ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #161 : เล่ม 5.2 - ตอนที่ 66.2 สองเอกอัครราชทูต (1)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 944
      0
      25 พ.ค. 51

    ภาคสายโลหิตฟ้าลิขิต
    ตอนที่ 66.2 สองเอกอัครราชทูต
    24 กุมภาพันธ์ อศ. 226
     
    ท่ามกลางบรรยากาศยามราตรีที่เงียบสงบของเมืองเจนีสใต้ การเจรจาที่กำลังจะตอบตัดสินความเป็นไปของประเทศและผู้คนอีกเกือบแสนชีวิตก็กำลังจะเริ่มขึ้น
                    ตึกใหญ่เป็นตึกที่อยู่ใจกลางหมู่ตึกบัญชาการของผู้นำการาดอส และห้องที่บลูนั่งอยู่นี้ก็เป็นห้องรับรองที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ครั้งก่อนที่องค์ราชินีมากาเร็ตเสด็จเยี่ยมเยียนประชาราษฎร์ปลุกปลอบขวัญและกำลังใจจากสภาพหลังสงครามด้วยพระองค์เอง ผู้นำการาดอสก็ได้ถวายพระกระยาหารมือค่ำและใช้ห้องรับรองแห่งนี้เป็นสถานที่รองรับเสด็จ ซึ่งสำหรับครั้งนี้การที่เอกอัครราชทูตแห่งลาเวนดิสเดินทางมาแทนพระองค์ แม้ศักดิ์ฐานะมิอาจกล่าวได้ว่าเท่าเทียมองค์ราชินี แต่ศักดิ์ศรีของการรับรองก็มิอาจลดหย่อนลงไปได้สักส่วนเสี้ยวหนึ่ง
    ยินเสียงนายกองบาลินกล่าวขึ้นที่เบื้องนอกว่า “เรียนเชิญท่านมาร์ควิสด้านใน ท่านบลูน้อมรับรองอยู่ภายในแล้ว”
    เสียงเมื่อครู่ปลุกให้บุรุษหนุ่มผมสีน้ำเงินหลุดออกจากภวังค์ จิตใจที่หลุดลอยไปหาสตรีสาวนางนั้นก็กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวอีกครั้ง จนเขาต้องส่ายหน้าเมื่อคำนึงถึงคำร่ำลือเกี่ยวกับนิสัยสตรีชาวลาเวนดิส ที่ไม่ผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง  นิสัยที่กล้าแสดงออกในเรื่องของความรักอันต่างจากสตรีชาวเอนเซลอย่างคนละขั้ว
    บลูที่รอคอยอยู่ในห้องเดินไปเปิดประตูด้วยตนเอง ปรากฏเป็นร่างของมาร์ควิสมาร์เวอริคที่มีรูปกายสูงโปร่ง ใบหน้าเรียวยาวแทบไม่มีริ้วรอยเหี่ยวย่น สังเกตดูดีๆจะเห็นว่าผิวพรรณยังคงเต่งตึงเหมือนกับบุรุษหนุ่มและผมเผ้าก็มีสีทองอร่ามมิได้เปลี่ยนเป็นสีขาวสักเส้นหนึ่ง กล่าวไปคงไม่มีผู้ใดเชื่อว่าบุคคลผู้นี้มีอายุเกือบหกสิบปี
    “ผู้เยาว์บลูขอต้อนรับท่านเอกอัครราชทูตแห่งลาเวนดิส” บลูกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนน้อมถ่อมตน จากข้อมูลของเนรอสและชุดที่มาร์เวอริคสวมใส่ทำให้ทราบได้ว่าบุคคลตรงหน้าเป็นชนชั้นสูงของลาเวนดิส เรียกได้ว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้หนึ่งที่ถือยศถือศักดิ์และชั้นวรรณ หากไม่กระทำตามมารยาทที่เหมาะสมรังแต่จะสร้างความไม่น่าประทับใจให้กับอีกฝ่าย ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลกระทบต่อผลลัพธ์ของการเจรจาไม่มากก็น้อย
    มาร์เวอริคมีทีท่าสงสัยเล็กน้อยว่าบุคคลที่ตนเองจะต้องเจรจาด้วยเป็นบุรุษหนุ่มที่มีวัยเพียงยี่สิบปีเศษ แทนที่จะเป็นบุคคลระดับแนวหน้าอย่างกุนซือราเมสหรืออย่างน้อยก็สมควรเป็นชนชั้นระดับแม่ทัพเช่นแม่ทัพมอริแกน แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจมากกว่านั้นก็คือเส้นผมของบุรุษหนุ่มตรงหน้าที่เป็นสีน้ำเงิน แสดงว่ามิใช่ชาวเจนีสแต่อย่างใด เหตุใดจึงได้รับหน้าที่ให้มาเจรจาในเรื่องสำคัญเช่นนี้ อย่างไรก็ตามด้วยประสบการณ์ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาร์เวอริคก็มิได้แสดงออกทางสีหน้าให้เห็นเด่นชัด กล่าวตอบรับไปตามพิธีว่า “ข้ามาร์เวอริคเดินทางมาในฐานะผู้แทนพระองค์ขององค์ราชินีมากาเร็ตแห่งอาณาจักรลาเวนดิส ขอขอบคุณสำหรับการต้อนรับอันอบอุ่นเช่นนี้”
    บลูเชื้อเชิญเอกอัครราชทูตตรงหน้าไปยังโต๊ะรับประทานอาหารที่ยังไม่มีอาหารวางไว้นอกจากแก้วน้ำชาสองใบ และป้านน้ำชาที่ยังร้อนส่งกลิ่นหอมกรุ่นออกมาจางๆ
    นายกองบาลินที่ทำหน้าที่เป็นผู้ต้อนรับหน้าประตูกล่าวว่า “เรียนท่านเอกอัครราชทูตทั้งสอง ผู้น้อยจะสั่งให้ทางห้องครัวค่อยๆยกชุดอาหารมารับรอง”
    บลูได้ยินเช่นนั้นกลับรู้สึกประหลาดใจว่าตนเองกลายเป็น เอกอัครราชทูต อีกผู้หนึ่งไปได้อย่างไร คาดว่านายกองบาลินต้องได้รับข้อความบางอย่างจากกุนซือราเมสว่าให้ระบุยศเขาเป็นเอกอัครราชทูตเช่นกัน หาไม่แล้วมาร์ควิสที่ตนเองจะต้องเจรจาด้วยจะดูแคลนอาณาจักรเจนีสว่าส่งใครหน้าไหนก็ไม่ทราบมาเป็นตัวแทนเจรจา เสมือนกับไม่ให้เกียรติอาณาจักรลาเวนดิสที่ยิ่งใหญ่กว่า และอีกนัยหนึ่งก็เป็นการยกระดับฐานะของตัวแทนการเจรจาให้เทียบเท่ากันอย่างสมน้ำสมเนื้อ ทางฝ่ายมาร์ควิสที่มีฐานะทัดเทียมจึงมิอาจใช้อำนาจข่มฝ่ายบลูที่มีอายุอ่อนกว่าได้ นึกไม่ถึงว่าคำกล่าวเพียงประโยคเดียวจะส่งผลกระทบหลายด้านเช่นนี้ บลูจึงกล่าวหันเหหัวเรื่องปล่อยให้มาร์ควิสมาร์เวอริคใช้ความคิดสักระยะหนึ่งว่า “นี่เป็นเพราะผู้เยาว์ให้ทางห้องครัวบรรจงจัดทำอาหารขึ้นมารับรองทีละอย่าง หาไม่แล้วอาหารจะเย็นชืดสูญเสียรสชาติอันเยี่ยมยอดไปหมด”
    คำกล่าวเมื่อครู่ก็ทำให้มาร์เวอริคทราบว่าบุรุษหนุ่มตรงหน้ามีตำแหน่งเอกอัครราชทูตที่มิได้ด้อยไปกว่าตนเอง จึงสะกัดความสงสัยของสิงห์เฒ่าขึ้น ที่ไม่เคยได้ยินตำแหน่งดังกล่าวมาก่อนในชีวิต พลันกล่าวถามหยั่งเชิงในทางการเมืองว่า “ข้าพึ่งจะทราบว่าทางเมืองเจนีสนี้มีเอกอัครราชทูตที่ยังหนุ่มแน่นถึงเพียงนี้อยู่คนหนึ่ง” ซึ่งในทางกลับกันนั้นมีความหมายว่าเจ้าคือใครมาเป็นเอกอัครราชทูตได้อย่างไร เหตุใดข้าที่มีหูตาอยู่ทั่วเมืองเจนีสกลับไม่เคยระแคะระคายแม้แต่น้อย
    บลูคาดไว้ก่อนแล้วว่าจะต้องประสบคำถามทำนองนี้จึงหยิบป้ายทองอาญาสิทธิ์ขึ้นมาพร้อมกล่าวว่า “ป้ายนี้คือตราสัญลักษณ์แห่งราชวงศ์เจนีสที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ยุคสมัยของบูรพกษัตริย์อาเรส สำหรับตัวข้านั้นได้เข้าเป็นแนวร่วมเดียวกับกลุ่มปลดปล่อยเจนีสในฐานะของผู้สืบทอดตำแหน่งอดีตที่ปรึกษาและเอกอัครราชทูตของเจนีสนามว่าลาวิช เบอร์เดนเป็นการลับ ท่านมาร์ควิสคงจะพอเคยได้ยินชื่อนี้มาบ้างกระมัง”
    “อดีตที่ปรึกษาลาวิชอย่างนั้นหรือ?” มาร์ควิสมาร์เวอริคเบิกตากลมกว้างเมื่อได้ยินชื่ออันคุ้นหูนี้ แล้วถามด้วยความสงสัยว่า “ไม่ทราบว่าท่านเอกอัครราชทูตเกี่ยวข้องประการใดกับท่านลาวิชผู้ล่วงลับ”
    ด้วยความที่บลูเป็นทายาทแห่งอาร์คาน่าตัวจริง และลาวิชที่มีสายเลือดแห่งอาร์คาน่าอยู่กึ่งหนึ่งก็พอจะนับเป็นสายเลือดเดียวกันได้อยู่ จึงยกเอาชื่อของรัฐบุรุษคนสำคัญที่ไม่มีผู้ใดกล้าครหามาเอ่ยอ้าง ประกอบกับการครอบครองป้ายอาญาสิทธิ์ทองคำที่มิอาจปลอมแปลง จึงทำให้ระดับความน่าเชื่อถือของคำกล่าวเมื่อครู่เพิ่มเป็นเท่าทวีคูณ แต่ถ้าเกิดว่ามาร์เวอริคยังคงสงสัยประการใดก็มิอาจที่จะไปขุดค้นหาหลักฐานความจริงมายืนยันได้โดยง่าย แม้จะกระทำได้ก็ต้องเป็นเรื่องของเวลาหลายเดือนหลังจากนี้ไป ตอนนี้จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมรับความคงอยู่และฐานะของบุรุษหนุ่มผมสีน้ำเงินตรงหน้าไปโดยปริยาย
    บลูยิ้มพลางกล่าวว่า “ท่านเป็นสหายของอาจารย์ข้าเอง”
    ในเมื่อบลูกล่าวเช่นนี้มาร์เวอริคก็ไม่สะดวกที่จะซักไซ้ไล่เลียงจนเกินไปนัก ประจวบเหมาะกับมีเสียงดังขึ้นที่หน้าประตูว่า “อาหารพร้อมแล้ว ขออนุญาตท่านเอกอัครราชทูตทั้งสอง”
    “เชิญเข้ามาได้” บุรุษหนุ่มกล่าวขึ้น
    ทันใดที่ประตูเปิดออกบุรุษทั้งสองก็ได้ชื่นชมกับกลิ่นหอมหวนของอาหาร พร้อมรับฟังหัวหน้าพ่อครัวแนะนำว่าแต่ละจานปรุงขึ้นมาได้ด้วยความพิเศษอย่างไร แล้วถึงค่อยชิมลิ้มลองรสชาติที่ล้ำเลิศ จนกระทั่งมาร์ควิสมาร์เวอริคเอ่ยปากชมเชยว่าถูกปากเป็นอย่างยิ่ง
    หลังจากที่ทั้งคู่รับประทานอาหารและสนทนากันในเรื่องสัพเพเหระเสร็จสิ้น บรรยากาศที่ไม่คุ้นเคยก็แปรเปลี่ยนไปในแนวทางที่ดีขึ้น บลูเห็นว่าถึงเวลาอันสมควรจึงกล่าวโยงเข้าหัวข้อสำคัญว่า “ท่านเอกอัครราชทูตมีความเห็นอย่างไร ถ้าทางรัฐอิสระเจนีสของเราจะมอบแหล่งแร่เอลไลท์อันสมบูรณ์ให้ทางราชอาณาจักรลาเวนดิสใช้เป็นเวลาสิบปีหลังจากนี้ โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น ขอเพียงท่านเอกอัครราชทูตยินยอมกราบทูลองค์ราชินีเรื่องการส่งกำลังมาคุ้มครองเมืองเจนีสใต้ ที่ยังคงเป็นเขตแดนของลาเวนดิสเพิ่มเติม”
    มาร์ควิสมาร์เวอริคต้องประเมินบุรุษหนุ่มตรงหน้าผู้นี้ใหม่ คำกล่าวเมื่อครู่แสดงว่าไหวพริบทางด้านการเจรจาของฝ่ายตรงข้ามมิได้เป็นรองตนเองสักเท่าใด ทั้งตรงประเด็นและชัดเจนในเรื่องผลประโยชน์ โดยเน้นย้ำว่าดินแดนเจนีสใต้ยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของลาเวนดิส การส่งกองกำลังเข้ามาปกป้องจึงเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล มาร์เวอริคขบคิดพักหนึ่งจึงกล่าวตอบไปว่า “ทางราชอาณาจักรลาเวนดิสเราต้องการที่จะกระทำเช่นนี้อยู่เหมือนกัน เพียงติดตรงที่ว่าภายใต้อาณัติสัญญายี่สิบห้าปีก่อนที่ว่าด้วยการปกครองเมืองเจนีสใต้ หากวันใดที่กลุ่มปลดปล่อยเจนีสสามารถกอบกู้อิสรภาพของเจนีสเหนือได้แล้วนั้น เมืองเจนีสใต้ก็จะได้รับอิสรภาพจากราชอาณาจักรเราเช่นกัน เมื่อครู่ที่ท่านเอกอัครราชทูตกล่าวว่าดินแดนนี้ยังคงเป็นของลาเวนดิสนั้น จึงบิดเบือนไปจากความเป็นจริงเล็กน้อย การส่งทหารลาเวนดิสออกนอกราชอาณาจักรมาช่วยเหลือจึงต้องมีการตกลงอย่างเป็นทางการอีกรอบหนึ่ง ซึ่งอยู่นอกเหนือขอบเขตของสัญญาฉบับเดิม”
    บลูนึกในใจว่าร้ายกาจ แต่ก็กล่าวตอบไปว่า “แม้ว่าในทางเอกสารเขตแดนนี้อาจมิใช่ของลาเวนดิสแล้วก็ตาม แต่ท่านมาร์ควิสก็ต้องเข้าใจว่าดินแดนแห่งนี้มีผู้ที่อาศัยเป็นชาวลาเวนดิสอยู่นับพันนับหมื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งครอบครัวผู้ที่ทำงานให้กับทางอาณาจักรลาเวนดิสในการขนส่งแร่เอลไลท์”
    มาร์ควิสมาร์เวอริคยังคงทำสีหน้าไม่สะทกสะท้าน ยืนยันจุดยืนเดิมกล่าวว่า “นั่นต้องดูว่าทางราชอาณาจักรลาเวนดิสเราจะได้รับผลประโยชน์ที่คุ้มค่ากับการยกกองทัพไปช่วยเหลือหรือไม่?
    มาแล้ว บลูคำนึงในใจ จะอย่างไรสิงห์เฒ่าผู้นี้ก็มิอาจโยกคลอนได้ด้วยเรื่องจริยธรรม นอกเสียจากจะต้องแจกแจงผลประโยชน์ให้เป็นที่น่าพึงพอใจ อาจบางทีต้องใช้วิธีติดสินบนเสียด้วยซ้ำ เนื่องจากผลประโยชน์ส่วนบุคคลนั้นมิอาจเทียบได้กับผลประโยชน์ที่ประเทศชาติต้องการ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×