ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #285 : สุริยันตัดจันทรา องก์ที่ 1 - ฉากที่ 3 - โบสถ์ร้าง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.17K
      6
      20 เม.ย. 52

    /> /> />

    ภาคแสงสว่างและความมืด

    ฉากที่ 3 โบสถ์ร้าง

    15 มีนาคม อ.ศ. 199

     

    จันทร์เสี้ยวเหลืองนวลฉายอยู่บนท้องนภา เมฆหมอกบนท้องฟ้าปรากฏให้เห็นรำไร

                    เอสเทลแหงนหน้ามองฟ้านอนหงายอยู่บนคานกลางหลังคา เหนือโบสถ์ที่ถูกทิ้งร้างเพราะนายจ้างไม่มีเงินทุนก่อสร้างสืบต่อ ทุกครั้งกำลังจะกระทำเรื่องราวที่คิดว่าสำคัญ เอสเทลจะต้องหาสถานที่สงบปล่อยจิตใจให้ปลอดโปร่งแจ่มใสก่อนเวลานัดหมาย อันเป็นนิสัยติดตัวที่มิอาจเปลี่ยนแปลงได้

    วิถีชีวิตของชาวมิสต์ล้วนวนเวียนอยู่กับคำว่า “ศาสนา” หรือ “เทพเจ้า” เมื่อใดที่คนผู้หนึ่งต้องการกระทำสิ่งใดย่อมต้องเข้าโบสถ์ขอเทพเจ้าให้ช่วยประทานพร หากประสบความสำเร็จพวกเขาก็จะยกความดีความชอบทั้งหมดให้กับเทพเจ้า นำทรัพย์สินมาสร้างโบสถ์สร้างวิหารตามทำนุบำรุงศาสนาความเชื่อสืบไป มองในมุมหนึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ดีน่ายกย่องชมเชย แต่สำหรับมุมมองของชาวนอร์อย่างเอสเทลกลับเห็นตรงกันข้าม เขาเชื่อว่าความสำเร็จอยู่ที่ตัวบุคคล โชคลาภและสิ่งที่สวรรค์นำพาเป็นเพียงปัจจัยเสริม หากบุคคลผู้หนึ่งปราศจากความตั้งใจที่จะกระทำสิ่งใดให้สำเร็จแล้ว ต่อให้ขอพรเทพเจ้าทั้งวันทั้งคืนก็รับรองว่าจะไม่สำฤทธิ์ผล และจากเหตุผลเดียวกันนี้ชาวต่างชาติส่วนใหญ่จึงคิดเห็นตรงกันว่า ชาวมิสต์นั้นงมงายกับสิ่งที่มิอาจจับต้องได้มากเกินไป

                    บุรุษหนุ่มผมแดงกล่าวขึ้นตั้งแต่ยังมิได้ยินเสียงฝีเท้าของสหายว่า “เจ้ามาก่อนเวลาเสมอ”

                    “เจ้าก็มาก่อนข้าเสมอ” เสียงตอบของบุรุษหนุ่มผู้สวมแว่นตาขอบไม้เป็นเอกลักษณ์ดังขึ้น ก่อนที่จะเดินฝ่าความมืดเข้าใกล้โบสถ์ร้างที่เอสเทลนอนอยู่บนหลังคา

                    เสียงของเอสเทลดังขึ้นในขณะที่ดวงตาทั้งสองยังคงจับจ้องอยู่ ณ ตำแหน่งเดิมว่า “ข้าเพียงอยากทราบว่าดวงจันทร์ในคืนที่จะต้องปฏิบัติภารกิจสุดท้ายนั้นเป็นอย่างไร”

                    ดูแรนดัลแหงนหน้ามองจันทร์เสี้ยวตามสหาย กล่าวว่า “เหมือนกับเมื่อยี่สิบแปดวันก่อนไม่มีผิด”

                    “ยี่สิบแปดวันก่อน?” เอสเทลถามด้วยความสงสัยก่อนที่จะร้องออเมื่อคิดได้ “สมองของเจ้าช่างขบคิดเรื่องราวได้ประหลาดกว่าผู้อื่นยิ่งนัก”

                    ดูแรนดัลอมยิ้มตอบว่า “ประหลาดตรงที่ใดในเมื่อทุกยี่สิบแปดวันดวงจันทร์ที่เห็นจะกลับมาเป็นรูปร่างเดิมมิใช่หรือ?

                    ระหว่างที่สองสหายสนทนากันเสียงบุรุษอีกผู้หนึ่งพลันดังแทรกขึ้นมาจากระยะไกล ในน้ำเสียงแฝงความเสียดสีอยู่เล็กน้อยว่า “บุคคลที่ได้ชื่อว่าอันดับหนึ่งของสถานฝึกย่อมมีกะใจจะกล่าวล้อเล่นในค่ำคืนเช่นนี้”

                    เอสเทลเบือนศีรษะเหลือบสายตาลงไปสบกับดูแรนดัลวูบหนึ่ง ทั้งสองทราบดีเสียงของบุรุษเมื่อครู่นี้เป็นใคร รอยยิ้มบริเวณมุมปากแสดงว่าพวกเขากับบุรุษผู้นี้ไม่ใคร่จะลงรอยด้วยเท่าใดนัก นอกจากดูแรนดัลและเอสเทลที่ร่วมปฏิบัติภารกิจแล้ว ยังมีกุสตาฟ โฟลว์ (Gustav Flow) ผู้ที่ได้รับการจัดอันดับเป็นอันดับสองของสถานฝึกอีกคนหนึ่ง

                    เสียงของกุสตาฟยังคงดังต่อเนื่องว่า “ภารกิจอันใดจะยากเย็นถึงต้องให้มือดีสามอันดับแรกปฏิบัติงานร่วมกัน? ไม่ว่าภารกิจนั้นจะยากเย็นเพียงใด ขอแค่ข้ากับดูแรนดัลสองคนก็คงจะเหลือเฟือ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาชาวต่างชาติเป็นคนที่สาม”

                    เอสเทลชาชินกับคำพูดแดกดันของคนผู้นี้เสียแล้ว การที่เขาได้อันดับสามของการประลองเมื่อครึ่งปีก่อนเป็นการพิสูจน์และยืนยันฐานะของเขาได้ระดับหนึ่ง จนกระทั่งไม่มีชาวมิสต์คนใดในสถานฝึกกล้าพูดจาดูหมิ่นเขาอีก ยกเว้นไว้แต่เพียงกุสตาฟคนหนึ่งที่มีอันดับสูงกว่าเขา บุรุษหนุ่มผมแดงไม่ใส่ใจกับคำพูดปล่อยให้เป็นลมพัดผ่านโสตประสาท พลางกระโดดลงจากหลังคาตึกมาสมทบกับดูแรนดัลที่เบื้องล่าง

                    เมื่อดูแรนดัลเห็นกุสตาฟที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับตนเดินออกมาจากความมืด ร่วมสมทบกับพวกเขาจนครบสามคนจึงกล่าวว่า “พวกเราทั้งสามจะต้องลงมือพร้อมกันเพื่อความแน่นอน เนื่องจากเหล่าดาบนักบุญติดภารกิจอื่นมิอาจปลีกตัวมาดำเนินการ ด้วยความไว้วางใจพวกเขาจึงส่งผ่านภารกิจมาอยู่ใต้ความรับผิดชอบของพวกเรา อีกทั้งภารกิจนี้ท่านผู้บัญชาการดาบนักบุญยอร์ค (Commander of the Saint Sword, York Flow) เป็นผู้อนุมัติภารกิจด้วยตัวเอง พวกเราจะพลาดมิได้”

                    ดาบนักบุญ (Saint Sword) เป็นชื่อขององค์กรที่มีอำนาจในการบังคับใช้กฎหมาย ในนครมิสต์แห่งนี้นอกจากตำแหน่งหัวหน้าคณะผู้ปกครองที่ทำหน้าที่บริหารบ้านเมืองแล้ว ยังมีตำแหน่งที่ทรงอิทธิพลในระดับเท่าเทียมอีกตำแหน่งหนึ่ง นักบุญแห่งนครมิสต์ (Saint of Myst) มีอำนาจปกครองศาสนจักร เปรียบเสมือนตัวแทนของพระเจ้าที่จะคอยสอดส่องดูแลชาวมิสต์ใต้ร่มโพธิ์ของศาสนา ท่านนักบุญจะดำเนินการบริหารโบสถ์วิหารและพิธีกรรมทางศาสนาทั้งหมด นอกจากนี้หากมีเรื่องอันใดที่เป็นภัยคุกคามต่อศาสนจักร นักบุญแห่งนครมิสต์จะสามารถใช้อำนาจผ่านองค์กรดาบนักบุญเข้าจัดการ ดังนั้นองค์กรดาบนักบุญจึงเปรียบเสมือนดาบของนักบุญแห่งนครมิสต์ ที่ใช้เป็นตัวแทนกวาดล้างเหล่าอธรรมให้หมดไป

                    กุสตาฟที่ไว้หนวดเคราสีน้ำตาลอ่อนหรอมแหรมแสดงกิริยาไม่ใคร่จะพึงพอใจนักที่ได้ยินคำว่า “หัวหน้าดาบนักบุญยอร์ค” จากปากของดูแรนดัล เขาสบถเป็นวาจาเบาๆกับตนเองว่า “สมกับเป็นคำสั่งของพ่อที่ไม่เอาไหน มิอาจบริหารงานได้สมบูรณ์แบบจึงโยนเผือกเผามาให้คนนอกอย่างนี้”

                    ดูแรนดัลไม่ใส่ใจกับวาจาเหล่านั้น ปัญหาของพ่อลูกจะอย่างไรก็เป็นเรื่องภายในครอบครัวที่มิอาจก้าวก่าย ต่อให้กุสตาฟมีปัญหากับบิดาอย่างไรภารกิจก็ยังคงเป็นภารกิจ ในเมื่อดูแรนดัลได้รับการมอบหมายให้เป็นหัวหน้าหน่วย ก็ต้องเอาหน้าที่เป็นที่ตั้งละทิ้งความขัดแย้งไปชั่วคราว ประสานบุคคลทั้งสามให้กลายเป็นหน่วยย่อยให้ได้ ดำเนินภารกิจนี้ให้สิ้นสุดลงด้วยความสำเร็จ หาไม่แล้วอนาคตที่ฝันใฝ่ก็จะพังพินาศลง

                    ความรู้สึกของเอสเทลต่างจากดูแรนดัลเล็กน้อย ต่อให้กุสตาฟจะละทิ้งภารกิจด้วยปัญหาส่วนตัวหรืออย่างไรก็ตามแต่ เอสเทลก็ไม่ใส่ใจที่จะไปข้องแวะด้วย อาจเป็นเรื่องดีเสียอีกที่ลดบุคคลน่ารำคาญไปได้อีกผู้หนึ่ง

    หลังจากที่บุคคลทั้งสามสมทบกันครบจำนวนคน ดูแรนดัลก็หยิบตลับนาฬิกาพกพาขึ้นมามองผ่านๆ เห็นว่าอีกนาทีหนึ่งจะข้ามคืนแล้วจึงกล่าวว่า “บัดนี้จวนได้เวลาแล้ว ข้าจะขอย้ำภารกิจของหน่วยเราอีกครั้ง จากโบสถ์ร้างแห่งนี้ผ่านแปลงข้าวโพดไปทางตะวันตกสามร้อยก้าวจะพบบ้านพักอยู่หลังหนึ่ง ที่ทางสายข่าวระบุว่าเป็นสถานที่ซ่องสุมของโจรนอกรีต พวกเรามีหน้าที่ตรวจสอบว่าด้านในมีผู้ต้องสงสัยอยู่จริงหรือไม่ หากพบเห็นให้ดำเนินการเข้าจับกุม โดยจะใช้อาวุธเข้าต่อสู้เมื่อพบการต่อต้านเท่านั้น ทางเข้าบ้านพักมีทั้งหมดสามทาง ข้าจะบุกทางประตูหน้า กุสตาฟทางประตูหลัง ส่วนเอสเทลทางหน้าต่าง ห้ามเข้าประชิดจุดหมายในระยะยี่สิบข้าวก่อนที่จะได้รับสัญญาณจากข้า รับทราบ?

                    “รับทราบท่านหัวหน้า” เสียงตอบรับเชิงล้อเลียนของกุสตาฟดังขึ้น แล้วจึงหันไปกล่าวกับเอสเทลก่อนที่จะรุดออกไปเพียงลำพังว่า “อันดับสามอย่างเจ้าอย่าเกะกะขวางทางข้าก็แล้วกัน”

                    เอสเทลมองตามกุสตาฟไปจนลับสายตาหายไปกับความมืด พลางหันไปกล่าวกับดูแรนดัลด้านข้างว่า “เจ้าไม่สมควรออมรั้งฝีมือเอาไว้ในงานประลองครั้งก่อน หากกระแทกกระดูกของมันหักไปสักซี่สองซี่ปล่อยให้นอนอยู่ในสถานพยาบาลสักหกเดือนครึ่งปี สุขภาพโสตประสาทของเราสองคงจะดีกว่านี้”

                    ดูแรนดัลส่ายศีรษะครั้งหนึ่งตอบว่า “นั่นควรจะเป็นวาจาของข้ามากกว่ากระมัง หากเจ้าไม่แกล้งยอมแพ้ไปเสียก่อน บุคคลที่จะเข้าชิงอันดับหนึ่งกับมันก็คงมิใช่ข้า”

                    เอสเทลตอบก่อนที่จะเดินจากไปว่า “ถือว่าเราสองโชคร้ายที่ต้องพบปะกันในรอบรองแล้วกัน”

                    “เห็นทีจะเป็นเช่นนั้น” ดูแรนดัลขยับแว่นเล็กน้อยแล้วเดินตามไป

                    สหายรักทั้งสองเดินผ่านแปลงข้าวโพดเข้ามาถึงบ้านพัก เห็นกุสตาฟถือแท่งเหล็กยืนรอคอยอยู่เบื้องหน้า ดูแรนดัลที่ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าหน่วยจึงกระชับกระบี่ยาวเข้าข้างกาย ส่งสัญญาณมือชี้นิ้วไปที่ตำแหน่งที่กำหนดไว้ ให้กุสตาฟและเอสเทลทั้งสองแยกย้ายกันไปประจำที่

                    บ้านเดี่ยวพื้นที่ราวห้าสิบตารางวาหลังนี้ตั้งอยู่ใจกลางไร่ข้าวโพด ชิดขอบชายแดนฝั่งเมืองใหม่ของนครมิสต์ บ้านกลางแปลงเกษตรสามารถพบเห็นได้ทั่วไปในเขตเกษตรกรรมทางตะวันตก บ้านพักเบื้องหน้าของบุคคลทั้งสามจึงดูแล้วธรรมดาเป็นที่สุด แทบจะหาสิ่งผิดปกติที่แตกต่างจากบ้านกลางแปลงเกษตรหลังอื่นมิได้ แม้กระทั่งดูแรนดัลยังสงสัยว่าสถานที่เช่นนี้จะเป็นสถานที่ซ่องสุมโจรนอกรีตได้อย่างไร

                    นอกเสียจากสิ่งผิดปกติเพียงสิ่งเดียว นั่นคือแสงไฟที่ส่องออกมาจากกลางห้องโถง เกษตรกรส่วนใหญ่จะทำงานแต่รุ่งสางเข้านอนแต่หัวค่ำ ตะเกียงทั้งหลายหากมิใช่ใช้พลังงานจากแร่เอลไลท์จะถูกดับสิ้น แต่ทว่าจะมีชาวบ้านสักกี่ครอบครัวที่มีปัญญาหาซื้อเครื่องใช้ราคาแพงอย่างนี้ ยิ่งเป็นเกษตรกรที่เลี้ยงชีพด้วยการทำไร่ข้าวโพดขนาดเล็กยิ่งยากที่จะหาซื้อ

                    อย่างไรก็ตามต่อให้มีโอกาสเพียงเล็กน้อยดูแรนดัลก็คิดว่าคุ้มค่าที่จะลองเสี่ยง พวกโจรนอกรีตเหล่านี้ดักปล้นทรัพย์สินของหลวงอยู่ตลอดเวลา ยิ่งในช่วงสองสามปีที่ผ่านมาพวกมันกระทำการสำเร็จต่อเนื่อง ดูเหมือนจะเกิดความฮึกเหิมลงมืออาละวาดหนักกว่าเก่า ข้าวของเครื่องใช้ตลอดจนภาษีอากรที่จะนำไปทำนุบำรุงบ้านเมืองถูกพวกมันช่วงชิงไปเป็นจำนวนมาก แม้ว่าประชาชนส่วนใหญ่จะมิได้รับผลกระทบโดยตรง แต่ชาวบ้านที่เดือดร้อนกำลังรอคอยความช่วยเหลือจากรัฐก็ต้องตกเป็นเหยื่อ ใต้กรอบแว่นตาไม้เป็นดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่น บุรุษหนุ่มวัยยี่สิบปีใฝ่ฝันว่าจะสร้างความยุติธรรมให้แก่บ้านเมือง เปลี่ยนแปลงสิ่งที่เป็นอยู่ให้ดีขึ้น ขจัดเหล่าร้ายพิทักษ์คุณธรรม และภารกิจนี้ก็เป็นก้าวแรกที่จะนำพาเขาไปสู่เป้าหมายนั้น

                    เอสเทลเข้าประชิดริมหน้าต่างตามแผนการที่กำหนดไว้ล่วงหน้า นอกจากถุงมือที่ทอจากใยมิทราลที่สวมอยู่เอสเทลมิได้ถืออาวุธอื่นใดทั้งสิ้น เงาแมกไม้ที่เกิดจากแสงจันทร์เสี้ยวบดบังร่างกายเขาไปกว่าครึ่ง ลมเอื่อยๆในยามค่ำคืนพัดผ่านยอดข้าวโพดให้โบกพลิ้ว เสื้อโค้ทสีน้ำตาลเข้มที่ปกคลุมตั้งแต่ต้นคอจนถึงปลายแขนปะทะความเย็นเหล่านั้นแทนผิวหนัง อย่าว่าแต่ลมเอื่อยๆในค่ำคืนนี้ ต่อให้เป็นพายุหิมะหรือฝนเกล็ดน้ำแข็งเอสเทลก็ยังคงอบอุ่นเมื่อมีเสื้อกันหนาวตัวนี้ เอวิลีน ... หลังจากภารกิจนี้ข้าก็จะได้เข้าบรรจุหน่วยองครักษ์เต็มตัว ความเป็นอยู่ของพวกเราสองพี่น้องจะดีขึ้นอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ ต่อไปจะไม่มีผู้ใดกล้าดูถูกหรือกีดกันเจ้าอีก พี่ชายผู้นี้ให้สัญญา

                    เมื่อดูแรนดัลเห็นว่าทุกคนเข้าประจำที่เรียบร้อย จึงยกมือขึ้นขนานกับบ่าจากนั้นกำนิ้วทั้งห้าลงอันเป็นสัญลักษณ์เริ่มปฏิบัติการ

                    โครม!

                    ประตูหน้าหลังถูกเท้าของสองบุรุษถีบให้เปิดออก ในขณะเดียวกันเอสเทลก็ม้วนร่างเข้าไปทางหน้าต่าง กระจายกันออกสำรวจทั้งห้องนอน ห้องสุขาและห้องครัว แต่ทว่านอกจากแสงจากตะเกียงกลางโต๊ะที่อยู่ใจกลางห้องโถงแล้วทั้งสามกลับไม่พบสิ่งผิดปกติอื่นใด

                    “ข่าวลวง?” กุสตาฟมีสีหน้าไม่พอใจเท่าใดนัก พลางยกกระบองเหล็กเส้นผ่านศูนย์กลางนิ้วหนึ่งความยาวเท่าท่อนแขนคอนไว้กลางหลัง “สมกับเป็นพ่อของข้าจริง”

                    “อย่าประมาท ถึงตอนนี้ยังไว้วางใจไม่ได้” ดูแรนดัลกุมกระบี่ยาวในมือระมัดระวังอันตรายรอบด้าน แต่เมื่อเห็นสภาพเช่นนี้ใจของเขาก็เชื่อไปกว่าครึ่งว่าเป็นข่าวลวง

                    เอสเทลเดินกลับไปสำรวจบริเวณห้องโถงอีกครั้ง ครุ่นคิดว่า หากนี่เป็นข่าวลวงจริงเพราะเหตุใดตะเกียงจึงติดไฟทั้งๆที่ไม่มีผู้คน?’

                    ขณะนั้นเองบุรุษหนุ่มชาวนอร์พลันเหลือบไปเห็นแจกันใบหนึ่งตั้งไว้บนโต๊ะข้างตะเกียงนั้น จึงร้องบอกสหายว่า “มาดูสิ่งนี้”

                    “ขนนกโลหิต!? กุสตาฟโพล่งออกมาเมื่อเห็นขนนกเปื้อนเลือดปักอยู่

                    ทันใดนั้นเองสีหน้าของบุคคลทั้งสามแปรเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ลำคอแห้งผากเหงื่อซึมออกมาจากกลางหลัง กระชับอาวุธในมือมั่นจ้องมองออกไปยังปากทางเข้าบ้านพักที่ได้รับมอบหมาย

    ทุกคนตื่นตัวประสาทขึ้นสู่จุดสูงสุด เมื่อได้ยินเสียงกล่าวของดูแรนดัลดังขึ้นว่า “พวกเราติดกับดักแล้ว!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×