Verde pop
ดู Blog ทั้งหมด

แท็กซี่มหาภัย

เขียนโดย Verde pop
 ผมไม่ได้ว่าแท็กซี่ไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้นะ ไม่ได้มีอคติใดๆด้วย แต่ที่เขียนเกี่ยวกับแท็กซี่นี่ เพราะมันมีต้นเหตุมาจากเรื่องของคนขับแท็กซี่จริงๆ และตัวผมเองก็เชื่อว่าแท็กซี่ดีๆในสังคมไทยก็ยังมี มีเยอะด้วย แต่ที่ไม่ดีๆ ก็มีแยะเหมือนกัน แต่วันนี้เราจะมาพูดกันถึงเรื่องแท็กซี่ที่ไม่ดี  หรือที่เรียกกันว่า แท็กซี่มิจฉาชีพนั่นเองแหละครับ

วิธีการของพวกแท็กซี่มหาภัยเหล่านี้คือ พยายามที่จะ “ปล้นทรัพย์” เหยื่อ โดยไม่ให้เหยื่อได้มีโอกาสหนีรอดไปไหนได้ (แน่ล่ะ พื้นที่บนรถ กว้างแค่ไหน ใครก็รู้) ทั้งแบบที่ให้รู้ตัวและไม่รู้ตัว....

แบบที่ไม่ให้รู้ตัวก็คือ...

1.รมยาสลบ

วิธีรมยาสลบ มีหลายวิธี  แต่วิธีที่นิยมมากที่สุดคือ การหันช่องแอร์ที่ใส่ยาสลบด้านในไว้แล้วให้หันมาทางลูกค้า(เหยื่อ) ลูกค้ารายไหนที่ ไม่ทันรู้ตัวเผลอสูดยาที่มาพร้อมกับแอร์เมื่อไหร่ เป็นอันนิทราได้ที่ ตื่นมาอีกทีกลายเป็นโรคทรัพย์จาง บางรายเสื้อผ้าไม่เหลือหรอ แถมยังโดนพรากพรหมจรรย์ไปอย่างน่าเจ็บใจ ก่อนจะเอาร่างมาทิ้งไว้ข้างพงหญ้าข้างทางที่ไหนไม่รู้ บางรายก็โดนมาปล่อยทิ้งไว้แถวปั๊มน้ำมันก็มี

2.ฉีดสเปรย์ยาสลบเข้าที่หน้าโดยตรง

วิธีนี้ถือว่าอันตรายมากครับ เพราะไม่ว่าใครที่โดนเข้าไปมีสิทธิ์น็อกได้ในพริบตา จากเรื่องเล่าในหนังสือ “ภัยร้ายใกล้ตัว” ของ Mr.Stop ตอนแท็กซี่มหาภัยนั้น บอกว่า เหยื่อที่โดนฉีดสเปรย์เข้าที่หน้านั้นต้องเข้าห้องไอซียูเลยทีเดียว หลังจากฟื้นขึ้นมาแล้ว แขนขาชา ไม่สามารถพูดจาได้ตามปกติ แถมมีอาการชักเป็นระยะๆ อีกด้วย

3.ยาป้าย

ยาป้ายนี้เป็นยาสลบชนิดหนึ่งที่เมื่อถูกตัวใครเข้าจะทำให้คนที่โดนฤทธิ์ยานี้เข้าไป มีอาการมึน งง สับสน และไม่สามารถขัดขืนใดๆได้ เหมือนโดนยาสั่งอย่างไรอย่างนั้นเลยครับ เขาสั่งให้ทำอะไรก็ต้องทำ จากคำบอกเล่าของผู้ประสบเหตุหลายต่อหลายรายยืนยันตรงกันว่า หลังจากถูกยาป้าย(โดยไม่รู้ตัว)ไปสักพัก จะเริ่มมึนๆเบลอๆ เขาพูดอะไรมานี่ได้ยินทุกอย่าง จำได้หมดว่าพูดเรื่องอะไร แต่ว่าปฏิเสธอะไรไม่ได้เลย ลุกไปไหนไม่ได้ ได้แต่นั่งฟังเขาพูดไปเรื่อยๆ (คล้ายกับโดนสะกดจิต)หลังจากนั้น ก็จะโดนเขาสั่งให้เอาสร้อย แหวน เงิน ทอง ของมีค่าออกมาให้ แน่ล่ะครับ คนที่โดนยาป้ายไปนั้น ก็ต้องยอมให้เขาไปจนหมดเนื้อหมดตัวแบบไม่รู้ตัวอีกนั่นแหละ วิธีการโดนป้ายยาแบบไม่ให้รู้ตัวนั้นมีหลายแบบ ตั้งแต่การจับไม้จับมือธรรมดา(Shaking hand) ไปจนถึงจับเนื้อจับตัวหรือส่วนอื่นๆของร่างกายเรา แต่ไม่ว่าจะโดน ณ จุดไหน ผลก็ไม่ต่างจากที่กล่าวไว้ข้างต้นล่ะครับ

กว่าฤทธิ์ยาจะหมดก็ผ่านไปเกือบชั่วโมงนั่นแหละครับ เหยื่อถึงจะรู้ตัวว่าโดนของเข้าไปแล้ว วิธีการป้ายยาแล้วปลดทรัพย์แบบนี้ ถือว่าเป็นอันตรายเงียบที่น่ากลัวมากๆ เพราะต่อให้นั่งอยู่กลางฝูงชนก็ใช่ว่าจะเป็นจุดสังเกตให้ใครเห็น เพราะใครผ่านไปผ่านมาก็นึกว่าคนรู้จักนั่งคุยกันธรรมดา เพราะสัญชาตญาณการรู้สึกผิดปกติของมนุษย์ด้วยกันเองจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อมีใครลุกมาส่งเสียงดังโวยวาย แต่เมื่อเราถูกยาป้ายทำให้ไม่สามารถดิ้นรนขัดขืนใดๆได้นั้น โอกาสที่จะลุกไปร้องโวยวายให้ใครช่วยนั้น แทบเป็นศูนย์ไปเลย ด้วยเหตุนั้น “การปล้นทรัพย์” ด้วยวิธีป้ายยานี้จึงค่อนข้างเป็นที่นิยมในหมู่พวกมิจฉาชีพมาก เนื่องจากทำกันเบาๆแตะกันเงียบๆ ก็ได้เงินไปง่ายๆแบบไม่ต้องเหนื่อยแล้ว แถมเหยื่อก็ยังไม่ขัดขืนอีก กว่าเหยื่อจะรู้ตัวไปแจ้งตำรวจได้ มิจฉาชีพบางรายก็หนีข้ามทวีปไปแล้วก็มี ถือเป็นอาชญากรรมเงียบที่น่าระวังสำหรับคนในเมืองมากเลยครับ

 

ข้อควรระวัง!

เมื่อคุณอยู่บนรถแท็กซี่ และรู้ตัวแล้วว่าคุณโดนรมยาสลบเข้าแล้ว ให้พยายามเปิดหน้าต่างให้ลมด้านนอกรถเข้ามาให้มากที่สุด  พยายามอย่าสูดอากาศในรถเพิ่มอีก เพราะโอกาสจะเป็นโรควูบกะทันหันมีมาก พยายามคงสติไว้ให้มากที่สุด และบอกให้คนขับรถจอดทันที (อย่าสนว่าขณะนั้นมันจะเป็นทางด่วนหรือทางรก เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือคุณต้องอยู่ห่างจากตัวการแท็กซี่มหาภัยให้มากที่สุด 

หลังจากนั้นให้หาน้ำสะอาดดื่มให้มากๆ เพื่อลดอาการวิงเวียนของฤทธิ์ยา (น้ำที่เหลือ เอาล้างหน้าด้วยก็ดี)  จากคำบอกเล่าของผู้ประสบเหตุหลายราย กล่าวว่าการดื่มน้ำมากๆจะช่วยขับฤทธิ์ยาสลบที่เราสูดเข้าไปได้มากทีเดียว (แม้แต่ตัวคนขับแท็กซี่เองระหว่างขับรถและมอมยาเหยื่อ ตัวมันเองก็จะจิบน้ำเป็นระยะๆเช่นกัน เพื่อไม่ให้วูบไปก่อนหน้าเหยื่อ)

ส่วนกรณีที่โดนยาป้าย ให้หาผ้าเย็น หรือถ้าไม่มีใช้ผ้าเช็ดหน้าชุดน้ำเย็นๆแล้วเช็ดบริเวณที่โดนป้ายออกให้ไวที่สุดเพราะหากปล่อยให้ยาออกฤทธิ์นานเข้า เราอาจจะทรุด ไม่มีแรงพอจะอ้าปากร้องขอความช่วยเหลือจากใครได้ จนกลายเป็นเหยื่อของพวกมันไป หลังจากนั้นพยายามโทรหาคนในครอบครัว เพื่อน แฟน หรือใครก็ได้ที่เราไว้ใจให้มารับ ณ จุดที่เราลงจากรถให้ไว้ที่สุด และขอย้ำ...ว่าอย่าไปไหนคนเดียว และ อย่า! ขอความช่วยเหลือจากคนบริเวณนั้น เพราะไม่แน่อาจจะมีพวกมันแฝงตัวอยู่ก็ได้....

ส่วนแบบที่รู้ตัว (แต่ก็ไม่ทันระวังตัว)นั้น เป็นประเภทที่หลอกกันที่ความรู้สึก คือถึงแม้เหยื่อจะรู้ตัวก็ไม่ฉุกใจคิดว่าถูกหลอกครับ

ดังตัวอย่างจากเรื่อง “การหลอกลวงแบบใหม่” Credit จาก “ภัยร้ายใกล้ตัว” By Mr. Stop อยากให้ท่านผู้อ่านลองสังเกตบทสนทนาด้านล่างนี้ แล้วสมมุติว่าตัวท่านคือ “ลูกค้า” กำลังคุยกับแท็กซี่อยู่...

เหตุเกิดที่ซอยรามคำแหง 124 เวลาประมาณบ่ายสามโมงกว่า...คุณแม่ท่านหนึ่งเรียกแท็กซี่เพื่อที่จะไปรับลูกกลับจากโรงเรียน หลังจากขึ้นไปนั่งบนรถ จู่ๆแท็กซี่ก็พูดขึ้นมาว่า..

แท็กซี่: พี่รู้ไหม ...พี่จะเป็นผู้โดยสารคนสุดท้ายของผม.....

ลูกค้า: (ตกใจและนึกในใจ ตายล่ะ มันจะเอาเราไปทำฆาตกรรมรึเปล่าเนี่ย แต่ก็ทำใจดีสู้เสือ แล้วพูดออกไปว่า...)

อ่อ...คุณหมายความว่าไงเหรอคะ ที่จะเป็นผู้โดยสารคนสุดท้าย

แท็กซี่: หลังจากส่งพี่เสร็จ ..ผมก็เอารถไปส่งเถ้าแก่เค้า...เถ้าแก่บอกว่าถ้าวันนี้ผมไม่ส่งเงินประกันรถ เค้าก็จะไม่ให้ผมขับอีก...แล้วผมไม่มีเงินให้เถ้าแก่เค้า ผมคงต้องเลิกอาชีพแท็กซี่ที่ขับมาเก้าปี

ลูกค้า: อ้าว คุณก็ลองรับผู้โดยสารไปเรื่อยๆสิ เดี๋ยวก็คงได้เงินไปจ่ายเถ้าแก่

แท็กซี่: เถ้าแก่เค้าจะเอาเงินค่าประกันรถสองพันเจ็ดร้อย แต่รายได้ต่อวันแค่เจ็ดถึงแปดร้อยหักค่าส่งรถ ก็เหลือให้ลูกเมียไม่เกินสองร้อยบาท

ลูกค้า: งั้น คุณผัดผ่อนเถ้าแก่ไปอีกหน่อยสิ เผื่อจะมีทางเลือกอื่น หรือหยิบยืมคนรู้จักก่อน

แท็กซี่: เถ้าแก่ผมเค้าใจดีมากครับ จริงๆ ค่าประกันรวมทั้งหมดสี่พันเจ็ดร้อย...เถ้าแก่ช่วยออกให้สองพัน ส่วนต่างผมต้องเป็นคนหามาเอง...แต่ผมก็ไม่มีเงินก้อนนั้นหรอก ...ก่อนรับพี่ขึ้นมา ผมแวะไปหาเพื่อนที่ฉะเชิงเทราเพื่อขอยืมเงินมัน เพื่อนผมคนนี้คบกันมาตั้งแต่สมัยทำงานเป็นเด็กขับรถเข้าซองในโรงแรมม่านรูดด้วยกัน....รู้จักกันมาสิบปี...มันบอกว่าถ้าเดือดร้อนอะไรก็ให้ไปหามันได้ทุกเมื่อ

ลูกค้า: แล้วสรุปเพื่อนว่ายังไงล่ะ

แท็กซี่: พอผมไปถึงบ้านมัน มันทำท่ารังเกียจที่เห็นผมขับแท็กซี่ มันไล่ให้ผมออกไปจากบ้านเลยครับ มันไม่อยากให้คนรอบบ้านรู้ว่ามีเพื่อนเป็นคนขับแท็กซี่

แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อแท็กซี่คนนี้เริ่มร้องไห้ออกมา ทำให้คุณแม่ท่านนี้รู้สึกงงๆ แบบตั้งตัวไม่ทัน ว่าจู่ๆจะมาเห็นแท็กซี่ร้องไห้เห็นกันจะๆแบบนี้

ลูกค้า: เอ่อ... ถ้างั้นคุณลองติดต่อพวกอิออน หรือควิกแคชเผื่อจะช่วยได้

แท็กซี่: ผมขับแท็กซี่ไม่มีใบเงินเดือน เค้าคงไม่ให้ผมหรอก พี่รู้ไหม ผมโตขึ้นมาเนี่ยยังไม่รู้เลยว่าพ่อแม่เป็นใคร พอผมจำความได้ ผมก็โตมากับโรงแรมที่ผมทำงานเป็นเด็กขับรถเข้าซอง คนที่นั่นเค้าช่วยกันเลี้ยงผม หลังจากเจอแฟน ผมก็ออกมาขับแท็กซี่ ตอนนี้ผมมีลูกแฝดสองคน ส่วนแฟนผมหลังจากคลอดลูกแล้วเค้าก็ไม่สบาย จนตอนนี้ก็เดินไม่ได้แล้ว ผมต้องไปรับยาที่โรงพยาบาลจุฬาฯทุกเดือน

ขณะนั้นเป็นจังหวะที่แท็กซี่เลี้ยวเข้าซอยโรงเรียนพอดี ปกติจะจอดรถไว้ด้านหน้าโรงเรียน แต่วันนั้นฝนตกหนักน้ำเลยท่วมด้านหน้า คุณแม่ท่านนี้เลยบอกให้แท็กซี่จอดเทียบประตูโรงเรียนด้านข้างแทน  แต่แท็กซี่แสนจะมีน้ำใจบอกว่า

แท็กซี่: ไม่เป็นไรหรอกพี่ ผมขับลุยน้ำไปได้ เอาให้พี่รับน้องสะดวกดีกว่า

ลูกค้า: (นึกในใจ โห...มีน้ำใจเหมือนกันนะเนี่ย แล้วพูดออกไปว่า...) น้ำมันท่วมสูงเหมือนกันนะ เดี๋ยวรถคุณเกิดเสียขึ้นมาจะลำบาก

แท็กซี่:  ไม่เป็นไรหรอกพี่ ไหนๆ ผมก็จะไม่ได้ขับรถแท็กซี่อีกแล้วผมขอบริการผู้โดยสารละกัน

ลูกค้า:  (เริ่มใจอ่อน) เอ่อ...ถ้างั้นเดี๋ยวคุณรอรับกลับด้วยละกัน

แท็กซี่: ได้ครับพี่ ตามสบายเลยนะครับ

พอคุณแม่ท่านนี้รับลูกออกมาจากโรงเรียนกำลังเดินมาจึงรถ แท็กซี่ก็รีบกุลีกุจอมาเปิดประตูให้ขึ้น

แท็กซี่: พี่ไม่ต้องรีบนะ ค่อยๆ ให้น้องเข้ามาเดี๋ยวหัวโขก

เมื่อเข้ามาในรถแล้ว สองแม่ลูกก็คุยกันเรื่อยเปื่อยกันไปสองคน จู่ๆก็มีเสียงแทรกขึ้นมาอีก...

แท็กซี่: ลูกพี่โชคดีจัง ได้เรียนหนังสือ...ลูกผมยังอดมื้อกินมื้ออยู่เลย ไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องเรียน

บรรยากาศเริ่มเป็นเหมือนก่อนหน้านี้อีกครั้ง แท็กซี่เริ่มพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของตัวเองด้วยเสียงสั่นเครือ คราวนี้ไม่ได้ร้องไห้ออกมา แต่น้ำตาก็เริ่มปริ่มๆ จนคุณแม่ท่านนี้คิดในใจว่าจะให้เงินเพิ่มอีกหน่อยตอนลงละกัน ขณะนั้นค่ามิเตอร์อยู่ที่ประมาณเจ็ดสิบบาท คิดว่าถ้าถึงบ้านจะเข้าไปปรึกษาสามีว่าควรจะให้เท่าไหร่ดี

พอแท็กซี่จอดหน้าบ้าน คุณแม่ท่านนี้ก็บอกให้เขารอสักครู่จะเข้าไปเอาเงินมาให้ แต่แท็กซี่กลับตอบมาทำนองว่า ถ้าไม่มีไม่ต้องให้ก็ได้ ถือว่าเป็นการบริการผู้โดยสารคนสุดท้ายของเขา เป็นใครเจอแบบนี้ไม่สงสารบ้างก็คงไม่ใช่คนปกติแล้วล่ะครับ

ด้วยความที่คุณแม่ท่านนี้และครอบครับเป็นคนจิตใจดี ทำบุญทำทานกันอยู่บ่อยๆ และปกติก็ไปบริจาคให้มูลนิธิทุกเดือนอยู่แล้ว เมื่อคุยกันกับสามีเรียบร้อยก็ได้ข้อสรุปว่าเมื่อมีคนเดือดร้อนมาขอความช่วยเหลือถึงบ้านก็น่าจะช่วยเขาไปเลย

เป็นที่น่าแปลกใจไหมล่ะครับ ที่คุณแม่ท่านนั้น และสามี ไม่ได้คิดว่าแท็กซี่จะมาหลอกลวงหรืออะไร (ถ้าเป็นเราอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นก็คงคิดแบบเดียวกัน) ก็ปกติแล้วใครมันจะมาร้องไห้ให้คนอื่นเห็น ถ้าไม่ใช่ว่าเขาจะมีเรื่องเดือนร้อนจนอัดอั้นตันใจไม่อยู่จริงๆ

หลังจากนั้นคุณแม่ท่านนี้ก็กลับออกไปพร้อมกับยื่นเงินจำนวนหนึ่งให้กับแท็กซี่ ในเนื้อความบอกไว้ว่า

“พอแท็กซี่เห็นจำนวนเงินที่เราให้ก็ทำตาโต (แนวตกใจ) ขอย้ำทำตาโตจริงๆ แล้วก็ละล่ำละลักพูดว่าขอบคุณครับพี่ เสียงยังคงสั่นๆเหมือนเดิม เราก็เลยพูดออกไปว่า ...เงินก้อนนี้ให้เอาไปให้เถ้าแก่จะได้มีอาชีพเลี้ยงลูกเมียต่อไป ตอนนั้นเราก็จุกอยู่ที่คอเหมือนกันตอนมองหน้า แท็กซี่เห็นเค้าทำตาแดงๆ จะร้องออกมา เราเลยตัดบทว่า ไปเถอะ..แล้วแท็กซี่ก็ขับออกไป”

เหมือนเรื่องจะจบอยู่เพียงเท่านี้นะครับ แต่ทว่า เรื่องของกรรมเวรมันมีจริงครับ ใครทำกรรมอะไรไว้ ก็จะได้รับกรรมที่ทำไว้ ยิ่งสมัยนี้กรรมมันติดจรวดครับ ทำกรรมดีก็ได้รับแต่สิ่งดี แต่ถ้าใครทำกรรมชั่วความชั่วนั้นก็จะย้อนกลับมาหาตัวได้

หลังจากวันนั้น คุณแม่ท่านเดิม ก็ออกไปเรียกแท็กซี่หน้าปากซอยรามคำแหง 124 ให้ไปส่งที่ทำงาน แล้วไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่ไปเจอแท็กซี่คันเก่าเข้าพอดี ทีแรกต่างคนก็ต่างไม่รู้ตัวหรอกครับ จนกระทั่ง เมื่อแท็กซี่เห็นว่าคนขับขึ้นมานั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว ก็เกริ่นประโยคหากินออกมา...นั่นแหละ

แท็กซี่: พี่รู้ไหม...พี่จะเป็นผู้โดยสารคนสุดท้ายของผม..

ลูกค้า: (อึ้ง ไปประมาณ 5 วินาที ทำไมประโยคนี้มันคุ้นๆ....แต่ก็ตอบออกไปว่า...) เหรอคะ?

แล้วเมื่อมองไปที่กระจกหน้ารถที่เอาไว้มองข้างหลังเห็นช่วงตาของคนที่พูด.....

ใช่มันจริงๆด้วย!

ความรู้สึกของงคุณแม่ท่านนั้น ณ ตอนนั้นนี่กล่าวไว้ว่า

เหมือนโดนทุบที่หัวเลย แล้วเราก็รู้สึกว่าความโกรธมันพุ่งขึ้นมามากๆๆๆๆๆ

แท็กซี่ยังคง(ไม่รู้ตัว)พล่ามต่อไป และคงเริ่มสังเกตว่าผู้โดยสารไม่ได้ต่อบทสนทนากับมัน....มันเลยเหลือบตามามองกระจกหน้ารถมองมายังลูกค้า พอมันเห็นหน้าปุ๊บ มันก็เริ่มเงียบ...

ลูกค้า: เดี๋ยวคุณจอดตรงสะพานลอยข้างหน้าหน่อย

แท็กซี่: ครับ (บรรยากาศเริ่มมาคุ แล้วมันก็จอดตรงที่เราบอก)

ลูกค้า: คุณ....คุณจำดิฉันได้ไหม?

แท็กซี่:  (ค่อยๆหันมา ทำหน้าช็อก แล้วพยักหน้า พร้อมกับพูดว่า....) ครับ

ลูกค้า: ดี... ไว้เจอกันที่สถานีตำรวจ

หลังจากนั้นแท็กซี่คันดังกล่าวก็รีบบึ่งรถออกไปทันที ความรู้สึกของคุณแม่ท่านนี้ในตอนนั้นคงไม่พ้นโกรธและโกรธมากๆที่ถูกหลอกเอาเงินไปอย่างหน้าด้านๆ หลังจากนั้น เจ้าทุกข์รายนี้จึงได้โทรไปกรมขนส่งทางบก และทางกรมขนส่งฯแนะนำให้โทรบอก .จส.100 กับร่วมด้วยช่วยกัน ทางเจ้าหน้าที่เมื่อทราบเรื่องจึงรับเรื่องนี้ไว้แล้วแจ้งประชาสัมพันธ์ให้ ดีที่ว่าเจ้าทุกข์รายนี้จำชื่อคนขับ และทะเบียนรถ รวมถึงหน้าตาคนขับรายนี้ได้ และหลังจากแจ้งตำรวจไปแล้ว ไม่นานก็ได้ที่อยู่ของคนขับแท็กซี่รายนี้ และขั้นตอนต่อไปคือทางตำรวจจะดำเนินการติดต่อไปยังคนขับแท็กซี่ให้มารับทราบข้อกล่าวหา และดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายต่อไป

ขณะที่ลงบทความนี้คือ ปี พ.ศ. 2555 แต่ว่าเรื่องที่นำมาลงในบทความนี้ คือเมื่อ ปี พ.ศ. 2552 แล้ว ซึ่งทางเจ้าทุกข์ไม่ได้ให้รายละเอียดไว้ว่า แท็กซี่คันดังกล่าวนั้นถูกจับหรือไม่ แต่ผมเห็นว่าเรื่องแบบนี้แม้มันจะผ่านไปหลายปีแล้ว แต่มันก็ยังสามารถเก็บมาและส่งต่อให้หลายๆท่านได้รับรู้ เผื่อไว้เป็นอุทาหรณ์ให้รู้จักระมัดระวังตัว เพราะคนสมัยนี้ไว้ใจกันได้ยาก แค่เดินผ่านกันก็อาจจะโดนปล้นเอาทรัพย์สินและชีวิตได้ง่ายๆ

คติเตือนใจเล็กๆน้อยๆ

อย่าพกของมีค่าไว้กับตัว ไม่ว่าจะเป็นสร้อย แหวน เงิน ทอง  อย่าแต่งตัวล่อโจรด้วยทรัพย์สินที่คุณหามาทั้งชีวิต และหากว่าคุณมิได้เป็นอย่างสองข้อดังกล่าวข้างต้น แต่คุณก็ยังถูกพวกโจรหมายหัวอยู่ ของอะไรที่คุณมีติดตัว ให้ทิ้งไว้ แล้ววิ่งหนีไปให้ไกล จำไว้ว่าชีวิตคุณมีค่ามากกว่าทรัพย์สินที่ไม่มีชีวิตเหล่านั้น

อ้างอิงจาก :  ภัยร้ายใกล้ตัว ,Mr.Stop , สำนักพิมพ์ เจ้าสำนัก

ใครที่พบเจอเหตุการณ์ลักษณะนี้ หรือต้องการเผยแพร่สิ่งดีที่ๆท่านทราบให้แก่บุคคลทั่วไป เข้ามาแบ่งปันกันได้นะครับ และขออภัยสำหรับท่านที่เคยอ่านหนังสือเล่มดังกล่าวไปแล้วมาเจอบทความนี้อีก (ซ้ำ ขออภัย)

ความคิดเห็น

tsunayoshikung
tsunayoshikung 22 พ.ค. 55 / 10:27
คนสมัยนี้ ดูหน้า ไม่รู้ใจหรอกครับ
ellel
ellel 28 พ.ค. 55 / 14:10
 ผมก็เคยขึ้นแท็กซี่อยู่หลายครั้งนะ สมัยอยู่กรุงเทพฯ  แต่ผมจะชอบนั่งหน้า แล้วชวนเขาคุยไปเรื่อยๆ  ระหว่างนั้นก็พยายามบอกไม่ให้เขาหันแอร์มาทางเรา (ผมเป็นโรคแพ้แอร์รถยนต์ครับ เพราะเวลารถขับเคลื่อนไป มันจะดูดอากาศข้างนอกมาหมุนเวียนให้เรา แล้วคิดดูเถอะอากาศข้างนอกที่ว่าก็คืออากาศบนท้องถนน ....หากคุณรู้อย่างนี้แล้วยังอยากจะสูดแอร์รถอีกมั๊ย? )
แต่ส่วนใหญ่ผมค่อนข้างโชคดีครับ ไม่ค่อยเจอแท็กซี่ใจร้ายเท่าไหร่ ผมก็ขอให้เพื่อนๆ พี่ๆน้องๆทุกคนโชคดีเหมือนผมละกันนะครับ
chompu-3
chompu-3 3 มิ.ย. 55 / 16:17
 ขอบคุณมากค่ะได้ประโยชน์เยอะ ++ มาก 
pang328
pang328 24 มี.ค. 56 / 20:57
โห้ว คนสมัยนี้ไว้ใจไม่ได้เลย 
sixtynine_69
sixtynine_69 7 เม.ย. 56 / 14:37
สุดยอดดด 
boy-my-girl
boy-my-girl 9 เม.ย. 56 / 11:48
โลกนี้เริ่มอยู่ ยากกก 
ความคิดเห็นที่ 7
good comment;;;;

ผมเชื่อและระมัดระวังเสมอ...บ้างครั้งมีโอกาสนั่งไม่ว่ารถ
อะไรที่ไม่ใช่ของตนเองที่เป็นรถบริการทั่วไป แกล้งโทรหาเพื่ออ้าง
เรียก จ่า บ้าง ท่านบ้าง...มาเพื่ออะไร ไปรับด้วย ใกล้ถึงแล้ว เป็นต้น.
ช่วยกันครับ... ดี.. อยู่ที่ตัวทำ สูงหรือต่ำ..อยู่ที่ทำตัว.
complove
complove 28 พ.ค. 56 / 15:14
ขอบ คุณ ครับ  จะได้ระวัง
Rheinfall
Rheinfall 2 ก.ค. 56 / 22:56
ขอบคุณมากค่ะ เป็นประโยชน์มาก ๆ 
(이수상)
(이수상) 22 ก.ย. 56 / 11:40
คนดีเดี๋ยวนี้มีน้อย ขอบคุณมากๆเลยครับ อ่านแล้วทำให้มีความระมัดระวังตัวมากขึ้นเลย ..
berry.crepe
berry.crepe 14 เม.ย. 57 / 12:00
ขอบคุนสำหรับคำเตือนคับมีประโยชน์มากเลย^^
แยมเยิ้ม
แยมเยิ้ม 13 พ.ค. 57 / 00:08
โห นึกไม่ถึงเลยอ่ะค่ะ ตอนแรกยังสงสารนะ
Fah Sunparsit(ปลายฟ้า)
Fah Sunparsit(ปลายฟ้า) 25 มิ.ย. 58 / 17:06
เเท็กซี่สมัยนี้น่ากลัวมากกก ต้องระวังตัวเเล้ว