คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #24 : พระติมพรุ : ศิลปินที่ถูกลืม
พระติมพรุ : ศิลปินที่ถูกลืม
ในตอนก่อนๆ ผมได้พูดถึงคนธรรพ์เทวดาชื่อดังทั้งสอง คือพระปัญจสิขะและพระปรคนธรรพ์ไปบ้างแล้ว และได้กล่าวชื่อคนธรรพ์อีกหนึ่งซึ่งมีฐานะและฝีมือทางดนตรีไม่ด้อยไปกว่าอีกสองคนธรรพ์เลย นั่นก็คือราชาแห่งคนธรรพ์ที่มีนามภาษาบาลีว่า “ติมพรุ” หรือที่สันสกฤตเรียก “ตัมพุรุ” “ตุมพุรุ” นั่นเอง
ในคติพุทธศาสนาที่ได้เล่าไปในตอนก่อนๆ ได้เล่าว่าพระติมพรุเป็นราชาคนธรรพ์ เป็นบิดาของนางสุริยวัจฉา นางระบำของพระอินทร์ผู้ต่อมาได้ตกเป็นชายาของพระปัญจสิขะ และไม่ค่อยปรากฏเรื่องราวอื่นมากนัก แต่ในคติของศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู ได้ปรากฏเรื่องเล่าของเทวดาองค์นี้อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ไหงถึงไหนไม่เป็นที่กล่าวถึงเท่าอีกสองคนธรรพ์ จนพูดไปอาจจะไม่รู้จักและลืมๆ ไป แต่อย่างไรก็ต้องขอเวลาเล่ากันสักหน่อย
คติวรรณกรรมสันสกฤต รูปลักษณ์ของพระติมพรุในศิลปะฮินดู มักปรากฏรูปลักษณ์ว่าเป็นคนธรรพ์ที่มีศีรษะเหมือนม้าหรือหมี ถือพิณวีณา แต่งกายคล้ายนักบวชแบบพระปรคนธรรพ์ เชื่อว่าพระติมพรุเป็นหนึ่งในบุตรของมหาฤๅษีกัศยปเทพบิดรเจ้าเก่า แต่ในคติตันตระสายไศวะนิกายเช่นในคัมภีร์วินาศิขะตันตระ ได้อธิบายว่าพระติมพรุเป็นอวตารภาคหนึ่งของพระศิวะ ซึ่งจะว่ากันตรงๆ ตำนานกำเนิดเทวดานี่ก็มีที่มาตีกันไปตามแต่ละนิกายความเชื่อ ดังนั้นก็คงต้องใช้วิจารณญาณกันต่อไปว่าใครเลือกจะเชื่อตำนานไหนมากกว่า
พระติมพรุถูกยกย่องว่าเป็นหนึ่งในคนธรรพ์ที่มีฝีมือดีที่สุดแห่งสรวงสวรรค์ และมักจะไปเปิดคอนเสิร์ต เอ๊ย ไปเล่นดนตนรีในอาณาเขตของพระวิษณุ พระอินทร์และพระกุเวรอยู่เสมอ แล้วคงพาลูกๆ และเด็กในสังกัดไปแสดงด้วย นอกจากนางสุริยวัจฉาผู้เลอโฉมที่ปรากฏในสักกปัญหสูตรเมื่อตอนก่อนๆ ในวรรณคดีคติฮินดูก็ยังอธิบายว่าพระติมพรุมีหน้าที่เป็นเมนเทอร์ดูแลนางรัมภา นางอัปสรคนดังคนหนึ่งของสวรรค์ บางที่ก็เชื่อกันว่าทั้งคู่มีความสัมพันธ์กันในฐานะสามีภรรยาอีกต่างหาก โดยมีลูกสาวชื่อสุเกศาและมโนวดี ซึ่งก็ไม่รู้ไปดูแลอีท่าไหนเหมือนกัน
พระติมพุรุก็ภูมิใจในนางรัมภาพอสมควร ดังมีตำนานเล่าว่าครั้งหนึ่งท้าวปุรูรวัส หรือปูรูรพ ผู้เป็นราชาบนโลกมนุษย์ บุตรของพระพุธกับนางอิลาที่ได้กล่าวไว้ในเรื่องของพระพุธ ได้ดูการร่ายรำของนางรัมภาแล้วพบว่ามีท่าเต้นระบำบางอย่างที่ไม่สมบูรณ์นัก จึงได้คอมเมนท์นางรัมภาไป
พระติมพรุผู้เป็นเมนเทอร์เห็นเด็กในสังกัดโดนคอมเมนท์เสียหาย เลยออกมาถามว่าทำไมคิดว่าท่าร่ายรำระบำฟ้อนของนางรัมภามันไม่สมบูรณ์ ท้าวปุรูรวัสเลยบอกว่าเมียของเขา คือนางอัปสรอุรวสี เคยแสดงท่ารำที่เพอร์เฟคกว่านี้ให้ดู พระติมพรุไม่พอใจพ่อราชาผู้เห่อเมียมาก เลยสาปให้สักวันท้าวปุรูรวัสต้องพรากจากเมียรักไป ซึ่งไม่นานก็เป็นไปตามนั้น แล้วก็เกิดเป็นตำนานรักโรแมนติกพลิกฟ้าหาเมียขึ้นมา ซึ่งเรื่องท้าวปูรูรวัสกับนางอุรวสีนี่คงจะได้เล่าในสักวันข้างหน้าว่าทำไมพี่แกถึงได้มาครองรักกับนางฟ้านางสวรรค์ แล้วไปพลัดพรากกันได้ยังไง
นอกจากนางรัมภาจะเป็นเหตุให้พระติมพรุสาปคนอื่นแล้ว นางรัมภาก็ยังเป็นต้นเหตุให้พระติมพรุโดนคนอื่นสาปเหมือนกัน โดยเรื่องเล่าในรามายณะว่าพระกุเวรได้นัดพระติมพรุกับนางรัมภาให้มาโชว์ในเวลาที่กำหนด แต่พระติมพรุอาจจะมัวแต่สวีทกับนางรัมภาเกินไปหน่อย เลยไม่ได้พากันไปตามเวลานัด พระกุเวรเลยสาปให้พระติมพรุไปเกิดเป็นรากษสชื่อวิราธ เมื่อถูกพระรามฆ่าจะกลับคืนร่างเดิม
รากษสวิราธในรามเกียรติ์ของไทยที่มีปรากฏ โดยถูกเรียกว่ายักษ์พิราพ แต่ไม่ได้เกิดมาจากเทวดาโดนสาป แต่เกิดมาจากการสร้างของพระศิวะ โดยเอากำลังของพระอัคนีและพระสมุทรมารวมกัน และให้เป็นยักษ์เฝ้าอาณาเขตสวนที่มีชมพู่พวาทอง ซึ่งโดยรวมแล้วก็เป็นฝ่ายยักษ์ที่มีฤทธิ์ไม่น้อย แต่ก็โดนพระรามฆ่าตายอยู่ดี
อย่างที่กล่าวไปในตอนก่อน พระติมพรุและพระปรคนธรรพ์เป็นคู่แข่งที่สำคัญกัน สองคนธรรพ์นี่แข่งกันหลายด้าน ทั้งด้านฝีมือการดนตรี และด้านการจีบสาว ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรทำให้ทั้งสองต้องแข่งกัน แต่พูดถึงแล้วก็ขอเล่าการแข่งของทั้งคู่เสียหน่อย
ในเรื่องการดนตรี พระติมพรุอาจจะเป็นต่อพระปรคนธรรพ์นารทมุนีอยู่นิดหน่อย ดังมีตำนานว่าทั้งสองคนได้ไปเล่นดนตรีให้พระวิษณุฟังในเวลาเดียวกัน และพระวิษณุพอใจกับดนตรีของพระติมพรุมากกว่า ทำเอาพระปรคนธรรพ์รู้สึกเสียหน้า เหมือนกับว่าพระเป็นเจ้าที่ตัวเองนับถือถูกคู่แข่งแย่งความรักความสนใจไป พระวิษณุจึงแนะนำให้พระนารทมุนีไปฝึกวิชาดนตรีกับนกฮูกเทพเพิ่มเติม
หลังจากผ่านการฝึกฝนมานาน พระปรคนธรรพ์ก็กลับมาอีกครั้งพร้อมฝีมือที่ดีขึ้น และได้ไปเยือนพระติมพรุถึงที่อยู่ แต่ก็พบว่าพระติมพรุฝึกฝนการดนตรีอย่างโหดกว่า แล้วก็ดวลแพ้อีก แถมการเล่นดนตรีที่ยังไม่ช่ำชองพอก็ทำให้มีอมนุษย์แถวนั้นต้องได้รับความทรมาน จนสามมหาเทพต้องมาช่วยเหลือ พระปรคนธรรพ์เลยขอกลับไปฝึกใหม่กับนางรุกขมินี ชายาพระกฤษณะ
หลังผ่านการฝึกฝนจนเก่งด้านดนตรีขึ้น พระนารทมุนีเลยกลับไปท้าพระติมพรุใหม่ คราวนี้ไปเปิดคอนเสิร์ตกันต่อหน้าพระวิษณุเพื่อให้พระวิษณุตัดสินว่าใครกันแน่คือคนธรรพ์ที่เล่นดนตรีได้เจ๋งที่สุด แต่รอบนี้พระวิษณุกลับพูดทำนองว่าก็เล่นได้ดี ตัดสินได้ยาก ให้หนุมานเป็นผู้ตัดสินดีกว่า เพราะหนุมานน่าจะเล่นเพลงที่พระวิษณุพอใจได้มากกว่าสองคนธรรพ์
คนธรรพ์ทั้งสองเดินทางไปพบหนุมาน แล้วเปิดคอนเสิร์ตแสดงสดโดยมีเหล่าเทวดาทั้งหลายมาเป็นสักขีพยาน พระติมพรุเปิดก่อนด้วยการบรรเลงพิณด้วยทำนองอันแช่มช้า เหล่าทวยเทพที่ฟังถึงกับนิ่งเคลิ้มเหมือนถูกสะกด แม้แต่คลื่นในมหาสมุทรยังแข็งไม่เคลื่อนไหว นกที่บินกลางอากาศกลับลอยค้าง ทุกอย่างในจักรวาลเหมือนกับหยุดนิ่งไปชั่วขณะ เหล่าเทวดาพากันบอกว่าเพลงของพระติมพรุนี่เป็นหนึ่งในสุดยอดเพลงศักดิ์สิทธิ์เลยทีเดียว
แต่เปิดก่อนใช่ว่าจะได้เปรียบ พระปรคนธรรพ์เล่นเพลงด้วยท่วงทำนองที่เร็วกว่า ทั้งจักรวาลที่เหมือนจะหยุดนิ่งชั่วขณะกลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง คลื่นที่แข็งไม่ขยับจากพระติมพรุกลับมาเคลื่อนไหว นกที่ลอยค้างกลางอากาโบยบินต่อไป เหล่าเทพก็พากันบอกว่าแบบนี้พระปรคนธรรพ์เจ๋งกว่าแน่ แต่อย่างไรก็ตาม กรรมการมีเพียงหนุมานผู้เดียวเท่านั้นที่จะตัดสินชะตาของทั้งสอง...
ปรากฏว่าหนุมานขอโชว์เองสักเพลง ว่าแล้วก็เอาเครื่องดนตรีมาเล่นบ้าง คราวนี้ทั้งฟลอร์ถึงกับเคลิบเคลิ้มเหมือนลืมทุกอย่าง ลืมความหงุดหงิดขัดเคืองใจ ลืมไปว่ากำลังมาเล่นดนตรีแข่งกัน ลืมข้อพิพาทไปหมด แล้วพระวิษณุก็ปรากฏตัวขึ้นมา บอกว่าเพลงของหนุมานดึงดูดตนมาที่นี่ มันเป็นเพลงแห่งความภักดี เพลงที่เล่นขึ้นด้วยเจตนาบริสุทธิ์ ปราศจากความต้องการเอาชนะ เป็นเพลงที่ตั้งใจเล่นเพื่อพระวิษณุที่หนุมานนับถือเท่านั้น ไม่มีเจตนาแอบแฝง ทำเอาสองคนธรรพ์ถึงกับต้องเปลี่ยนความคิด และหันไปอุทิศการเล่นดนตรีอย่างบริสุทธิ์ใจมากกว่าจะเอาชนะกันไปแทน
เรื่องการอยากเอาชนะของทั้งคู่ลดลงไปก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะก่อนหน้านี้ทั้งคู่เคยอยากเอาชนะกันจนต้องย่ำแย่ทั้งคู่ จีบสาวนี่ก็แข่งกันเหมือนกัน ดังตำนานว่ามีการเลือกคู่ของเจ้าหญิงศรีมาตี ทั้งสองคนธรรพ์อยากได้เธอมาเป็นคู่ครอง เลยไปยืนเสนอหน้าในงานเลือกคู่
แต่ต่างฝ่ายก็ต่างกลัวว่าคู่แข่งจะได้แต่งงาน ทั้งคู่เลยขอพรจากพระวิษณุไปพร้อมๆ กัน โดยพระปรคนธรรพ์ขอให้พระติมพรุหน้าเหมือนหมี เจ้าหญิงจะได้ไม่เลือก พระติมพรุก็ขอให้พระนารทมุนีมีหน้าแบบลิง และพระวิษณุก็รักทั้งคู่พอกัน ทั้งคู่เลยหน้าเหมือนสัตว์และเจ้าหญิงไม่เลือกทั้งคู่ กินแห้วกันทั้งสองแถมมีหน้าแบบสัตว์กันไปอีกยาว...
จะเห็นได้ว่าพระติมพรุนั้นเป็นคนธรรพ์ที่เก่งกล้าด้านดนตรีไม่น้อยกับพระปรคนธรรพ์เลย แต่น่าเสียดายที่ไม่ค่อยมีบทบาทกับมนุษย์เท่า เพราะเก่งแต่ไม่ค่อยได้พรีเซนต์ตัวเองกับมนุษย์นี่แหละมั้งที่ทำให้คนไม่ค่อยรู้จักกันเท่าที่ควร
เรื่องที่เล่ามาระหว่างพระติมพรุกับพระปรคนธรรพ์ คงพอจะเป็นอุทาหรณ์แก่หลายคนที่มีคู่แข่งที่สูสีกัน ว่าสุดท้ายแล้ว ถ้ามุ่งจะเอาชนะอีกฝ่าย ด้วยการทำให้อีกฝ่ายพินาศโดยไม่ได้คิดทำให้ตัวเองดีขึ้น ก็อาจจะพากันแย่ทั้งคู่แบบพระติมพรุที่ต้องมีหน้าแบบสัตว์ ดังนั้นถ้าอยากเอาชนะคู่แข่งให้ได้ ก็หันมาพัฒนาตัวเอง ขัดเกลาทั้งฝีมือด้านที่ต้องแข่งขันและคุณภาพจิตใจของตัวเองดีกว่า
ชนะอะไรไม่เท่าชนะใจตัวเอง สวัสดีครับ
ความคิดเห็น