ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักคือเธอ (พุทธชาด + เทียนกัลยา)

    ลำดับตอนที่ #7 : ...๖ ดอกไม้ร้อยเล่ห์

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.43K
      30
      22 มี.ค. 59




    ลงแบบไม่กั๊ก 

    แจ้งว่าจะลงให้อ่าน 15 ตอนนะคะ แล้วจะรับรายชื่อผู้โชคดีเลยค่ะ




    6

    ดอกไม้ร้อยเล่ห์

    สื่อในสเปนยังนำเสนอข่าวการเสียชีวิตของทายาทคนดังตระกูลฟาเบรกลาสซึ่งร่ำรวยติดอันดับต้นๆ ของโลก อีกทั้งยังทำข่าวเกี่ยวกับโรงแรมกึ่งกาสิโนที่ผู้บริหารอายุยังน้อย มหาโชคทำหน้าที่หัวเรือใหญ่ได้อย่างดีเยี่ยม โดยมีน้องชายฝาแฝดอีกสองคนคอยช่วยเหลืออย่างขยันขันแข็ง ในบรรดาสามหนุ่มไม่มีใครออกมาตอบคำถามเกี่ยวกับข่าวการเสียชีวิตของพี่ชาย ทุกอย่างจึงดูคลุมเครือ มีเพียงภาพใบหน้าซึ่งผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักของมหาเสน่ห์เท่านั้นที่ช่วยยืนยัน

    “ให้ตายเถอะ จนป่านนี้ยังไม่มีใครรู้ว่ามันตายจริงไหม” ลูคัสปาหนังสือพิมพ์ทิ้ง มุมปากบิดเบี้ยวยามนึกถึงชายหนุ่มที่มีข่าวลือว่าเสียชีวิตไปแล้ว

    “อิทธิพลของฟาเบรกลาสมีมาก ส่งคนไปหาข่าวยังไงก็มืดแปดด้านครับนาย” ลูกน้องคนสนิทรายงานด้วยสีหน้าหนักใจ

    “ฉันไม่เชื่อหรอกว่ามันตายแล้ว ตายง่ายๆ แบบนั้นก็ไม่สมกับที่พ่อมันหาบอดีการ์ดมาคุ้มกันเกือบครึ่งร้อย” คนที่คอยป่วนคอยขัดขาพุทธชาดมาตลอดสองปีบอก

    “ผมก็คิดเหมือนกัน กระสุนที่เรายิงขู่ไม่น่าถูกคุณเจเรมี” คนที่เป็นหนึ่งในทีมบอก เขาเป็นคนยิงรถคันที่เจเรมี พุทธชาด นั่งมา กระสุนถากดอกยางไปแบบเส้นยาแดงผ่าแปด ทำให้รถเสียหลักนิดหน่อย แต่หลังจากนั้นก็มีเสียงปืนนับสิบดังขึ้น เขาจึงต้องสั่งให้ลูกน้องล่าถอยออกมา ไม่คิดเลยว่าไม่กี่วันต่อมาก็มีข่าวการเสียชีวิตของชายหนุ่มคนที่เจ้านายต้องการขัดขา สร้างความวุ่นวายให้

    “แม่งเอ๊ย! ฉันว่ามีคนซ้อนแผนเราแน่ๆ พวกมันต้องการโยนความผิดให้เรา” คนที่ไม่คิดจะเอาชีวิตศัตรูสบถหยาบ เขาสร้างความปั่นป่วนให้อีกฝ่ายเพราะต้องการแก้แค้น แต่ไม่ถึงกับต้องการชีวิตอีกฝ่ายมาเซ่นสังเวยความแค้น และยิ่งรู้ว่าเจ้าของกิจการที่แท้จริงคือสามหนุ่มฝาแฝด ลูคัสยิ่งหัวเสีย

    “จะเป็นแผนของคุณฟิลลิปเป้หรือเปล่าครับนาย” คนสนิทของลูคัสหมายถึงมหาเสน่ห์

    “ไม่น่าใช่ เพราะหากเป็นไอ้เป้ทำ มันไม่รุนแรงขนาดนั้นหรอก ต้องมีคนอื่น”

    “จะเป็นใครล่ะครับ ในเมื่อศัตรูของพวกมันมีนายคนเดียว”

    “นั่นสิ ฉันคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก ว่าไอ้มือที่สามมันเป็นใคร ถึงได้ซ้อนแผนใส่ร้ายจนทำให้ฉันต้องหนีหัวซุกหัวซุนอยู่อย่างนี้”

    ลูคัสเหลียวมองไปรอบกายอย่างเจ็บใจ กว่าสัปดาห์แล้วที่เขาต้องกบดานอยู่ในห้องเช่าเล็กๆ ที่ทั้งเก่าและสกปรก ชายหนุ่มกัดฟันดังกรอดยามนึกถึงสาเหตุที่ต้องจองล้างจองผลาญคนในตระกูลฟาเบรกลาส แรกเริ่มเดิมทีเขารู้จักมักจี่กับ ฟิลลิปเป้ มหาเสน่ห์ การบังเอิญได้เจอกันในกาสิโนทำให้รู้ว่าต่างคนต่างมีความชอบเหมือนกัน มหาเสน่ห์รู้ว่าเขามีที่ดินจึงชักชวนให้ขายที่และลงหุ้น แต่ตอนหลังเขาเกิดอยากได้ส่วนแบ่งเพิ่มขึ้นอีกนิดหน่อย จึงออกปากต่อรองในขณะที่กำลังเล่นไพ่กัน รายนั้นเออออห่อหมก เขาที่ดีใจจนเนื้อเต้นกับรายได้ที่เพิ่มขึ้นมหาศาลดันชะล่าใจ ไปๆ มาๆ คืนนั้นคืนเดียวเขาเล่นเสียจนต้องกู้เงินกาสิโน

    ‘กู้มาเลยเมิง เดี๋ยวก็ได้คืน…เชื่อกู!’

    เป็นเพราะเชื่อไอ้เป้เขาถึงได้มีสภาพอย่างเช่นทุกวันนี้ นอกจากเล่นคืนไม่ได้ แล้วยังเสียเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว สุดท้าย…ต้องขายที่มาใช้หนี้พนัน! แถมยังชวดหุ้นในกิจการโรงแรมกึ่งกาสิโนอีกด้วย ลูคัสมาสืบรู้ตอนหลังว่าทั้งหมดเป็นแผนการของมหาเสน่ห์ คนที่โกงเหลิงจนหลุดปากเล่าให้พี่ชายฟังในผับ ซึ่งเสียงของชายหนุ่มดังมาถึงโต๊ะข้างๆ

    หลังจากวันนั้นลูคัสก็หาโอกาสสั่งสอนพุทธชาดเพราะเข้าใจว่าชายหนุ่มเป็นคนสั่งให้น้องชายทำ ลำพังแค่นับเลขในวงพนัน เขาคิดว่าเป็นความสามารถที่ล้นเหลือของมหาเสน่ห์ ที่ไหนได้…ไอ้เชี้- นั่นมันไม่ธรรมดา โกงกันหน้าซื่อๆ ตาใสๆ ขนาดวันขายที่มันยังเข้ามากอดปลอบเขาอีกด้วย สิ่งเหล่านั้นทำให้ลูคัสแค้นจนกระอักเลือด

    ถึงอย่างนั้น…ลูคัสก็ยังแอบหวังเอาไว้ แผนซ้อนแผนที่เพิ่งเกิดขึ้นขออย่าให้เป็นมหาเสน่ห์ที่เป็นคนต้นคิดเลย เพราะถ้าใช่…เขาจะตามฆ่ากุดกระเจี๊ยวมันให้สั้นจู๋จริงๆ ด้วย!

    “นอกจากสงสัยเรื่องคนที่ซ้อนแผน ผมยังสงสัยอีกว่า…มันจะได้อะไรจากเรื่องนี้” เสียงลูกน้องคนสนิทดึงลูคัสออกจากภวังค์

    “นั่นสิ ฉันเป็นคนฆ่าเจเรมีแล้วไง ใครจะได้ประโยชน์”

    “เอ่อ…ถ้าถามหาคนได้ประโยชน์ก็มีอยู่เยอะนะครับ หนึ่งในนั้นรวมถึงคุณฟิลลิปเป้ด้วย”

    “หน้าอย่างมันเหรอจะกล้าฆ่าพี่ ที่มันมีทุกวันนี้ได้เพราะพี่มันเก่งหรอก ช่วยออกนอกหน้าทุกอย่าง พี่มันตายไปคน มันก็ลำบากเหมือนกัน คงไม่ใช่มันหรอก”

    “แต่ผมว่าไม่แน่นะครับนาย โรงแรมกึ่งกาสิโนสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว มันอาจหลอกใช้พี่ชาย สั่งฆ่าแล้วโยนความผิดมาให้เราก็ได้”

    “อืม…น่าคิดเหมือนกัน คนเหี้ยๆ แบบนั้น น่าจะคิดฆ่าพี่ชายเพื่อสมบัติได้อยู่หรอก” คนพูดยิ้มเหี้ยมยามนึกถึงใบหน้าทะเล้นอย่างคนอารมณ์ดีของอดีตเพื่อน แม้ปากจะเอื้อนเอ่ยไปแบบนั้น ทว่าในใจกลับคิดค้าน ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดว่า ‘ตัวการ’ ที่ทำให้เกิดเรื่องทั้งหมดไม่ใช่ฟิลลิปเป้อย่างแน่นอน แต่ไม่ว่ามันเป็นใคร หรือต้องการอะไรจากเรื่องนี้ เขาก็จะตามทวงแค้นมันให้ถึงที่สุด!


    ฟากฝ่ายคนที่โดนกล่าวหากำลังส่งคนออกล่าอดีตเพื่อนซึ่งครั้งหนึ่งเคยคุยกันถูกคอ มหาเสน่ห์ยอมรับผิดเรื่องคิดโลภจนออกอุบายโกงอีกฝ่ายด้วยการพาไปเล่นพนัน และเสียใจที่สุดที่ทำให้พี่ชายเกือบต้องตาย ชายหนุ่มนึกถึงวันที่ยืนรออยู่หน้าห้องไอซียู เขาร้องไห้โฮอย่างไม่อายสายตาใคร การได้อยู่ กิน และเรียนรู้งานกับพี่ชายอย่างพุทธชาด ทำให้เขารู้สึกรักและเทิดทูนอีกฝ่าย พุทธชาดทุ่มเททุกอย่างเพื่อให้พวกเขามีวันนี้ แล้วยังเกือบต้องจบชีวิตเพราะเขาเป็นต้นเหตุ

    คนทรงเสน่ห์นั่งคอตกอยู่ในห้องทำงานค่อนข้างกว้างของมหาโชค ชายหนุ่มชำเลืองมองพี่ชายฝาแฝด สองคนนั้นกำลังนั่งหน้าเครียดอยู่ตรงโต๊ะทำงาน บนโต๊ะมีแฟ้มเอกสารกองพะเนินตั้งอยู่

    “ลุกมาช่วยกันทำงานเถอะ มัวแต่นั่งชำเลืองตามองเหมือนสาวๆ แบบนั้นกูไม่สะเทือนหรอก” มหาโชคตวัดสายตายังคนต้นเรื่อง เป็นเพราะมหาเสน่ห์ทีเดียวที่ทำให้เรื่องมันยุ่งบานปลายถึงขนาดนี้

    “งะ ทำไมต้องเปรียบเค้าเหมือนสาวๆ ด้วยวะ แมนๆ เว้ย” คนแมนเต็มร้อยง้องแง้งใส่พี่ชาย

    “แมนๆ เชี่ยไร มึงมันตัวป่วน ลุกขึ้นมาสิ มาช่วยกันทำงาน” คนที่เป็นหัวเรือใหญ่บอกอย่างหงุดหงิด ลำพังบริหารกิจการของตัวเองมันไม่เท่าไรหรอก แต่ตอนนี้เขายังควบตำแหน่งผู้บริหารโรงแรมในเครือฟาเบรกลาสทั้งหมดเพิ่มขึ้น

    “ไม่รู้เจมี่ทำได้ยังไง” มหาลาภที่ไม่ค่อยพูดบ่น เอกสารทั้งหมดนี้สามารถฆ่าเขาให้ตายได้เลยทีเดียว พุทธชาดใช้ชีวิตอยู่กับกองเอกสารพวกนี้ได้อย่างไร

    “นั่นสิ ยุ่งยากฉิบหาย เลขาฯ แม่งก็โหดเกิ๊น จะเอางานวันต่อวัน” มหาโชคสำทับอย่างเห็นด้วย

    “ทำไมไม่ขอให้คุณป๋ามาช่วยล่ะ” มหาเสน่ห์ออกความเห็น ตอนแรกผู้เป็นพ่อตั้งใจจะเข้ามาช่วยดูงานในส่วนของพุทธชาด แต่อยู่ดีๆ ก็เกิดเปลี่ยนใจเสียก่อน

    “ลองพูดสิ ได้โดนด่าเปิง” พี่ใหญ่ทุบโต๊ะดังปัง ขุ่นเคืองที่มหาเสน่ห์นั่งกินแรงพวกเขาทุกวัน ตกเย็นมันก็กระดี๊กระด๊าเหมือนปลากระดี่ได้น้ำแล้วลงไปที่ผับ โดยอ้างว่าต้องไปดูแลกิจการ ส่วนตอนกลางวันไม่นั่งทำหน้ากวนอวัยวะเบื้องล่าง มันก็ขอตัวไปนอนกลางวัน!

    “มันพูดอย่างคนไม่สำนึกในความผิด” มหาลาภปรายตาไปทางน้องชาย

    “ไฮ้ พวกพี่มาโทษเหน่ทั้งหมดไม่ได้หรอก ไม่มีเหน่จะมีที่ดินสร้างกาสิโนของเราเหรอวะ”

    “ไอ้เชี่ยนี่ไม่สำนึกจริงๆ ด้วย นี่มันยังกล้าทวงบุญคุณอีกแน่ะ” มหาโชคหันไปพูดกับมหาลาภ อีกฝ่ายได้แต่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย ต่อมมโนสำนึกของมหาเสน่ห์ท่าจะฝ่อเข้าแล้ว

    “ถึงไม่มีมึง พวกกูก็หาทางกล่อมไอ้ลูคัสขายที่นี่ได้” มหาโชคกัดฟันบอก

    คนทรงเสน่ห์ได้ยินแล้วชักสีหน้า ตั้งแต่เกิดเรื่องทั้งมหาโชคและมหาลาภได้แต่พร่ำด่าเขาวันละไม่ต่ำกว่าสิบรอบ

    “ตอนที่ได้ที่ดินมาใหม่ๆ หมาที่ไหนมันชมวะ ว่าทำดีแล้วน้องรัก เยี่ยมไปเลยน้องรัก” เสียงเล็กเสียงน้อยค่อนไปทางประชดยังให้ขนแขนสองหนุ่มที่เหลือลุกชัน

    “ให้ตายเหอะ! แมนๆ เชี่ยอะไรทำเสียงแบบนั้นได้” เป็นมหาโชคที่สบถ

    “ปล่อยมันไปเถอะ นายรีบอ่านเอกสารเร็วๆ หน่อย จะเซ็นอะไรก็ให้ดูดีๆ ล่ะ” มหาลาภไม่อยากเอาความกับมหาเสน่ห์ให้ปวดหัว หันมาไล่เบี้ยให้พี่ชายทำงาน เอกสารพวกนี้มาวันต่อวัน เว้นไม่ทำวันไหนได้กองท่วมหัว

    มหาเสน่ห์เห็นท่าทางของพี่ชายแล้วได้แต่ฟึดฟัดลุกขึ้นไปยังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ที่มหาโชคและมหาลาภนั่งคนละฝั่ง ชายหนุ่มเลือกนั่งข้างมหาลาภ

    “คอยดูเถอะ ได้ที่อยู่ไอ้ลูคัสเมื่อไหร่ เหน่จะไปตามฆ่ามันด้วยมือตัวเอง ทีนี้เจมี่จะได้กลับมาทำงานของตัวเองสักที” เขาบ่นปอดแปดในขณะที่มือพลิกกระดาษ สายตากวาดไปยังตัวหนังสือที่แค่เห็นแล้วไมเกรนก็พุ่งปรี๊ด

    “แน่ใจเรื่องจะฆ่า?” มหาลาภถามทั้งที่ตายังมองเอกสาร

    “ก็เออสิ มันตายไปซะจะได้จบ”

    “แต่กูว่ามึงตายน่าจะง่ายกว่านะ” มหาโชคแทรกขึ้น กระแทกแฟ้มดังปึงอย่างหมดความอดทน เขาไม่อ่านแล้วเว้ย! “ตายๆ ไปซะจะได้จบ ห่วงก็ไม่มีแบบนี้ ตายสบายนักละ”

    “บ้าสิ เหน่มีห่วงเยอะแยะ ไหนจะคุณป๋า แม่ แล้วก็บรรดาน้องหนูในผับด้วย ขาดเจ้านายน่ารักๆ อย่างนี้ไป ทุกคนคงลำบาก”

    “ลำบากพร่อง!”

    “ฆ่ามันซะดีไหมโชค” มหาลาภเงยหน้าจากเอกสารในมือ

    “เว้ยยย…เอะอะก็จะฆ่า นี่ไม่เห็นกันเป็นน้องแล้วใช่ไหม” คนเป็นน้องโวยวาย ลองมหาลาภเห็นด้วย เขามีโอกาสตายสูงทีเดียว

    “จะให้พูดความจริงหรือโกหกดีวะเหน่”

    “โกหก!” มหาเสน่ห์ตอบแบบไม่ต้องคิดทบทวน

    “รักมึงจะตายห่า อยากให้มึงมีชีวิตยาวนาน ถือไม้เท้าแก่ตาย”

    “โหย…ไม่กล้าคิดในทางกลับกันเลย เมื่อกี้พูดความจริงใช่ไหมโชค” คนเป็นน้องออด “แต่ว่าเดินถือไม้เท้ากระแด๊กๆ แก่ตายนี่ก็เท่ไม่หยอกนะ…ว่ามะ”

    มหาโชคเบือนหน้าหนีใบหน้าออดอ้อนของอีกฝ่าย ดีเลวอย่างไรเสียมันก็น้อง แล้วที่เขาพูดไปก็คือความจริง นิสัยอย่างมหาเสน่ห์ เขาภาวนาขอให้มันมีชีวิตยาวนาน ถือไม้เท้า เอ่อ เดินกระแด๊กๆ อะไรอย่างที่มันพูดด้วย!

    “เลิกไร้สาระทีเถอะเหน่ ส่วนเรื่องลูคัส ตามตัวมันได้เมื่อไหร่อย่าได้คิดไปฆ่าหรือทำร้ายมันเชียว ให้มารายงาน เดี๋ยวฉันจัดการเอง”

    “ทำไมล่ะ นายจะฆ่ามันเองเหรอ”

    “ไม่! จะไม่มีการฆ่าหรือทำร้ายใดๆ ทั้งสิ้น” มหาโชคย้ำ ใจพร่ำบอกให้ตัวเองใจเย็น การพูดให้มหาเสน่ห์เข้าใจย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย

    “อะไรวะ จะไม่ทำอะไรเลยงั้นเหรอ ฉันไม่ยอมนะเว้ย”

    มหาโชคหลับตาข่มโทสะ “ถ้าลองปล่อยวางความโกรธ แกจะเห็นนะเหน่ว่าเรื่องทั้งหมดมันมีอะไรมากกว่านั้น”

    “มีมากกว่าได้ไง ก็ไอ้ลูคัสมันทำร้ายเจมี่”

    “ไอ้เหน่…ดึงสติ!”

    มหาเสน่ห์หุบปากฉับ ก่อนมองพี่ชายสองคนสลับกัน มหาโชคเห็นเข้าจึงผ่อนลมหายใจ

    “นายไม่คิดหรือไง ไอ้ลูคัสมันจะมีปัญญาฝ่าบอดีการ์ดนับครึ่งร้อยเข้าไปทำร้ายเจมี่ได้ยังไง”

    “หา?”

    “คนของพี่หย่งหมินมีฝีมือระดับนักฆ่า แล้วไอ้กระจอกอย่างลูคัสมันจะมีปัญญาบุกไปทำร้ายพี่เราได้ยังไงวะ”

    “แต่เจมี่เกือบตายนะ” มหาเสน่ห์ยังคงแย้ง โดยที่ใจเริ่มคล้อยตาม

    “นั่นสิ เจมี่เกือบตาย แต่ก็ไม่ตาย แถมยังไปพักฟื้นที่วังเวียงทั้งๆ ที่ออกจากไอซียูแค่ห้าวัน” มหาลาภที่เปรยขึ้น สิ่งที่พูดล้วนเป็นความจริง พุทธชาดเกือบตาย นอนไอซียูสองคืน พักฟื้นอีกห้าวันก็ปร๋อไปกบดานที่วังเวียง

    “บ้าแล้ว วันนั้นเค้าร้องไห้จะเป็นจะตายเลยนะเว้ย” คนที่เพิ่มระดับความรุนแรงของเหตุการณ์บอกด้วยน้ำเสียงตระหนก หากพุทธชาดไม่ได้เจ็บจริง งานนี้เขาคงโดนต้มเสียเปื่อย

    “คิดไม่ตก วันที่เจมี่ออกมาจากห้องไอซียู หมอก็มาตรวจแผลนะ” มหาโชคเห็นกับตาว่าพี่ชายมีแผลถูกยิงที่หัวไหล่และช่วงท้อง

    “เออนั่นดิ แถมหน้ายังซีดมากด้วย ฉันเห็นตอนนั้นฉันยังร้องไห้ฮือๆ อยู่เลย”

    “อะแฮ่ม ร้องไห้เฉยๆ ก็ได้นะ ฮือๆ ไม่ต้อง!” มหาลาภโคลงศีรษะอย่างอ่อนใจ

    “เลิกสนใจมันเถอะลาภ พูดเรื่องเจมี่ต่อดีกว่า” มหาโชคพูดคล้ายไม่สนใจ ทว่าตาดุๆ ตวัดไปทางน้องชายคนเล็ก

    “ฉันคิดว่าเจมี่เจ็บจริง” มหาลาภบอกเสียงจริงจัง น้ำตาของแม่และคุณป๋าคงไม่ใช่เรื่องโกหก ไหนจะญาติคนอื่นๆ อีก ไม่มีทางที่เรื่องการบาดเจ็บของพุทธชาดจะเป็นเรื่องโกหก

    “ฉันก็คิดแบบนั้น”

    “แล้วนายสงสัยอะไร”

    “สงสัยว่าทำไมไอ้ลูคัสถึงทำร้ายเจมี่ได้ ย้ำอีกทีนะ…บอดีการ์ดที่มาจากบริษัทของพี่หย่งหมินฝีมือไม่ธรรมดา” มหาโชคเอ่ยถึง ‘เฉียนหย่งหมิน’ เพื่อนสนิทของพุทธชาดที่เปิดบริษัทรักษาความปลอดภัย “แถมยังมีคนของคุณป๋าดูแลอีกที ต่อให้วันนั้นเจมี่จะมีทีมสำรองที่คุณป๋าคอยให้ความคุ้มครองเพิ่มมาก็ตามทีเถอะ สิ่งที่ฉันสงสัยก็คือ…ไอ้ลูคัสฝ่าบอดีการ์ดของพี่หย่งหมินไปได้ยังไง”

    “อืม ที่นายพูดมามีเหตุผล แต่ทีมที่พี่หย่งหมินส่งมาถูกไล่ออกยกทีมเลยนะ ฉันคิดว่ามันคงเกิดความผิดพลาด” มหาลาภซึ่งนับว่าฉลาดที่สุดในบรรดาสามแฝดให้เหตุผล แม้จะกังขา แต่เหตุการณ์ทั้งหมดก็ดำเนินตามครรลองของมันเอง

    “ฉันเห็นด้วยกับลาภนะ” มหาเสน่ห์ที่นั่งเบื้อใบ้อยู่นานแทรกขึ้น

    มหาโชคปรายตามองน้องชาย “ไม่เสือกสักเรื่องจะได้ไหม!”


    ใต้ถุนบ้านไม้สักหลังใหญ่มีโต๊ะไม้สำหรับนั่งทำขนม วันนี้เทียนกัลยาตั้งใจทำขนมถ้วยให้พุทธชาดชิมฝีมือเธอ ช้องนางมองเสี้ยวหน้าหวานของเด็กสาวแล้วอดยิ้มไม่ได้ สีหน้าแบบนี้ขัดกับเมื่อสัปดาห์ก่อนราวฟ้ากับเหว 

    เทียนกัลยาเอาแต่ร้องไห้ เฝ้าถามถึงแต่หลานชายหล่อน จนหล่อนที่รู้เรื่องทั้งหมดดีได้แต่หลบหน้า หลังจากเกิดเรื่อง มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าพุทธชาดไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส กระสุนแค่ถากช่วงหัวไหล่และด้านข้างลำตัวไปเท่านั้น เรื่องปล่อยข่าวเป็นแผนของฟาบิโอ้ที่ต้องการตามล่าหัวศัตรูของลูก โดยให้ฝ่ายนั้นชะล่าใจแล้วส่งลูกชายคนเล็กออกล่า

    ช้องนางยิ้มเมื่อลูกศิษย์ยื่นขนมมาให้ชิม เทียนกัลยาและสายน้ำผึ้งนับว่าหัวไวใช้ได้ สอนครั้งสองครั้งก็ทำได้คล่องแคล่ว

    “อืม…ไม่อยากเอาดีทางด้านทำอาหารแน่หรือเทียน” คนสูงวัยถามหลังจากชิมไปหนึ่งคำ ขนมถ้วยที่เทียนกัลยาทำนับว่าหวานมันเค็มกำลังดีทีเดียว

    “เทียนอยากเรียนบริหารมากกว่าค่ะ ขืนไปเรียนทำอาหาร เกิดตกงานมาจะแย่เอา” เด็กที่ไม่เคยคิดตีตนเสมอลูกหลานของช้องนางบอก เทียนกัลยายังมีความคิดฝังหัวในเรื่องนี้ เพราะตอนอยู่กับเสริม เด็กหญิงช่วยผู้เป็นตาประหยัดทุกทาง

    “จะกลัวอะไร พ่อแม่พี่น้องเราเขารวย ยังต้องห่วงเรื่องตกงานอีกหรือ” ช้องนางว่าอย่างเอ็นดู

    “กลัวสิคะ เทียนไม่กล้าทำให้ทุกคนเดือดร้อนหรอกค่ะ เทียนไม่ได้เห็นทุกคนเป็นคนอื่นนะคะ” เด็กสาวรีบแก้ก่อนจะโดนดุ “แต่เทียนไม่อยากสร้างปัญหา อีกอย่างเรียนบริหารก็ทำงานได้หลายอย่าง ไม่แน่นะคะ จบออกมาเทียนอาจขอให้พี่เกดหาทำเลเปิดร้านขายขนมเล็กๆ ให้ก็ได้”

    “บอกจะขอให้เกดช่วยอย่างนี้แสดงว่าเราคิดจะไปตั้งหลักที่เมืองไทยงั้นเรอะ”

    ใบหน้าหวานสลดลง “ค่ะ เทียนอยากไปอยู่เมืองไทย” อย่างไรเสียที่นั่นก็เป็นที่ที่เธอเติบโตมา ที่ผ่านมาเธอมักจะแวะไปดูบ้านหลังนั้นเกือบทุกเดือน แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็ยังปิดสนิทเหมือนเดิมจนเธอนึกท้อใจ

    บางทีเธอกับพ่อแม่คงมีวาสนาต่อกันเพียงแค่นั้น

    “แต่ถ้ายายอยากให้เทียนอยู่ที่นี่…”

    “พอๆ ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้ เราอยากอยู่ที่ไหนยายก็ยินดีด้วยทั้งนั้นแหละ ไม่ต้องมาห่วงความรู้สึกยาย ต่อให้ไปอยู่ห่างกันแค่ไหน คิดถึงก็มาหากันได้”

    “เทียนรักยายจังเลยค่ะ” 

    ช้องนางลูบแผ่นหลังบางของคนที่โผเข้ามากอด เกือบปีแล้วที่เทียนกัลยาชอบกอดหล่อนบ่อยๆ

    “ถ้ารักยาย ก็ใช้ชีวิตให้มีความสุข อดีตที่ผ่านมาแล้วก็ให้มันผ่านไป จำเอาไว้…เรายังมีอนาคต มีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องทำ เข้าใจที่ยายพูดไหม”

    เรื่องราวความเป็นมาของเทียนกัลยาผ่านหูช้องนางมาบ้าง นอกจากสงสารแล้ว ช้องนางยังปรารถนาให้เทียนกัลยาลืมเลือนอดีตอีกด้วย เรื่องของดาวเรืองเงียบหายไปหลายปี แม้แต่คนของพุทธชาดก็สืบไม่พบ ทางฝ่ายคนที่จับตัวไปทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น สำหรับคนพวกนั้น ทุกสิ่งเป็นเหมือนลมที่พัดมาแล้วผ่านเลยไป แต่กับเทียนกัลยา ช้องนางรู้ว่ามันคือบาดแผลฉกรรจ์

    แผลที่รอยามาสมาน

    “เข้าใจค่ะ เทียนจะตั้งใจเรียนให้สมกับที่ยายส่งเสีย จะไม่ทำตัวเกเรให้ยายเสียใจ”

    “ฮื้อ เรื่องทำตัวเกเรไม่ได้เป็นปัญหา ทำบ้างก็ได้ลูกเอ๊ย ไม่มีใครเขาดีพร้อมไปเสียทุกอย่าง แต่สิ่งที่สำคัญเราต้องมีสำนึกผิดชอบชั่วดี ไปที่โน่น…เทียนจะหนีเรียนบ้าง ยายก็ไม่ว่าหรอก” คนเป็นยายหยอกเย้า ใช่ว่าหลานๆ หล่อนจะไม่เคยทำกันเสียหน่อย แต่ทุกคนรู้หน้าที่และต่อให้เกเรแค่ไหนก็ไม่เคยส่งผลเสียถึงการเรียน

    “หนีเที่ยวเลยเหรอคะ เทียนไม่กล้าหรอก” เด็กสาวหยอกกลับอย่างอารมณ์ดี ไปเรียนโรงเรียนประจำมีหรือเธอกับสายน้ำผึ้งจะหนีเรียนได้

    “อย่างนั้นก็ดี ว่าแต่…แม่น้ำผึ้งหายหน้าหายตาไปไหนของเขากันนะ”

    “ไปข้างนอกกับพ่อคูนค่ะ พักนี้น้ำผึ้งติดพ่อแจเลยนะคะ” คนที่เคยตัวติดกันตลอดบอกหน้างอง้ำ ตั้งแต่พุทธชาดมาอยู่ที่นี่ สายน้ำผึ้งมักหายหน้าไปเกือบทั้งวัน ก่อนจะเจอะหน้ากันอีกครั้งก็เย็นย่ำ

    “อืม คงอยากให้เราใช้เวลากับพี่เขาให้มากกระมัง น้ำผึ้งเคยบ่นให้ยายฟังเหมือนกัน ว่าเทียนเอาแต่พูดว่าอยากเจอพุด”

    “ก็เทียนอยากเจอคุณพุดจริงๆ นี่คะ สามปีเชียวนะคะยายที่เทียนไม่ได้พบหน้าคุณพุด”

    “ยายเข้าใจ พวกวายร้ายทำให้พุดไม่มีเวลาส่วนตัวเลย” ช้องนางเรียกสามมหาว่าวายร้าย เพราะทั้งสามต่างร้ายจริงๆ

    “เทียนสงสารคุณพุดจังเลยค่ะยาย”

    “สงสารก็อย่าสร้างปัญหาให้พี่เขา แค่สามมหา ยายว่าพุดก็ปวดหัวจะแย่แล้ว”

    “เทียนไม่สร้างปัญหาให้คุณพุดหรอกค่ะ เทียนรับรอง”

    “แน่หรือ ได้ข่าวว่าจนป่านนี้ยังง้อพี่เขาไม่สำเร็จ” ช้องนางบอกอย่างขบขันยามเห็นสีหน้าม่อยของอีกฝ่าย

    “เห็นเงียบๆ ขรึมๆ อย่างนั้น คุณพุดก็แสนงอนเหมือนกันนะคะ กินลูกชุบของเทียนไปตั้งเยอะ ไม่ยักหายงอน” คนที่เพียรง้องอนอีกฝ่ายเช้าเย็นบ่น

    “ง้อยากก็ต้องง้อ ใครบอกให้ไปโกหกเขาเล่า” คนที่เข้าข้างพุทธชาดบอก ช้องนางรู้ว่ากัลปพฤกษ์ยุให้เทียนกัลยาทำอย่างนั้นเพื่อต้องการยั่วให้พี่ชายโกรธ “พริกเองก็เหลือเกิน แสบสันสมชื่อ”

    “คุณพริกแค่อยากแกล้งค่ะ”

    “เดี๋ยวนี้กล้าแก้ตัวแทนกันแล้วรึ ตาพริกได้ยินเข้าคงดีใจแย่”

    “ยายก็…เทียนพูดไปตามน้ำ พี่พริกรักคุณพุดจะตาย”

    “ถึงอย่างนั้นก็ไม่ควรแกล้งให้พี่เขาขุ่นเคือง มีอย่างที่ไหนยุให้เราไปโกหก”

    “เทียนเปล่าโกหกนะคะ เทียนแค่บอกว่าครูสอนพิเศษชื่อพิชซี่ต่างหากล่ะคะ”

    “แล้วมันต่างตรงไหน เราก็รู้ว่าพี่เขาย้ำให้ครูเป็นผู้หญิงเท่านั้น เฮ้อ…ตาพุดเองก็เหมือนกัน กะเกณฑ์นู่นนี่นั่นเสียจนยายรู้สึกเหมือนได้เลี้ยงยายเกด”

    เทียนกัลยาหัวเราะคิก “ก็คุณพุดเอ็นดูเทียนอย่างน้องนี่คะ”

    เพราะมัวแต่บรรจงตักขนมออกจากถ้วย เทียนกัลยาจึงไม่เห็นสายตาของคนอาบน้ำร้อนมาก่อน ช้องนางทอดถอนใจก่อนจะยิ้มบางๆ ดวงตาฉายแววหนักใจ ทว่าความกังวลก็หายลับไปเมื่อเห็นพวงแก้มสีชมพูของคนที่นั่งด้านข้าง


    ขนมถ้วยหวานมันเค็มกำลังดีถูกตักเข้าปากชิ้นแล้วชิ้นเล่า ถึงอย่างนั้นคนกินก็หาได้พูดอะไรออกมาสักคำ จะพูดชม เอ่ยขอบใจ หรือเรียกหาน้ำก็ไม่มี เทียนกัลยาที่นั่งกอดถาดสเตนเลสทำหน้าม่อย รอจนขนมหมดจานแล้วก็ยังไม่มีคำใดเอื้อนเอ่ยจากปากคนที่ถูกเธอหาว่างอน

    “คะ…”

    เสียงโทรศัพท์มือถือเครื่องบางดังขัดจังหวะพอดี เทียนกัลยารีบกลืนประโยคที่ตั้งใจพูดลงคอ ก่อนจะทำหน้ามึนปักหลักนั่งเป็นตอไม่ไหวติง ถูกเขามองก็แล้ว เลิกคิ้วให้ก็แล้ว เด็กสาวทำเพียงแต่นั่งกอดถาดสเตนเลสอยู่ที่เดิม พุทธชาดโคลงศีรษะอย่างอ่อนใจก่อนกดรับสาย

    “ว่าไง เรื่องที่ฉันวานนายไปถึงไหนแล้ว” เขาพูดกับปลายสายโดยไม่เกริ่นให้คนข้างๆ จับใจความได้

    “อะไรวะ ใจคอจะไม่ให้ฉันแสดงความห่วงใยนายเลยเหรอวะ” หย่งหมินบ่นมาตามสายอย่างไม่จริงจัง ด้วยรู้ว่าหากเพื่อนพูดขึ้นมาแบบนี้ แสดงว่าอยู่ในที่ที่ไม่สะดวกพูดคุยนัก

    “ขอบใจ ฉันสบายดีแล้ว แผลแห้งสนิทไม่ติดเชื้อ”

    “เออ ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ขืนไอ้แผลนั่นมันติดเชื้อสิ ฉันกับลูกน้องได้เป็นไข้โป้ง พ่อนายรู้เข้าคงไม่ปล่อยฉันไว้แน่”

    “หือ คุณป๋าไม่มีวันรู้หรอกน่า ว่าแต่เรื่องที่วานน่ะถึงไหน”

    พุทธชาดเร่งถาม เขาและหย่งหมินเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าสามมหากับพวกคุณชายตระกูลเฉียน เฉิง รวมถึงอีวานอฟจะไม่กินเส้นกัน แต่เขามีความสัมพันธ์อันดีกับทุกคน โดยเฉพาะเฉียนหย่งหมินที่เรียกว่าเป็นเพื่อนตายกันเลยทีเดียว

    “ยังไม่ถึงไหนเลย ไอ้บ้านั่นเล่นซ่อนหาเก่งเป็นบ้า” หย่งหมินบ่น การสืบหาที่อยู่ลูคัสเหมือนงมเข็มในมหาสมุทรเลยทีเดียว ไม่ใช่ว่าคนของเขาไม่มีฝีมือ แต่อีกฝ่ายระวังตัวแจ ไม่ทิ้งร่องรอยอะไรสักอย่าง ทำให้สืบหาตัวยาก

    “หามันให้พบก่อนพวกนั้นล่ะ ฉันไม่อยากให้เรื่องมันบานปลาย”

    “เออๆ คงได้ตัวเร็วๆ นี้แหละ มันจะซ่อนอยู่ได้อีกนานสักแค่ไหนกันเชียว”

    “แล้วเรื่องลูกน้องนาย เดี๋ยวเลขาฯ ฉันจัดการ ‘เรื่องนั้น’ ให้นะ”

    “ไม่มีปัญหา ฉันจัดการให้ก่อนก็ได้ จบเรื่องแล้วค่อยเคลียร์กันทีเดียว ว่าแต่…เด็กในอุปการะของนายเป็นไงบ้างวะ สวยขึ้นอย่างที่ฉันเคยบอกไหม” หย่งหมินเคยเจอรูปเทียนกัลยาในห้องทำงานพุทธชาดครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นภาพที่การะเกดส่งมาให้พี่ชาย เขาเห็นแล้วอดชมไม่ได้ เด็กอะไรหน้าตาน่ารักเป็นบ้า

    “ก็งั้นๆ” พุทธชาดสบตากับคนที่นั่งเป็นตอไม่ขยับเขยื้อนไปไหน สีหน้าตั้งอกตั้งใจฟังเกือบทำให้ชายหนุ่มหลุดยิ้มเอ็นดู

    “งั้นๆ เหรอวะ ไม่อยากจะเชื่อเลย สายตาระดับฉันไม่น่าพลาด” คนที่เชื่อมั่นว่าตัวเองเป็นกูรูเรื่องมองหญิงบอก กี่คนๆ เขาก็ไม่เคยพลาด 

    “ก็น่ารักขึ้น”

    “นั่นอย่างไร ผิดกับที่พูดไว้เสียที่ไหน ว่าแต่…น้องเทียนนั่นมีแฟนยังวะ”

    “ถามทำไม” พุทธชาดถามเสียงเข้ม

    “จะจองให้ไอ้สังคัง เอ๊ย หย่งคังน้องชายฉันไง”

    “จองให้น้องหรือจะเอาเอง”

    “บ๊ะไอ้นี่! ทำมาเป็นรู้ทัน ฉันรู้หรอกโว้ยว่าแกหวง ดูคราวยายเกดนั่นปะไร คนอะไรหวงน้องเชี่ยๆ เลย” ชายหนุ่มที่ครั้งหนึ่งเคยยื่นใบสมัครเป็นเขยตระกูลดอกไม้บอกเสียงขยาด รอดมาได้ทุกวันนี้ก็บุญล้นหัวแล้ว ใครเลยจะรู้ว่าพวกดอกไม้หน้าตาดีทั้งหลายล้วนแต่ซ่อนพิษซ่อนหนามซ่อนคมเอาไว้ ภายใต้ความงดงาม…แม่งมีอะไรน่ากลัวกว่านั้นเยอะ! หย่งหมินคิดในใจอย่างหวั่นๆ

    “เลิกพร่ำเรื่องไร้สาระทีเถอะ เอาเวลาไปทำเรื่องที่รับปากฉันให้ได้ก่อนจะดีกว่า” พุทธชาดย้ำเรื่องที่ไหว้วานอีกฝ่ายให้ช่วยเหลือ หย่งหมินรับปาก พูดคุยกันต่ออีกนิดก็ขอตัววางสาย

    เทียนกัลยานิ่วหน้าหลังจากพยายามถอดรหัสลับที่ชายหนุ่มพยายามส่งให้คนปลายสาย เธอไม่ได้โง่จนไม่รู้ว่าเขาพูดรวบรัดอย่างนั้นเพราะไม่อยากให้เธอรู้ แม้เขาจะพูดรวบรัดหลายประโยค แต่ก็พอจับใจความได้ เช่นเรื่องบาดแผลที่หายสนิทไม่ติดเชื้อ เด็กสาวทำหน้าครุ่นคิด หลังจากวันที่เธอวีนใส่มหาเสน่ห์ พออารมณ์เย็นลงแล้วเธอก็โทรศัพท์ไปขอโทษมหาเสน่ห์ ซึ่งเล่าเรื่องพุทธชาดถูกทำร้ายให้เธอฟังเป็นฉากๆ รวมถึงตอนที่ชายหนุ่มนอนในห้องไอซียูอีกด้วย จำได้ว่าตอนนั้นเธอฟังไปด้วย เอามือทาบอกไปด้วย สิ่งที่มหาเสน่ห์บอกเล่ามันน่ากลัวเหลือเกิน แต่…คนที่นอนไอซียูสองวันเนื่องจากบาดเจ็บสาหัสจะหายวันหายคืนรวดเร็วขนาดนี้เชียวหรือ

    แผลแห้งสนิทไม่ติดเชื้อ!

    “บ้าแล้ว” เจ้าของปากอิ่มเผลอหลุดอุทาน

    “อะไรบ้า” พุทธชาดพยายามกลั้นยิ้มหลังจากนั่งอ่านสีหน้าอีกฝ่ายอยู่สักพัก

    “คุณพุด…” เทียนกัลยาบอกหน้างอง้ำ ตอนนี้เธอชักอยากเป็นฝ่ายงอนเขาจัง

    “หืม เรื่องอะไรมาว่าฉันบ้า”

    “ไม่ใช่ค่ะ เทียนหมายถึง เอ่อ เอาเป็นว่าเทียนนี่แหละค่ะที่บ้า” คนตัวเล็กพยุงกายลุก หวังจะเดินหนี แต่มือหนาเอื้อมคว้าต้นแขนเอาไว้เสียก่อน

    “จะหนีไปไหน พูดกันให้รู้เรื่องก่อน”

    “ไม่พูดค่ะ ยิ่งพูดเทียนก็ยิ่ง…” ดวงตาทรายมองใบหน้าเรียบนิ่งของอีกฝ่าย ครั้นพอช้อนสายตาขึ้นมาสานสบก็เล่นเอาลมหายใจเธอสะดุด ประกายวิบวับนั่นคืออะไร

    “ยิ่งอะไร พูดมาให้หมด”

    “ยิ่งบ้า!” คนที่โดนรั้งให้นั่งข้างชายหนุ่มสะบัดเสียงบอก เธอต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ที่คิดว่าเขา…เทียนกัลยาก้มหน้างุด

    “อะไรที่ว่าบ้า” คนร้อยเล่ห์ถามซ้ำอย่างต้องการคำตอบ

    “ความคิดของเทียนค่ะ คุณพุดอย่ารู้เลย เทียนบ้าเองแหละค่ะ” เด็กสาวบอกอย่างปลงตก เรื่องความเป็นความตายใครเขาจะเอามาล้อเล่นกัน ถึงบอกตัวเองอย่างนั้น แต่คำพูดของมหาเสน่ห์ก็เหมือนสิบล้อพุ่งเข้าใส่เธอดังโครม สะเทือนไปถึงหัวใจ

    ‘ตอนเห็นเจมี่นอนบนเตียง มีสายระโยงระยางพร้อมกับใส่เครื่องช่วยหายใจอยู่ พี่งี้ร้องไห้ฮือๆ อย่างไม่อายใครเลยนะเทียน’

    เทียนกัลยาไม่รู้จะเชื่ออะไรดี ระหว่างสิ่งที่เธอเห็นกับคำพูดของมหาเสน่ห์!

    “บ้ายังไง พูดให้ฉันฟังหน่อย”

    “คุณพุดจะอยากรู้ไปทำไมคะ เทียนก็แค่มีความคิดบ้าๆ ว่าคุณพุดแกล้งพวกคุณเหน่ แล้ว…”

    ประโยคต่อมาถูกกลืนหายลงลำคอ ยามได้พบรอยยิ้มกว้างๆ ของหนุ่มดอกไม้ พุทธชาดใช้มือยีผมสลวยอย่างมันเขี้ยว

    “เทียนฉลาด”

    ไม่ว่าประโยคนั้นจะเป็นคำชมหรืออะไรก็ตาม เทียนกัลยาไม่ได้รู้สึกปลื้มสักนิด

    “ไม่จริง ‘คุณพุดของเทียน’ ไม่ใช่คนแบบนั้น”

    คุณพุดของเทียนยังคงฉีกยิ้มโชว์ฟันขาวอย่างที่น้อยคนนักจะได้เห็น ชายหนุ่มชอบยิ้มแค่มุมปากซึ่งกลายเป็นเสน่ห์ประจำตัวที่ใครพบใครเห็นต่างชื่นชอบ ทว่ารอยยิ้มกว้างๆ กับแววตาขี้เล่นก็ทำให้เด็กบางคนนิ่งงันได้เช่นกัน

    “คุณพุดของเทียน…ยังมีอะไรให้เทียนได้แปลกใจอีกเยอะ ดังนั้นตอนนี้ช่วยลุกไปเอาน้ำมาให้กินหน่อยเถอะ เราเล่นยกแต่ขนมถ้วยมาเสิร์ฟแบบนี้ หวังจะให้ฉันพูดด้วยละสิ”

    แม้ต้องทำความรู้จักและเรียนรู้อุปนิสัยเขาอีกมากแค่ไหน แต่มีสิ่งหนึ่งที่เทียนกัลยารู้เป็นอย่างดีก็คือ…พุทธชาดฉลาดแล้วก็เจ้าเล่ห์ที่สุด!

    คิ้วเรียวโก่งขมวดมุ่นคิดหาคำตอบเอาเอง ที่เขาทำแบบนี้ย่อมมีเหตุผล ซึ่งเหตุและผลนั้นคงเป็นเรื่องค่าตอบแทน ตอนที่เขากลับมาร่วมงานวันเกิดช้องนางในปีที่สองไม่ได้ เธอได้ยินการะเกดตัดพ้อพี่ชายทางโทรศัพท์ว่าเขายอมให้น้องชายสามคนดึงเวลาส่วนตัวไปได้อย่างไร ตอนนั้นพุทธชาดตอบว่า หากเรื่องทั้งหมดลุล่วงไปได้ด้วยดี พุทธชาดจะเรียกค่าตอบแทนจากน้องชายเช่นกัน

    เธอหวังเหลือเกิน หวังว่าเรื่องทั้งหมดคงไม่ใช่การเรียกค่าตอบแทนอย่างสาสมจากเขา! เพราะหากเป็นอย่างนั้น…เธอคงต้องเรียกจากเขาบ้าง ค่าที่ทำให้เธอต้องเสียน้ำตาไปค่อนกะละมัง!


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×