ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #156 : เล่ม 5.2 - ตอนที่ 65.2 สัมผัสมิอาจเลือน (1)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 999
      0
      17 พ.ค. 51

    ภาคสายโลหิตฟ้าลิขิต
    ตอนที่ 65.2 สัมผัสมิอาจเลือน
    24 กุมภาพันธ์ อศ. 226
     
    ณ เมืองเจนีสใต้
                    บุรุษหนุ่มผมน้ำเงินก้าวเท้าลงจากรถม้าทันทีที่ผ่านประตูเมือง ทอดสายตามองหันหลังไปก็พบสะพานข้ามแม่น้ำเจนีสสายที่คุ้นเคย ทุกประการของการเดินทางทั้งหมดล้วนมีจุดเริ่มต้นที่บริเวณนี้ ริมทางที่เขาเคยกระโดดลงจากรถม้าคันก่อน ฝ่าวงล้อมศัตรูชักนำอัศวินดำหมายเลขแปดไปยังหมู่บ้านเงาจันทร์ ครั้งนั้นตัวเขาเองไม่ทราบว่าจะมีชีวิตรอดออกไปหรือไม่ พอมาย้อนนึกถึงเหตุการณ์ครั้งเดิมใหม่ก็รู้สึกว่าน่าใจหาย ไม่ว่าเป็นการเผชิญหน้ากับอุปสรรคครั้งใดก็เสมือนว่าบุรุษหนุ่มเหยียบย่างเท้าข้างหนึ่งไปสู่ดินแดนมรณะแทบทั้งสิ้น พอหันกายกับมามองความท้าทายสิ่งใหม่ที่อยู่เบื้องหน้าที่เป็นเสมือนดินแดนมรณะไม่ต่างกัน ก็ต้องปลุกปลอบกำลังใจให้ก้าวต่อไปจนกว่าจะถึงจุดหมาย
    จุดหมายที่ตัวเขาเองก็ยังไม่ทราบว่าจะลงเอยเช่นไร เส้นทางที่พวกเขาเดินไปแต่ไม่รู้มีจุดหมายอันใดอยู่เบื้องหน้า
                    โรซาไลน์แยกทางไปขณะที่ผ่านบริเวณสะพานไม้แถบชายป่า เนื่องจากเส้นทางนั้นจะตัดตรงจากสหพันธรัฐแห่งนอร์เข้าสู่หมู่บ้านเงาจันทร์ไม่จำเป็นต้องผ่านเมืองเจนีสใต้อันเป็นเขตของลาเวนดิส เพียงใช้เวลาเดินทางคืนหนึ่งก็จะถึงหมู่บ้านเงาจันทร์ในวันรุ่งขึ้น สตรีผมทองทราบดีว่าการช่วยคนเป็นเรื่องรีบด่วนจึงบอกลาเขาแล้วกระโดดลงจากรถม้าไปด้วยความว่องไว
                    ผู้ที่มาต้อนรับบลูเป็นบุคคลชนชั้นนายกองผู้หนึ่งชื่อว่าบาลิน เขากล่าวแนะนำตัวเองแล้วพาบลูไปยังเรือนรับรองหลังหนึ่งในอาณาบริเวณหมู่ตึกบัญชาการของกองกำลังปลดปล่อยเจนีสตามคำสั่งของแม่ทัพมอริแกน หมู่ตึกนี้เคยเป็นสถานที่พักพิงของผู้นำการาดอสและบรรดาแกนนำขององค์กร ก่อนที่จะย้ายไปตั้งอยู่ที่เมืองเจนีสเหนืออย่างถาวร
    “คาดว่ากองกำลังของท่านเอกอัครราชทูตแห่งลาเวนดิสกำลังจะเดินทางมาถึงในอีกไม่เกินชั่วโมงหนึ่ง ทางเราส่งม้าเร็วมอบจดหมายของท่านแม่ทัพมอริแกนไปรายงานให้ท่านมาร์ควิสมาร์เวอริคทราบแล้วว่าจะมีการนัดประชุมพร้อมอาหารค่ำที่ตึกใหญ่ ท่านบลูมีคำสั่งอันใดจะมอบหมายแก่ผู้น้อยหรือไม่?” บาลินกล่าวรายงานก่อนที่จะจากไป
                    “ข้าอยากจะทราบว่าผู้ที่มาเป็นใครบ้างและจะเข้าร่วมประชุมทั้งหมดกี่คน? ส่วนกองทัพทั้งห้าร้อยนายของพวกเขาเล่าจะจัดให้พักอยู่ที่ใด?
                    บาลินที่เป็นคนหนุ่มอันกระฉับกระเฉงกล่าวโดยไม่ต้องขบคิด เสมือนกับเตรียมคำตอบเหล่านี้เอาไว้ล่วงหน้าว่า “ท่านเอกอัครราชทูตคือมาร์ควิสแห่งเบริลนามว่ามาร์เวอริค เทล เบริลเลียเป็นผู้นำขบวนนี้มา มีผู้ติดตามเป็นทหารห้าร้อยนายกับชนชั้นยอดฝีมือที่ได้ชื่อว่ากระบี่ที่หนึ่งและกระบี่ที่สามแห่งลาเวนดิส แต่บุคคลที่จะเข้าประชุมนั้นมีเพียงผู้เดียวคือตัวท่านมาร์ควิสมาร์เวอริคเอง ท่านมาเจรจาในนามตัวแทนขององค์ราชินีมากาเร็ต ส่วนเรื่องกองทัพทั้งห้าร้อยนายนั้นพวกเราจัดให้พักอยู่ที่ค่ายทหารในย่านลาเวนดิส”
                    ย่านลาเวนดิสแท้จริงแล้วคือเขตตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองเจนีสใต้ ที่ได้รับชื่อเล่นนี้หลังจากเหตุการณ์เมื่อยี่สิบห้าปีก่อน จัดเป็นเขตการปกครองส่วนตัวของราชอาณาจักรลาเวนดิสที่ผู้นำการาดอสยินยอมให้ลาเวนดิสตั้งกองกำลังและมีสิทธิสภาพนอกอาณาเขตเหนือย่านนั้นๆ โดยมีสิ่งปลูกสร้างที่สำคัญก็คือตึกผู้ว่าการเมือง โบสถ์ของเทพเจ้าโซเลสและค่ายทหารขนาดกลาง
                    เทพเจ้าโซเลสเป็นเทพเจ้าคู่บ้านคู่เมืองชาวลาเวนดิสมาช้านาน ผู้คนมีความเชื่อว่าท่านประสิทธิ์ประสาทพรทางด้านการเรียนรู้และปัญญา อันเป็นคุณค่าที่ดำรงอยู่ในใจประชาชนส่วนใหญ่ของราชอาณาจักรลาเวนดิสที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องศาสตร์แห่งเอล สาเหตุที่มิอาจสร้างวิหารแห่งเทพโซเลสในเขตเมืองเจนีสใต้นั้นเป็นเพราะว่า เมืองเจนีสใต้เป็นที่ตั้งของมหาวิหารแห่งเทพเจ้าเทียร์ แม้ชาวเมืองทั้งสองจะไม่มีข้อขัดแย้งกันในด้านต่างๆ แต่สำหรับเรื่องของศาสนาและความเชื่อนั้นก็ต้องมีการจัดการอย่างเหมาะสม หากกระทำสิ่งใดที่ดูเหมือนจะดูหมิ่นหรือลบหลู่ความเชื่อสูงสุดของผู้คนอีกฝ่ายหนึ่ง ความรุนแรงที่ไม่มีวันจบสิ้นอาจถือกำเนิดขึ้น ทางผู้นำการาดอสจึงแก้ปัญหาโดยให้ทางลาเวนดิสสร้างโบสถ์ของเทพเจ้าโซเลสขนาดย่อมขึ้นมาแทน
                    ดั่งเช่นโศกนาฏกรรมที่เคยปรากฏให้เห็นอยู่ร่ำไปในโลกเมื่อพันกว่าปีก่อน ที่การต่อสู้ฆ่าฟันส่วนใหญ่ล้วนมีชนวนมาจากเรื่องของความเชื่อและศาสนาทั้งสิ้น
                    บลูกล่าวไต่ถามรายละเอียดปลีกย่อยเล็กๆน้อยๆอีกพักหนึ่ง พบว่านายกองบาลินผู้นี้กล่าวตอบได้อย่างฉะฉาน สมกับเป็นบุคคลที่แม่ทัพมอริแกนคัดสรรให้มาเป็นผู้ช่วยเขา จึงกล่าวว่า “ขอบคุณท่านนายกอง ข้อมูลของท่านสามารถช่วยเหลือการเจรจาครั้งนี้ได้มากมาย สำหรับเวลานี้ข้าจะขอตัวสักพักหนึ่งทดลองเดินสำรวจสถานที่ต่างๆภายในเมือง ใช้ความคิดกลั่นกรองข้อมูลสำหรับการเจรจา อีกไม่เกินชั่วโมงหนึ่งก็จะกลับมาต้อนรับท่านมาร์ควิสที่ตึกใหญ่”
                    “ท่านบลูชมเชยเกินไปแล้ว ที่ข้าทำไปทั้งหมดก็เพื่อเอกราชของเจนีสเช่นกัน อีกชั่วโมงหนึ่งผู้น้อยจะรออยู่ที่ชั้นล่างของตึกใหญ่ เชิญท่านบลูตามสะดวก” นายกองบาลินกล่าวแล้วก็อำลาจากไป
                    บลูเห็นเช่นนั้นจึงผุดลุกขึ้นยืน หมายว่าจะไปหาเนรอสแล้วค่อยเยือนย่านลาเวนดิสที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองสักครั้งหนึ่ง
     
    “เชิญท่านกุนซือเข้ามาเถิด” เสียงของผู้นำการาดอสกล่าวขึ้นเมื่อทราบว่ามีผู้คนรุดเข้ามาถึงบริเวณหน้าประตู
                    กุนซือราเมสเปิดประตูเดินเข้ามาเห็นว่าภายในห้องประกอบด้วยบุคคลสามคน หนึ่งในนั้นเป็นหญิงชราที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน คาดว่าจะต้องมีเรื่องราวอันใดเกี่ยวข้องกับหญิงชรานางนี้เป็นแน่แท้ จึงโค้งคำนับผู้นำของตนครั้งหนึ่งกล่าวว่า “ท่านผู้นำตามข้ามาอย่างเร่งด่วน ไม่ทราบว่าจะให้ข้ารับใช้อย่างไร?
                    ผู้นำการาดอสเบือนหน้าไปทางมินดาเทีย ถามว่า “จะเป็นอะไรหรือไม่หากจะถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านี้ให้กับหลานชายผู้นี้ได้รับทราบ เขามีฐานะเป็นกุนซือซึ่งเป็นหนึ่งในบุคคลที่ข้าไว้วางใจมากที่สุด”
                    กุนซือราเมสได้ยินดังนั้นจึงกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “ชีวิตข้ามีไว้เพื่อเมืองเจนีส ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสประการใดก็ไม่เคยบ่ายเบี่ยง”
                    มารดาของไกเห็นเช่นนั้นจึงส่ายศีรษะกล่าวว่าไม่เป็นไร แล้วก็เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ให้กับกุนซือหนุ่มรับฟัง ขนาดกุนซือราเมสที่เตรียมใจมาดีแล้วว่าจะต้องได้รับฟังความลับที่มิอาจเปิดเผย ก็ยังตื่นเต้นตกใจเมื่อได้ยินคำว่า กุญแจแห่งพิภพกับคุณสมบัติของเอลต้องห้ามที่ชื่อว่า กาลเวลาประดุจห้วงน้ำแข็ง
                    ทันใดที่มินดาเทียเล่าจบก็ได้ยินเสียงดังโครม กุนซือราเมสคุกเข่าลงต่อหน้าหญิงชรากล่าวว่า “ผู้เยาว์ราเมสขอเคารพท่านผู้อาวุโสด้วยใจ ที่ยินยอมเสียสละเพื่อเมืองเจนีสถึงเพียงนี้”
                    ผู้นำการาดอสเรียกให้กุนซือราเมสลุกขึ้น กล่าวว่า “ที่ข้าเรียกท่านกุนซือมานั้นก็เพื่อจะขอคำปรึกษาและมอบหมายภารกิจบางอย่าง”
                    หญิงชราเอ่ยปากว่า “ก่อนที่ท่านผู้นำจะเริ่มการสนทนาของเวลาข้าสนทนากับบุตรชายสักพักหนึ่งจะได้หรือไม่?” แน่นอนว่าการาดอสมิอาจปฏิเสธคำกล่าวเช่นนี้ จึงเชิญให้ทั้งสองใช้ห้องด้านข้างเพื่อสนทนาเป็นการส่วนตัว
    ในห้องด้านข้าง ไกนำพามารดาไปนั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง มินดาเทียก็ใช้มือข้างหนึ่งสัมผัสที่ใบหน้าของบุตรชาย มองเขาด้วยสายตาแห่งความโอบอ้อมอารี กล่าวว่า “แม่ดีใจมากที่ทราบว่าเจ้ากระทำให้เมืองเจนีสถึงเพียงนี้ ในกายเจ้านั้นเปี่ยมไปด้วยสายเลือดแท้ๆของชาวเจนีส เวลาเช่นนี้หากไม่กระทำเพื่อชาติบ้านเมืองแล้วจะกระทำเพื่ออะไร? ชีวิตของข้านั้นยังคงเหลืออยู่อีกเพียงช่วงเวลาหนึ่งก่อนที่จะแตกดับ จึงอยากจะสั่งเสียอะไรกับเจ้าเป็นเรื่องสุดท้าย” หญิงชรากล่าวจบก็ใช้มือทั้งสองโอบกอดบุตรชายด้วยความรัก
    “ท่านแม่ ...” บุตรชายที่ยังคงอยู่ในช่วงของความตระหนกเมื่อได้ยินว่ามารดาจะเสียชีวิตในไม่ช้าโอบกอดมารดาตอบ ทั้งสองมิได้กล่าววาจาอันใดเป็นเวลานาน ปล่อยให้สัมผัสแห่งความรักจากผิวกายบ่งบอกถึงความรู้สึกและความผูกพันที่มีต่อกัน หากชาติหน้ามีจริงทั้งสองก็ขอให้ได้กลับมาเป็นมารดาและบุตรของกันและกันอีกครั้ง
    หญิงชรายิ้มด้วยความพึงพอใจ หยิบจดหมายซองหนึ่งออกมาจากเสื้อยื่นให้กับบุตรชายพลางกล่าวว่า “แม่อยากให้ช่วยนำจดหมายซองนี้ไปมอบแก่บิดาของเจ้า ฝากบอกว่าแม่ขอโทษที่มิอาจกล่าวความจริงเหล่านี้กับเขาได้ และต้องขอโทษลูกเช่นกันที่มิได้เอ่ยเรื่องราวเหล่านี้จนกระทั่งถึงเวลาช่วงสุดท้ายของชีวิต ตลอดเวลายี่สิบห้าปีที่ผ่านมาข้ารับเจ้ามาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าวอลทซ์ ... อยู่ร่วมกับเจ้าและบิดาของเจ้า ก็อยากจะบอกว่าแม่มีความสุขเหนืออื่นใด และสาเหตุที่แม่ใช้ร่างกายตนเองเป็นสถานที่เก็บซ่อนศาสตราคู่กู้แผ่นดิน ก็เป็นเพราะต้องการจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับพวกเจ้าเฉกเช่นชาวบ้านธรรมดาครอบครัวหนึ่ง ไม่อยากข้องเกี่ยวกับเรื่องราวการต่อสู้ทั้งหลายอีก ไม่ต้องการใช้วรยุทธ์หรือสิ่งใดทั้งสิ้น แต่น่าเสียดายที่เปลวเพลิงแห่งสงครามกลับไม่เคยร้างรา กองทหารเหล่านั้นเผาผลาญหมู่บ้านและชีวิตอันเรียบง่ายของพวกเราพ่อแม่ลูกจนแตกดับ ก่อนที่แม่จะจากไปก็มีความต้องการสุดท้ายของอยู่เรื่องหนึ่ง ... แม่อยากให้เจ้ารับปากว่าจะกระทำทุกอย่างเพื่อหยุดยั้งไฟสงครามนี้ได้หรือไม่? แม่ไม่ต้องการให้มีผู้คนที่ต้องพบกับชะตากรรมเช่นพวกเราทั้งสามอีก”
    ไกพยักหน้าถี่ๆกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือว่า “ข้ารับปาก”
                    มารดาจึงคล่อยผละออกจากอ้อมกอดของบุตรชาย กล่าวว่า “แม้ว่าแม่จะมิได้เป็นมารดาที่คลอดเจ้าออกมาจากครรภ์ แต่ก็มิได้รักเจ้าน้อยไปกว่าชีวิตของตัวเองเลย”
                    “ข้าก็เช่นกัน”
                    น้ำตาของบุตรไหลลงมาอาบแก้ม จนมารดาต้องใช้นิ้วมือที่เหี่ยวย่นด้วยความชรา หยิบผ้าเช็ดหน้าผืนที่เคยใช้มาตั้งแต่ยี่สิบห้าปีก่อนค่อยๆซับน้ำตาของบุตรชายเสมือนกับวันเวลาที่ผ่านล่วงเลยเมื่อครั้งที่เขายังคงเป็นเด็ก มารดาและบุตรทั้งสองคนโอบกอดมอบความรักให้แก่กันและกันอยู่อีกพักหนึ่ง จนเสียงของมารดากล่าวทำลายความเงียบสงบขึ้นว่า “พวกเราไปรับฟังคำกล่าวของท่านผู้นำกันเถิด ก่อนที่แม่จะไม่มีโอกาสได้รับฟัง”
                    มือปราบไกขบกรามดังกรอดปลุกปลอบความรู้สึกตามคำขอร้องประโยคสุดท้ายของมารดา กล่าวว่า “หลังจากเรื่องราวในวันนี้ก็ขอให้ท่านแม่พักผ่อนให้สบาย ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องราวหนหลังอีกทุกประการ”
                    มารดาได้ยินเช่นนั้นก็กำเนิดรอยยิ้มแห่งความสุขปนความโศกเศร้า กล่าวว่า “ข้าภูมิใจที่มีบุตรเช่นเจ้า ไปกันเถิด”
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×