ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #127 : เล่ม 5.1 - ตอนที่ 64.1 - สัญญาระหว่างเรา (4)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 906
      0
      25 มี.ค. 51

    กระดาษจำนวนสามร้อยกว่าแผ่นถูกแจกจ่ายออกไปหมดสิ้น แต่ผู้ที่ถูกคัดเลือกให้ผ่านมีเพียงเจ็ดคน
                    แน่นอนว่าบุรุษสองคนที่มาเฝ้าตั้งแต่สองวันก่อนนั้นย่อมได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในเจ็ด โดยบุรุษที่เค้าหน้าเหี้ยมหาญได้หมายเลขหก และบุรุษผมยาวที่ใส่แว่นได้หมายเลขเจ็ด
    เกิดเสียงต่อว่าของผู้คนรอบข้างที่เป็นนักหมากรุกชั้นแนวหน้าดังขึ้นให้อื้ออึง โดยเฉพาะผู้ที่พอจะมีหน้ามีตาในวงการหมากรุก บ้างก็หาว่าการไขปริศนาครั้งนี้ไม่ยุติธรรมบ้าง บ้างก็หาว่าต้องการที่จะคัดตัวเต็งออกไปเพื่อมิให้มีโอกาสแพ้บ้าง สุดเกินกว่าที่ผู้ช่วยจะสามารถควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้ ปรมาจารย์หมากรุกทองคำจึงต้องออกมาชี้แจงด้วยตนเอง ด้วยคำกล่าวที่ว่า “หากผู้ใดมีข้อข้องใจประการใดก็ขอให้รอจนการไขปริศนาในครั้งนี้สิ้นสุดแล้วค่อยบอกกล่าว หลังจากผ่านการทดลองเดินหมากทั้งเจ็ดกระดานนี้ไปแล้ว ถ้าผู้ใดคิดว่าตนเองสามารถเดินได้ดีกว่าบุคคลทั้งเจ็ดนี้ ก็ขอให้เขียนตาเดินของหมากสีดำลงแผ่นกระดาษอีกรอบหนึ่งส่งมาให้ข้าพิจารณาอีกครั้ง”
    เมื่อมีคำชี้แจงที่น่าพึงพอใจเสียงของฝูงชนจึงเงียบลงได้ ยินเสียงของผู้ช่วยนั้นกล่าวต่อไปว่า “ขอเชิญผู้ที่ถูกรับเลือกท่านแรกทดลองไขปริศนาได้”
    เมื่อบุคคลแรกก้าวขึ้นบนศาลา เสียงอื้ออึงของฝูงชนก็กลับมาอีกคราเนื่องจากคนผู้นี้เป็นชนชั้นแนวหน้าของวงการหมากรุก คร่ำหวอดในวงการมากว่าสิบปีจนเป็นที่รู้จักของบุคคลในวงการทั่วไป ปรมาจารย์หมากรุกทองคำเคยได้ยินกิตติศัพท์มาบ้างจึงยิ้มทักทายคราหนึ่ง ผายมือเชิญให้นั่งลงบนที่นั่งฝั่งตรงข้าม กล่าวว่า “เชิญ”
    การเดินหมากไขปริศนาผ่านไปสามตา ผู้คนรอบข้างต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์การเดินหมากทั้งสามตานี้กันเสียยกใหญ่ บุรุษผมยาวที่ใส่แว่นก็เช่นเดียวกัน กล่าวเสียงเบาๆว่า “พี่ท่านคิดว่าคนผู้นี้เป็นอย่างไร?
    “หากจะกล่าวตามตรง บุคคลผู้นี้นับเป็นนักหมากรุกชั้นแนวหน้าอย่างปฏิเสธมิได้ แต่การเดินสามตาแรกเช่นนี้ผ่านการไตร่ตรองของข้ามาแล้วทั้งสิ้น คาดว่าไม่เกินเก้าตาเดินหมากดำจะหมดหนทางสู้ จนต้องยอมแพ้ในที่สุด”
    ผู้ถามพยักหน้าเห็นด้วยกับประโยคที่กล่าวและผลลัพธ์ก็เป็นเช่นนั้นจริง เมื่อเวลาผ่านไปจนล่วงเลยไปถึงการเดินหมากในตาที่แปด บุคคลผู้นี้ก็ต้องเอ่ยปากยอมแพ้ต่อปรมาจารย์หมากรุกทองคำ
                    “นอกจากนี้พี่ท่านว่ามีบุคคลอื่นใดน่าสนใจอีกหรือไม่?
                    บุรุษที่เค้าหน้าเหี้ยมหาญส่ายศีรษะครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “ในบรรดาบุคคลทั้งสี่ที่เหลือนั้นมีสองคนหน้าซีดเมื่อเห็นการเดินหมากแปดตาเมื่อครู่ คาดว่าคงจะใช้วิธีการเดินที่ละม้ายคล้ายคลึงกัน ส่วนอีกสองคนที่เหลือนั้นน่าจะใช้วิธีที่แตกต่างออกไป แต่ดูจากท่าทางแล้วกลับไม่มีความมั่นใจสักคนหนึ่ง คาดว่าคงมิอาจเดินได้มากกว่าแปดตาเดินเช่นกัน”
                    สถานการณ์เป็นไปดั่งคำทำนาย บุคคลต่อมาทั้งสี่ล้วนมิอาจทำลายสถิติของนักเดินหมากคนแรกได้เลย มีอยู่คนหนึ่งถอนตัวก่อนที่จะได้ทดลองเสียด้วยซ้ำ ให้เหตุผลว่าตาเดินที่ตนเองต้องการทดลองนั้นล้วนใช้การมิได้ เมื่อถึงจุดนี้ผู้ชมอีกหลายร้อยคนที่อยู่รอบข้างต่างหมดความมั่นใจไปตามๆกัน บุคคลที่ส่งเสียงโวยวายต่อว่าเมื่อครู่ต่างหุบปากสนิท สำนึกตนได้ว่าหากได้ลงไปเดินหมากไขปริศนาเช่นนี้จริงๆ รังแต่จะเป็นการแสดงความทุเรศเสียเปล่า
                    ยินเสียงผู้ช่วยนั้นกล่าวว่า “ขอเชิญท่านที่ได้หมายเลขหกขึ้นไขปริศนา”
                    “ขอให้โชคดีพี่ท่าน” บุรุษที่ไว้ผมยาวกล่าวพร้อมยื่นมือไปตบหัวไหล่ให้กำลังใจ
                    ปรมาจารย์หมากรุกทองคำเชื้อเชิญให้บุรุษผู้มีหน้าตาเหี้ยมหาญนั้นนั่งลงตามธรรมเนียม ปรับตาเดินของหมากให้ผ่านไปล่วงหน้าสามตาดั่งแผ่นกระดาษที่เขียนเมื่อครู่ ปรมาจารย์พลางลูบเคราครั้งหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ความสำเร็จของเจ้าดูเหมือนจะไม่เป็นรองข้าเมื่อสิบปีก่อน”
                    “ท่านปรมาจารย์ออกปากชมเกินไปแล้ว”
    นับเป็นครั้งแรกที่ปรมาจารย์กล่าวเช่นนี้ การเดินทั้งสามตาของหมากสีดำทั้งสามตาในกระดาษที่หกล้วนแหวกแนวออกไปจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง ช่องโหว่ที่หมากดำพึงจะมีล้วนถูกปิดสกัดไปถึงเก้าส่วน พร้อมที่จะชิงชัยกับหมากสีขาวอย่างคู่คี่ก้ำกึ่งยกหนึ่ง
    บุรุษที่ไว้ผมยาวครุ่นคิดในใจว่า การเดินหมากในตาแรกทั้งสามตานี้สอดคล้องกับความคิดของเราทุกประการ ดูผิวเผินหมากดำสามารถชิงความได้เปรียบคืนมาก็จริง แต่หมากสีขาวทั้งหลายล้วนอยู่ในจุดที่สามารถตอบโต้ได้อย่างรุนแรงทั้งสิ้น หากเป็นเราคงมิอาจทนทานการถูกรุกไล่ได้เกินสิบสองตาเดิน
    ทันใดนั้นบุรุษผู้นี้ถึงกับตื่นตระหนกเมื่อเหลือบไปมองทางด้านข้าง ทอดสายตาเห็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นชาวเอนเซลผู้หนึ่ง ยืนถือกระดาษปริศนาหมากรุกที่มีตัวหนังสือเขียนเอาไว้ยาวเหยียดยี่สิบสามสิบบรรทัด ซึ่งตัวหนังสือเหล่านั้นต่างเป็นตาเดินของหมากดำที่อยู่ในใจของตนทั้งสิ้น!
     
    หลังจากที่ทั้งสองจากไปห้องทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบสงัด
                    “ข้า ...” บุรุษหนุ่มตกอยู่ในสภาพมิได้ต่างจากหญิงสาวจะกล่าวคำพูดแต่ก็ไม่ทราบว่าจะเอ่ยอะไรดี
                    “เจ้า ...”
                    “
                    บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วน ไม่ว่าผู้ใดต่างก็ไม่ปฏิเสธว่าตนเองไม่มีความรู้สึกอันดีต่อบุคคลตรงหน้า แต่การที่จะให้ตกลงรับปากหมั้นหมายกันเป็นคู่ชีวิตกลับเป็นเรื่องที่รวดเร็วเกินไป ปัญหาอีกร้อยแปดอย่างยังมิได้ถูกสะสาง โดยเฉพาะปัญหาที่สำคัญที่สุด ก็คือแหวนทองคำขาวที่คล้องอยู่บนสร้อยคอนั้น
    เวลาผ่านไปราวครึ่งก้านธูปก็ยังไม่มีคำกล่าวใดๆออกมาจากปากทั้งคู่ ลูทสูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอดกลั้นใจว่าอย่างไรก็ต้องเอ่ยคำพูดออกมาให้ได้ มิฉะนั้นหากเวลาผ่านไปอีกครู่หนึ่ง สตรีตรงหน้าอาจต้องจบสิ้นชีวิตไป ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่ต้องการมากที่สุด “ย ... ยูกิ”
    มีเสียงอืมอันแผ่วเบาราวกับแมลงหวี่เล็ดรอดออกมาจากลำคอหญิงสาว
    “เจ้ารังเกียจข้าหรือไม่? เป็นประโยคเต็มๆประโยคแรกที่หลุดออกมา บุรุษหนุ่มขยับเข้าไปหาหญิงสาวอีกก้าวหนึ่ง ทิ้งระยะห่างกันเพียงช่วงแขนเท่านั้น
    ยอดหญิงผู้สะคราญโฉมในยามนี้งดงามเป็นพิเศษ กล่าวปฏิเสธทันทีว่า “มิใช่เช่นนั้น แต่ทว่า ...”
    ลูทกลืนน้ำลายลงไปในลำคออึกหนึ่ง กล่าวสวนขึ้นว่า “ข้าเข้าใจดี เป็นเรื่องแหวนหมั้นวงนั้นที่สัญญาไว้กับอาจารย์ใช่หรือไม่?
    แววตาของยอดหญิงปรากฏความประหลาดใจขึ้นมาวูบหนึ่ง กล่าวว่า “เจ้าทราบได้อย่างไร? … ต้องเป็นรินะ ... รินะที่น่าตายเล่าเรื่องของข้าให้เจ้าฟังหมดแล้วอย่างนั้นหรือ”
    ลูทพยักหน้าพร้อมกล่าวว่า “เจ้าอย่าไปกล่าวโทษศิษย์น้องเลย นางกระทำไปด้วยความหวังดี”
    ประโยคเมื่อครู่แสดงว่ารินะทราบว่าพี่สาวของตนเองมีความรู้สึกอันใดเก็บซ่อนอยู่ในใจ พอได้ยินลูทกล่าวเช่นนี้ใบหน้าที่แดงอยู่แล้วพลันแดงซ้ำขึ้นไปอีก
    “ข ... ขออภัยหากเมื่อครู่กล่าวอันใดผิดไป”
    “ไม่เป็นไร”
    บุรุษหนุ่มหันหน้าตรงจ้องมองหญิงสาวที่สวยสะคราญ ทั้งใบหน้าที่งดงามไร้ที่ติ ดวงตาที่ลึกล้ำดั่งห้วงมหรรณพ ริมฝีปากเข้ารูปเบาบางและรูปร่างที่รัดรึงสมส่วน เสมือนกับว่าเป็นเทพธิดายืนอยู่ตรงหน้า จึงเอื้อมมือไปสัมผัสกับข้อมือที่เล็กกว่าเขาเท่าตัวขึ้นมาถือไว้ด้วยความทนุถนอม
    นัยน์ตาของลูทมองลึกเข้าไปในดวงตาของยูกิ ส่งผ่านความรู้สึกที่ต้องการจะสื่อสารออกไป ดั่งคำกล่าวที่ว่าดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ พลางคำนึงว่า หากต้องสูญเสียสตรีผู้นี้ไปแล้วเขาจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร? จึงตัดใจกล่าวว่า “หากเจ้ามิได้รังเกียจข้า ได้โปรดยอมรับปากท่านอาวุโสนั้นสักครั้ง ข้าทราบดีว่าเจ้าได้รับปากหมั้นหมายเอาไว้แล้ว รับรองได้ว่าหากผ่านพ้นเวลาช่วงนี้ไปด้วยดี ข้าสัญญาว่าจะยกเลิกความสัมพันธ์ของเราสอง ไม่ทำให้สิ่งที่เจ้ารับปากเอาไว้แล้วเสียหาย”
    จากนั้นบุรุษหนุ่มพลันคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ดึงมือข้างที่กุมเอาไว้เข้ามาจรดนาสิก กล่าวต่อไปด้วยน้ำตาที่เอ่อล้นว่า “ได้โปรดเชื่อข้าเถิด แม้ว่าข้าจะเป็นพรานป่าผู้ที่ไม่มีชาติตระกูลและตำแหน่งอันสูงส่งอย่างเช่นเจ้า แต่ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมาจบชีวิตลงตรงนี้ ขอเพียงยังมีหนทางเหลืออยู่สักสายหนึ่ง ข้า ... ข้าจะขอทำทุกอย่างเพื่อแลกกับชีวิตของเจ้า ได้โปรดรับปากในการหมั้นหมายด้วยเถิด แม้ว่ามันจะเป็นเพียงสัญญาชั่วคราวก็ตาม และข้าลูท ออร์นิเทีย ขอลั่นวาจาสาบานกับสวรรค์และเทพเจ้าทั้งหก ว่าจะไม่ขอทรยศหรือทำให้สตรีที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ประสบกับความเสียใจแม้สักเสี้ยววินาทีหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นปัจจุบันหรืออนาคต นับตั้งแต่บัดนี้และตลอดไป”
    อา ... เสียงอุทานดังขึ้นจากสตรีที่ยืนอยู่ มิใช่ว่านางไม่เชื่อถือคำพูดเหล่านั้นจากบุรุษตรงหน้า เพียงเวลาสิบกว่าวันที่ทั้งสองได้รู้จักกันก็ทำให้นางทราบดีว่าคำกล่าวเมื่อครู่บุรุษผู้นี้ล้วนทำได้ ตำแหน่งยอดหญิงมิได้มีค่าสักนิดเมื่อเปรียบกับความรักอันยิ่งใหญ่ของบุรุษหนุ่มตรงหน้า
    น่าเสียดาย น่าเสียดาย ... ที่สัญญาครั้งนี้มิอาจจีรัง
                    เมื่อประโยคดังกล่าวปรากฏขึ้นมาในห้วงแห่งความคิด น้ำตาของหญิงสาวที่งามหยาดฟ้าพลันร่วงหล่นลงมาใส่หลังมือบุรุษหนุ่ม จนเขารู้สึกได้ถึงความโศกเศร้าและความปิติที่ส่งผ่านออกมา หญิงสาวไม่ทราบว่าตนเองจะดีใจหรือเสียใจ แต่เป็นที่แน่นอนว่านางซาบซึ้งกับคำกล่าวและความตั้งใจของเขา
                    บุรุษหนุ่มแหงนหน้ามองขึ้นไปเห็นเทพธิดาของตนหลั่งน้ำตาอาบแก้ม จึงลุกขึ้นยืนใช้นิ้วหัวแม่มือปาดน้ำตาที่ไหลอยู่นั้น แต่นางก็ยังมิอาจตอบตกลง จึงกล่าวต่อไปว่า “ช่วยถือว่าเป็นการกระทำตามคำขอร้องของข้าสักครั้งหนึ่งเถิด ชีวิตของเจ้ามีค่ามากเหลือคณา อย่างน้อยก็ต้องถือว่าชีวิตของประชาชนอีกนับหมื่นนับแสนในเมืองเอเวอร์เกรซล้วนผูกโยงอยู่กับชีวิตของเจ้า หากเจ้าต้องมาตกตายไปในตอนนี้แล้วพวกเขาจะทำอย่างไร อีกทั้ง ... อีกทั้งข้าจะทำอย่างไร? ในเมื่อข้ารัก ... รักเจ้ามากเสียปานนี้”
    บุรุษหนุ่มเห็นท่าทางของหญิงงามเปลี่ยนไป ในขณะที่สายน้ำตาที่ไหลรินก็ยังมิได้หยุดยั้ง ทราบได้ทันทีว่าในห้วงสมองของนางเกิดการตัดสินใจที่มิอาจกล่าวออกมาเป็นคำพูด พิศเห็นนางบรรจงผงกศีรษะครั้งหนึ่งตอบรับคำถามเมื่อครู่ด้วยเสียงอันแผ่วเบาในลำคอ ลูทที่มีน้ำตาเอ่อล้นอยู่ที่ขอบจึงสวมกอดหญิงสาวรั้งเข้ามาในอ้อมอก กล่าวด้วยถ้อยคำอันแผ่วเบาแต่หนักแน่นว่า “ขอบคุณที่เชื่อใจ”
                    “... ข้าเชื่อเจ้า ...”
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×