ้าน่า เป็นไปไม่ได้หรอก

     

     

    ปาร์คชานยอลขมวดคิ้วมุ่น ถ้าจะโมโหอะไรรองจากคิมจงอินก็คงเป็นความฟุ้งซ่านของตัวเองนั่นแหละที่ชอบคิดอะไรไม่เข้าท่า ใจดวงเท่ากำปั้นเริ่มพองโตและส่งเสียงตึกตัก ลุ้นกับเจ้าเครื่องมือสื่อสารขนาดเล็กว่ามันจะได้ทำหน้าที่รับสาส์นอีกเมื่อไร นี่คงไม่ได้จะคุยกันแค่ห้าพยางค์จริงๆใช่ไหม

     

     

    กลิ้งรออีกสองรอบ เสียงข้อความเข้าก็ดังขึ้นอีกครั้ง ไม่เอาน่า พิมพ์อะไรให้มันมากกว่าอีโมชั่นหน้ายิ้มหน่อยสิ ใบหน้าหล่อพ่นลมหายใจจนปากยื่น ชั่งใจว่าควรต่อบทสนทนานี้อย่างไรดีจึงจะดูไม่น่ารำคาญจนเกินไป อยากเจอ อยากไปหา อยากทำให้แน่ใจว่าเขายังเป็นคนพิเศษเช่นเมื่อคืนนั้นหรือเปล่า

     

     

    พอหันไปเห็นว่าเข็มนาฬิกาเพิ่งชี้บอกเวลาสองทุ่ม ร่างทั้งร่างกลับอยู่ไม่สุขเพียงเพราะรู้ว่ารถประจำทางคงยังไม่หมดรอบ ริมฝีปากเม้มแน่นเป็นเส้นตรง ชานยอลดีดตัวขึ้นนั่งขัดสมาธิ คิดแล้วคิดอีกกับความต้องการที่พลุ่งพล่านในใจ

     

     

    ตัดสินใจกดโทรออกไปยังปลายสายเพื่อถามความสะดวกในเรื่องนี้ แต่แล้วกลับรีบกดตัดสายทันก่อนสัญญาณจะเรียกให้แบคฮยอนกดรับ เขาผุดลุกจากเตียง ถลาไปหยิบเสื้อฮู้ดสีดำตัวโปรด จากนั้นจึงจัดการหยิบโทรศัพท์ กระเป๋าสตางค์ สาวเท้าออกจากห้องพักและลงบันไดทั้งที่ใจลอยไปถึงไหนต่อไหน เป็นเหมือนเมื่อตอนเช้าไม่มีผิด ในหัวคิดวนไปสนมาถึงสีหน้าของคนตัวเล็กหลังจากเห็นแขกไม่ได้รับเชิญตัวสูง ปากเล็กนั่นคงจะบ่นอุบเรื่องที่ไม่ยอมบอกว่าจะมา แต่ช่างปะไร ถ้าให้ต้องรอกันไปมาอย่างนี้ ปาร์คชานยอลคงได้บ้าตายก่อนแน่

     

     

    ในตอนนี้ รถประจำทางช้าอย่างกับเต่าคลาน รถบนถนนยังคลาคล่ำเช่นเดียวกับแสงไฟมากมายจากร้านค้าริมถนน ชานยอลบอกให้ตัวเองอดใจรออีกยี่สิบนาที แค่ยี่สิบนาทีเท่านั้น เพราะทันทีที่รถจอดยังป้ายคุ้นเคย ชายหนุ่มก็รีบพาตัวเองลงฟุตบาธและออกแรงวิ่งเหยาะๆขึ้นเนินเงียบเชียบกระทั่งถึงบ้านคนในความคิด

     

     

    มือใหญ่ล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาสไลด์ปลดล็อก เช็กดูจนแน่ใจว่าแบคฮยอนไม่ได้ส่งข้อความอะไรกลับมาหลังจากยิ้มนั้น เขาเลื่อนหาชื่อที่เมมโมรี่เอาไว้ ไม่ถึงครึ่งนาที เสียงเบาหวิวจากปลายสายก็เอ่ยตอบการติดต่อนี้ทั้งความแปลกใจ

     

     

    ( ชานยอล? )

     

     

    “ขอโทษที่รบกวนนะ” เจ้าของชื่ออมยิ้ม มองระเบียงห้องที่ยังคงเปิดไฟเอาไว้ ชั่งใจว่าจะสารภาพเรื่องถือวิสาสะมาหาครั้งนี้อย่างไรดี “แต่คิดว่าควรโทรมา”

     

     

    ( ไม่เป็นไร ชานยอลมีอะไรหรือเปล่า )

     

     

    แบคฮยอนก็เป็นอย่างนี้เสมอ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจแต่ก็ชอบถาม

     

     

    “อ๋อ...” ชานยอลยกมือขึ้นเกาศีรษะแก้เก้อ บทประพันธ์ฉากเด่นในโรมิโอแอนด์จูเลียตผุดขึ้นมาในความคิด เขาจะยอมเป็นโรมิโอแห่งมอนตาคิวดูสักครั้ง “ลองเปิดหน้าต่างออกมาดูสิ”

     

     

    ( หา? )

     

     

    หัวเราะใส่เสียงแปลกใจของปลายสาย ร่างสูงสาวเท้าไปข้างหน้า ยืนมั่นเหมาะในตำแหน่งที่แน่ใจว่าคนในกรอบหน้าต่างจะสามารถมองเห็น ริมฝีปากพึมพำเลขหนึ่ง และนั่นไง ยังไม่ทันจะนับถึงสิบ บยอนแบคฮยอนก็แหวกผ้าม่านสีครีมออกเพื่อทำตามที่ถูกบอก ใบหน้าขาวฉายแววตื่นตระหนก ทั้งอาการลุกลี้ลุกลนและน้ำเสียงตื่น ๆ แบบนี้ ชานยอลคิดว่ามันน่ารักเป็นบ้า

     

     

    ( ทะ -- ทำไมถึงมาตอนนี้ )

     

     

    แล้วจะตอบว่าอย่างไรดี มันคงไม่เข้าท่าเท่าไรถ้าเลือกบอกว่าคิดถึง แค่อยากชดเชย อยากทำทุกอย่างที่ตลอดวันนี้ไม่เกิดขึ้น ทั้งนั่งใกล้ๆ ได้พูดคุย หรือแม้แต่หัวเราะในเรื่องไร้สาระอย่างเช่นว่าจะกินหิมะแทนไอศกรีมได้ไหมในฤดูหนาวที่จะถึงนี้

     

     

    “ขอโทษจริงๆ แต่แบคฮยอนลงมาเปิดประตูให้ฉันได้หรือเปล่า”

     

     

    ( คือ...  ) ริมฝีปากบางเม้มแน่น ทั้งวันมาแล้วที่แบคฮยอนทำตัวอ้ำๆอึ้งๆใส่เขา ชานยอลรู้สึกเหมือนข้างในอกซ้ายหนักอึ้ง ถ้าให้ลุ้นนานกว่านี้ น่ากลัวว่ามันคงตกไปกองอยู่ปลายเท้า ( อย่างนั้นชานยอลรอแป๊บนึงนะ เดี๋ยวฉันลง -- )

     

     

    ชานยอลคิดว่าเขาเข้าใจความลำบากใจของแบคฮยอนแจ่มแจ้งก็ตอนที่ใครอีกคนแทรกตัวเข้ามาในกรอบหน้าต่างเพื่อดูเป้าสายตาของคนตัวเล็ก ให้ตายเถอะ นั่น -- คิมจงอินก็อยู่ที่นี่ ในห้องนั้นด้วย!

     

     

    “ไม่สะดวกเหรอ” เขาไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร และผิดเองที่บุ่มบ่ามมาโดยไม่ถามความสะดวกใจจากอีกฝ่ายเสียก่อน โอเค เรื่องนี้ชานยอลอาจจะผิด แต่ว่ากันด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน ลองให้ใครมาเป็นผู้ชายงี่เง่าจอมขี้หึงที่เห็นคนพิเศษสักคนอยู่ในห้องเดียวกันกับผู้ชายคนที่เพิ่งจะพูดบลัฟกันไปเมื่อบ่าย คงจะเทวดากระมังที่ห้ามใจไม่ให้คิดไกลไปในทางติดลบได้

     

     

    เขาไว้ใจแบคฮยอน แต่ไม่ใช่เจ้าของสายตาไม่สบอารมณ์ที่ยืนข้างกันนั้น

     

     

    คนตัวเล็กกดตัดสายโทรศัพท์ในมือ ผละตัวเองหนีจากหน้าต่างเพื่อลงมาเปิดประตูให้ตามที่เห็นว่าสมควรทำ แต่หลังจากม่านปิด ร่างสูงงุ่นง่านของปาร์คชานยอลก็ลืมไปแล้วว่าเขามาลืมทำอะไรที่นี่ ไอ้ก้อนเนื้อหนักๆยิ่งปวดหนึบจนน่ารำคาญ มือที่กำโทรศัพท์ยกขึ้นขยำอกเสื้อจนยับยู่ ทั้งที่พยายามบอกตัวเองว่าอย่าคิดอะไร แต่ทำไมมันถึงได้ยากขนาดนี้

     

     

    เขาอยากยืนรอจนแบคฮยอนเปิดประตูมาหา แต่ก็รู้ว่าคงทนทำตัวปกติไม่ได้ตอนนี้

     

     

     

     

    อะไรของนาย

     

     

    ตัดสินใจหันกลับเพื่อเดินตามคิมจงอินออกไปในตอนนั้น มาพูดพล่อยๆแล้วปล่อยให้ความสงสัยครึ่งๆกลางๆเล่นงานกันแบบนี้ ทุเรศไปหน่อยมั้ง

     

     

    คิมจงอิน มือใหญ่คว้าเข้าที่ลาดไหล่และรั้งให้อีกฝ่ายหยุดเพื่อหันมาพูดให้ชัดเจน จากรอยยิ้มพึงอกพึงใจเมื่อครู่ เจ้าของชื่อกลับเบี่ยงตัวจนพ้นมือแล้วเลิกคิ้วกวนประสาทอย่างที่น่าโมโหเกินกว่าจะชวนให้สงบสติอารมณ์เอาไว้ได้ ที่พูดเมื่อกี้ หมายความว่าไง

     

     

    ยังไม่ชัดพออีกเหรอ จงอินสวน ไม่คิดว่าจะเข้าใจอะไรยาก

     

     

    ใช่ ปาร์คชานยอลอาจเป็นคนที่เข้าใจอะไรยากจนเกินไป หมอนั่นถึงต้องแสดงให้เห็นกันจะๆแบบนี้

     

     

    ฉันสำคัญแค่ไหน แค่เห็นท่าทีของแบคฮยอนก็น่าจะรู้แล้วนี่

     

     

    ....

     

     

    เราไม่มีปัญหากันจะดีกว่า ฉันกลับมาแล้ว ทุกอย่างก็แค่จะกลับไปเป็นเหมือนเดิม

     

     

    คิมจงอินเดินหนีไปอีกแล้ว ไปพร้อมกับความรู้สึกแปลกๆที่รัดรึงเข้ากับหัวใจของเขา ใช่ว่าไม่เข้าใจเรื่องที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ แล้วแบคฮยอนล่ะ -- คิดเหมือนกันไหม

     

     

    เดี๋ยว ร่างสูงร้องเรียก ขอความชัดเจนอีกหน่อย ว่าสถานการณ์เตือนในวันนี้จะเป็นไปในทิศทางใดกันแน่ นายคือคนที่กระจายข่าวเรื่องมนตร์ดำหรือเปล่า

     

     

    จงอินยิ้ม นิ้วเรียวยกขึ้นเคาะขมับเบาๆเป็นคำตอบ ก็ลองเดาดู

     

     

     

     

    “ชานยอล”

     

     

    ได้ยินเสียงเรียกจากคนที่ยืนอยู่หน้าบ้านได้ชัดเจน ทั้งที่อยากเดินออกมาให้ไกลกว่านี้ อยากห้ามตัวเองไม่ให้เอี้ยวหันไปมองบยอนแบคฮยอนในชุดเสื้อและกางเกงขายาวที่ทำสีหน้าปั้นยาก แต่ปาร์คชานยอลกลับรู้ดีว่าคงไม่มีอะไรได้ดั่งใจเขานัก ในเมื่อฝีเท้ามันชะงัก และเลือกทำในสิ่งสุดท้ายเท่าที่จะเป็นทางเลือกในความรู้สึกแย่ๆเช่นนี้

     

     

    นัยน์ตาเรียวรีสั่นไหว แต่คงไกลเกินกว่าที่คนตัวสูงจะเห็น แบคฮยอนไม่แน่ใจนักว่าเขาควรพูดอะไร การอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ แค่วันเดียวก็แย่เกินพอแล้ว

     

     

    “ไม่เป็นไร” ชานยอลพูดตอบกลับมา “ไว้ค่อยเจอกันพรุ่งนี้ที่โรงเรียน”

     

     

    ทุกครั้งที่เห็นรอยยิ้มกว้าง แบคฮยอนรู้สึกราวกับโลกทั้งใบสดใสและไม่มีอะไรที่แย่ไปกว่าเดิมอีกแล้ว แต่นี่คงเป็นตอนกลางคืนอย่างนั้นใช่ไหม ดวงอาทิตย์ถึงไม่ทำงาน โลกของผู้ชายคนนั้นถึงมืดทึบและหม่นลงราวกับนี่ไม่ใช่ชานยอลที่เขาเคยรู้จัก

     

     

    ลำคอตีบตันปิดเอาคำพูดมากมายให้กลืนหายลงไป แม้แต่ตอนที่แผ่นหลังนั้นห่างออกไปเรื่อยๆ แบคฮยอนก็ยิ่งรู้สึกแย่เสียจนอยากควักหัวใจทิ้งไปให้รู้แล้วรู้รอด เขาไม่รู้ว่าชานยอลคิดอะไร ไม่รู้แม้แต่ว่ากำแพงหนาทึบที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันนี้จะก่อให้เกิดอะไรบ้าง ครั้นหันไปเจอคนที่ยืนรออยู่ตรงประตู เขาคิดอะไรไม่ออก ภายในหัวว่างเปล่าและปล่อยให้สมองสั่งการร่างกายเดินกลับเข้าภายในบ้าน สวนคิมจงอินที่มองมาด้วยสายตาราบเรียบอย่างคนรู้แก่ใจ

     

     

    “หมอนั่นเป็นใคร” เสียงทุ้มถามขึ้นระหว่างขึ้นบันได แต่แบคฮยอนไม่มีคำตอบในหัว

     

     

    ยิ่งกลับเข้ามาในห้อง จงอินก็ยิ่งคาดคั้นถึงความสัมพันธ์แปลกประหลาดระหว่างเพื่อนสนิทและปาร์คชานยอล ท่าทีของหมอนั่น จากที่ลองพูดกวนประสาทไปเมื่อกลางวัน จะว่าเพื่อนสนิทคนใหม่ก็ไม่ใช่ แต่ให้ตีค่าถึงขั้นคบหาแบบคนรักก็ยังไม่เชิง ระหว่างที่เขาไม่อยู่นั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง เป็นไปได้หรือที่คนอย่างแบคฮยอนจะออกนอกกรอบที่ถูกขีดเอาไว้

     

     

    “แบคฮยอน” ดวงตาคมหรี่ลงมองคนที่เพิ่งปีนขึ้นเตียงแล้วฉีกยิ้ม “เฮ้ ไหนว่าจะนั่งคุยกันเยอะๆไงคืนนี้”

     

     

    “อ่า... ใช่”

     

     

    มองเจ้าของผิวสีแทนที่กดปิดไฟให้แล้วตามขึ้นมาบนเตียง ถึงจะต้องเบียดกันสักหน่อย แต่ระยะเวลาปีครึ่งไม่ได้ทำให้เขาลืมว่าจงอินเคยห้ามอะไรเอาไว้ เมื่อก่อนทั้งคู่เป็นแบบนี้เสมอ นอนค้างและคุยสัพเพเหระกันมากมายจนเกือบเช้า เคยแม้กระทั่งไปโรงเรียนสาย แม้แต่ตอนที่ไป จงอินก็ยังทำให้แบคฮยอนต้องนึกถึงทุกวัน

     

     

    แล้วตอนนี้เกิดอะไรขึ้น การที่เราต่างนอนข้างกันโดยหยิบยกเรื่องคุยออกมาจากลำคอไม่ได้นี่มันสะท้อนอะไรได้บ้าง

     

     

    “แบคฮยอน” เสียงทุ้มเปล่งขึ้นอีกครั้งในความมืด จงอินขยับตัวหันมาจนเห็นเสี้ยวหน้าอีกฝ่ายผ่านแสงจันทร์ทางด้านนอก “มีอะไรอยากเล่าหรือเปล่า”

     

     

    คนถูกถามหันมามองตอบ เขาบอกจงอินไปว่าง่วงเกินกว่าจะคุยแล้ว

     

     

    “ปาร์คชานยอล -- เป็นใคร”

     

     

    นับไม่ได้ว่าถูกถามซ้ำเป็นรอบที่เท่าไร แบคฮยอนไม่แม้แต่จะคิดคำตอบที่ดีไปกว่าการเฉไฉผ่านๆว่าสถานะของเขากับชานยอลคืออะไรกันแน่ เขาคงไม่พูดว่าเราเคยจูบกัน คงไม่บอกจงอินไปว่าระหว่างอยู่คนเดียวที่โซล อะไรๆก็เปลี่ยนไปมากเกินกว่าจะย้อนกลับไปสู่จุดเดิมได้แล้ว

     

     

    “นายรอฉันไม่ได้” จงอินตัดพ้อ “ทั้งที่ฉันรอให้ถึงวันนี้แทบตาย”

     

     

    แบคฮยอนเงียบฟังเสียงแค่นหัวเราะ ริมฝีปากบางเม้มแน่นในขณะที่อีกฝ่ายขยับตัวเข้ามาใกล้ ในหัวเขาสับสนปนเปจนแยกไม่ออกว่าเรื่องอะไรเป็นอะไร สานจากคำสาปในวันนั้น คำที่คิมจงอินพูดก่อนจะเดินหายไปเข้าในเกทสนามบินและทิ้งให้เขาคว้างอยู่ท่ามกลางกำแพงสูงใหญ่

     

     

     

     

    ไม่มีใครอยากสนิทกับคนแบบนายหรอกแบคฮยอน

     

    เวลานายยิ้มน่ะ มันจะทำให้คนอื่นโชคร้าย

     

    อย่าเผลอไปสนิทกับใครเข้าล่ะ

     

     

     

     

    “ทั้งที่บอกให้นายมีแค่ฉัน”

     

     

    แขนขวาของจงอินเท้าอยู่ตรงข้างใบหน้า ดวงตาจับจ้องมองคนที่นอนนิ่งแปลกไปจากทุกที ไม่ว่าจะกลีบปากที่ขยับเอื้อนเอ่ย ลมหายใจอุ่นร้อนข้างใบหน้า ทั้งหมดที่กอปรกันเป็นผู้ชายคนนี้ทำให้แบคฮยอนเหมือนตายได้ทุกที

     

     

    “ทำไมทำไม่ได้”

     

     

    เขาอยากขอให้นี่เป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ เพราะหากจงอินยังอยากได้อะไรอีก แบคฮยอนก็คงไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรจากนี้

     

     

    จงอินผละตัวออกไปแล้ว เขาได้ยินเสียงถอนหายใจผ่อนออกอย่างชัดเจน ขยับยุกยิกอยู่ไม่กี่ที ร่งข้างกันก็นอนนิ่ง ห่มผ้าขึ้นถึงช่วงอกและปล่อยให้มองเห็นแค่แผ่นหลังสงบนิ่ง ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ ทำไมการเจอกันของทั้งคู่ถึงได้เต็มไปด้วยบรรยากาศน่าอึดอัดอย่างที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิด

     

     

    แบคฮยอนขยับตัวนอนหันหลังให้อีกฝ่ายเช่นกัน

     

     

    “รู้อะไรไหม ฉันไม่อยากให้นายมีความสุขเลยแบคฮยอน”

     

     

    เสียงนั้นโพล่งขึ้นหลังการกระทำของเขา จงอินแค่พูดมันลอยๆขึ้นมาในความมืด พูดโดยที่รู้ว่าบยอนแบคฮยอนจะต้องรับฟังและฝังลงสู่ใจเหมือนกับคำสาปเมื่อตอนนั้น

     

     

    “เพราะเวลาที่นายมีความสุข นายจะลืมฉัน”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ปาร์คชานยอลล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกงเมื่อขึ้นมาบนรถประจำทางได้ ขอโทษขอโพยคนบนรถที่หันมามองต้นเสียง จนเมื่อทิ้งก้นลงนั่ง มือใหญ่ถึงได้กดรับเบอร์ที่สร้างความลังเลให้เขาอยู่ถึงสองนาน ถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วจึงยอมกดรับ คิดไม่ออกว่าจะมีอะไรแย่ไปกว่าที่เป็นอยู่ได้อีกไหม “ครับ”

     

     

    รถประจำทางเริ่มเคลื่อนตัวออกจากป้ายแล้ว ทิวทัศน์เดิมๆข้างทางปรากฏสู่สายตา ไม่ว่าจะเป็นร้านรวง ผู้คน หรือแม้แต่ความรู้สึกเดิมๆเมื่อต้องเงียบฟังเสียงจากปลายสายพูดเรื่องนั้นอีกครั้ง

     

     

    ( ชานยอล สัปดาห์หน้าพ่อจะขึ้นไปที่โซล )

     

     

    “ผมบอกแล้วว่าผมไม่ไป” เขาโกรธตัวเองที่พูดเสียงแข็งใส่ปลายสาย

     

     

    ( ไม่เอาน่า พ่อว่าถ้าได้เจอและคุยกันต่อหน้า แกอาจจะเปลี่ยนใจ ) เขาแค่นยิ้ม พยายามนึกว่านานเท่าไรแล้วที่ไม่ได้พบพ่อบังเกิดเกล้า นานเท่าไรที่ต้องอยู่คนเดียวถ้าแม่ออกไปทำงาน นานเท่าไรพ่อปัดความรับผิดชอบว่ายังมีลูกชายคนนี้อยู่ทั้งคน ( พ่อคุยกับแม่แกแล้ว )

     

     

    “ให้สิทธิ์ผมตัดสินใจบ้างไม่ได้หรือไง” ชานยอลอยากบอกให้พ่อหยุด อยากให้ทุกอย่างเลิกถาโถมเข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลงใส่เขาสักที อยากย้อนกลับไปเมื่อไม่กี่วันก่อน อยากย้อนกลับไปทุกครั้งที่เริ่มอยู่ตัวและคิดว่าจะไม่ต้องไปจากสิ่งที่รักอีก แต่ทุกอย่างก็เหมือนเดิม

     

     

    ( แม่เห็นด้วย แกต้องรู้ว่านี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุด )

     

     

    เขาทำอะไรไม่ได้เลย

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “เซฮุน”

     

     

    โอเซนาเงยหน้าขึ้นจากจานสลัดงารสโปรด ปากก็เอ่ยเรียกชื่อน้องชายเพียงคนเดียวซึ่งนั่งดูโทรทัศน์อยู่ตรงโซฟา แม่ขึ้นนอนไปแล้ว น้องสาวคนเล็กขลุกตัวทำการบ้านอยู่ในห้อง ส่วนน้องสาวคนรองก็ทำงานกะกลางคืน และไม่บ่อยเท่าไรนักที่เซฮุนจะนั่งอยู่ข้างล่างดึกๆดื่นๆให้เธอมีเวลาส่วนตัวระหว่างพี่น้องเช่นนี้

     

     

    “เซฮุน” เซนาเรียกซ้ำ คิดว่าในครั้งแรกคงพูดเบาเกินไป

     

     

    หญิงสาวถอนหายใจ หยิบจานสลัดแล้วลุกขึ้นเดินไปวางบนโต๊ะเตี้ยหน้าโซฟา เมื่อรู้สึกตัวว่ามีคนนั่งลงข้างๆ ชายหนุ่มถึงได้สะดุ้งเล็กน้อยและทำให้เซนารู้ว่าเขาดูซีรีส์รอบดึกในจอไม่รู้เรื่องเลย “พี่เซนา”

     

     

    หล่อนยิ้มขำ ส่งช้อนให้น้องชายช่วยเธอจัดการอาหารรอบดึกในจาน “ไม่อ้วนหรอกน่า กลัวจะหมดหล่อล่ะสิเรา”

     

     

    ได้ยินอย่างนั้นเซฮุนถึงหัวเราะ รับเอาช้อนส้อมจากพี่สาวมาจิ้มเอามะเขือเทศลูกเล็กเข้าปากเป็นคำแรก พี่เซนาชอบกินสลัดเป็นมื้อเย็น แล้วมาก็ชอบบ่นว่าหลังสองทุ่มน่ะมันไม่เรียกมื้อเย็นหรอก ช่วงแรกนั้นที่บ้านเขาแบ่งกับข้าวไว้ให้พี่กินเมื่อกลับมาถึงบ้านในช่วงหัวค่ำหลังจากปิดร้านสาขาสอง แต่พี่เซนาน่ะกลัวอ้วน โดยเฉพาะหลังจากที่เธอตัดผมทรงบ็อบเทมาใหม่และขับลุคส์ตัวเองเป็นสาวมั่นเต็มขั้น

     

     

    “เปิดเทอมวันแรกเป็นไงบ้าง”

     

     

    “ก็ปกติครับ เหมือนทุกเทอม” เซฮุนตอบ ที่บ้านเขาชอบทำเหมือนการเปิดเทอมแต่ละครั้งเป็นการเข้าโรงเรียนประถมทุกที “แล้ววันนี้ที่เข้าร้าน พี่ซอนเยเขาทำงานไหวใช่ไหมครับ”

     

     

    “ดื้อจะทำน่ะสิ บอกว่าถ้าเซฮุนเปิดเทอมแล้วใครจะดูร้าน” คนฟังยิ้มตอบ นึกไปถึงหญิงสาวที่เพิ่งกลับมาทำงานเมื่อสองสามวันก่อน เร็วกว่ากำหนดเดิมที่ตั้งใจจะลาถึงครึ่งเดือน “เอ้อ เยอึนแอบกระซิบพี่มา”

     

     

    “ครับ?”

     

     

    “เราเป็นแฟนกับดานีเหรอ”

     

     

    มือที่กำลังจะส่งผักออแกนิคส์เข้าปากชะงักค้างไว้อย่างนั้น ทั้งที่คิดว่าไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์ที่ต่างไปจากเดิมเท่าไรแท้ๆ แต่คงไม่พ้นสายตาคนในร้านจริงๆอย่างนั้นสินะ “ครับ”

     

     

    “เธอนี่นะ ไม่เห็นเล่าให้พี่ฟังเลย” เซนาผลักไหล่น้องชายเบาๆเป็นการหยอกล้อ “พี่ก็กลัวแทบแย่ ว่าน้องพี่หล่อขนาดนี้ทำไมไม่มีฟงมีแฟนกับเขาบ้าง”

     

     

    เซฮุนฝืนยิ้ม ปากก็เคี้ยวสลัดงากร้วมๆ เขาไม่รู้จะตอบอย่างไร ในเมื่อรู้ตัวอยู่เต็มอกว่ามันไม่ได้เกิดจากความชอบพออย่างที่คนอื่นเข้าใจ บางทีเซฮุนอาจต้องปั้นแต่งเรื่องรักง่ายๆขึ้นมาไว้ตอบคำถามบ้าง เพราะถ้าให้เดา มีหวังพรุ่งนี้พอกลับจากโรงเรียน คงถูกพี่อีกคนกับยัยน้องสาวตัวดีซักจนแห้งแน่ๆ

     

     

    “ก็ทำงานด้วยกันน่ะครับ ไม่มีอะไรพิเศษหรอก” เมื่อเห็นพี่เซนาหรี่ตาลง เขาถึงรู้ตัวอีกว่าโกหกไม่เก่งเอาเสียเลย

     

     

    “โอเซฮุน” อย่างหนึ่งที่เซฮุนต้องรู้คือเธอเป็นพี่สาวคนโต ในบ้านหลังเล็กๆที่มีกันสี่พี่น้องและแม่นั้นไม่ได้ใหญ่จนสร้างความห่างเหิน แต่ไหนแต่ไร เซฮุนเคยเป็นคนติดพี่และห่างออกไปเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ถึงอย่างนั้น ถ้าแค่แยกแยะระหว่างสีหน้าคนที่กำลังมีความสุขเพราะตกหลุมรักกับแบบที่น้องของเธอกำลังทำอยู่ เซนาคิดว่ามันง่ายนิดเดียว “มีอะไรจะปรึกษาพี่ไหม”

     

     

    ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากัน ชายหนุ่มวางช้อนส้อมในมือลงกับชานจนส่งเสียงดังแกร๊ง ศีรษะก็ส่ายไปมาเป็นเชิงปฏิเสธเพื่อตัดบททุกอย่าง

     

     

    “หมู่นี้เธอเหม่อบ่อยมาก พี่ก็ไม่รู้ว่ามีเรื่องหนักอกหนักใจเพราะเธอไม่เคยพูด”

     

     

    “ไม่มีอะไรจริงๆครับ”

     

     

    “พี่น้องมีไว้ทำไม”

     

     

    ตาเรียวรีเงยขึ้นสบคนเป็นพี่ เขาไม่รู้ว่าควรเรียบเรียงมันอย่างไร ทั้งใจบีบรัดจนรู้สึกแปลกๆมาตลอดทั้งช่วงเย็น ยิ่งการที่ผู้ชายคนนั้นไม่สนใจ -- หลังจากจูบนั้น ลู่หานทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำอย่างกับว่าทุกอย่างที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่เราต่างพอใจจะให้เป็น ทั้งที่เซฮุนควรดีใจกับมัน แต่ไม่รู้ทำไมในหัวเขาถึงเอาแต่นึกถึงประโยคนั้นเหมือนแผ่นฟิล์มที่หมุนไปเรื่อยๆ

     

     

     

     

    รู้ไหมว่าฉันก็โกรธนะ เพราะที่นายทำมันไม่ต่างกันเลยเซฮุน

     

     

     

     

    ดานีตามมาจนเจอเขายืนพิงผนังอยู่ตามลำพังที่บันได เราไม่มีอะไรเป็นเรื่องหยิบยกขึ้นมาพูดต่อกัน เซฮุนโกรธความเย็นชาของตัวเอง โกรธความหมางเมินที่เผลอแสดงออกไปเพียงเพราะเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น

     

     

    “ผมคิดว่าทุกอย่างมันจะง่าย” เขาไม่ได้หันไปมองที่เซนา กรอบสายตาเห็นเพียงสองมือซึ่งกำลังขยำผ้ากางเกงบนหน้าขา “แต่ผมกลับรู้สึกแย่มากๆ”

     

     

    เซนานิ่งฟัง มือเลื่อนไปบีบบ่าเบาๆเป็นการให้กำลังใจ “นี่เรื่องดานีหรือเปล่า”

     

     

    “ครับ?”

     

     

    “หมายถึงเรื่องที่เธอคบกับดานี หรือว่าพูดถึงเรื่องอื่น”

     

     

    แวบหนึ่ง ภาพของลู่หานวาบขึ้นชัดเจนในความคิด เขากลืนน้ำลายลงคอ สั่งตัวเองให้วกกลับมาเรื่องดานีและถอยกลับเข้ามาในโลกส่วนตัวให้ทันท่วงที “ครับ เรื่องดานี”

     

     

    “แล้วคบกับผู้หญิงที่ชอบ มันมีเรื่องให้ต้องรู้สึกแย่ขนาดนี้เลยเหรอ พี่ว่าไม่ใช่แล้วมั้ง” ถึงแม้จะยิ้มขำ แต่แววตาของเธอกลับแฝงไปด้วยความเอ็นดู อย่างหนึ่งที่คนเป็นพี่รู้คือเซฮุนไม่เหมือนผู้ชายคนอื่น เด็กคนนี้อ่อนไหวและคิดเล็กคิดน้อยกับการตัดสินใจ กลับกันแล้ว เซฮุนก็ดูออกง่ายเสมอเวลามีอะไรในใจ “เราไม่ได้คุยกันนานแล้วนะ เล่าให้พี่ฟังได้ไหม”

     

     

    เซฮุนหลบสายตาหนีไปอีกทาง เซนาคิดว่านี่เป็นครั้งสุดท้ายที่เธอจะรบเร้า

     

     

    “ไม่ต้องห่วง เรารู้กันแค่สองคน เห็นเธอเศร้าแบบนี้แล้วจะให้พี่แกล้งไม่รับรู้เหรอ”

     

     

    เขาก้มลงมองหน้าขาอีกแล้ว ในใจสับสนปนเประหว่างเรื่องที่อยากจะพูดหรือว่าควรเก็บไว้ต่อไป หลังจากชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง เซฮุนจึงเริ่มเปิดปากพูดในที่สุด “ดานีถูกเด็กที่โรงเรียนแกล้งครับ”

     

     

    “อ่า...”

     

     

    “ผมไม่แน่ใจว่ามีเรื่องอะไรอีกหรือเปล่าเพราะเธอไม่เคยเล่า แต่เมื่ออาทิตย์ก่อน ผมเจอกลุ่มเด็กผู้หญิงรังแกเธออยู่แถวสนามเด็กเล่นใกล้ๆร้าน แล้วสาเหตุมันมาจากผม”

     

     

    “เธอก็เลยเข้าไปช่วยดานีเหรอ”

     

     

    เซฮุนพยักหน้า “ผมบอกคนพวกนั้นไปว่าดานีเป็นแฟนผม เขาจะได้เลิกมายุ่งเสียที”

     

     

    “อ้าว” เซนาเลิกคิ้ว “เล่าต่อสิ”

     

     

    ทว่าชายหนุ่มเงียบไป ก่อนหน้านั้น เขาคิดมาตลอดว่าการเป็นโอเซฮุนที่มีคนมาชอบพอมากมายเป็นเรื่องไร้สาระ คิดกระทั่งว่าการถูกเกลียดคงเป็นข้อดีที่ทำให้ไม่ต้องยุ่งกับใคร แต่เขาไม่คิดว่ามันจะทำให้เด็กผู้หญิงคนหนึ่งเดือดร้อน คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะกลายเป็นมูลเหตุของการทะเลาะเบาะแว้งที่กลายเป็นเรื่องใหญ่ ถ้ามองข้ามไปตลอดก็คงไม่เป็นไร

     

     

    โอเซนาเอ่ยคำที่เธอกักเอาไว้เมื่อครู่ออกมาเมื่อเห็นน้องชายไม่พูดอะไร “ทำไมใจร้ายอย่างนี้”

     

     

    เป็นคำตรงตัวที่เขากลัวในการยอมรับมัน ใช่ว่าเซฮุนไม่รู้ตัวเอง แต่เขาแค่คิดว่าทุกอย่างมันคงง่ายขึ้น ในเมื่อทุกฝ่ายจะได้ประโยชน์จากเรื่องนี้

     

     

    “แล้วไปคบกับดานีทำไม”

     

     

    “เธอน่าสงสารนะครับ แล้วผมก็มีส่วนที่ทำให้เกิดอะไรแบบนี้”

     

     

    “เซฮุน ฟังพี่นะ” หญิงสาวกุมมืออีกฝ่ายหลวมๆ จานสลัดถูกวางทิ้งไว้ทั้งที่ยังกินไม่หมดดี เซนาลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเธอเก็บบล็อกโคลี่เอาไว้กินหลังสุด “เธอก็เป็นของเธออย่างนี้ แต่มันไม่ได้หมายความว่าเราต้องไปรับผิดชอบทุกอย่าง ช่วยดานีแล้วยังไง ถ้าต่อไปมีผู้หญิงถูกแกล้งอีก เธอก็จะบอกเลิกดานีไปคบกับเขาอย่างนั้นเหรอ จะใครเขาก็อยากคบกับคนที่รักไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่น ถ้ามีคนมาคบกับเธอเพราะสงสาร เซฮุนจะรู้สึกยังไง คิดดีๆสิ”

     

     

    “ผม --”

     

     

    “ชอบกับสงสาร แค่สะกดก็ไม่เหมือนกันแล้ว”

     

     

    มองพี่สาวเก็บเอาจานสลัดและช้อนส้อมไปล้างเก็บที่ครัว ในหัวยังคิดวนอยู่ที่ประโยคเมื่อครู่ระหว่างลังเลว่าควรตัดสินใจอย่างไรต่อไป เขาไม่รู้ว่าภายใต้สถานการณ์น่าอึดอัดอย่างนี้แล้ว ทางเลือกไหนจะดีที่สุด แม้แต่เรื่องลู่หานที่รังแต่จะเข้ามากวนให้ต้องรู้สึกขุ่นข้องหมองใจตลอดปิดเทอม ทั้งความรู้สึก ร่างกาย ระบบความคิด ชีวิตประจำวัน ทุกอย่างล้วนบิดเบี้ยวไปเพราะช่วงเวลาที่อยู่กับผู้ชายคนนั้นทั้งสิ้น มันไม่มีทางเหมือนเดิม

     

     

    เขาเผลอใจไปแล้ว

     

     

    และเซฮุนมองไม่เห็นปลายทาง

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    บยอนแบคฮยอนนอนไม่หลับ ไม่แม้แต่จะข่มตาให้ปิดสนิทลงได้ตราบใดที่เรื่องของใครอีกคนยังเล่นงานทุกโสตประสาทให้เฝ้าคิดถึงอยู่อย่างนี้ ร่างเล็กเบนสายตามองคนที่นอนข้างกัน จงอินหลับไปแล้ว ทั้งคู่แยกกันเข้าสู่โลกส่วนตัวหลังจากการพูดคุยที่เขาได้แต่เป็นฝ่ายเงียบฟังอย่างน่าอึดอัด แบคฮยอนไม่แน่ใจว่าจงอินหมายความว่าอย่างไร แม้แต่สายตาที่มองมาอย่างจาบจ้วง น้ำเสียงแฝงความหงุดหงิดเอาแต่ใจอย่างที่ไม่ได้ยินบ่อยนัก

     

     

    จงอินบ่งว่าตัวเองกำลังเสียสูญ

     

     

    ทั้งที่วันแรกของการเจอกันอีกครั้งควรจะเป็นอะไรที่ดีและสนุกกว่านี้ จงอินไม่ถามว่าแบคฮยอนโกรธบ้างไหม รู้สึกและเป็นอยู่อย่างไรกับคำสาปที่เกิดขึ้นมาตลอดปีครึ่ง เขาไม่กล้ายิ้ม ไม่กล้าเอาตัวไปผูกติดกับใครเพียงเพราะกลัวว่าคนๆนั้นจะโชคร้าย กระทั่งข่าวลือเรื่องมนตร์ดำเริ่มแพร่สะพัด ทุกคนเริ่มมองแบคฮยอนอย่างที่มองตัวประหลาด เขาไม่รู้ว่ามันเริ่มต้นขึ้นจากตรงไหน คนที่เข้ามาใกล้เริ่มตอกย้ำว่านี่เป็นเรื่องจริงด้วยการเล่าต่อเรื่องโชคร้ายต่างๆนานา

     

     

    มันทำให้แบคฮยอนเชื่อ ว่าสิ่งที่จงอินพูดเอาไว้เป็นรื่องจริง

     

     

    ร่างเล็กผุดลุกขึ้นจากเตียง มือหยิบเอาโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างหมอนติดมือมาแล้วทิ้งตัวลงบนเก้าอี้โต๊ะเขียนหนังสือ สไลด์ดูนั่นนี่ไปเรื่อยเปื่อยแล้วหยุดที่หน้าโทรออก ความว้าวุ่นในใจสั่งให้โทรไปหาเพื่อขอโทษและพูดคุยเรื่องที่เกิดขึ้น แบคฮยอนอยากอธิบายว่าจงอินเป็นใคร เป็นเพื่อนคนสำคัญที่เขาควรแคร์มากแค่ไหน แต่นี่ก็ดึกมากแล้ว นานมากพอที่ชานยอลจะกลับถึงบ้านและเข้านอนตามเวลาประจำวัน

     

     

    และแบคฮยอนไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องเป็นแบบนี้

     

     

    ตัดสินใจได้ว่าอย่างน้อยก็ควรมีอะไรที่แสดงถึงความเป็นห่วงได้บ้าง จึงออกจากหน้าโทรออกแล้วเลือกพิมพ์ข้อความสั้นๆอย่าง เจอกันพรุ่งนี้ : ) ไปแทน

     

     

    หากแต่เมื่อลุกหันกลับมาเพื่อจะกลับไปนอนที่เดิม ทั้งร่างกลับต้องชะงักไปเล็กน้อยเมื่อแสงสลัวส่องให้เห็นสายตาที่มองมาจากคนบนเตียง คิมจงอินไม่ได้พูด ไม่แม้แต่จะแสดงอารมณ์อะไรนอกเหนือเสียจากการปิดเปลือกตาลงแล้วปล่อยให้แบคฮยอนขึ้นมานอนด้วยกันเช่นในทีแรก

     

     

    สถานการณ์น่าอึดอัดนี้เกิดจากอะไร

     

     

    เพราะเราคนใดคนหนึ่งเปลี่ยนไป หรือเพราะมีใครเข้ามา

     













    ______________________________________

    #ฟิคฮบ





     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×