ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บทความวิชาเกรียน - ข้อมูลเทวดาฉบับฮาเฮ

    ลำดับตอนที่ #22 : พระปัญจสิขะ : เซเลบแดนสวรรค์

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 664
      5
      1 ธ.ค. 59

    พระปัญจสิขะ :  เซเลบแดนสวรรค์


    หลังจากกล่าวถึงมหาราชแห่งคนธรรพ์ทั้งมวลแล้ว วันนี้ก็ขอกล่าวถึงคนธรรพ์ที่มีบทบาทสำคัญกับสวรรค์ทั้งระดับดาวดึงส์และจาตุมหาราชิกากันเสียหน่อย

    คนธรรพ์เทวดาที่จะกล่าวถึงในตอนนี้คือพระปัญจสิขะ หรือจะเรียกว่าปัญจสิขร ปัญจสิงขรตามสำเนียงที่ถนัดก็ไม่ผิด ซึ่งหลายคนอาจจะพอคุ้นชื่ออยู่บ้าง เพราะเขาเป็นคนธรรพ์ที่มีชื่อเสียงพอสมควรทั้งในระดับดาวดึงส์ ระดับจาตุมหาราชิกา และในโลกมนุษย์ก็ยังมีการนับถือว่าเป็นครูของวิชาเครื่องดนตรีที่ใช้สายทั้งหลาย เรียกได้ว่าเป็นศิลปินเซเลบ (ศัพท์สแลงจาก celebrity คือผู้มีชื่อเสียง) ของแดนสวรรค์ก็ไม่ผิด

    พูดถึงเซเลบแล้ว ผมเห็นว่ามีข่าวไม่ค่อยดีเกี่ยวกับศิลปินในวงการบันเทิงหรือวงการมายาทั้งหลายอยู่บ่อยๆ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนัก เพราะศิลปินเองก็ยังเป็นปุถุชนที่มีกิเลส มีความดีความไม่ดีระคนกันไปเป็นธรรมดา แต่ท่องอินเทอร์เน็ตไปๆ มาๆ  ก็ดันไปเจอกระทู้บอกว่าอาชีพนักร้องนักแสดงเป็นอาชีพบาปสำหรับพุทธศาสนาไปเสียอย่างนั้น!

    จะว่าไปในพุทธศาสนาเองก็มีคำกล่าวทำนองนั้นอยู่จริงๆ ในตาลปุตตสูตร รายละเอียดโดยสังเขปว่าเมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ยังพระวิหารเวฬุวัน ตอนนั้นหนุ่มนักเต้นรำชื่อตาลบุตรได้มาทูลถามว่า ได้ยินอาจารย์กล่าวมาว่า “นักเต้นรำคนใดทำให้คนหัวเราะ รื่นเริง ด้วยคำจริงบ้าง คำเท็จบ้าง ในท่ามกลางสถานเต้นรำ ในท่ามกลางสถานมหรสพ ผู้นั้นเมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาผู้ร่าเริง” ข้อความนี้จริงเท็จประการใด

    พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าอย่าถามเรื่องนี้จะดีกว่า แต่ตาลบุตรยังคงถามต่ออีกจนครบสามครั้ง พระพุทธเจ้าจึงตรัสตอบตาลบุตรไป ความอย่างย่อว่าสัตว์ทั้งหลายมีราคะ โทสะ โมหะอยู่ในใจ นักแสดงได้รวบรวมเอาราคะ โทสะ โมหะของสัตว์มาในมหรสพ เพื่อเพิ่มพูนมันให้มากยิ่งขึ้น และนักแสดงนั้นมัวเมาประมาท เมื่อตายไปจะตกนรกชื่อปหาสะ

    ฟังดูเผินๆ แล้วน่าสะพรึงกลัวกับอาชีพศิลปินประเภทนักร้องนักแสดงมาก เหมือนกับเป็นอาชีพบาป ที่ทำให้สัตว์โลกลุ่มหลงมัวเมาในกิเลส และเป็นผลให้ตัวเองต้องตกนรก ซึ่งก็ไม่แปลก หาดูแต่เผินๆ ทว่าความเป็นจริงมันมีอะไรมากกว่านี้ ไม่เช่นนั้นถ้าคิดด้วยตรรกะอาชีพนักร้องนักแสดงนักเต้นเป็นอาชีพบาป พวกคนธรรพ์หรืออัปสรบนสวรรค์ที่ทำหน้าที่ทำนองนี้ก็ไม่ทำบาปใหญ่เลยเรอะ!

    หากพิจารณาให้ดีแล้วข้อความดังกล่าวไม่ได้บอกว่าการแสดง การร้องรำทั้งหมดเป็นบาป แต่บอกว่าถ้าเป็นการแสดงที่ทำเพื่อรวบรวมราคะ โทสะ โมหะของผู้ชมเข้าด้วยกัน และทำให้เพิ่มมากขึ้น โดยที่ตัวศิลปินเองก็ประมาทในธรรมะต่างหากล่ะ ที่เป็นอกุศลกรรม

    ดังนั้นการร้องรำทำเพลงหรือการแสดงอะไรที่ให้ข้อคิด คติเตือนใจ ไม่เป็นไปเพื่อเพิ่มราคะ โทสะ โมหะของผู้ชม และตัวศิลปินเองไม่ประมาทในธรรม ประพฤติปฏิบัติดีอยู่เสมอ ก็ไม่ได้พาศิลปินไปอบายหรือสร้างกรรมชั่วให้อย่างแน่นอน เช่นดังพระปัญจสิขะ ศิลปินเซเลบแห่งสวรรค์ที่ผมกำลังจะเล่าในตอนต่อไปนี้

    กล่าวกันว่าเดิมทีก่อนจะมาเป็นเทวดา พระปัญจสิขะเคยเป็นมนุษย์มาก่อน สมัยนั้นได้เป็นคนเลี้ยงวัว ไว้ผมสุดแนวเป็นทรงห้าปอย เป็นคนใจดีมีน้ำใจ ได้สร้างสาธารณกุศลพอสมควร เช่นศาลา สระน้ำ ถนน เมื่อเสียชีวิตลงตั้งแต่ยังหนุ่มก็ได้เกิดใหม่บนสวรรค์จาตุมหาราชิกา เป็นคนธรรพ์ที่มีผิวพรรณงดงาม ร่างกายเป็นสีทอง ถือพิณสีเหลืองมะตูมมีสายห้าสิบสาย เมื่อดีดแล้วอาจส่งเสียงก้องไปได้สี่เดือน และเป็นเทวดาที่มีความใกล้ชิดกับพระพุทธเจ้ามากที่สุด จนได้ชื่อว่าเป็นอุปัฎฐากสำคัญของพระพุทธเจ้า สามารถเข้าเฝ้าเพื่อฟังธรรมหรือถามปัญหาได้ทุกเวลาที่ต้องการ

    ปัญจสิขะนั้นมีความสามารถในการแต่งเพลง ร้องเพลงและบรรเลงเพลงเป็นเลิศ เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าเทวดาทั้งหลาย ขนาดที่สนังกุมารพรหม ผู้มาจากพรหมโลกเพื่อแสดงธรรมให้กับเหล่าเทวดาในดาวดึงส์ในวันพระ ยังมักปรากฏรูปลักษณ์เป็นปัญจสิขรเวลาแสดงธรรม เนื่องจากเป็นรูปลักษณ์ที่เหล่าเทวดายินดี เป็นที่ต้องใจเหล่าเทวดาทั้งหลาย เรียกได้ว่าเป็นเซเลบแห่งสวรรค์ทั้งสองชั้นก็ไม่ผิดนัก

    ในสักกปัญหสูตร ได้เล่าว่าเมื่อครั้งพระพุทธเจ้าเพิ่งตรัสรู้ไม่นานนัก ปัญจสิขะได้ปิ๊งนางคนธรรพ์นามภัททาสุริยวัจฉา อันหมายถึงมีรัศมีดังดวงตะวัน เป็นนางรำในสังกัดของพระอินทร์ และเป็นลูกของราชาคนธรรพ์ติมพรุ ซึ่งกำลังปิ๊งกับลูกชายของพระมาตุลี ชื่อสิขัณฑี ก็เลยไปร้องเพลงจีบนาง โดยยกเอาความรักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มาเปรียบเทียบในบทเพลง ความว่า

    “น้องสุริยวัจฉสา พี่ขอไหว้ท้าวติมพรุผู้เป็นบิดาของน้อง เพราะเหตุที่น้องผู้เป็นกัลยาณีได้เกิดมาแล้ว ยังความยินดีให้เกิดแก่พี่  ดุจลมเป็นที่ใคร่ของผู้มีเหงื่อ ดุจน้ำเป็นที่ปรารถนาของผู้กระหาย ดุจธรรมเป็นที่รักของพระอรหันต์ทั้งหลาย ดุจเอาน้ำดับไฟที่กำลังโพลง ดุจช้างที่ถูกแดดหน้าแล้งแผดเผาหยั่งลงในสระบัว เมื่อไรหนอพี่จะได้หยั่งลงสู่ถันและอุทรของน้อง พี่มีจิตที่ติดรักน้อง จิตแปรปรวนแล้ว ไม่สามารถกลับได้ ดุจปลาที่กลืนเบ็ด

    นางผู้มีลำขาอันงาม มีนัยน์ตาอันชมดชม้อย โปรดจงสวมกอดพี่ เพราะพี่ปรารถนายิ่งนัก มีบุญใดที่พี่ได้ทำไว้แล้วในพระอรหันต์ทั้งหลายผู้คงที่ จงอำนวยผลให้พี่กับน้อง พระมุนีแสวงหาอมฤตธรรมฉันใด พี่ก็แสวงหาน้องฉันนั้น พระมุนีทรงบรรลุพระสัมโพธิญานอันสูงสุดแล้ว พึงทรงเพลิดเพลินแม้ฉันใด พี่ก็เพลิดเพลินในน้องฉันนั้น หากพระอินทร์ให้เลือกระหว่างความเป็นใหญ่ในเทวโลกสองชั้นกับน้อง พี่จะเลือกน้อง

    สุริยวัจฉาบอกว่าตนไม่เคยได้พบพระพุทธเจ้ามาก่อน แต่ได้ยินเสียงเล่าลือเมื่อตัวเองไปฟ้อนรำบนสวรรค์ดาวดึงส์ก็เกิดเลื่อมใส และเมื่อได้ฟังเพลงที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า จึงได้ให้โอกาสพระปัญจสิขะได้คุยกับนางในวันนั้น


    ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ พระปัญจสิขะ


    พระปัญจสิขะได้เอาเพลงนี้มาเล่นอีกทีเมื่อพระอินทร์ที่กำลังจะหมดบุญพยายามเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าพร้อมเทวดา เนื่องจากพยายามเพียงลำพังแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสพอ จึงพาเหล่าเทวดาทั้งหลายในสังกัดไปด้วย เพราะหวังว่าจะต้องมีสักองค์ที่มีวาสนาพอจะสนทนาธรรมแน่ๆ แต่ครั้นจะเข้าไปทีเดียวเป็นหมื่นก็แปลกๆ จึงให้พระปัญจสิขะเปิดก่อนด้วยการใช้สกิลร้องเพลงเพื่อให้พระพุทธเจ้าตรัสชื่มชมเพื่อเปิดโอกาสในการสนทนา และเมื่อพระพุทธเจ้าให้โอกาสแล้ว จึงค่อยพาเทวดาตามกันเข้าไป

    หลังจากได้สนทนาธรรมกับพระพุทธเจ้าในหนนั้น พระอินทร์และคณะเทวดาจำนวนหนึ่งได้บรรลุโสดาปัตติผล และพระอินทร์ที่กำลังจะหมดบุญก็จุติในที่นั้นและได้อุบัติใหม่กลับเป็นพระอินทร์ดังเดิม เพิ่มเติมคือเป็นอริยบุคคลและมีรัศมีเรืองรองกว่าเก่า ผลงานนี้ได้ทำให้พระอินทร์ยกปัญจสิขะเอาไว้ในฐานะเสมอด้วยพ่อ ตั้งให้เป็นราชาแห่งคนธรรพ์ และยกนางสุริยวัจฉาซึ่งเป็นนางฟ้อนรำในสังกัดให้เป็นชายาเลยทีเดียว

    นอกจากผลงานเล่นดนตรีนำเหล่าเทวดาจนบรรลุธรรม ปัญจสิขรเองก็ไม่ได้ประมาทในธรรม ยังมีการเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าสนทนาธรรมเองเดี่ยวๆ เช่นในปัญจสิขสูตร ก็ได้ไปสนทนากับพระพุทธเจ้าว่าเหตุใดบางคนจึงนิพพานในชาตินี้ แต่บางคนไม่ ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสตอบ ใจความอย่างย่อว่าเพราะความกำหนัด เพราะตัณหาจึงทำให้สัตว์ไม่นิพพานในชาตินี้ เพราะความไม่กำหนัดจึงทำให้นิพพานในชาตินี้

    จะเห็นได้ว่าตัวพระปัญจสิขะนั้น แม่เป็นคนธรรพ์แต่กำเนิด เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีพรสวรรค์ด้านการร้องรำทำเพลง แต่ก็ใช่ว่าจะใช้เพลงเพียงเพื่อปลุกเร้าราคะ โทสะ โมหะในผู้ฟังเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีการสรรเสริญพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ให้ผู้ฟังเกิดความเลื่อมใส (แม้จุดประสงค์หลักจะเป็นไปเพื่อการจีบสาวก็ตามทีเถอะ) นอกจากนี้ตัวพระปัญจสิขะเองก็เป็นผู้ไม่ประมาทในธรรม หมั่นเข้าเฝ้าสนทนาธรรมอยู่เนืองๆ นั่นจึงส่งผลให้แม้เขาจะทำงานเป็นศิลปิน แต่ก็มีฐานะบนสวรรค์ที่ใหญ่ระดับเทียบพ่อพระอินทร์เลยทีเดียว

    ดังนั้นถ้าเป็นศิลปินที่แสดง ร้องเพลง หรือทำอะไรเพื่อให้คติข้อคิดแก้ผู้อื่น ให้กำลังใจในชีวิต ไม่ใช่ว่าทำให้กิเลสเพิ่มขึ้นอย่างเดียว และตัวศิลปินประพฤติดี ปฏิบัติดี ไม่ประมาทในธรรม หมั่นศึกษาธรรมะ อยู่ในศีลธรรม แบ่งปันรายได้เป็นทานแก่ผู้ด้อยโอกาสเสียอย่าง ความดีนั้นก็จะคอยคุ้มครองไม่ให้ไปยังความเสื่อม ทั้งในโลกนี้และโลกหน้าเองนั่นแหละครับ 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×