ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (END) 두근두근 ♡ HEARTBEAT | chanbaek hanhun

    ลำดับตอนที่ #28 : ` ( 두근두근 ♡ 25 )

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.78K
      14
      17 มิ.ย. 58









        


     


     

     

     

    เมื่ออาจารย์ควอนเข้ามาในห้อง เสียงจอแจก็เงียบไปเพื่อรอฟังการพูดคุยในคาบโฮมรูมซึ่งจะเกิดขึ้นเป็นประจำทุกวัน ในบางครั้ง ช่วงเวลาสิบนาทีก่อนคาบแรกจะถูกปล่อยให้ว่างเพียงเพราะไม่มีเรื่องสำคัญให้ต้องบอกกล่าวกันบ่อยนัก แต่นี่คือเปิดเทอมวันที่สอง ฉะนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ใครสักคนจะมีเวลานอนเพิ่มระหว่างนี้

     

     

    ความร้อนใจอย่างหนึ่งคือที่นั่งด้านหลังสุดของห้องนั้นว่างเปล่า กับลู่หานนั้น แบคฮยอนพอจะรู้ว่าถูกขอเวลาให้อยู่ซ้อมสำหรับเตรียมแข่งในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า เห็นว่าถ้าทำผลงานได้ดี อาจจะมีโอกาสติดมหาวิทยาลัยก่อนเพื่อน (สุดยอดไปเลย!) ถ้าเป็นแบบนั้นคงหายห่วง แล้วก็จะได้ไม่ต้องทำหน้าบูดซึ่งแบคฮยอนเดาว่าเหตุผลมาจากความตึงเครียดเรื่องฟุตบอล

     

     

    เมื่อวานเขาก็แทบไม่มีโอกาสคุยกับเซฮุน มันแปลกๆนิดหน่อยที่เพื่อนในกลุ่มคนหนึ่งจะแยกตัวไปกับแฟนสาว นึกเป็นห่วงว่าเพื่อนชายจะรู้สึกอย่างไรบ้าง ข่าวลือเรื่องเสือผู้หญิงและอะไรๆในด้านลบโหมกระพือขึ้นอีกแล้ว ถ้าเซฮุนไม่คิดอะไรอย่างที่ผ่านมาก็คงดี

     

     

    แต่คนที่ครองทั้งใจของแบคฮยอนให้นึกถึง กลับไม่ให้เขารู้อะไรเลย

     

     

    ไม่ทันขาดห้วงคิด ปาร์คชานยอลก็เปิดประตูเข้ามาภายในห้องทั้งที่เลยคาบโฮมรูมมาถึงห้านาที ไม่บ่อยนักที่หนุ่มร่างสูงจะมาสาย เพราะอย่างนั้นการพูดคุยกับอาจารย์เพียงแค่ไม่กี่ประโยคถึงเหตุผลในวันนี้จึงผ่านไปได้ด้วยดี ชานยอลกระชับสายสะพายบนไหล่ให้ขยับเข้าที่ อาการชะงักเล็กน้อยจากเจ้าของดวงตาลมโตเมื่อสบมาทางนี้ทำให้แบคฮยอนใจกระตุกวูบ

     

     

    เมื่อคืนนี้เขาไม่ได้ข้อความตอบรับใดๆจากปลายทาง มันทำให้กลัวว่าจะเกิดความตึงเครียดใดระหว่างทั้งคู่หรือเปล่า หากพอริมฝีปากอิ่มแย้มยิ้มออกให้ร่างเล็ก แบคฮยอนถึงแน่ใจว่าการลอบถอนหายใจของเขานั้นเกิดจากความโล่งใจ

     

     

    พอตัดสินใจได้ว่าควรอ้าปากทักทายกันบ้าง

     

     

    “แบคฮยอน”

     

     

    เสียงทุ้มจากคนข้างกายทำเอาสะดุ้งเล็กน้อย แบคฮยอนไม่เข้าใจสถานการณ์ที่กำลังเผชิญสักเท่าไร ยิ่งต้องหันไปเห็นสายตาแปลกๆจากเพื่อนสนิทที่ทำให้นึกถึงบทสนทนาเมื่อคืนด้วยแล้ว ยิ่งคล้ายกับการตัดสินใจจะทำอะไรมันยากเข้าไปทุกที

     

     

    “ฉันไม่เข้าใจตรงนี้” จงอินยื่นสมุดมาตรงหน้า มือหนาเก้ๆกังๆราวกับกำลังคิดว่าจะสุ่มชี้ลงไปส่วนใดของสมุดดี ส่วนชานยอลนั้นละสายตาลงจดจ่อกับหนังสือที่เพิ่งหยิบขึ้นมาวางบนโต๊ะ ไม่เอาแต่ทำหน้านิ้วคิ้วขมวดใส่อย่างที่เป็นเมื่อวาน

     

     

    “ได้สิ” รับเอาดินสอมาจากมืออีกฝ่าย ระยะเวลาสั้นๆระหว่างโฮมรูมกับการเรียบคาบแรกหมดไปกับคิมจงอินอีกแล้ว อย่างนี้เมื่อไรจะหาโอกาสเข้าไปคุยกับชานยอลได้สักที เหลียวมองคนในความคิดอีกรอบหนึ่ง ถ้าลุกไปคุยด้วยตั้งแต่ตอนนี้จะเป็นอะไรไหมนะ

     

     

    “แบคฮยอน” จงอินกระแอมไอเบาๆ “สนใจกันหน่อยสิ”

     

     

    ซึ่งอันที่จริง คิดว่าเขาก็ค่อนข้างไม่พอใจอยู่เหมือนกัน

     

     

    “ศุกร์หน้าไปดูพลุกันไหม”

     

     

    “หืม”

     

     

    “เทศกาลพลุที่สวนยออิโดไง ที่เราเคยไปดูกันตอนมอต้น” เจ้าของผิวสีแทนแลบลิ้นเลียริมฝีปากแล้วอมยิ้ม มองเพื่อนตัวเล็กกลอกตานึกถึงความทรงจำตั้งแต่เมื่อสามปีก่อน “นี่ อย่าบอกนะว่าจำไม่ได้”

     

     

    “จำได้สิ” แบคฮยอนหัวเราะ นึกขึ้นได้ว่าอีกไม่กี่วันก็จะถึงศุกร์ที่จงอินพูดถึงแล้ว คนตัวเล็กพยักหน้าเบาๆเป็นการตอบรับ ไม่มีเหตุผลที่เขาต้องปฏิเสธเพื่อนสนิท แต่อีกใจก็นึกไปถึงใครบางคนที่มีโอกาสแค่ได้พูดทักทายกับด้วยคำว่าอรุณสวัสดิ์มาตลอดระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์

     

     

    เขาอยากคุยกับชานยอล อยากจะลุกไปหาทุกครั้งที่เรามองด้วยความละล้าละลังและถ่ายทอดอาการอึดอัดสู่กันอย่างโรคติดต่อ ถ้าเป็นไปได้ แบคฮยอนก็อยากให้ชานยอลนั่งตรงนี้ แต่หากพูดไปอย่างนั้นคงหมายถึงการขับไล่ไสส่งเพื่อนเก่า ซึ่งเขาก็ไม่ต้องการอีก

     

     

    “จงอิน” หลังจากชั่งใจอยู่พักหนึ่ง เสียงใสจึงเอ่ยลองเชิงออกไป “ชวนเพื่อนไปด้วยได้ไหม”

     

    คนถูกถามหันมาทำหน้านิ่ง คิ้วสองข้างขมวดเข้าหากันเล็กๆแล้วหยิบปากกาบนโต๊ะขึ้นมาควงเล่น “ใคร?”

     

     

    “ก็เซฮุน ลู่หาน ชานยอล” จงอินจำคนที่ชื่อลู่หานได้ว่าหมอนั่นกวนประสาท เซฮุนนี่พอจำหน้าได้เพราะแบคฮยอนคอยเรียกบ่อยๆ ส่วนรายสุดท้ายนี่ควรเป็นตัวเลือกที่อีกฝ่ายไม่ควรพูดออกมาด้วยซ้ำถ้ายังอยู่กับเขา “อยากให้ทุกคนไปดูพลุด้วยกัน จงอินจะได้รู้จักเพื่อนใหม่ด้วยไง”

     

     

    “พูดเล่นหรือเปล่า” เขาเลิกคิ้ว ทั้งยังขยับตัวให้เป็นองศาที่ประจันหน้ากับคนตัวเล็กได้พอเหมาะ ตาก็เหลือบมองไปทางคนหลังห้องที่นั่งเกร็งจนหลังตรงขณะมองเขาโน้มหาเพื่อนตัวเล็ก “นี่นายกำลังขออนุญาตฉันเหรอแบคฮยอน”

     

     

    บยอนแบคฮยอนทำตัวเหมือนที่สนามบินเมื่อสองปีก่อนไม่มีผิด หน้าตาซื่อๆแล้วก็เหมือนไม่รับรู้อะไรแบบนี้ โอเค คิมจงอินอาจจะเป็นคนร้ายกาจ แต่เชื่อเถอะว่าถ้าลองมายืนอยู่ในจุดนี้ เจ็ดสิบเปอร์เซนต์ก็ต้องคิดแบบเขาทั้งนั้น บางทีชาติก่อนเขาคงจะหักอกคนไว้เยอะ เป็นเจ้าหน้าที่เขตเซ็นใบหย่า หรือว่าอะไรที่ทำเวรทำกรรมไว้กับความรัก

     

     

    “มีอะไรมาแลกล่ะ” ขนาดที่ว่าเป็นคนร้ายกาจขนาดนี้ ไอ้เรื่องที่จะให้พูดคำว่าเดทหลังหายกันไปสองปี จงอินก็ว่ามันยากอยู่ดี

     

     

    “เอ๋?”

     

     

    “ฉันถามว่า ถ้ายอมให้พาคนอื่นมาด้วย แล้วฉันจะได้อะไร” จงอินเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้ม คิดหาองศาว่ามุมไหนจะยั่วโมโหปาร์คชานยอลได้ดีกว่ากัน “ในเมื่อฉันอยากไปกับนายสองคนมากกว่า”

     

     

    จงอินล้อเล่นอีกแล้ว ชอบพูดทีเล่นทีจริงให้แบคฮยอนรู้สึกแปลกๆอยู่เรื่อย แต่จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่กลับมาจนถึงตอนนี้ จงอินก็เอาแต่พูดจาพิลึกพิลั่นอย่างกับว่า -- อย่างกับเราไม่เหมือนเดิม โอเค เมื่อสองปีก่อนเขาอาจจะใจเต้นในตอนที่เพื่อนชายแสดงออกว่าเราต่างเป็นคนพิเศษ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ แบคฮยอนไม่ได้ใจเต้นเมื่อถูกมองใกล้ๆอย่างนั้นอีกแล้ว

     

     

    “คือ...”

     

     

    “ล้อเล่นน่ะ” คนสูงกว่ายิ้ม ก่อนจะกลายเป็นคนที่หึงหวงบ้าบอมากไปกว่านี้ เขาควรหยุดตัวเองและรักษาท่าทีไว้ก่อน “นายไม่ต้องขอฉันหรอก”

     

     

    แม้แต่สายตาที่คนตัวเล็กมองมา จงอินคิดว่ามันยังไม่ได้ครึ่งของที่มองชานยอลด้วยซ้ำ

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    สนามกีฬาไม่ว่างตลอดทั้งสัปดาห์นี้ และคงจะยิงยาวออกไปอีกสองสัปดาห์จนกว่าการแข่งระดับจังหวัดจะจบลง โอเซฮุนส่งขนมปังรสพริกเผาเข้าปากขณะมองดูการซ้อมฟุตบอลทางด้านล่าง เบี่ยงตัวเล็กน้อยเพื่อพิงสะโพกเข้ากับขอบหน้าต่างระเบียงแล้วใช้ความคิดเรื่อยเปื่อย มันเคยเป็นเรื่องปกติที่จะเห็นเจ้าชายของโรงเรียนหาที่เงียบๆเพื่อกินมื้อกลางวันตามลำพัง เว้นก็แต่หลังเอาตัวไปสนิทกับบยอนแบคฮยอน จนทุกอย่างกลับเข้าสู่จุดเดิมเมื่อนายคนที่เพิ่งกลับจากจีนนั่นไม่เปิดโอกาสให้ใครเข้าไปแทรกโลกส่วนตัวได้เลย

     

     

    หลายวันมานี้ เซฮุนชอบปลีกตัวเองมาที่ตึกเรียนเก่าซึ่งน้อยวิชาที่ยังใช้ตึกนี้ การประชุมเรื่องเอาพื้นที่ตรงนี้ขยายออกเป็นโรงยิมในร่มยังไม่จบสิ้นดี อย่างน้อยก็คงปีหน้านั่นแหละ โอเอซิสของเขาถึงจะถูกทุบทิ้ง ถึงตอนนั้นก็คงต้องหาที่ซ่อนใหม่ๆเพื่อหลบเลี่ยงจากการเป็นเป้าความสนใจของคนในโรงเรียน เช่นเดียวกับคนที่หลบมาที่นี่ การรอดพ้นจากสายตาของอาจารย์เป็นเหมือนสวรรค์ของกลุ่มนักเรียนอันธพาลทั้งหลายแหล่ บางครั้ง เขายังถูกเรียกเข้าห้องปกครองเพียงเพราะเดินผ่านกลุ่มควันบุหรี่ถ้ามีคนสักกลุ่มเลือกใช้ตึกนี้เป็นที่มั่วสุม แต่อย่างน้อยคือไม่มีใครสนใจใคร เขาสามารถเดินเข้าออกโดยที่ไม่ต้องทนฟังเสียงกรี๊ดกร๊าดหรือประโยคคำถามที่มีต่อเรื่องส่วนตัว

     

     

    เสียงฝีเท้าเรียกให้หันไปมองใครบางคน “ดานี”

     

     

    เจ้าของชื่อชะงักไปเล็กน้อยหลังถูกเรียก คิมดานีหยุดฝีเท้าแล้วเลิ่กลั่กใส่แฟนหนุ่ม ไม่คิดไม่ฝันว่าจะพบอีกคนที่ตึกนี้ ถ้าตัดเรื่องความเคยชินในการเจอกันออกแล้ว สิ่งเดียวที่พอเหลือให้เดาอาการตกใจได้ก็เห็นจะมีแค่การที่หญิงสาวอยู่ในชุดพละตัดกับนักเรียนคนอื่นๆ เซฮุนไม่รู้ตารางเรียนของเธอ แต่พอจะจำหน้าบางคนในห้องดีได้อย่างเช่นปาร์คจียอนที่เดินสวนกันเมื่อสักครู่ อย่างหนึ่งที่เขาแน่ใจคือวันนี้ไม่มีชั่วโมงพละ

     

     

    “ทำไมใส่ชุดนี้ แล้วมาทำอะไรที่นี่”

     

     

    “ฉัน...” ดานียกมือขึ้นสางผมชื้นโดยไม่รู้ตัว มือที่ถือถุงพลาสติกไซส์กลางตวัดมันไปด้านหลัง ลำพังแค่บังเอิญเจอกันก็เหนือความคาดคิดเธอมากแล้ว คงไม่ดีแน่ถ้าเซฮุนเห็นสิ่งที่อยู่ข้างในถุง

     

     

    โชคดีที่ชายหนุ่มไม่ใช่คนถือวิสาสะบงการใครต่อใครแค่เพียงเพราะความอยากรู้อยากเห็น ร่างโปร่งสาวเท้าเข้าไปหวังจะพูดคุย พักหลังมานี้ เขารู้ว่าดานีน่าเป็นห่วงแค่ไหน ทั้งจดหมายขู่ของผู้ไม่หวังดีหรือการกลั่นแกล้งต่างๆนานาที่รังแต่จะแรงขึ้น มันเป็นความไร้สาระที่เขาไม่อาจรับได้

     

     

    “อีกแล้วใช่ไหม” ยื่นมือออกไปเพื่ออาสารับเอาถุงพลาสติกซอมซ่อนั้นมาถือไว้ แล้วก็เป็นอย่างที่คิด เสื้อผ้าเปียกๆยับยู่ข้างในนี่ดูไม่ได้เลย “ทำไมเป็นแบบนี้”

     

     

    “ไม่เป็นไรหรอกเซฮุน” เธอหัวเราะ “ฉันอดทนเก่งอยู่แล้ว”

     

    เซฮุนเคยพูดว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ควรอดทน “คนพวกนั้นชอบแกล้งเธอที่ตึกนี้เหรอ อะ -- ขอโทษ”

     

     

    หญิงสาวนิ่วหน้าเล็กน้อยก่อนจะมองดูมือนั้นผละออกจากเรียวแขนของเธออย่างช้าๆ แต่ไหนแต่ไร เธอรู้ระยะห่างระหว่างตัวเองกับคนตรงหน้าดี มือไม้ของเซฮุนเก้ๆกังๆ ไม่บ่อยนักที่เขาจะเป็นฝ่ายแตะเนื้อต้องตัวผู้หญิงก่อน มันล้วงเก็บในกระเป๋ากางเกง บนใบหน้ามีริ้วรอยความลำบากใจอย่างที่ดานีกลัว

     

     

    โอเซฮุนไม่กล้าถามกระทั่งว่าดานีมีความสุขไหม การต้องทนต่อสายตาของคนทั้งโรงเรียนมันแย่สิ้นดี ถึงอย่างนั้น นี่ก็คือสิ่งที่เขาสองคนเลือกและยอมรับให้มันเกิดขึ้น

     

     

    ด้วยอะไร เซฮุนก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน

     

     

    “ได้แผลมาหรือเปล่า” เขาหยั่งเชิงถาม น่ากลัวว่าถ้าอีกฝ่ายถกกางเกงวอร์มให้ดูแล้วจะเจอแต่รอยฟกช้ำอย่างในซีรีส์หลังข่าว

     

     

    ดานีส่ายหัวพรืด ถึงจะไม่อยากเอาเรื่องบ้าๆนี้ไปใส่หัวคนตรงหน้า แต่จะให้สรรหาเหตุผลมาโกหกหน้าตายนั้น เธอก็ทำไม่ได้เช่นกัน เด็กสาวแค่บอกตัวเองให้อดทนกับเรื่องพรรค์นี้ เพราะถึงอย่างไรเสีย ต่อให้เซฮุนไม่เข้ามาในชีวิตของเธอ ชะตากรรมของคิมดานีก็เป็นแค่ที่รองรับอารมณ์แย่ๆพวกนี้อยู่ดี

     

     

    “เซฮุนไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ฉันดูแลตัวเองได้” เธอยิ้มเพื่อให้เขาสบายใจ จากระยะเวลาเดือนกว่าที่รู้จักกันมา โอเซฮุนแสดงออกว่าเป็นคนคิดเยอะผิดวิสัยผู้ชายทั่วไป กลับกันที่บางทีก็ดูเหมือนไม่คิดอะไรเลย โอ้ ใช่ บางครั้งเธอก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเซฮุนคิดอะไรอยู่

     

    เราไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เว้นแต่การบอกสถานะใครต่อใครว่าเป็นแฟนกัน

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “ขนลุกเป็นบ้าเลยว่ะ เข้าร้านแบบนี้กับผู้ชายสองต่อสอง”

     

     

    “เพราะเป็นฉันมากกว่าน่ะสิ นายถึงบ่น” ปาร์คชานยอลหัวเราะเบาๆเมื่อคนในชุดเสื้อยืดสีแดงยังพูดไม่หยุดปากนับตั้งแต่เหยียบเข้าร้านอาหารย่านโรงเรียน ลู่หานรู้สึกประดักประเดิดเหลือเกินที่มองไปทางไหนก็เห็นแต่นักเรียนชายหญิงนั่งหัวเราะคิกคักกันตามประสา แล้วดูเอาเถอะ ระดับนักฟุตบอลโรงเรียนอย่างเขามันสิ้นไร้ไม้ตอกขนาดต้องนั่งกินมื้อเย็นกับยักษ์แล้วหรือไง

     

     

    “เอามาไวๆ นั่งนานแล้วเดี๋ยวสาวจะหด” กระดิกมือยิกๆเพื่อรอรับสมุดจดสี่วิชาตามที่อีกฝ่ายบอกไว้ ถึงอนาคตที่สดใสจะมานอนรออยู่แล้วสี่สิบเปอร์เซนต์ แต่คงไม่ดีแน่ถ้าเขาสอบมิดเทอมได้คะแนนรั้งท้ายของห้องเพราะเอาแต่ซ้อมกีฬาจนแทบไม่เข้าเรียน

     

     

    “ของเซฮุนน่าจะอ่านง่ายกว่าของฉันนี่นา”

     

     

    คนถูกทักชะงักไป จะว่าไป เรื่องระหว่างเขากับเซฮุนก็ไม่ได้เปิดเผยถึงขนาดที่จะให้เพื่อนดูออกได้ง่ายๆนี่นะ เห็นแก่ที่ชานยอลไม่รู้ เอาเป็นว่าจะยอมยกโทษที่พูดจี้ใจดำก็แล้วกัน “ของนายก็ไม่แย่หรอกน่า เออ แต่ของแบคฮยอนกับเซฮุนดีกว่าเยอะ”

     

     

    ขอกลับคำพูด หมอนี่มันเด็กผู้ชายแท้ๆที่ลายมือไก่เขี่ยแล้วก็จดบันทึกได้แสดงความเป็นเจ้าของสุดๆ ลู่หานคิดถึงลายมือเรียบร้อยของแบคฮยอนเมื่อการเตรียมสอบครั้งที่แล้ว นั่นก็อ่านง่ายอย่างกับหนังสือตีพิมพ์ และทุกอย่างคงง่ายกว่านี้ ถ้าเขากับเซฮุนไม่ได้อยู่ระหว่างรอยต่อแย่ๆของการกลับไปเป็นเหมือนก่อนที่จะรู้จักกัน พูดแล้วก็เจ็บ แต่ครั้งนี้ลู่หานไม่ได้เป็นฝ่ายเลือก

     

     

    ร่างผอมเอนตัวพิงเบาะด้านหลังก่อนจะสั่งเครื่องดื่มและอาหารกับพนักงานทั้งที่กวาดตาอ่านเมนูได้ไม่ถึงครึ่งเล่ม เขาน่ะมันคนกินง่าย ซ้อมเหนื่อยๆมาทั้งวัน อะไรลงกระเพาะแล้วอิ่มก็เอาทั้งนั้น

     

     

    พอเฟรนฟรายส์มาเสิร์ฟเป็นอาหารจานแรก ลู่หานจึงคิดว่าเขาควรจะเปิดปากถามสักที

     

     

    “ได้คุยกับแบคฮยอนบ้างยัง”

     

    พูดก็พูดเถอะว่าหมู่นี้ปาร์คชานยอลมันแปลกๆ แต่จะไม่แปลกก็กระไรอยู่ในเมื่อคนที่กิ๊กกั๊กด้วยดันมีเจ้าของตัวจริงกลับมาหวงก้างเสียอย่างนั้น นายคิมจงอินนั่น เขาไม่ถูกชะตาเลยสักนิดเดียว สายตงสายตาเจ้าเล่ห์ ไม่บริสุทธิ์ใจ แล้วก็ทำอย่างกับว่าจะงาบแบคฮยอนให้ได้ถ้าเพื่อนตัวเล็กเผลออย่างไรอย่างนั้น

     

     

    ชานยอลส่ายศีรษะไปมาเป็นคำตอบ ความเฮงซวยของชีวิตส่งผลแม้กระทั่งทำให้มันฝรั่งทอดชิ้นแรกกลายเป็นชิ้นหักๆ ตัดอรรถรสการกินอย่าบอกใคร

     

     

    “เอ้า ผ่านมาตั้งหลายวันนี่ อย่าบอกนะว่าไม่ทำอะไรเลย”

     

     

    “จะให้ทำอะไร”

     

     

    ดูเอาเถอะ ไร้ชีวิตชีวาถึงขนาดอมทุกข์ได้แม้แต่ตอนกินอาหารฟาสต์ฟู้ดรสชาติระดับนักเรียนแบบนี้ ถ้าไม่บอกก็จะนึกว่าถูกหักอกมาแล้ว “นี่ ปาร์คชานยอล ขอพูดหน่อยเถอะว่าทำไมไม่ทำอะไรสักทีวะ ผ่านมาตั้งเทอมจนเจ้าที่กลับมาแล้ว ถ้าชวดแล้วจะหาว่าไม่เตือน”

     

     

    “แล้วมีอย่างที่ไหน ถึงไล่เพื่อนให้ไปจีบผู้ชายด้วยกัน”

     

     

    “เอ้า” ถึงคำตอบจะไม่จริงจังนัก แต่ไม่มีสักครั้งที่หมอนี่จะปัดเรื่องแบคฮยอนออกจากการเป็นหัวข้อสนทนา “ก็นั่นแหละ บอกมาคำเดียว เดี๋ยวจะช่วยกันคิมจงอินออกให้”

     

     

    “ที่จริงแล้วมีอีกเรื่อง”

     

     

    เสียงทุ้มหนักขึ้นตามความตึงเครียดของเรื่องราว เขาชั่งใจอยู่นานว่าควรจะปรึกษาใครสักคนเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ก็นั่นแหละ เพื่อนใหม่ชานยอลมีมากมาย แต่ก็แค่หยิบมือที่อาจเข้าใจทั้งหมดได้หลังจากเขาพูดมันไปแล้ว ซึ่งทั้งหยิบมือนั้น ครั้งนี้คงมีเพียงลู่หาน

     

     

    “ฉันอาจจะต้องย้ายโรงเรียนอีกรอบ”

     

     

    “อะไรนะ” ลู่หานเลียริมฝีปากแห้งผาก “นี่ฉันรู้คนแรกหรือเปล่า”

     

     

    ชานยอลแค่นยิ้มแทนคำตอบ มือขยับขึ้นปลดเนคไทที่คอให้หลวมกว่าเก่า อากาศในโซลเริ่มเย็นแล้ว การประชุมช่วงเช้าแจ้งว่าตั้งแต่วันศุกร์นี้เป็นต้นไปจะเข้าสู่ช่วงของการแต่งยูนิฟอร์มแขนยาว พวกขี้ร้อนหลายคนโอดครวญ ในขณะที่ชายหนุ่มมองไม่เห็นเหตุผลในความไม่เหมาะสม

     

     

    “ที่แทกู แม่อยากให้ฉันย้ายไปอยู่กับพ่อที่นั่น เพราะแม่จะย้ายไปทำงานที่สิงคโปร์”

     

     

    “ให้ตายเถอะชานยอล แล้ว -- แล้วเรื่องแบคฮยอนล่ะ”

     

     

    “ไม่รู้เหมือนกัน” ร่างสูงลดสีหน้าลง มือยังเขี่ยหลอดในแก้วน้ำอัดลมเล่นทั้งที่รู้ว่าจะทำให้มันละลายเร็วกว่าเดิม “อันที่จริงก็อยากคุยกันก่อน แต่ระหว่างนี้ ฉันก็ยังหาเหตุผลดีๆเพื่อปฏิเสธพ่อไม่ได้”

     

     

    แน่นอน นี่เป็นเรื่องใหญ่ แล้วก็สำคัญเกินกว่าที่ลู่หานจะให้คำแนะนำดีๆได้ในเมื่อเขาก็เป็นเพียงเด็กเอาแต่ใจคนหนึ่งที่มีแม่ให้ท้าย แต่ถ้าเรื่องหัวใจมันยังคารังคาซัง ดื้อได้ก็ดื้อหน่อย คงไม่เสียหายมากหรอกมั้ง “ถามจริงเหอะ ที่จะไปนี่เพราะน้อยใจแบคฮยอนกับจงอินหรือเปล่า”

     

     

    “ไม่ใช่” ชานยอลขมวดคิ้ว “แต่ถ้าทำแบบนั้นแล้วฉันต้องไปอยู่แทกูล่ะ”

     

     

    “คำถามโลกแตก” ลู่หานยกมือขึ้นกุมขมับทั้งยังดูดโค้กจนถึงก้นแก้วในทีเดียว เสียงครืดจากปลายหลอดคล้ายจะช่วยดึงสติชายหนุ่มให้บินกลับมาโดยไว นึกขอบคุณที่อย่างน้อยหมอนี่ก็คิดจะเอาเรื่องใหญ่ขนาดนี้มาบอกต่อเขาบ้าง ไม่ใช่น้อยใจหนีหายไปเหมือนพระเอกการ์ตูนตาหวานที่ชอบปลีกวิเวกไม่บอกไม่กล่าวเพื่อประชดรัก “งั้นขอถามกลับนะ ว่าได้ลองบอกเรื่องนี้กับแบคฮยอนหรือยัง”

     

     

    ทำหน้าหงอยอย่างนั้น ฟันธงร้อยเปอร์เซนต์ว่ายังป๊อดแน่ๆ ลำพังแค่เรื่องตัวเองก็เครียดจนหัวจะระเบิดอยู่แล้ว แม้แต่ในตอนนี้ โอเซฮุนก็ยังตามมาหลอกหลอนเขาไม่รู้จักจบสิ้น

     

     

    “แล้วรู้ว่าจะต้องย้ายตั้งแต่เมื่อไร”

     

     

    “พ่อเคยคุยเรื่องนี้ตั้งนานแล้ว แต่ฉันยืนยันว่าจะไม่กลับ จนเมื่อวันก่อนพ่อก็โทรมาอีกรอบ”

     

     

    “แล้ว?”

     

     

    “ฉันบอกไปว่าอยากอยู่ที่นี่” คนฟังถอนหายใจโล่งอก ซึ่งถ้ามันง่ายอย่างนั้น เชื่อเถอะว่าไม่เหลืออะไรให้เขาเอามาเครียดใส่ลู่หานหรอก “แต่ในความเป็นจริง มันทำไม่ได้”

     

     

    ปาร์คชานยอลเคยเชื่อว่าการจูบเป็นปลายปิดของความสัมพันธ์ เพราะอย่างนั้น เขาจึงวางใจและปล่อยให้ช่วงเวลาแห่งความสุขตลอดปิดเทอมดำเนินอย่างเอื่อยเฉื่อยโดยที่ไม่คิดจะเร่งรัดอะไรกับมัน ส่วนคิมจงอินกลับมาเพื่อให้เขารู้ว่าตัวเองโง่ ในสายตาของคนที่คิดไม่ซื่อแล้ว --

     

     

     

     

    คนที่เป็นเพื่อนหมอนั่นตอนมอต้นเตือนเอาไว้น่ะสิ ว่าอย่าเข้าใกล้แบคฮยอนเด็ดขาด

     

    เดี๋ยวนะ ถูกทำคุณไสยที่ว่านี่มันอาการเป็นยังไง

     

    เท่าที่ได้ยินมาก็แบบว่าใจสั่น เต้นแรงเหมือนจะเป็นโรคหัวใจ ไม่สามารถมองหน้าหมอนั่นตรงๆได้เพราะถูกสาป

     

     

     

    ดูออกได้ง่ายดายว่าคิมจงอินหลงรักบยอนแบคฮยอนเช่นกัน

     

     

    “ขอพูดอะไรหน่อยได้ไหม” ลู่หานไม่ต้องการคำตอบสำหรับคำถามนี้ เขาก็แค่อยากด่าผู้ชายขี้ขลาดตรงหน้านี่สักที “ก็ลองพูดไปเลยสิ จะได้รู้ว่าแบคฮยอนคิดยังไง”

     

     

    “....”

     

     

    “ไว้ถ้าหมอนั่นปฏิเสธ ไม่รับรัก หรือบอกว่าเลือกคิมจงอินอะไรนั่น นายจะไปไหนก็ไป”

     

     

    “....”

     

     

    “ทำอะไรๆให้มันชัดเจนสักที ปาร์คชานยอล”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    โอเซฮุนรวบเก็บหนังสือทั้งหมดลงใต้ลิ้นชักและจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ ตาก็เหลือบมองบยอนแบคฮยอน คิมจงอิน และปาร์คชานยอลที่ยึกยักอยู่หลังห้องมาตั้งแต่เปิดเทอม มือล้วงลงไปในกระเป๋าด้วยความย่ามใจ กระดาษซีรอกซ์ปึกหนึ่งถูกพกมาถึงสองวันแล้ว หนำซ้ำมันยังหนาขึ้นเรื่อยๆตราบใดที่ไม่ได้เอาให้คนในความคิด ในวันหนึ่ง เซฮุนเจอหน้าลู่หานแบบนับนาทีได้ และทุกครั้ง ดวงตากลมโตคู่นั้นก็รังแต่จะมองไปทางอื่น คงเกลียดกันจริงๆแล้ว

     

     

    อาจเคยเป็นเขาที่ต้องพูดคำนี้ อาจเคยเห็นเขาที่แสดงท่าทางรำคาญและเดินหนีทุกครั้งหากสบโอกาส ถึงอย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรกับความเจ็บปวดข้างในใจที่เอาแต่ก่นด่าตัวเองอย่างนี้ แต่ให้สู้ทนเป็นของเล่นต่อไป เซฮุนก็คิดว่ามันไม่เข้าท่านัก

     

     

    ท้ายสุดก็เลือกปล่อยมือจากชีททั้งหมดแล้วรูปซิปกระเป๋าปิด ในกางเกงมีแค่กระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์มือถือ ถ้าตัดเรื่องความว้าวุ่นใจทั้งหมดทิ้งไปแล้ว ในหัวของเขาก็ห่วงแค่เรื่องของคิมดานีที่น่ากลัวว่าวันนี้จะถูกแกล้งอะไรอีกหรือเปล่า สวรรค์สร้างคนเรามาไม่เท่าเทียม บางคนเข้มแข็ง บางคนอ่อนแอ บางคนต้องไล่ตาม บางคนถูกกระทำ บางคนเป็นผู้ล่า ส่วนบางคนเอาแต่ใจอย่างร้ายกาจ แต่ทั้งหมดก็หล่อหลอมให้มันเป็นโลกที่มีทั้งสุขและทุกข์ เป็นองค์ประกอบที่เซฮุนคิดว่าคงไม่มีวันใดที่จะเข้าใจมันได้ทั้งหมด

     

     

    ขายาวก้าวไปข้างหน้า ปีสองห้องดีอยู่ถัดจากห้องเรียนของเขาไปสองห้อง อีกแล้วที่สวนกับปาร์คจียอน เธอเป็นหนึ่งในคนมากมายที่เขาจำได้และโดดเด่นพอให้จับสายตามอง

     

     

    หลังจากสอดส่องสายตาอยู่ครู่หนึ่ง ก็กลายเป็นชายหนุ่มเสียเองที่ตกเป็นเป้าสายตา เซฮุนนึกอยากให้ตัวเองแปลงร่างได้ทุกทีที่เจออะไรแบบนี้ เขาตัดสินใจสะกิดถามนักเรียนหญิงคนหนึ่ง นั่นแหละ คนที่ทำท่าจะสนใจเขาน้อยที่สุด

     

     

    “ดานีเหรอ เห็นว่าออกไปกับโซอึน ปีสองห้องอีแน่ะ”

     

     

    “โซอึน?” เซฮุนไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน กระทั่งคนตรงหน้าทำมือเป็นรูปผมทุยๆกับยกขาให้ดูถุงเท้าถูกระเบียบพลางทำหน้าตาหาเรื่อง

     

     

    “ก็ยัยคนที่เหวี่ยงๆ ชอบตามจิกดานีประจำไง”

     

     

    ได้ยินอย่างนั้นก็เข้าใจว่าถุงเท้าผิดระเบียบคงเป็นจุดเด่นอย่างหนึ่งของผู้หญิงคนนั้น ชายหนุ่มเอ่ยขอบคุณผู้หวังดีเบาๆแล้วจึงหมุนตัวออกไปสบกับสายตานับสิบที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกวัน ในหัวตีรวนว่าควรตามไปทางไหน แต่ตึกเรียนเก่าที่เพิ่งเจอกันวันก่อนก็เห็นจะเป็นสถานที่ที่เข้าเค้าที่สุด

     

     

    ดานีถูกกลั่นแกล้งที่นั่น และพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะไม่บอกอะไรกับเขาเลย

     

     

    จะให้ทำเฉยเมยเหมือนนี่เป็นเรื่องปกติธรรมดา เขาก็คงต้องเกลียดตัวเองไปตลอดแน่ถ้าทำได้แค่ปั้นสีหน้าลำบากใจใส่เวลาที่แฟนสาวเดินตัวปอนมาหา อีกอย่างหนึ่ง ดานีเป็นเพื่อนคนสำคัญ และเซฮุนอยากปกป้องเธอเท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะทำได้จริงๆ

     

     

    เพราะเป็นช่วงแรกที่เริ่มปล่อยพัก ในตึกจึงยังไม่มีใครมากนัก สวนกับกลุ่มนักเรียนปีสามที่เพิ่งออกมาจากห้องเรียนภาษาบนชั้นสองซึ่งพากันส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดเมื่อเห็นเจ้าชายของโรงเรียน ไล่ดูตั้งแต่ชั้นแรกถึงชั้นสามเท่าจะนึกได้ ในตอนที่พาร่างเหนื่อยหอบก้าวขึ้นบันไดไปชั้นสี่ ใจก็เกือบคิดไปแล้วว่าอาจเป็นห้องน้ำเก่าหลังโรงเรียนตอนที่เจอกันครั้งแรกก็เป็นได้

     

     

    แล้วก็เป็นอย่างที่คิด ที่นี่คนเยอะเกินไปจนพวกนั้นไม่กล้ามาซ้ำสอง ภาพความทรงจำแย่ๆที่ได้เห็นการกลั่นแกล้งรุนแรงในครั้งนั้นผุดขึ้นมา ร่างโปร่งสาวเท้าวิ่งลงบันไดจนเกือบสะดุดล้ม ตาเรียวรีเสมองสนามฟุตบอลว่างเปล่าแล้วก็บังคับตัวเองไม่ให้สนใจมันอีก เกือบจะเหยียบพลาดตอนลงมาชั้นสุดท้าย หากแต่ความร้อนใจทั้งหมดกลับทำให้โอเซฮุนโชคดีได้อย่างไม่น่าเชื่อ

     

     

    ตรงนี้ แบคฮยอนเคยใช้มันเป็นสถานที่ฝึกซ้อมการแข่งวิ่งอึดในขณะที่เขาซ้อมกระโดดสูงอยู่อีกฝั่ง ห้องน้ำเก่าโบกปูนสีขาวเปรอะปรากฏอยู่ตรงกลางสายตา เมื่อสาวเท้าเข้าไปใกล้ เซฮุนก็คิดว่าตัวเองคงเดาไม่ผิดอีก

     

     

    เขาไม่ทันฟังด้วยซ้ำว่าครั้งนี้การโต้เถียงข้างในพูดถึงอะไร มือเรียวทุบเข้ากับกำแพงทางด้านขวาเพียงเพื่อจะเรียกให้คนในนั้นหยุดการกระทำแย่ๆทั้งหมด แน่นอน เขารู้ว่ามันจะได้ผล แต่ไม่รู้ว่าทุกครั้งที่เกิดอะไรแบบนี้ คิมดานีก็มีแต่จะยิ่งต้องรับมือจากความอันธพาลแย่ๆที่มีเหตุผลไร้สาระมากมายเข้ามาประกอบรวมกันเป็นเสาหลักต้นใหญ่

     

     

    “ออกไป” เซฮุนเค้นเสียง สูดลมหายใจลึกเพื่อบรรเทาความเหนื่อยหอบหลังจากที่ต้องวิ่งมาตลอดเวลาสิบกว่านาที ยิ่งทุกคนพากันทำท่าอึกอัก ชายหนุ่มยิ่งต้องกดเสียงลงต่ำกว่าเดิมเพียงเพื่อหวังว่ามันจะจบเรื่องแย่ๆพรรค์นี้ลงได้ “ผมจำหน้าพวกคุณไว้หมดแล้ว ถ้ายังมายุ่งกับดานีหรือทำอะไรแย่ๆแบบนี้อีก ผมจะเป็นพยานร้องเรียนกับทางโรงเรียนเพื่อเอาผิดพวกคุณ”

     

     

    ตะ -- แต่เซฮุน”

     

     

    “ผมเกลียดพวกที่ชอบรังแกคนอื่นที่สุด” เขาว่า “อย่ามาอ้างว่าเป็นเพราะผม นี่มันทุเรศสิ้นดี! อย่าเอาคนอื่นมาอ้างในการทำเรื่องเลวร้ายแบบนี้”

     

     

    คิมดานียืนอยู่ทางด้านในสุดของห้องน้ำ ข้างกันมีไม้ถูพื้นที่ล้มระเกะระกะและน้ำนองน้ำอยู่บนพื้นนิดหน่อย เรียวปากบางหยักยิ้มให้หญิงสาวหลังจากรู้ว่าตัวเองมาได้ทันท่วงที ในเมื่อบอกว่าจะปกป้องแล้ว เซฮุนคิดว่าเขาควรทำให้ถึงที่สุด

     

     

    น้ำตาของหญิงสาวคนหนึ่งในกลุ่มนั้นค่อยๆไหลออกมา ถ้าให้เดาจากลักษณะภายนอก เซฮุนคิดว่านี่คงเป็นโซอึน “ทำไมต้องเป็นแม่นี่ด้วย!” เธอปาดมัน จากนั้นจึงวิ่งสวนเขาออกไปแล้วตามด้วยคนอื่นๆ “นี่มันบ้าที่สุด!

     

     

    ไหล่บางเซไปตามแรงปะทะ ใบหน้าขึ้นริ้วแดงจากอัตราการเต้นถี่ของหัวใจเมื่อกลุ่มอันธพาลสาวปลีกตัวออกไปจนหมด ทั้งร่างทรุดลงนั่งยองๆเพื่อหอบหายใจ ไม่ถึงครึ่งนาทีจากนั้น ดานีก็เดินมาย่อตัวลงในระดับเดียวกันเพื่อเอ่ยขอบคุณ เซฮุนสังเกตเห็นว่ารองเท้าและถุงเท้าของเธอเปียกชื้น แต่เสื้อผ้ายังไม่ได้เลอะเทอะตรงไหน

     

     

    “ขอบคุณนะ ถ้าไม่ได้เซฮุน ฉันต้องแย่แน่ๆ”

     

     

    “เธอไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” ครั้งที่สามแล้วก็ว่าได้ที่เขาเข้ามามีส่วนร่วมในเหตุการณ์แบบนี้ เพียงแต่ครั้งนี้ไม่ใช่ความบังเอิญ

     

     

    หลังสองประโยคนั้น ทั้งคู่ก็มีแต่ความเงียบให้กันดังเช่นที่เป็นทุกครั้งเมื่อไม่มีประเด็นใดแทรกขึ้นมา มันเป็นความอึดอัดแปลกๆที่รูปร่างหน้าตาใกล้เคียงกับทางตัน คิมดานีเคยเชื่อว่าเธอโชคดียิ่งกว่าใคร เคยเชื่อว่าเธอเป็นคนพิเศษที่มีโอกาสมากกว่าคนอื่นๆ ในครั้งแรก เราเจอกันอย่างคนไม่รู้จักที่ประตูด้านในสุดบานนั้น ครั้งที่สอง แผ่นหลังของเซฮุนช่างกว้างใหญ่และปกป้องผู้หญิงตัวคนเดียวท่ามกลางสนามเด็กเล่น เพราะอย่างนั้น นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ดานีเห็นสายตาของคนตรงหน้าชัดเจน

     

     

    “จริงๆไม่ต้องมาช่วยฉันก็ได้ พวกนั้นก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้หรอก”

     

     

    “ต้องรอให้มากกว่านี้อีกหรือ” ชายหนุ่มสวน “ไม่มีใครสมควรต้องมารองรับอารมณ์ของคนอื่นอย่างนี้”

     

     

    ดานียิ้ม ค่อยๆหยัดตัวลุกขึ้นเมื่ออีกฝ่ายท่าจะลุกเช่นกัน อีกไม่กี่นาที ออดเข้าเรียนช่วงบ่ายก็คงดังเรียกให้พวกเขาต้องกลับขึ้นตึก เวลาของการได้อยู่สองต่อสองมีน้อยเหลือเกิน เธอคิดว่าวันนี้ก็คงจะจบลงเท่านี้ อย่างเช่นทุกวันที่เราต่างพยายามทำให้มันคืบหน้า

     

     

    “จริงสิ” เซฮุนล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ควานหาบางสิ่งบางอย่างที่เกือบลืมไปเพียงเพราะร้อนใจกับเรื่องเมื่อครู่ เขาจำต้องหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาก่อน จากนั้นจึงจะควานเจอสร้อยข้อมือสีเงินสลักที่ตัดสินใจซื้อเมื่อสองวันก่อน “ผมซื้อมาให้”

     

     

    หัวใจเด็กสาวพองโตเหลือเกิน เธอรับเอาของขวัญเล็กๆจากมือแฟนหนุ่มด้วยความตื่นเต้น มันเป็นสร้อยข้อมือแบบผู้หญิงถูกบรรจุในแพคเก็จซองหน้าตาน่ารัก ติ้งรูปมงกุฏฝังพลอยเล็กๆสะท้อนกับแสงเป็นประกายเงาวับ ถึงอย่างนั้น ดีไซน์โดยรวมก็ยังเรียบง่ายประสาการเลือกจากสายตาผู้ชาย

     

     

    “ขอบคุณ...”

     

     

    แต่เพียงครู่เดียว สายตาก็ชะงักเข้ากับติ้งกุญแจเล็กๆที่ห้อยอยู่ตรงโทรศัพท์เครื่องสีดำขลับในมืออีกฝ่าย แวบแรกที่เห็น ดานีคิดว่ามันเหมือนกัน ในขณะที่เซฮุนเลือกเก็บกลับลงในกระเป๋าและแสดงออกอย่างชัดเจนว่านี่ไม่ใช่ของคู่กันแต่อย่างใด

     

     

    “เซฮุนชอบทรงมงกุฏเหรอ” เธอถาม บางทีอาจเป็นความบังเอิญเล็กๆที่น่ารักระหว่างหนุ่มสาวก็เป็นได้

     

     

    “อืม”

     

     

    “ขอบคุณนะ ฉันชอบจริงๆ” ยิ้มของเด็กสาวหุบลงเหมือนเปลี่ยนสวิทช์ ถ้าเป็นไปได้ เธอก็อยากจะยิ้มร่าและใส่มันเสียเดี๋ยวนี้เพื่ออวดใครต่อใครว่าของขวัญชิ้นที่ได้จากคนรักนั้นสวยแค่ไหน “แต่ฉันควรรับมันไว้จริงๆเหรอ”

     

     

    โอ้ คิมดานีรู้สึกว่าเธอช่างแปลกประหลาดเหลือเกินที่เป็นฝ่ายพูดอะไรอย่างนี้ ไม่ว่าใครก็คงอยากสมหวังกับเซฮุนทั้งนั้น แต่เหตุการณ์เมื่อครู่... ทุกครั้งที่เธอเห็นสายตาตรงหน้ามองมา ยิ่งนานวันเข้าเท่าไร เธอก็ยิ่งอยากย้อนเวลากลับไปตอนที่เรายังหัวเราะให้กันได้ในร้านของพี่เซนาก็เท่านั้น

     

     

    “คือ -- ไม่รู้สิ ฉันก็แค่อยากถามให้แน่ใจ” ดานีหลุบสายตาลงต่ำ ใบหน้าพาดรอยแดงอย่างคนขลาดอายเอาไว้ “บางครั้งฉันก็รู้สึกแปลกๆ”

     

     

    เซฮุนคิดจะถามว่าหมายความว่าอย่างไร แต่เขากลับเงียบไป

     

     

    “เรา...”

     

     

    มือเล็กเอื้อมมาจับแขนเสื้อเขาเอาไว้ มันทั้งสั่นเทา ไร้เรี่ยวแรง และบ่งบอกถึงสภาพจิตใจที่ไม่มั่นคง เธอพยายามรวบรวมความกล้าด้วยการหายใจเข้าออกถึงสองครั้ง จากนั้นถึงเค้นเสียงสั่นพร่าออกมาได้เป็นประโยค

     

     

    “เราลองจูบกันดูได้ไหม”

     

     

    “....”

     

     

    “ฉะ -- ฉันขอโทษ”

     

     

    เด็กสาวผละมือออก แต่ไม่สำเร็จเมื่อมือของใครอีกคนซ้อนทับลงมากระชับมันเอาไว้ เซฮุนทำสีหน้าปั้นยาก ดูไม่ออกว่ามีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับคำพูดเมื่อครู่นี้ ริมฝีปากบางหยักขยับเล็กน้อย อาจเป็นคนคำก่นด่า ปฏิเสธ หรือบอกว่าเธอเข้าใจถูกต้องแล้ว

     

     

    “ได้สิ”

     

     

    ไม่มีอะไรที่ควรยุ่งยากไปมากกว่านี้ โอเซฮุนเกลียดตัวเองเหลือเกินที่รังแต่จะมองหาลู่หาน แยกตัวไปอยู่คนเดียว หรือหลีกเลี่ยงการเจอกับคิมดานีจนเปิดโอกาสให้คนไม่ประสงค์ดีทำร้ายเธอ ทุกอย่างมีแต่แย่ลง ไม่ว่าจะคิดอะไรออก ชายหนุ่มคิดว่ามันก็ล้วนไม่เข้าท่าทั้งสิ้น

     

    กลิ่นโคโลญจน์อ่อนๆเตะจมูกเมื่อคนตรงหน้าใกล้เข้ามา

     

     

     

    ชอบกับสงสาร แค่สะกดก็ไม่เหมือนกันแล้ว

     

     

     

     

    ทั้งร่างชะงักไปเมื่อคำของโอเซนาแล่นวาบขึ้นมาในหัว คิมดานียืนหลับตาตัวแข็งทื่ออยู่ตรงหน้า เซฮุนลืมการกระทำของตัวเอง เขาเกือบลืมไปแล้วว่าจุดประสงค์ที่มาอยู่ที่นี่ ตอนนี้ ล้วนไม่มีการล่วงเกินหรืออยากให้เรื่องเลยเถิดอย่างที่กำลังเป็นอยู่ ตาเรียวรีหลุบมองริมฝีปากของแฟนสาว มองกระทั่งสร้อยข้อมือที่เธอถือเอาไว้ด้วยมือชื้นเหงื่อ

     

     

    เซฮุนโมโหตัวเอง ที่สุดท้ายก็ถอยออกมาอย่างคนขี้แพ้

     

     

    “ขอโทษ...” ดานีลืมตาขึ้น มองชายในฝันของเธอกำลังยกมือขึ้นเสยเรือนผมสีน้ำตาลอย่างลวกๆ ดวงตาสั่นไหวไม่มองมาทางนี้ ทำราวกับว่าทุกอย่างย่อมน่ามองกว่าอย่างที่ทำเสมอ “ผมทำไม่ได้”

     

     

    ดานีรู้อีกว่าเธอไม่ควรเสียใจ ทั้งควรจะรู้อยู่แล้วว่าระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเป็นแค่ฝันดีที่ไม่มีทางเป็นจริงเท่านั้น

     

     

    พอมันเกิดขึ้นจริง เด็กสาวกลับไม่รู้จะพูดอะไรออกมา นี่คงเป็นผลจากความใจกล้าที่เลือกพูดออกไปอย่างนั้น ใจกล้าทั้งที่รู้ตัวมันไม่มีอะไรต่างไปจากเดิม ดานีคิดเรื่องนี้มานานมากแล้ว นานพอๆกับที่เธอรู้ตัวว่าเซฮุนไม่ได้ปฏิบัติตัวด้วยเป็นพิเศษหรือมองโดยใช้สายตาลึกซึ้งกว่าเดิม ประสบการณ์ความรักของดานีอาจมีน้อยเท่าหางอึ่ง แต่ความรู้สึกของเธอมีเท่าผู้หญิงคนอื่นๆเสมอ

     

     

    คิมดานีอยากเป็นคนรักของโอเซฮุน ไม่ใช่หน้าที่

     

     

    “ขอโทษ ผม --” เซฮุนไม่รู้ว่าเขาควรพูดอะไร ขอโทษสักพันครั้ง หรือสัญญาว่าจะจูบเธอให้ได้ในครั้งที่เราเจอกันเพื่อยืนยันสถานะนี้ แต่ไม่เลย ใจของเขาบอกว่าไม่มีทาง เพราะไม่เคยมีความรัก ชายหนุ่มถึงไม่รู้มาก่อนว่าการพยายามชอบมันยากขนาดนี้

     

     

    พอก้าวเข้าหาหนึ่งก้าว ดานีก็จะถอยห่างออกไปทั้งที่ไม่เคยทำมาก่อน เซฮุนจะทำอย่างไรดี เขารู้สึกแย่ยิ่งกว่าคืนที่จำใจต้องสารภาพความจริงให้พี่เซนาฟังเสียอีก

     

     

    “ฉันขอถามข้อสุดท้ายได้ไหม...” คนตรงหน้าวอนขอ เธอเหมือนคนที่กำลังกลั้นน้ำตาไม่ให้ทะลักออกมาทั้งที่ยากเต็มแก่ “หนึ่งเดือนที่ผ่านมา เซฮุนรู้สึกพิเศษกับฉันบ้างหรือเปล่า”

     

     

    ต่อให้เซฮุนตอบว่านิดหน่อย ใจเธอก็คงจะชื้นและเลือกหลับหูหลับตาสู้ความจริงมากกว่านี้ แต่เพราะเขาตอบด้วยความเงียบ ดานีไม่เข้าใจเลย เซฮุนขอเธอคบทำไม เอาตัวเข้ามาในชีวิตเธอแล้วตอบรับความรู้สึกนี้ทั้งใจเฉยชาได้อย่างไร ทั้งยังทำระยะเวลาสั้นๆนี้ให้ยาวนานจนทุกอย่างกู่ไม่กลับ

     

     

    “ฉันดีใจ... แต่ก็ไม่ไหวแล้วจริงๆ”

     

     

    “....”

     

     

    “ฉันไม่รู้จะสู้เพื่ออะไร สู้กลับไปเป็นแบบเดิมเสียยังดีกว่า”

     

     

    “ดานี...” เมื่อเอื้อมมือหา เด็กสาวก็เบี่ยงตัวหลบไปอีกทางจนยืนอยู่ตรงทางออก

     

     

    “ขอบคุณจริงๆนะ ฉันเอาเวลาของเซฮุนมาตั้งเยอะแล้ว”

     

     

    “....”

     

     

    “แต่ฉันยังอยากเป็นเพื่อนกับเซฮุนอยู่ เพราะอย่างนั้น ขอเวลาให้ฉันหน่อยนะ”

     

     

    ดานีออกไปก่อนที่เธอจะร้องไห้ เซฮุนเห็นว่ามือนั้นยกขึ้นปาดตาในตอนที่เดินออกไปจากในห้องน้ำ ครั้งตัดสินใจได้ว่าควรตาม สายฝนปรอยๆจากนอกหลังคากลับเรียกชายหนุ่มให้ถอยกลับเข้ามาเพื่อทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น

     

     

    ไม่บ่อยนักที่ฝนจะตกในช่วงนี้ อากาศที่เริ่มย่างเข้าสู่ฤดูหนาวเป็นคำเตือนกลายๆว่าอย่าได้มีใครริตากฝนจนตัวเปียกถ้ายังไม่อยากเป็นไข้จนสั่น ได้แต่หวังว่าดานีจะกลับเข้าอาคารได้ทันก่อนที่ฝนจะเม็ดใหญ่ขึ้น เซฮุนไม่ได้กลัวการขู่ของสภาพอากาศข้างต้น หากแต่เขาคิดเหตุผลดีๆไม่ออก ทุกอย่างมันจุกอยู่กับอก ในเมื่อชายหนุ่มรู้แก่ใจดีอยู่แล้วว่าเขารู้สึกอย่างไรกับดานี และเธอก็ไม่สมควรรู้ถึงกระทั่งว่าถูกคนแย่ๆอย่างโอเซฮุนพาเข้ามาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อตัดใครอีกคนออกไป แล้วยังไม่สำเร็จอีกต่างหาก

     

     

    เซฮุนพาตัวเองเข้ามาข้างในห้องน้ำตามลำพัง ทั้งมองภาพสะท้อนในกระจก ก่นด่าด้วยคำแย่ๆสารพัดเพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น อย่างหนึ่ง เขาโกรธที่ดันรู้สึกโล่งใจขึ้นมา หลังจากได้พูดคุยกับพี่เซนาคืนนั้น ในหัวเซฮุนก็คิดแต่ว่าจะทำตัวอย่างไร บอกดานีไปตรงๆดีไหม แต่ท้ายแล้วเขาก็ไม่กล้าพอที่จะตัดรอนเธอที่ที่เป็นฝ่ายออกปากพูดเอง อย่างที่สอง เซฮุนยอมแพ้ให้ความขลาดเขลาด้วยการเลือกหลอกตัวเองโดยรักษาความสัมพันธ์นี้ ทว่าเขาก็คิดไม่ถึงอีกว่าดานีดูออก ถึงแม้เราจะขี้กลัวเหมือนกัน แต่ดานีก็กล้าหาญมากที่ยอมจบมันและรับความเจ็บปวดไปเพียงคนเดียว

     

     

    ชายหนุ่มได้ยินเสียงแว่วจากภายนอก ให้ตายเถอะ เขาไม่อยากร้องไห้ให้ใครเห็นตอนนี้ จะเป็นพวกกลุ่มชอบสูบบุหรี่หรือผู้หญิงช่างนินทาที่ชอบมาใช้ที่นี่กัน ร่างโปร่งหลบตัวเองเข้าไปหลังบานประตูห้องน้ำที่ใกล้ที่สุด ปิดล็อกแล้วทิ้งตัวลงบนฝาชักโครกเพื่อจมอยู่กับตัวเองสักพัก ขาดเรียนไปสักคาบก็คงไม่เป็นไร

     

     

    “จะดีเหรอ แต่ในนี้มันไม่มีประตูนะ”

     

     

    “ช่างมันเถอะน่า เดี๋ยวไปต่อในห้องส้วมก็ได้”

     

     

    เสียงชายหญิงโรมรันกันดังจ๊วบจ๊าบ ซ้ำเงาจากช่องใต้ประตูยังบอกกลายๆอีกว่าคนด้านนอกตัดสินใจหยุดกันตรงอ่างล้างมือในท่าไหนสักท่าเรียบร้อยแล้ว โอ้ ใบหน้าขาวขึ้นสี เชื่อในความโชคร้ายของตัวเองเลยว่าขนาดจะเศร้า สถานที่ก็ยังไม่เป็นใจอีก

     

     

    โอเซฮุนได้แต่ชั่งใจว่าควรทำอย่างไรดี เขากัดเล็บหัวแม่มือ คิดแล้วคิดอีกระหว่างเดินออกไปตั้งแต่ที่ยังไม่มีอะไรลึกซึ้ง หรือจะนั่งฟังเสียงหนังสดอยู่ตรงนี้แล้วค่อยย่องออกในตอนที่สองคนนั้นหนีเข้าห้องส้วมสักห้อง แต่มาคิดดูอีกที ข้างนอกฝนตกอย่างนั้น คงไม่มีใครอยากฝ่าออกมาถึงตรงนี้หรอกถ้าไม่ได้มีเจตนาไม่บริสุทธิ์อย่างสองคนนี้จริงๆ

     

     

    ท้ายแล้ว ชายหนุ่มก็คิดว่าทางแรกคงปลอดภัยที่สุด เขาตัดสินใจปลดล็อกกลอนประตูแล้วสูดหายใจขณะหยัดยืนตัวตรง ก่อนจะดันบานตรงหน้าออกเพื่อพบเห็นภาพบัดสีบัดเถลิงของหนุ่มสาวที่เซฮุนไม่อยากรู้ว่าเป็นใครในโรงเรียนนี้

     

     

    และให้ตายเถอะ ใครจะไปเชื่อว่าจะเป็น --

     

     

     

     

    “เซฮุน...”

     

     

    ลู่หานอุทานเสียงต่ำ ลำคอก็กลืนน้ำลายดังเอื้อกเมื่อการประจันหน้าของทั้งสามคนนั้น เขาเป็นฝ่ายทุเรศทุรังกว่าเห็นๆ ทั้งการยกตัวหญิงสาวในชุดเสื้อโปโลรัดรูปขึ้นนั่งบนขอบอ่าง ผมเผ้ายุ่งเหยิงและพร้อมจะอีรุงอีนังกันเต็มแล้วแก่ถ้าไม่ถูกขัดจังหวะ มือไม้ของนักกีฬาหนุ่มหุบเข้าหาตัว ลำพังจะยกขึ้นเกาศีรษะเก้อเขินยังคิดว่าคงไม่ดูดีขึ้นเลยด้วยซ้ำ

     

     

    “ขอโทษ... ไม่รู้ว่าอยู่ในนี้” ยิ่งพูด ลู่หานคิดว่ามีแต่จะยิ่งทำให้บรรยากาศตึงเครียดขึ้นทุกขณะ แต่ปากเจ้ากรรมเขามันดันไวแสง หันกลับไปก็เห็นโซยูจัดผมเผ้าตัวเองแล้วลงมายืนตัวตรงที่พื้นแล้ว เธอกระซิบบอกลาเขา มันคงไม่เข้าท่าแน่ๆถ้าผู้ช่วยอัตราจ้างถูกจับได้ว่าแอบทำอะไรแบบนี้กับเด็กในโรงเรียน

     

     

    “ไม่เป็นไร ฉันจะขึ้นไปเรียนอยู่แล้ว” เซฮุนพยายามปั้นสีหน้าเรียบเฉย เขาสู้กับตัวเองเพื่อเก็บใบหูแดงก่ำไม่ให้แสดงอาการไปมากกว่านี้ ทั้งน้ำเสียงเบาหวิวที่เอื้อนเอ่ย และฝีเท้าที่ทำท่าจะก้าวหนีออกไป แต่ดันไม่ทันคุณโซยู คุ้นๆว่าเป็นคนเดียวกับที่เจอในงานแข่งฟุตบอลเขตเมื่อเดือนที่แล้ว

     

     

    “ไว้เจอกันนะลู่หาน”

     

     

    “ครับ เจอกัน”

     

     

    หนุ่มผมน้ำตาลโบกมือลา ใจหนึ่งก็คิดว่าดีเหลือเกินที่โซยูเลือกปลีกตัวออกไปก่อน แต่อีกใจก็ดันกลัดกลุ้มขึ้นมาจนหน้าถอดสีเมื่อพบว่าบรรยากาศภายในนี้นั้นยิ่งแย่ลงหลายเท่าเมื่อต้องอยู่กับคู่กรณีเก่าสองต่อสอง

     

     

    เอ้อ... แต่จะแคร์อะไรล่ะ ก็เลิกกันแล้วนี่

     

     

    ร่างโปร่งยึกยักอยู่สองสามที ก่อนจะพาตัวเองเดินสวนตามโซยูออกไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นมันก็คงง่ายอยู่หรอก ทว่าทุกอย่างกลับตรงกันข้ามในตอนที่ลู่หานตัดสินใจยื่นมือออกไปคว้าแขนอีกคนเอาไว้ เพราะอะไรก็ยังไม่ทันคิดเหมือนกัน

     

     

    ลองมาถูกหลบหน้าหลบตาเป็นเดือนๆ แล้วยังทะเลาะกันอย่างเมื่อสัปดาห์ที่แล้วดูสิ แล้วจะรู้ว่าลู่หานมีความอดทนสูงแค่ไหนแล้วที่ยังปั้นหน้าปกติใส่โอเซฮุนได้อย่างนี้ จะเป็นตอนหล่อๆเศร้าๆหน่อยก็ไม่ได้ ความน่าเชื่อถือติดลบสุดๆ

     

     

    “จับไว้ทำไม”

     

     

    “โห เสียงเขียวเลย” ปากพล่อยแซวออกไปอีกรอบ นึกอยากจะตบให้พูดไม่ได้อีกเลย ให้ตายสิ

     

     

    คนเสียงเขียวขมวดคิ้วมุ่น แค่เรื่องของคิมดานีก็เครียดจะตายอยู่แล้ว แล้วนี่มันอะไร เขาต้องรู้สึกอย่างไรกับภาพที่เพิ่งเห็นตำตาเมื่อครู่นี้อีก โอเค ขอถอนคำที่บอกว่าเผลอตัวเผลอใจให้นายเจ้าชู้นี่ก็แล้วกัน คิดผิดเสียที่ไหนล่ะ

     

     

    “คือ... เมื่อกี้มันก็ไม่ใช่อย่างนั้น”

     

     

    “เรื่องของนายเถอะ”

     

     

    “ไม่เอาน่า อยากอธิบายอะ”

     

     

    “ไม่ฟัง” นั่นปะไร หึงก็พูดมาเลยว่าหึง ทำไมต้องทำดุกลบเกลื่อนด้วย

     

     

    “ก็ฟังกันก่อนสิ” ลู่หานออกแรงให้มากขึ้น รั้งอีกฝ่ายให้กลับมายืนประจันหน้ากันแล้วยื่นมือไปจับแขนอีกข้างล็อกเอาไว้ เกลียดตัวเองเหลือเกิน อุตส่าห์ฟอร์มจัดเมินเขามาได้อีกตั้งอาทิตย์ พอเจอจังๆตรงหน้า หัวใจมันก็เรียกร้องอีกแล้ว ที่หนีไปซ้อมฟุตบอลเอาเป็นเอาตายนี่ไม่มีประโยชน์เลยใช่ไหมหือ “คนนั้นน่ะ... ผู้ช่วยผู้จัดการทีม”

     

     

    “....”

     

     

    ถึงตรงนี้แล้วก็คิดคำแก้ตัวสวยๆไม่ออก ในเมื่อมันตำตาอย่างนั้น ต่อให้เป็นพ่อเสือซื่ออย่างเซฮุนก็คงไม่เข้าเป็นอื่น และมันดันถูกเสียด้วย “นั่นแหละ ผู้ช่วยผู้จัดการทีม”

     

     

    เซฮุนกลอกตามองเพดาน ไม่รู้ว่าจะมีอะไรที่น่าหงุดหงิดไปกว่านี้อีกไหม เขาเกลียดตัวเองเป็นบ้าที่ดันชอบลู่หานเข้าเสียได้ ทั้งที่สิ่งที่หมอนี่ทำก็คงไม่ต่างอะไรจากที่ทำกับผู้หญิงคนเมื่อครู่เลย อ้อ สิ่งน่าโมโหอย่างที่สองก็คือ เซฮุนไม่ชอบเทียบตัวเองเป็นผู้หญิง หรือหนึ่งในคอลเลคชั่นของผู้ชายจีนคนนี้

     

     

    “พูดจบแล้วใช่ไหม ฉันจะขึ้นไปเรียน” ขืนข้อมือจากแรงกอบกุมของใครอีกคนด้วยแรงที่มี แต่ยิ่งออกแรงมากขึ้น ลู่หานก็ยิ่งยื้อยุดเอาแต่ใจอย่างที่ทำเป็นประจำ และนั่นทำให้เซฮุนยิ่งเกลียด

     

     

    เขาเกลียดที่ลู่หานไม่เคยให้เกียรติกันเลยสักครั้ง เกลียดที่ลู่หานนึกสนุกว่าอยากจะทำอะไรก็ทำ ต่อให้มันเปลี่ยนจนโอเซฮุนไม่มีทางกลับเป็นเหมือนเดิมได้อีกก็ตามที ใช่ เขาเพิ่งทำร้ายจิตใจผู้หญิงคนหนึ่ง ซ้ำยังทำร้ายตัวเองซ้ำๆด้วยการช่วยตัวเองเวลานึกถึงหน้าหมอนี่ แล้วดูที่ลู่หานทำสิ ยิ่งความรู้สึกที่เรามีมันลึกซึ้งมากขึ้นเท่าไร เซฮุนก็ยิ่งรู้สึกเหมือนดูแคลนตัวเองมากขึ้นเท่านั้น

     

     

     

    “ปล่อย”

     

     

    “ไม่ปล่อย”

     

     

    ทั้งคู่ยื้อกันไปมาอย่างไม่มีใครยอมใคร พอขืนแขนไม่ได้ผล เซฮุนก็ยิ่งพยายามเอาชนะด้วยการเบี่ยงตัวแรงๆจนลู่หานต้องออกแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ข้อมือขาวแดงไปด้วยแรงบีบ แต่เชื่อเถอะว่ามันคงไม่เท่าใจของเซฮุนตอนนี้ ทั้งที่คิดถึงลู่หานแทบบ้า แต่เขาก็ยังต้องหนีเพราะไม่อาจยอมลงให้ทิฐิในใจตัวเอง

     

     

    “โธ่เว้ย! ลู่หานดันร่างเขาถอยไปจนกระแทกกับกำแพงกระเบื้องขาว สองมือวาดแขนข้างโอเซฮุนงอขึ้นข้างศีรษะเพื่อให้อยู่ใต้อาณัติโดยแท้จริง “ก็ฟังกันบ้างสิวะ จะหนีไปถึงไหน”

     

     

    คนตรงหน้าเขาไม่เคยสบถหยาบคายอย่างนี้มาก่อน อย่างน้อยก็ไม่พูดมันต่อหน้าเซฮุนที่นิ่งงันไปเพราะคำสั่งเด็ดขาดเมื่อครู่ ทั้งหมดทำให้เซฮุนรู้สึกแย่ ลู่หานกำลังทำเหมือนเขาเป็นคนผิดและไม่สมควรหนีไปไหนทั้งที่ระยะห่างของเรามันมากเต็มทีแล้ว

     

     

    เมื่อตั้งสติได้ เสียงของคนพูดถึงได้อ่อนลงจนคล้ายเว้าวอน “ขอโทษ... แต่คุยกันก่อนได้ไหม”

     

     

    “....”

     

     

    “ได้โปรดล่ะเซฮุน ฉันคิดถึงนายแทบบ้าอยู่แล้ว”

     

     

    ขอร้องให้โอเซฮุนเชื่อด้วยสิ ว่าภาพสุดร้อนเมื่อครู่น่ะเขาตาฝาดด้วยทั้งนั้น

     

     

    เซฮุนจ้องคนตรงหน้าเขม็ง ถึงลู่หานจะตัวเล็กกว่าเขา แต่ก็มีเรี่ยวแรงอย่างไม่น่าเชื่อยามที่เจ้าตัวต้องการใช้มัน เสื้อเชิ้ตนักเรียนหลุดลุ่ย ซ้ำเนคไทยังคลายหลวมราวกับมันหงุดหงิดเหลือเกินเมื่อถูกขัดจังหวะ เดิมที ความเชื่อใจที่เขามีให้คนตรงหน้าก็น้อยเหลือเกินแล้ว พอยิ่งเป็นในตอนที่ความรู้สึกดิ่งลงเหวแบบนี้ เซฮุนก็ไม่รู้ว่าเขาจะใจอ่อนอย่างไรได้อีก

     

     

    “ฟังให้จบ แล้วถ้าคิดว่าฉันยังล้อเล่นหรือเราควรจะลืมๆมันไปก็ -- โอเค ฉันจะไม่งี่เง่ากับนายอีก”

     

     

    ลู่หานผ่อนแรงลงแล้ว ริมฝีปากแห้งผากนั้นถูกเลียด้วยลิ้นชื้นราวกับมันกำลังพยายามรวบรวมความกล้าทั้งหมดทั้งมวลให้หลุดจากคอหอยเพื่อเปล่งออกมา อย่างหนึ่งที่เซฮุนไม่รู้คือ ลู่หานทบทวนตัวเองมานานมาก มากพอที่เขาจะแน่ใจยิ่งกว่าแน่ใจว่าหลงรักโอเซฮุนเข้าเต็มเปา มากพอที่จะพูดมันออกไปซ้ำๆแล้วปล่อยให้อีกคนคิดว่าเขาล้อเล่น จากนั้นก็หนีกันโดยอ้างเหตุผลต่างๆนานา

     

     

    “อย่างแรกที่นายควรรู้คือฉันไม่ได้ล้อเล่น และต่อให้นี่จะเป็นสถานการณ์ที่ไม่เหมาะสมนักเพราะเรื่องเมื่อกี้ ซึ่งฉันไม่มีอะไรจะแก้ตัว ใช่ ฉันเหงา แล้วฉันก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร”

     

     

    “....”

     

     

    “เว้นแต่ช่วงที่เราอยู่ด้วยกัน”

     

     

    ตากลมโตจับจ้องจนคนฟังต้องเป็นฝ่ายหลบสายตาหนีเสียเอง แต่เมื่อเซฮุนทำอย่างนั้น มือนักกีฬาก็ขยับมาเชยคางเขาให้หันกลับไปมองกันอีก

     

     

    “ฉันรู้ตัวว่าฉันมันเฮงซวย ฉันทำอะไรแย่ๆกับนายไปเยอะ ทั้งเรื่องที่บ้านนาย บ้านฉัน ในห้องล็อกเกอร์ หรือที่ฉันใจกล้าฉวยโอกาสกับนายต่างๆนานา แต่มันโคตรดีเลยรู้ไหม” เขากลืนน้ำลายลงคอ ตอนนี้ที่แก้มของเซฮุนเปื้อนริ้วแดงๆให้เห็น แววตาที่เคยแข็งกร้าวก็อ่อนลงจนเริ่มสั่นไหวเมื่อคำที่ได้ยินยังคงไม่จบ เชื่อเถอะว่าถ้าทำได้ เซฮุนคงอยากอุดหู แต่ในเมื่อพูดไปขนาดนี้แล้ว ลู่หานทนไม่ไหวถ้าต้องหยุด “ดีที่เราได้ทำอย่างนั้นด้วยกัน แล้วก็ -- คือมันดีต่อความรู้สึกของฉัน”

     

     

    “....”

     

     

    “ดีเป็นบ้าเลย ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เราได้อยู่ด้วยกัน จูบกัน หรือว่าตอนที่นายด่าฉันเพราะว่านายเขิน”

     

     

    “....”

     

     

    “แล้วฉันก็รู้สึกแย่มากๆตอนที่รู้ว่านายมีแฟน ให้ตายเถอะ... นายทำได้ไงกันเซฮุน ฉันเกือบเป็นบ้า -- ไม่สิ บ้าไปแล้วด้วยซ้ำ”

     

     

    ลู่หานพยายามเรียบเรียงออกมาเป็นคำพูด เขาอาย แต่ก็ยังไม่แย่เท่ากับถ้าไม่ได้พูดมันออกไป แขนเรียวผละออกจากการพันธนาการคนตรงหน้า เขาเสยเรือนผมสีน้ำตาลจนยุ่งเหยิงเมื่อเห็นแล้วว่าสีหน้าของเซฮุนไม่ได้ต่างไปจากเดิมแล้ว ลู่หานยกมือขึ้นลูบหน้าแรงๆอีกครั้งขณะหันหลังให้คนฟัง น้ำลายในลำคอเหนียวหนืดจนจับตัวเป็นก้อน แล้วก็อย่างกับจุกอยู่ตรงคอหอยเมื่อเขาคิดพูดคำสำคัญออกไป

     

     

    “ผู้ชายน่ะ” เป็นครั้งแรกที่ตากลมโตมันร้อนเหมือนอยากเรียกน้ำตาขึ้นมา ถ้าเป็นตอนนี้ ลู่หานคิดว่ายังง่ายถ้าเขาจะกลั้นมันเอาไว้ “ถ้าได้ลองบอกรักคนที่ชอบไปแล้ว นั่นหมายถึงเขาไม่อยากเห็นหน้าอีก”

     

     

    บางที โอเซฮุนอาจต้องการอย่างนี้ แล้วคงเป็นเขาเองทั้งนั้นที่งี่เง่าจะอยู่โดยไม่ถามความเห็นจากอีกฝ่ายเลยสักครั้ง จริงที่ลู่หานขี้งอน แต่ถ้าหมดจากครั้งนี้ไปแล้ว เขาจะใจแข็งและทำให้ได้อย่างที่พูด กลับไปสู่ชีวิตแบบเดิมที่เราไม่ต้องมาอยู่ในสถานะก้ำกึ่งอย่างที่เป็นอยู่

     

     

    “ฉันชอบนายจริงๆ โอเซฮุน”

     

     

    อย่าหันกลับไปเด็ดขาด ลู่หาน อย่าให้ความเด็ดเดี่ยวในครั้งนี้เสียเปล่าแค่เพราะนายไม่มีศักดิ์ศรีมากพอ

     

     

    เขาสูดลมหายใจฟึดฟัดขึ้นจมูก ดวงตาแดงก่ำเสมองแผ่นกระเบื้องสีขาวและต้นเสียงจากฝนหนาวภายนอกที่ร่ำเรียกให้ไปจากตรงนี้เสียที หลายเดือนเหลือเกินที่เล่นสนุกเหมือนเด็กอย่างนี้ อาจเพราะเขาทำเรื่องเลวร้ายมากไป พอมีความรักเข้าจริงๆถึงได้ต้องผิดหวังไม่เป็นท่า เซฮุนควรจะเป็นเจ้าชายของโรงเรียนอย่างที่เป็นมาตลอด ควรจะมีโอกาสได้เจอผู้หญิงดีๆและลองเซ็กส์ที่สุดยอดสักครั้ง ปล่อยให้เขาเป็นความทรงจำที่เลวร้ายอย่างนี้คงดีแล้ว

     

     

    หากแต่พอสาวเท้าไปไม่ถึงสามก้าว ชายเสื้อกลับถูกรั้งเอาไว้ด้วยแรงดึงอ่อนๆจากคนทางด้านหลัง ร่างผอมชะงักกึก หัวใจที่บีบรัดจนปวดไปหมดเมื่อครู่กลับทำงานอีกครั้งด้วยแรงเต้นเกินพอดี

     

     

    “เซฮุน...?”

     

     

    เจ้าของชื่อยังคงเงียบ เงียบและออกแรงรั้งให้ถอยกลับไปมากขึ้นราวกับจะท้าลู่หานว่าหันมามองสักหน่อยสิ นี่มันแย่ -- แย่มากๆ ใจคอจะทรมานเขาจนถึงที่สุดเลยหรือไงกัน

     

     

    “ฉันจะนับหนึ่งถึงสาม ถ้านายไม่ปล่อย ฉันจะหันกลับไป”

     

     

    ลู่หานขู่ แต่น่ากลัวว่ามันจะเป็นคำขู่ที่น่าต่อรองที่สุดในโลก

     

     

     

     

    “สาม”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    เราเงียบกันอยู่พักใหญ่ สิ่งที่ค้างคาอยู่ในหัวสับสนปนเปด้วยประโยคเมื่อครู่ เซฮุนนึกอยากให้ลู่หานพูดมันอีกครั้ง แต่เขาก็ขลาดเขินเกินกว่าที่จะทำได้อย่างใจคิด

     

     

    “อุตส่าห์กลั้นใจสารภาพรัก คิดว่าจะได้เดินหนีเท่ ๆ แบบในละครเสียแล้ว” ลู่หานแค่นหัวเราะเบา ๆ  “แต่แบบนี้โคตรดีเลย -- ดีมากๆ”

     

     

    หน้าคนมองร้อนฉ่า ตั้งแต่เกิดมา นับครั้งไม่ถ้วนที่โอเซฮุนต้องติดอยู่ในสถานะคนถูกสารภาพรัก แน่นอน เขาทำอะไรไม่ได้นอกเสียจากอดทนอดกลั้นต่อความอึดอัด เบื่อหน่าย และคาดหวังเพียงว่าชีวิตจะเจอเจ้าสาวที่แตกต่างออกไปจากกลุ่มเด็กสาวที่พบเจอ บางทีผู้หญิงคนนั้นอาจเหมือนแม่ เหมือนพี่เซนา เซริ หรือซอนมี

     

     

     

     

    'เซฮุน! อยู่นี่เอง หาแทบแย่'

     

     

     

     

    แต่กลับกลายเป็นคนตาโตที่เปิดประตูเข้ามาในวันนั้น คนที่เล่นละครตบตาช่วยเขาให้พ้นจากเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเพียงเพราะนึกอยากเล่นสนุกด้วย ลู่หานเป็นทุกอย่างที่ตรงข้ามกับความสมบูรณ์แบบซึ่งเซฮุนคาดหวังมาตลอด

     

     

    ไม่มีอะไรเป็นตามที่เราคาดคิดเลยสักอย่าง ถึงอย่างนั้น เจ้าชายโอเซฮุนกลับหยุดรอยยิ้มของตัวเองไม่ได้เมื่ออีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาสบตาอีกครั้ง เสียงของลู่หานแหบพร่า เอาแต่ใจ แล้วก็น่าตลกว่าเขาดันหลงรักทุกความร้ายกาจที่เป็นหมอนี่เข้าให้แล้ว

     

     

    “ว่าไง จะเป็นแฟนกันไหม นี่ขอเลยนะ” เซฮุนเม้มริมฝีปากแน่น ในหัวขาวโพลนคิดอะไรไม่ออกเลยสักอย่าง “หรือชอบแบบเซ็กส์เฟรนด์ -- โอ๊ย!

     

     

    ขอกลับคำ อย่างน้อยเขาก็คิดได้ว่าต้องตบบ้องหูลู่หาน

     













    ______________________________________


    /จุดพลุ

    #ฟิคฮบ

     







     

    ความคิดเห็น

    ×