ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักคือเธอ (พุทธชาด + เทียนกัลยา)

    ลำดับตอนที่ #8 : ...๗ แผนซ้อนแผน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.21K
      23
      23 มี.ค. 59


    นิยายเรื่องนี้เน้นที่ปมนางเอกนะคะ อาจหวานไม่มาก แต่มีหยอดเป็นพักๆ ค่ะ

    พี่พุดเราเพอร์เฟ็กต์อยู่แล้ว ปัญหาชีวิตอย่างเดียวที่มีคือเป็นพี่สามว่าน ดังนั้นเราจิไม่เน้น (มั้ง) ฮ่าๆๆๆๆๆๆ



    ยังไงก็ฝากติดตามด้วยนะคะ







    7

    แผนซ้อนแผน

    เวสป้าสีเขียวอ่อนจอดหน้าประตูไม้ที่นับวันยิ่งเก่าแก่ ทั้งเนื้อไม้ ใบไม้ รวมถึงต้นไม้ด้านข้างต่างถูกฝุ่นจับหนา ถึงอย่างนั้นก็มีบางสิ่งที่แปลกตาไป โซ่และกุญแจที่คล้องถูกปลดออก เทียนกัลยารีบจอดรถไว้ด้านข้างประตู เสียงโหวกเหวกภายในบริเวณบ้านยังให้เธอรีบผลักบานประตู มือน้อยซึ่งเปื้อนฝุ่นเช็ดกับผ้าเช็ดหน้า บริเวณสวนที่รกร้างมีผู้คนนับสิบกำลังแผ้วถางหญ้ารกชัฏและกิ่งไม้แห้ง

    “อ้าวนังหนู มาอีกแล้วเรอะ” ชายวัยกลางคนที่เคยได้พบกันตะโกนถาม เขาเป็นลูกชายของคุณยายที่เธอพบครั้งแรกที่มาที่นี่

    “จ้ะลุงหล้า เจ้าของบ้านเขาจะกลับมาแล้วเหรอจ๊ะ” หัวใจดวงน้อยในอกเต้นไม่เป็นส่ำ เทียนกัลยาเคยถอดใจไปแล้ว ระหว่างที่อยู่ที่นี่เธอพยายามหาข่าวพ่อกับแม่ตลอด แต่ก็ไม่มีใครรู้เลยว่าทั้งสองคนย้ายไปอยู่ที่ไหน บอกแต่ว่าหลังจากลูกสาวคนเดียวถูกลักพาตัวที่เมืองไทย ทั้งสองก็ไม่กลับมาที่นี่อีก

    เทียนกัลยาเจอหล้าหลายครั้งจึงได้พูดคุยกัน เธออ้างว่าชอบบ้านหลังนี้มาก และแนะนำตัวว่าอาศัยอยู่ที่คุ้มบุษบา แค่ได้ยินชื่อคุ้ม หล้าก็เชื่อเธอ เขาบอกหากอดีตนายจ้างของผู้เป็นแม่ติดต่อกลับมาแล้วจะโทรศัพท์หาเธอทันที

    “ยังไม่กลับมาหรอก แต่มีเด็กน้อยมันเห็นงูสิงห์เลื้อยมาแถวนี้ ลุงเลยพาชาวบ้านเข้ามาเก็บกวาด เฮ้อ…ถ้าไม่มาอยู่ก็น่าจะขายๆ ไปเสีย เจ้าของคนใหม่เขาจะได้มาทำความสะอาด บนเรือนมีทั้งฝุ่นทั้งเศษใบไม้ เห็นแล้วเวทนาคุณๆ เขาจริงๆ เสียลูกสาวไปตั้งสิบกว่าปีแล้วยังทำใจไม่ได้” หล้าบ่นเป็นภาษาถิ่นก่อนมองไปยังตัวบ้าน

    กระบอกตาเทียนกัลยาร้อนผ่าว “ทะ...เทียนขอไปดูบนบ้านได้ไหมคะลุงหล้า” คนร่างน้อยยืนกำมือรอฟังคำตอบ ความรู้สึกแปลบปลาบแล่นไปทั่วร่าง เหมือนมีมือที่มองไม่เห็นบีบเค้นหัวใจดวงน้อย

    “ได้สิ แต่ลุงมีกุญแจเปิดแค่ประตูด้านหน้านั่นหรอกนะ กุญแจไขห้องอยู่กับแม่ แกไม่ให้ใครหรอก” หล้ายื่นกุญแจพวงหนึ่งให้

    “ขอบคุณจ้ะลุง เทียนสัญญาว่าจะไม่ทำข้าวของในบ้านเสียหาย”

    “ไม่มีของมีค่าอะไรหรอก แม่ลุงแกเก็บไว้หมดแล้ว มีแต่พวกภาพเก่าๆ โต๊ะไม้ธรรมดานั่นแหละเทียนเอ๊ย”

    เทียนกัลยาเดินขึ้นบันไดที่ฝุ่นจับหนา เศษใบไม้แห้ง กิ่งไม้แห้ง เธอใช้ไม้เขี่ยพวกมันออก มือน้อยสั่นเทายามสอดลูกกุญแจ เสียงแอ๊ดของบานประตูฝืดๆ ดังขึ้น ชานบ้านโล่งเต็มไปด้วยใบไม้กิ่งไม้และฝุ่นอย่างที่หล้าบอก บ้านหลังนี้ค่อนข้างกว้าง ตัวเรือนมีรูปทรงคล้ายเรือนในคุ้มบุษบา แต่ต่างตรงไม่มีหอนั่งกลางบ้าน ดังนั้นชานตรงกลางจึงถูกปล่อยโล่ง โดยที่ด้านซ้ายขวาและด้านหลังมีห้องหับเป็นสัดส่วน มุมซ้ายสุดตัวของบ้านมีประตูบ่งบอกว่าสามารถเดินขึ้นลงจากด้านหลังบ้านได้

    เศษใบไม้แห้งปลิวว่อนไปตามกระแสลมที่แรงขึ้น เทียนกัลยาใช้แขนป้องฝุ่นซึ่งคลุ้งกระจายก่อนจะสาวเท้าไปยังผนังด้านหนึ่งซึ่งมีรูปถ่ายติดเอาไว้ เด็กสาวนำผ้าเช็ดหน้าในมือเช็ดคราบฝุ่น

    ใบหน้าของเด็กทารกปรากฏอยู่ในภาพถ่ายสีซีด น้ำตาหยดหนึ่งไหลตามด้วยหยดต่อมา ร่างน้อยสะอื้นขณะที่ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดภาพในกรอบรูปใบต่อๆ ไป 

    “พ่อขา…แม่ขา…”

    รูปใบใหญ่ซึ่งอยู่ค่อนข้างสูงเป็นรูปครอบครัว หญิงชายคู่หนึ่งยืนส่งยิ้มให้กล้อง โดยที่ฝ่ายชายอุ้มเด็กหญิงวัยประมาณแปดเก้าเดือนเอาไว้ เทียนกัลยาจำตัวเองได้ในทันที เพราะเสริมก็ถ่ายรูปเก็บไว้ให้เธอดูเหมือนกัน เทียนกัลยามองหาเก้าอี้หรือสิ่งของที่พอจะนำมาเหยียบได้ ไม่นานก็ได้เก้าอี้ไม้หนึ่งตัว เด็กสาวบรรจงเช็ดภาพนั้นอย่างดี ก่อนจะล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงมาถ่ายรูปนั้นและรูปถ่ายใบอื่นเก็บไว้จนลืมเวลา

    “อ้าว เช็ดจนเกือบหมดเลยเหรอเรา” หล้าที่เห็นว่าเย็นมากแล้วเดินขึ้นมาตามและพบว่ารูปบนผนังบ้านถูกเช็ดจนเกือบหมด

    “เอ่อ เทียนเช็ดเพลินไปหน่อย นี่คือรูปเด็กที่หายไปเหรอจ๊ะลุงหล้า”

    “ใช่ หนูเทียน อ้อ ชื่อเหมือนเรานั่นแหละ เป็นลูกของคุณเป้กับคุณราตรี แม่เคยเล่าให้ฟังว่าบ้านหลังนี้สร้างตอนคุณราตรีตั้งท้อง ปกติบ้านแบบนี้จะมีหอนั่งตรงกลางแต่คุณผู้ชายไม่ให้สร้าง บอกจะเอาไว้ให้คุณหนูคลานเล่น ท่านสองคนรักลูกสาวมาก ที่ไม่กลับมาคงเพราะทำใจไม่ได้ คุณราตรีท่านอยู่ที่นี่ตลอดตั้งแต่คลอดคุณหนู พอไปเมืองไทยทีเดียวลูกก็มาหาย”

    เทียนกัลยามองชานโล่งๆ ที่เต็มไปด้วยเศษใบไม้ เด็กสาวพยายามกลั้นก้อนสะอื้นและห้ามทัพน้ำตาอย่างยิ่งยวด การได้รับรู้ว่าผู้ให้กำเนิดรักเธอ ยิ่งทำให้เธอโหยหาอ้อมกอดของพวกท่าน

    “แล้วนั่นเป็นอะไรหน้าแดงๆ ตาแดงๆ”

    “ทะ...เทียนแพ้ฝุ่นน่ะจ้ะ เดี๋ยวเทียนกลับบ้านก่อนนะลุง”

    “เออๆ กลับเถอะ เย็นมากแล้วเดี๋ยวคนที่คุ้มจะเป็นห่วง”

    “ขอบคุณจ้ะ เอ่อ ลุงอย่าบอกเรื่องที่เทียนมาที่นี่กับใครนะจ๊ะ”

    “รู้แล้ว ย้ำจังเลยเด็กคนนี้ ไปได้แล้วไป๊ ลุงเองก็จะได้ล็อกประตู”

    เทียนกัลยาขี่รถกลับคุ้มด้วยหัวใจอันหนักอึ้ง ขามาเธอแค่งอนพุทธชาด เลยตั้งใจขี่รถมาทางนี้ กะว่ามาส่องดูเดี๋ยวเดียวก็กลับ ไม่คาดคิดเลยว่าวันนี้จะมีโอกาสได้เข้าไปในบ้าน และไปเห็นรูปถ่ายนับสิบที่ล้วนแต่มีภาพเธออยู่ในนั้น ทั้งหมดสื่อถึงความรักอันท่วมท้นของผู้ให้กำเนิดซึ่งเธอปรารถนาอยากจะพบเหลือเกิน

    ใบหน้ายิ้มแย้มของบันทะวงและใบหน้าอ่อนหวานยิ้มเพียงแต่น้อยของราตรีจารจำฝังแน่นลงในใจของเด็กสาว การได้ประสบกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่พร้อมทั้งมีช้องนางคอยพร่ำปลอบ ทำให้เทียนกัลยาต้องคอยเตือนตัวเองอยู่เสมอ ให้บุญนำพา หากมีวาสนาคงได้พานพบกันในวันหนึ่ง เพราะหลังจากที่เธอพยายามทำทุกอย่างเท่าที่เด็กคนหนึ่งจะทำได้แล้ว ก็ต้องแล้วแต่บุญทำกรรมแต่ง ซึ่งช้องนางย้ำเรื่องนี้กับเธอเสมอ

    ‘จำเอาไว้นะเทียน คนทุกคนมีกรรมด้วยกันทั้งนั้น การพลัดพรากก็ถือเป็นกรรมอย่างหนึ่ง สักวันหนึ่งหากกรรมหมด เราก็มีโอกาสจะได้พบกับคนที่พลัดพรากอีกครั้ง ยายอยากให้เทียนหมั่นทำบุญ ประพฤติตัวให้อยู่ในกรอบศีลธรรม จะทำอะไรก็ให้มีสติ ให้ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว ถ้าเทียนทำได้อย่างนั้น ยายเชื่อว่าเทียนจะได้พบกับความสุขในสักวัน’


    ทันทีที่เวสป้าสีเขียวอ่อนแล่นเข้าสู่บริเวณถนนภายในคุ้ม คนงานหลายคนระบายลมหายใจอันหนักอึ้งกันเป็นแถบๆ หลายคนยังแปลกใจไม่หาย หลานชายคนโปรดของช้องนางจู่ๆ ก็ลุกขึ้นตะโกนบอกให้เกณฑ์คนงานออกไปตามคุณหนูเทียน ใครลุกช้าอืดอาดเป็นต้องเจอตาคมดุตวัดใส่ เล่นเอาคนงานบางคนที่ถูกสั่งให้ทำสวนอยู่ภายในคุ้มต้องอยู่ห่างจากตัวบ้านให้มากที่สุด

    “ไปไหนมาเทียน” สายน้ำผึ้งที่มาดักรอเทียนกัลยาโผล่หน้าจากเสาใต้ถุนบ้าน มือน้อยๆ กวักเรียกคนหายตัวไปเกือบครึ่งวัน

    “ไปขี่รถเล่นแถวๆ นี้แหละ” เทียนกัลยาที่พอรับรู้สถานการณ์ไม่สู้ดีตอบ เธอหายไปหลายชั่วโมงเลยแหละ การบอกว่าไปขี่รถเล่นคงแก้ตัวไม่ขึ้น

    “ขี่รถเล่นบ้าบออะไรตั้งครึ่งค่อนวัน แล้วนี่อะไร ทำไมตาแดง แล้วเนื้อตัวมอมแมมแบบนี้ เนี่ยนะไปขี่รถเล่น” สายน้ำผึ้งรีบฉุดอีกฝ่ายให้เดินตาม “ขึ้นทางหลังบ้าน รีบไปอาบน้ำ เดี๋ยวฉันจะไปถ่วงเวลาเอาไว้ให้ โอเคไหม”

    “โอเค” คนเดินตามบอกเสียงแผ่ว เธออาจเหนื่อยเกินไป เหนื่อยกับความปรารถนาที่ซ่อนเร้น นับวันเธอยิ่งรู้สึกเหมือนคนโลภ อยากได้ครอบครัวที่แท้จริงคืนมา อยากให้เสริมยังคงอยู่ อยากอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับดาวเรือง อยาก…อยู่กับครอบครัววงศ์บุษบา ความต้องการหลายสิ่งหลายอย่างพร้อมๆ กันทำให้เธอเหนื่อยและกลัว กลัวว่าสักวันเธอจะไม่ได้สักอย่างเดียว!

    หลังจากส่งเทียนกัลยาเข้าห้องแล้ว สายน้ำผึ้งก็มานั่งเตร็ดเตร่อยู่ตรงหอนั่ง ดีที่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่บนบ้าน ความจริงวันนี้เธอตั้งใจไปวัดกับทุกคน เพื่อปล่อยให้เทียนกัลยาได้อยู่กับพุทธชาดหลังจากที่เฝ้ารอมาหลายปี สายน้ำผึ้งเข้าใจเทียนกัลยาเป็นอย่างดี ขนาดเธอไม่เจอกัลปพฤกษ์แค่สี่เดือนยังคิดถึงเลย

    เสียงมอเตอร์ไซค์คู่ใจแล่นมาจอดหน้าบ้าน ทำให้เจ้าของรถวิ่งปรู๊ดไปเกาะระเบียงทันที

    “มาแล้วเหรอคะพี่พุด เทียนกลับมาตั้งนานแล้วค่ะ” สายน้ำผึ้งตะโกนบอกคนหน้านิ่งขรึม สีหน้าเขาตอนนี้เหมือนพร้อมจะเขมือบหัวเธออย่างไรอย่างนั้น เด็กสาวคิดอย่างหวาดกลัว…น่ากลัวกว่าคุณสนตั้งเยอะ!

    พุทธชาดเดินขึ้นบ้านด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ ทว่ารัศมีกรุ่นโกรธก็กระจายอยู่รอบตัว สายน้ำผึ้งสัมผัสได้ถึงอารมณ์นั้นจึงแอบกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ

    “เอ่อ เทียนหลับค่ะ” เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะบุกเข้าห้องเทียนกัลยา เธอเลยไม่ทันคิดหาข้อแก้ตัว แต่การบอกว่าหลับนี่เหมือนฆ่าเพื่อนให้ตายชัดๆ แง…

    “งั้นพี่จะปลุกเอง นอนหลับทับตะวันไม่ดี เดี๋ยวปวดหัว” ชายหนุ่มผลักประตูเข้าไปแล้วปิดพร้อมลงกลอน ทิ้งให้อีกคนยืนอึ้งตะลึงเมื่อได้ยินอีกฝ่ายล็อกกลอนด้านใน

    “ตายแน่ยายเทียนเอ๋ย”


    พุทธชาดนั่งฟังเสียงสะอึกสะอื้นผสานกับเสียงน้ำไหลอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง กรามแกร่งขบเข้าหากันตอนที่สมองคิดเรื่องบัดซบต่างๆ นานา จนเขาเกือบลุกไปเคาะประตูเสียหลายครั้ง พุทธชาดคิดว่าตัวเองกำลังจิตตกอย่างรุนแรงยามคิดว่าเวลาแค่สี่ห้าชั่วโมงเทียนกัลยาจะไปเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ไหนได้บ้าง ยิ่งคิดเหงื่อบนใบหน้าชายหนุ่มก็ผุดขึ้นทั้งๆ ที่อากาศภายในห้องเย็นกำลังดีด้วยซ้ำ

    เสียงเปิดประตูห้องน้ำทำให้ชายหนุ่มถอนหายใจก่อนจะต้องนิ่งอึ้ง ร่างน้อยห่อด้วยผ้าขนหนูสีชมพูผืนโตกำลังยืนเบิกตากว้าง

    “คุณพุด!”

    “เอ่อ ฉันจะไปรอข้างนอก” คนตัวโตผลุนผลันลุกเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว “รีบแต่งตัวให้เรียบร้อยแล้วไปที่ห้องนายพริก” เสียงเขาดังเข้ามา ก่อนที่สายน้ำผึ้งจะโผล่พรวดเข้ามาในห้อง

    “ต๊ายยายเทียน ลงทุนโชว์โป๊ให้พี่พุดไม่ดุเชียวเหรอ” คนที่พอเดาสีหน้าพุทธชาดได้กำลังหัวเราะคิกอย่างชอบใจ นานๆ จะอ่านสีหน้าชายหนุ่มได้ เขาหน้านิ่งพอกันกับสนฉัตรเลยทีเดียว

    “ลงทุนบ้าบออะไร ไม่เห็นเหรอว่าเราก็อึ้งไปเหมือนกัน น้ำผึ้งทำไมไม่ห้ามคุณพุด ตัวก็รู้อยู่ว่าเราชอบออกมาแต่งตัวในห้อง”

    “ลืม แถมพี่พุดยังล็อกกลอนไม่ให้เข้าด้วย” คนตอบยังหัวเราะร่า

    “มีอะไรน่าขำกัน” คนที่คิดว่าตัวเองไม่ได้โป๊มากมายถาม ผ้าขนหนูที่เธอพันกายออกมาผืนใหญ่เบ้อเร่อเบ้อร่า ยาวคลุมหัวเข่าเลยด้วยซ้ำ เทียนกัลยาก้มมองผ้าขนหนูสีชมพูลายคิกขุของตัวเองแล้วเลิกคิ้ว “แล้วที่บอกว่าคุณพุดล็อกกลอนไม่ให้เข้าหมายความว่าไง”

    “ก็หมายความว่าพี่พุดโกรธมากน่ะสิ”

    คนมีความผิดหน้าซีด เธอยอมรับว่าผิดที่ไม่ดูเวลาและลืมคิดว่าการหายตัวไปจะทำให้คนเป็นห่วง

    “บอกได้ยังว่าร้องไห้ทำไม”

    “เราคิดถึงน้องน่ะน้ำผึ้ง”

    “ก็เลยแอบไปร้องไห้งั้นสิ”

    “อือ ตอนแรกที่ออกไปก็แค่งอนคุณพุดที่เขา…ช่างเถอะ เอาเป็นว่างอนเสร็จแล้วก็คิดถึงน้อง เลยร้องไห้ออกมานิดหน่อย”

    “ไม่หน่อยแล้วมั้ง ตาบวมตุ่ยเลย” สายน้ำผึ้งเข้ามาดูใกล้ๆ พบว่าใต้ตาของเพื่อนมีรอยช้ำด้วย

    “เอ่อ ว่าแต่คุณพุดเข้ามานานหรือยัง”

    “คล้อยหลังตัวนิดเดียวน่ะ”

    “งั้นเขาก็ได้ยินสิ” เทียนกัลยามีสีหน้าตกใจ

    “ได้ยินอะไร”

    “คือ…เราร้องไห้ในห้องน้ำ”

    “อ้าว ซวยเลยสิทีนี้ งั้นก็ไปแก้ตัวเอาเองแล้วกัน”

    “ไปเป็นเพื่อนหน่อยสิ” คนทำผิดหลายกระทงออด

    “ไม่ ขืนเราไปด้วย มีหวังได้โดนพี่พุดขบหัวเอาแน่ๆ” สีหน้าเรียบนิ่งที่พร้อมกระโจนเข้ามาเขมือบเธอได้ทุกเมื่อทำให้สายน้ำผึ้งหวาดผวา


    สุดท้ายเทียนกัลยาก็ต้องเดินไปหาพุทธชาดคนเดียว ร่างบางซึ่งสวมเสื้อยืดสีขาวและกางเกงวอร์มสีเหลืองอ่อนเดินกลับไปกลับมาอยู่หน้าห้องหลายนาทีจึงตัดสินใจเคาะประตู เสียงขานรับที่เคร่งเครียดยังให้หัวใจดวงน้อยร่วงไปอยู่ตาตุ่ม ก่อนมาสายน้ำผึ้งได้บรรยายสีหน้าท่าทางของเขาตอนสั่งคนงานออกตามหาเธอให้ฟังเสียละเอียดยิบ

    ภายในห้องนอนของกัลปพฤกษ์มีเพียงเสียงพัดลมซึ่งตั้งอยู่มุมห้องทำงาน หากปิดมัน เทียนกัลยาก็เชื่อว่าเธอจะได้สัมผัสคำว่าเงียบกริบ พุทธชาดยืนกอดอกอยู่ตรงหน้าต่าง ดวงตาคมยังทอดมองออกไปด้านนอก เทียนกัลยาได้โอกาสรีบกวาดสายตามองเรือนร่างอีกฝ่าย เขานับเป็นชายที่มีรูปร่างสูงใหญ่ เทียนกัลยาไม่รู้ว่าผู้หญิงมองผู้ชายตรงไหนบ้าง แต่ก็สามารถพูดได้ว่าพุทธชาดดูดีไปทุกส่วนสัด ไม่ว่าจะเป็นใบหน้าตลอดจนเรือนกายกำยำ

    เท้าเล็กๆ ขยับเข้าไปในห้องเพียงสองก้าว เสียงคนงานในบ้านก็ดังแทรกขึ้น

    “คุณพุดครับ มีคนมาขอพบครับ” น้ำเสียงกระหืดกระหอบยังให้เทียนกัลยาขมวดคิ้ว มีคนมาขอพบแล้วเหตุใดถึงได้ทำหน้าตื่นตระหนก

    “ใครกัน”

    “เขาบอกว่าชื่อ ‘ลูคัส’ ครับ”

    ดวงตาเนื้อทรายเบิกกว้าง ก่อนจะหันไปยังคนที่มีสีหน้าแปลกใจเหมือนกัน พุทธชาดสาวเท้าหวังจะออกไปพบแขก แต่โดนมือน้อยรั้งเอาไว้เสียก่อน

    “ให้เทียนไปด้วยได้ไหมคะ” เด็กสาวออด เธอรู้ว่าลูคัสคนนี้คือใคร ก็มหาเสน่ห์เล่าเสียละเอียดยิบ เธอจะไม่รู้จักผู้ชายชื่อนั้นได้อย่างไร

    “เทียนไปอยู่กับน้ำผึ้งเถอะ เดี๋ยวฉันไปคนเดียว” พุทธชาดข่มใจบอก ดวงตาบวมช้ำทำให้จิตเขาตกยิ่งกว่าเดิม “แต่ถ้าจะกรุณา…ช่วยบอกทีเถอะว่าเทียนร้องไห้ทำไม” คนที่อยากได้สติขอร้องเป็นครั้งแรก

    “เทียน เอ่อ เทียนงอนคุณพุด ก็เลย…คิดถึงตากับดาวเรืองค่ะ” คนตอบก้มหน้างุด แต่ยังไม่ยอมปล่อยมือจากแขนกำยำ

    คิ้วหนาเลิกขึ้นอย่างแปลกใจ “แน่ใจเหรอ ไม่ได้ไปเจอเหตุการณ์ร้ายๆ มาใช่ไหม” คนที่คิดไปถึงขนาดว่าเทียนกัลยาถูกรังแกถาม

    “ไม่ใช่ค่ะ” เทียนกัลยายืนยันด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เทียนไม่ได้เจอใครทำร้ายค่ะ เทียนแค่ร้องไห้คิดถึง…”

    “ถ้าไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูด” พุทธชาดขัดขึ้น แม้ยังคลางแคลงใจเพราะรู้สึกว่าเทียนกัลยาพูดความจริงออกมาไม่หมด แต่ชายหนุ่มก็ไม่อยากซักไซ้ให้เสียเรื่อง “เอาเป็นว่าฉันขอโทษก็แล้วกันที่ทำให้เทียนร้องไห้เสียใจ แต่ตอนนี้ปล่อยแขนฉันก่อนแล้วไปอยู่กับน้ำผึ้ง”

    “ไม่ค่ะ เทียนจะไปกับคุณพุด เกิดผู้ชายคนนั้นทำร้ายคุณพุด เทียนจะได้ช่วย”

    “ตัวกะเปี๊ยกแค่นี้จะช่วยอะไรฉันได้ ไปอยู่กับน้ำผึ้งเถอะ ฉันมีคนงานในบ้านไปเป็นเพื่อนเยอะแยะ”

    “แต่ใช่ว่าทุกคนจะกล้าเอาตัวบังกระสุนให้คุณพุดนี่คะ”

    พุทธชาดครางในลำคอหลังจากได้ฟังเด็กใจกล้าแสดงความห่วงใย ชายหนุ่มจนต่อคำพูด และไม่รู้ว่ายอมให้อีกคนจับมือพาเดินได้อย่างไร นับเป็นครั้งแรกในชีวิตหนุ่มดอกไม้ที่ยอมให้ใครจูงมือ ชายหนุ่มก้มมองมือน้อยๆ ที่จับมือหนาของตัวเองไว้แน่น บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร แต่เอาเป็นว่า…มันดี!


    ‘เจเรมี คุณต้องอธิบายเรื่องทั้งหมดมา!’

    พุทธชาดสั่งให้คนพาเทียนกัลยาขึ้นไปบนบ้านทันทีที่ลูคัสตะโกนใส่เขา ดวงตาวิบวับของลูคัสที่มองมือน้อยๆ ซึ่งกุมมือเขาไว้แน่นทำให้ชายหนุ่มไม่ชอบใจนัก ลูคัสและลูกน้องอีกเจ็ดคนมีสภาพที่ค่อนข้างแย่ แย่มากถึงมากที่สุด บอดีการ์ดซึ่งคอยแฝงตัวอยู่รอบๆ คุ้มค่อยๆ ปรากฏตัวเมื่อศัตรูบุกมาหาเจ้านายถึงบ้าน พุทธชาดเชิญแขกไปคุยกันที่เรือนหลังเล็กด้านหลังซึ่งมีไว้สำหรับรับรองแขก

    กอปรกับที่ราชพฤกษ์กลับถึงบ้านทันที ทั้งหมดจึงไปสมทบที่เรือนหลังเล็ก โดยสั่งคนงานให้เฝ้าเทียนกัลยาและสายน้ำผึ้งให้อยู่แต่ในห้อง พุทธชาดสั่งลูคัสเข้าไปอาบน้ำพร้อมทั้งให้คนจัดหาเสื้อผ้าไว้เปลี่ยน

    “นี่มันเรื่องอะไรกันพุด ทำไมถึงต้องต้อนรับขับสู้เขาอย่างนั้น” ราชาวดีถามหลานชายเมื่อคล้อยหลังคนที่พุทธชาดแนะนำว่าเป็นแขก ซึ่งดูเหมือนไม่ยินดีที่จะมาเยี่ยมเยือนหลานชายเธอสักนิด

    “เรื่องมันยาวครับ”

    “ยาวแค่ไหนพวกเราก็อยากฟัง รีบๆ เล่ามาเสีย ก่อนที่ ‘แขก’ ของพุดจะอาบน้ำเสร็จ” คนเป็นป้าบอกเสียงแข็ง กระทั่งหันมาเจอะสีหน้าของราชพฤกษ์และช้องนาง “นี่อย่าบอกนะคะว่าคุณแม่กับพี่คูนรู้เรื่องนี้”

    “ก็พอรู้มาบ้างน่ะ เอาเป็นว่าเดี๋ยวพี่เล่าให้ฟังเอง น้องช่อฟังเด็กมันคุยกันเฉยๆ ก่อนนะ” ราชพฤกษ์บอกภรรยา ในใจแอบกลัวจะโดนหางเลขเหมือนกัน

    “ถ้าพูดถึงขนาดนี้ ช่อว่าพี่คูนคงไม่แค่รู้หรอกมั้งคะ”

    “ป้าช่ออย่าโทษลุงคูนเลยครับ ผมเป็นคนขอร้องยายกับลุงคูนเอาไว้เอง” พุทธชาดรีบออกรับแทนก่อนที่ผู้เป็นลุงจะงานเข้า เป็นที่รู้กันดีว่าตระกูลเขา ‘กลัวเมีย’ ทุกคน!

    ราชาวดีขึงตาใส่สามีก่อนค้อนน้อยๆ ให้หลานชาย มองเลยไปถึงแม่สามีแล้วก็ได้แต่หลบตา ช้องนางเห็นดังนั้นจึงยิ้มอ่อนอย่างเอ็นดูลูกสะใภ้

    ลูคัสเดินออกจากห้องพร้อมด้วยชุดใหม่ ดวงตาดุหันไปยังชายหนุ่มคู่กรณี คนที่ทำให้เขาต้องเจอเรื่องบัดซบต่างๆ นานา เขาถูกตามล่าจากมหาเสน่ห์และฝ่ายที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร ต้องหนีหัวซุกหัวซุนมาที่นี่หลังจากรู้ว่าพุทธชาดยังไม่เสียชีวิต สองวันก่อนฟาบิโอ้ผู้นำตระกูลฟาเบรกลาสออกมาให้ข่าวเรื่องลูกชายเสียชีวิตเป็นครั้งแรก โดยอีกฝ่ายแจ้งว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพียงข่าวลือ พุทธชาดบาดเจ็บจนเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจริง แต่ไม่ได้เสียชีวิตอย่างที่หนังสือพิมพ์ลงข่าว ซ้ำร้ายยังกล้าประกาศด้วยว่าขณะนี้ลูกชายคนโตไปพักผ่อนที่วังเวียง

    หลังจากเห็นข่าวขณะที่กำลังหนีการตามล่าของมหาเสน่ห์ ลูคัสก็ต้องพบกับชายนิรนามนับสิบที่กำลังตามล่าเขาอยู่เช่นกัน คนที่ยังอยากรักษาชีวิตเอาไว้จึงตัดสินใจมาที่คุ้มบุษบา แต่มีเรื่องเหนือความคาดหมายยิ่งกว่านั้นคือ…หนึ่งในบอดีการ์ดที่คอยดูแลพุทธชาดมี ‘ชายนิรนาม’ ซึ่งเพิ่งไล่ล่าเขาที่สเปนรวมอยู่ด้วย!

    “อาบน้ำอาบท่าเสร็จแล้วจะกินข้าวกินปลาก่อนไหมพ่อหนุ่ม” ช้องนางถามคนที่ยืนส่งสายตาเคียดแค้นให้หลานชาย พุทธชาดหันไปแปลให้อีกฝ่ายฟัง

    “ไม่กิน! ฉันอยากคุยให้รู้เรื่องก่อน”

    “แต่ฉันว่านายกินก่อนเถอะ แล้วไม่ต้องห่วงลูกน้องนาย ฉันสั่งให้คนดูแลแล้ว” คนที่ยังทำหน้านิ่งแม้ต้องเผชิญกับสายตาเคียดแค้นชิงชังบอก

    “คงไม่ได้สั่งให้ฆ่าพวกนั้นจนหมดแล้วหรอกนะ” ลูคัสประชด เริ่มไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้ยังใจเย็นอยู่

    “แล้วมันจะต่างอะไรกับการที่ฉันจะฆ่านายทีหลังล่ะ ถ้านายกลัว…ให้ฉันเรียกลูกน้องนายมาอยู่เป็นเพื่อนก็ได้นะ”

    “ไม่ต้อง! ฉันไม่ได้กลัว เพราะหากฉันกลัว ฉันคงไม่มาที่นี่”

    “อ้อ…ไม่กลัวก็ไม่กลัว ถ้าไม่กินข้าวก็เข้าเรื่องเลยแล้วกัน นางเอาสำรับไปเก็บ” พุทธชาดสั่งคนงานในบ้านที่เพิ่งยกสำรับมาวาง

    “เดี๋ยว!” คนที่จ้องอาหารตาวาวโพล่งขึ้น “กินก็ได้ ฉันเกรงใจคุณยายคนนั้นหรอกนะ”

    “อืม แต่เดี๋ยวก่อน” พุทธชาดขัดคนที่กำลังใช้ช้อนตักแกง “รอให้ผู้ใหญ่ตักก่อนสิ บ้านนายเป็นไงไม่รู้ แต่นี่บ้านฉันเขาถือ” หนุ่มดอกไม้พูดจบก็หันไปสั่งคนตักข้าวให้ผู้เป็นยาย รวมถึงราชพฤกษ์และราชาวดีด้วย

    “หมายความว่าไง” คนที่คิดว่าจะได้กินข้าวคนเดียวถามอย่างงงงวย

    “ก็หมายความว่า เราจะทานพร้อมกันทั้งหมดไง” พอช้องนางตักกับข้าวแล้ว พุทธชาดรวมถึงคนอื่นๆ ก็ตักบ้าง ยังให้ลูคัสเองก็ต้องทำตาม ชายหนุ่มเคยกินอาหารไทยหลายครั้งจึงไม่เป็นปัญหา

    “อันนี้ลาบหมู เคยกินไหมจ๊ะ” ราชาวดีถามเป็นภาษาอังกฤษ

    “ไม่เคยกินครับ” ลูคัสที่มาพร้อมไฟแค้นจำต้องตอบ ชายหนุ่มรู้สึกว่าไฟกองใหญ่ค่อยๆ ดับมอดลงไปทีละนิดๆ จนเหลือแต่เถ้าถ่านที่ยังร้อนกรุ่นๆ เท่านั้น

    “งั้นลองหน่อย อาจไม่ถูกปาก แต่เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าจะจัดอาหารแบบฝรั่งๆ ให้ก็แล้วกัน”

    “อะเอ่อ…ขอบคุณครับ” ลูคัสตักอาหารเข้าปาก รสชาติจัดจ้านแปลกลิ้นทำให้ชายหนุ่มต้องตักมากินซ้ำ จะพูดว่ามันไม่ถูกปากก็ไม่ถูกต้องนัก เอาเป็นว่ามันอร่อยแปลกๆ ลิ้นแล้วกัน คนที่เพิ่งเคยกินลาบหมูครั้งแรกในชีวิตคิดในใจ

    “กินเสร็จเดี๋ยวยายขอไปเอนหลังก่อนนะ แม่ช่ออยู่ที่นี่เถอะ เดี๋ยวแม่ไปกับนางเอง” ช้องนางบอกหลังจากทุกคนกินอิ่ม อาหารบนโต๊ะเกลี้ยงชนิดที่ไม่เหลือแม้แต่ผักซึ่งเป็นเครื่องเคียง

    “ไม่เป็นไรค่ะคุณแม่ เดี๋ยวช่อกลับด้วยเลย ยังไงเสียพี่คูนก็ต้องกลับไปเล่าให้ช่อฟังอยู่ดี” ราชาวดีหันไปทางสามีซึ่งยิ้มให้ด้วยสีหน้าเจื่อนๆ

    “คุณจะอธิบายเรื่องทั้งหมดว่ายังไง” พอเหลือกันแค่สามคน ลูคัสก็โพล่งถามทันที 

    ก่อนหน้านี้เขาคอยทำตัวป่วนพุทธชาด แต่ก็ไม่เคยลงมือจริงจังสักครั้ง ทำเพียงข่มขู่อีกฝ่ายให้กลัว เขายอมรับว่าเรื่องทั้งหมดส่วนหนึ่งเกิดขึ้นเพราะเขาโลภ แต่มหาเสน่ห์น้องชายพุทธชาดก็มีส่วนทำให้มันเลวร้ายลงอีกเท่าตัว ก่อนมาที่นี่มีหลายเรื่องที่เขายังกังขา มหาเสน่ห์ตามล่าตัวเขาย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก แต่การถูกกลุ่มคนที่ไม่รู้จักตามล่าทำให้เขายิ่งสงสัย คนพวกนั้นไม่ได้ต้องการชีวิต แค่ใช้วิธี ‘ขบหยอก’ หมายจะทำให้หงุดหงิดใจ เหมือนจะล่าเล่นๆ เอาให้เจ็บจริงเหมือนที่เขาเคยทำกับพุทธชาด ราวกับคนพวกนั้นจดจำการสร้างความปั่นป่วนของเขาจนขึ้นใจ

    “มันหลายเรื่อง นายอยากจะฟังเรื่องไหนล่ะลูคัส” พุทธชาดถามกลับเสียงเรียบ เขาไม่ได้จงใจก่อกวนอารมณ์อีกฝ่าย แต่ที่ผ่านมามันมีหลายเรื่องจริงๆ

    “เรื่องที่คุณส่งลูกน้องมาไล่ล่าผม”

    “ก็นายทำฉันก่อน”

    “แล้วทำไมไม่ตอบโต้เสียแต่แรก ทำไมยังทำเฉยให้คนอื่นมองว่าผมเป็นต่อ” คนที่ชักโมโหถามเสียงเดือดดาล ที่ผ่านมาพุทธชาดไม่เคยโต้ตอบ แถมยังทำเหมือนว่าเขาเก่งหนักหนาที่ตามป่วนคนระดับนี้ได้ แรกทีเดียวเขาไม่ทราบ อีกทั้งยังลำพองว่าตัวเองเก่ง ทว่าหลายครั้งหลายคราที่อีกฝ่ายไม่น่าเพลี่ยงพล้ำทำให้เขาเริ่มเอะใจ

    “ที่ผ่านมานายเก่ง แต่ฉันเบื่อจะเล่นด้วยแล้ว” คนที่เคยถูกปองร้ายอยู่หลายครั้งบอก

    “บอดีการ์ดคุณคงไม่กระจอกแบบนั้นหรอก ตอบมา ว่าที่แล้วมาคุณแกล้งทำใช่ไหม”

    “ที่ผ่านมานายเก่งต่างหากเล่า แต่ตอนนี้ฉันเบื่อจะเล่นด้วย” พุทธชาดยังย้ำคำเดิม เรื่องแบบนี้ใครเขายอมรับกันเล่า นอกจากจะทำให้อีกฝ่ายเสียหน้าอย่างแรงแล้ว การตอบรับอาจทำให้เดือดร้อนในภายหลัง

    “เป็นแผนของคุณจริงๆ ด้วย แน่ใจนะว่าคุณไม่มีส่วนรู้เห็นเรื่องที่ไอ้เป้มันโกงผม”

    “ฉันไม่รู้จริงๆ แต่ฉันให้คนไปบอกนายแล้วไง ว่าฉันจะชดใช้ให้”

    “ให้คนไปบอก เฮอะ! แสดงว่ามันเป็นคนของคุณจริงๆ ด้วย รวมถึงไอ้พวกที่ชิงลงมือในวันนั้นด้วยสินะ” ลูคัสได้แต่ยิ้มเยาะตัวเอง เขากับผู้ชายตรงหน้า กระดูกมันคนละเบอร์จริงๆ

    “บอกว่าอะไรเหรอพุด” ราชพฤกษ์ที่นั่งเงียบอยู่นานหันไปถามหลานชาย เขาไม่เห็นรู้เรื่องที่พุทธชาดส่งคนออกตามล่าลูคัส

    “ไม่ทราบเหมือนกันครับลุง ผมวานให้หย่งหมินเป็นธุระให้”

    “อ้อ งั้นก็คงประดิษฐ์คำได้ไม่สวยหรูนักหรอก บ้านนั้นมันขาโหด ไม่แปลกใจที่เพื่อนเหน่จะมีสภาพแบบนี้”

    คนถูกมองว่าเป็นเพื่อนมหาเสน่ห์ทำหน้าเบ้ “ผมกับมันตัดขาดความเป็นเพื่อนกันแล้ว” รีบปฏิเสธเพราะกลัวเสนียดจะติดตัว ตั้งแต่คบหากันมามีแต่เรื่องซวยๆ

    “งั้นเรอะ แล้วเงินล่ะจะเอาไหม อ้อ ถามอีกหน่อย บอดีการ์ดหย่งหมินไปบอกอะไร ถึงได้หนีหัวซุกหัวซุนมาที่นี่”

    ลูคัสกัดฟันจนเห็นแนวกรามยามนึกถึงคำพูดของกลุ่มชายนิรนามที่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเป็นคนของใคร

    ‘อยากได้เงินก็ไปที่วังเวียง อยากตายก็ซ่อนอยู่แถวๆ นี้แหละ’

    นอกเสียจากประดิษฐ์คำไม่เป็นแล้ว พวกมันยังพูดให้เขางงอีกด้วย ตอนนั้นทั้งเขาและลูกน้องไม่มีใครรู้ว่าวังเวียงคือที่ไหน แต่ในที่สุดก็เข้าใจเมื่ออ่านหนังสือพิมพ์ฉบับที่ฟาบิโอ้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน แถมยังลงท้ายด้วยว่าลูกชายคนโตไปพักผ่อนที่วังเวียง

    “เรื่องนั้นช่างหัวมันเถอะ คุยกันเรื่องเงินที่จะให้ผมดีกว่า” นาทีนี้ลูคัสคิดว่าตัวเองไม่เสียศักดิ์ศรีมากเท่าไร เพราะเงินที่จะได้รับคือส่วนที่เขาต้องได้อยู่แล้ว

    “เงินที่เหลือจากการขายที่ดินที่นายสมควรได้รับ หุ้นในกาสิโนตระกูลเฉียนห้าเปอร์เซ็นต์”

    “เอ่อเดี๋ยวก่อน เงินที่เหลือลุงพอเข้าใจนะพุด แต่หุ้นกาสิโนของตระกูลเฉียนมาเกี่ยวอะไรด้วย”

    “ของผมเองแหละครับลุง ซื้อไว้ตั้งแต่หย่งหมินตั้งบริษัท” เอ่ยถึงเพื่อนที่เป็นทายาทคนหนึ่งของตระกูลเฉียน ตอนหย่งหมินแยกตัวออกมาเปิดบริษัทรักษาความปลอดภัย ทุกคนในตระกูลต่างไม่เห็นด้วย รายนั้นเลยดันทุรังนำเงินทุนมาเปิดเอง แถมยังแอบขายหุ้นให้เขาซึ่งเป็นเพื่อนสนิท พุทธชาดเคยปฏิเสธจะรับหุ้นแต่หย่งหมินยืนกรานจะให้ แม้จะแค่ห้าเปอร์เซ็นต์ก็ตาม ก่อนหน้าที่จะพูดเรื่องนี้กับลูคัส พุทธชาดโทรศัพท์ปรึกษาเพื่อนแล้ว หย่งหมินยินดีให้เขายกหุ้นให้ลูคัส เพราะเห็นใจที่อีกฝ่ายถูกมหาเสน่ห์โกงหน้าด้านๆ

    “หุ้นกาสิโนของเฉียน? บ้าไปแล้ว”

    “ไม่บ้าหรอก หากนายไม่รับมันไปต่างหากล่ะที่จะบ้า” หนุ่มดอกไม้บอกเสียงเรียบ

    “ตกลง! เอ่อ ว่าแต่เรื่องมันง่ายไปไหม ก่อนหน้านี้ทำไมคุณไม่อธิบายกับผม”

    พุทธชาดกดยิ้มก่อนตอบ “เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น มันก็ไม่สนุกน่ะสิ!”


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×