ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #5 : ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.8K
      1
      10 ก.ค. 50

    ภาคแผนครองพิภพ

    ตอนที่ 5 ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน

    3 กุมภาพันธ์ อศ. 226

    เด็กผู้หญิงผมทองหน้าตาน่ารักอายุราวสิบสองสิบสามขวบคนหนึ่งกำลังวิ่งจับผีเสื้ออยู่ที่ริมหมู่บ้าน เด็กน้อยสวมเสื้อสีชมพูสวยงามผิวพรรณสดใส วิ่งเล่นอย่างสนุกสนานเสมือนโลกใบนี้มีแต่ตัวเธอกับผีเสื้อตัวน้อยเท่านั้น

    ผีเสื้อสีสันสดใสตัวหนึ่งบินอยู่ท่ามกลางเกสรดอกไม้หวังจะดูดน้ำหวานจากดอกไม้เป็นอาหาร เด็กผู้หญิงคนนั้นตะโกนว่า "ผีเสื้อน้อยอย่าหนีไปไหนนะ"

    ผีเสื้อก็ไม่รู้หรอกว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นจะเล่นด้วย ตามสัญชาตญาณของสัตว์ก็ต้องกลัวภัยคุกคามจากสัตว์อื่นที่ตัวใหญ่กว่าเป็นธรรมดา มันจึงบินห่างออกไปเรื่อยๆจนเด็กน้อยวิ่งตามไม่ทัน

    เด็กน้อยวิ่งตามผีเสื้อมาจนหมดเรี่ยวแรงจึงหย่อนก้นลงนั่งพักใต้ต้นไม้ใหญ่ พอรู้ตัวอีกคราตนเองก็อยู่ห่างจากหมู่บ้านเป็นระยะทางไกลโขแล้ว เธอไม่เคยออกมาวิ่งเล่นไกลขนาดนี้มาก่อน ทั้งยังไม่ได้จดจำทางที่ตนเองวิ่งมาเพราะมัวแต่วิ่งไล่ตามผีเสื้อตัวนั้น

    เด็กคนนี้ไม่ใช่เด็กขี้แยพอรู้ว่าตนเองหลงทางก็ลุกขึ้นมองดูท้องฟ้ารอบตัวพบว่ายังคงเป็นแสงสว่างจ้า เกิดความคิดขึ้นมาว่าเมื่อตนเองเดินออกมาได้ก็ต้องสามารถหาทางเดินกลับไปได้ พระอาทิตย์ยังคงอยู่ระหว่างกลางศีรษะ เด็กน้อยจึงยังมีความหวังอยู่บ้าง

    นาทีแล้วนาทีเล่า ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า เด็กน้อยพอมีเรี่ยวแรงก็เดินหน้าต่อ พอเหน็ดเหนื่อยก็หยุดพัก เธอเดินตรงไปตามทางเบื้องหน้าทางไหนเหมือนเคยเห็นที่แถบหมู่บ้านก็เดินไปทางนั้น ตั้งหน้าตั้งตาจะกลับบ้านของตน แต่หารู้ไม่ว่ายิ่งเดินไปเท่าไร ก็ยิ่งไกลห่างจากหมู่บ้านออกไปเรื่อยๆ

    ผ่านไปหลายชั่วโมงพระอาทิตย์เริ่มจะลับขอบฟ้า บรรยากาศในป่าช่วงกลางคืนกับกลางวันต่างกันราวฟ้ากับดิน เด็กน้อยทั้งเหนื่อยอ่อนและหิวโหยแต่ก็ยังไม่ร้องไห้แม้สักครั้งเดียว น้ำตาของเธอไม่ไหลออกมาแม้สักครึ่งหยด เธอพยายามจะคิดถึงบิดามารดาของตนเพื่อให้เกิดความอบอุ่นขึ้นภายในจิตใจ แต่จนแล้วจนเล่าก็ยังนึกหน้าของพวกท่านไม่ออก ครั้งสุดท้ายที่เธอพบหน้าบิดามารดาของเธอคงจะประมาณหกเจ็ดปีก่อน สำหรับผู้ใหญ่ก็คงจะดูไม่นานนักแต่เวลาขนาดนั้นหมายถึงเวลาเกินครึ่งชีวิตตั้งแต่เธอลืมตาดูโลก

    พอพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปได้ระยะหนึ่งอากาศเริ่มหนาวเย็น แสงอาทิตย์ที่เคยสาดส่องกลับกลายเป็นมืดมิดยังดีที่คืนนี้พระจันทร์เต็มดวงทอแสงลงมาให้เด็กน้อยยังพออุ่นใจอีกนิดหนึ่ง เด็กน้อยนั่งกอดเข่าตัวสั่นระริกด้วยความหนาวเหน็บ ความหนาวเย็นและความกลัวเริ่มแผ่ซ่านเข้ามาในจิตใจของเธอเมื่อได้ยินเสียงสัตว์ร้องในตอนกลางคืน ซึ่งในตอนนี้เธอก็เริ่มเกิดความหวั่นกลัวขึ้นภายในจิตใจ

    ทันใดนั้นเองเสียงหวีดร้องดังขึ้นคราหนึ่ง เบื้องหน้าของเธอปรากฏเป็นแสงไฟสว่างเจิดจ้า เสียงหวีดร้องหลายเสียงดังขึ้นเรื่อยๆอย่างไม่หยุดหย่อน เปลวไฟสีแดงลุกโชนอยู่เบื้องหน้าห่างจากจุดที่เด็กน้อยนั่งตัวสั่นอยู่ไม่เกินครึ่งกิโลเมตร เด็กน้อยเกิดความรู้สึกสับสนทั้งตกใจ ดีใจและกลัวเกรงปนเปกันไป เธอดีใจว่าเสียงจะต้องเป็นเสียงคนแต่เธอกลัวว่าเปลวเพลิงอันร้อนแรงเช่นกัน เด็กน้อยลุกขึ้นยืนอีกครั้งความหนาวเย็นและความหิวโหยทำอะไรเธอไม่ได้อีกต่อไป เพราะระหว่างตอนที่นั่งสั่นอยู่เธอกินขนมปังที่แอบเก็บมาจากแม่ครัวไว้ไปแล้วหนึ่งก้อน เด็กน้อยเมื่อมีแรงก็วิ่งตรงไปทางเปลวเพลิงนั้น

    ภาพที่อยู่เบื้องหน้าเป็นภาพที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต สภาพของหมู่บ้านที่กำลังลุกเป็นไฟเพราะถูกปล้นชิง ฝั่งโจรมีเพียงสามคนเท่านั้นแต่ก็ก่อเหตุวางเพลิงปล้นสะดมชิงทรัพย์จากหมู่บ้านแห่งหนึ่งได้แสดงว่ามีฝีมือไม่ใช่ชั่ว บนพื้นพบร่างยามระวังภัยหมู่บ้านนอนบาดเจ็บอยู่หลายคนบางคนอาจจะถึงแก่ชีวิตก็เป็นได้

    เด็กน้อยมองไปรอบตัว ดวงตาที่ลืมดูโลกมาไม่นานสองดวงสอดส่องมองสำรวจบ้านเรือนและสภาพแวดล้อมจนเธอรู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้าง เมื่อพบว่าหมู่บ้านแห่งนี้ไม่ใช่หมู่บ้านของเธอ

    โจรทั้งสามกำลังต่อสู้อยู่กับชายกลางคนผู้หนึ่งซึ่งอาศัยหนึ่งต้านรับสาม ดูจากชุดที่สวมใส่ก็มีโอกาสที่จะเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน สถานการณ์ของชายผู้นั้นไม่สู้ดีนัก โดนโจรสามคนไล่ต้อนด้วยหนึ่งดาบหนึ่งขวานหนึ่งหอกเป็นพัลวัน ตามร่างกายมีแผลที่เกิดจากการต่อสู้เต็มไปหมดแต่ก็ต้านรับอย่างกล้าหาญอดทน ปกป้องหมู่บ้านนี้อย่างเต็มกำลังความสามารถ

    ผู้ที่มีกำลังต่อสู้ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายต่างนอนบาดเจ็บอยู่ที่พื้น พวกคนแก่และเด็กที่เหลืออยู่บ้างก็ช่วยกันดับเพลิง บ้างก็รีบหนีกันไปอยู่ห้องหลบภัยด้านหลังสุดของหมู่บ้าน สถานการณ์ปั่นป่วนวุ่นวายไปด้วยความหวาดกลัวทั้งจากอัคคีภัยและจากพวกโจร

    เด็กหญิงตัวเล็กแต่ใจกล้าเมื่ออิ่มท้องก็มีแรงไม่เกรงกลัวอะไร ที่ไม่เกรงกลัวไม่ใช่ว่ากำลังขวัญของเธอกล้าแข็งกว่าคนทั่วไป แต่เป็นเพราะว่าเธอไม่เคยพบเห็นเรื่องเช่นนี้มาก่อนจึงไม่เกรงกลัวอันใด เด็กน้อยหยิบก้อนหินก้อนที่ใหญ่ที่สุดจากพื้นด้านข้างปาเข้าไปยังศีรษะของโจรผู้หนึ่งได้อย่างตรงเป้าหมาย เธอไม่ทราบหรอกว่าความสามารถนี้เป็นหนึ่งในพรสวรรค์ที่หามิได้ในคนอื่นๆ โจรผู้นั้นมุ่งความสนใจทั้งหมดไปยังดาบของหัวหน้าหมู่บ้านจึงไม่ทันระวังโดนก้อนหินปาเข้าที่ศีรษะอย่างจัง

    หัวหน้าหมู่บ้านรู้สึกแรงกดดันคลายลงเกิดเป็นช่องว่างหนึ่งขึ้นมาจึงฟันดาบออกไปเป็นท่าจู่โจมคราหนึ่ง เสียงแผดร้องของโจรผู้นั้นดังขึ้นเมื่อถูกดาบฟันเข้าที่ลำตัวสิ้นชีวิตในทันที โจรที่เหลือทั้งสองคนเห็นเหตุการณ์ดังนั้นจึงหันมาดูตามทิศทางที่ก้อนหินลอยมา พวกมันพบว่าผู้ปาก้อนหินมาเป็นเพียงเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งจึงเกิดความคิดแก้แค้นขึ้นในทันใด พวกมันเปลี่ยนเป้าหมายมาจู่โจมเด็กน้อยหมายจะล้างแค้นให้พวกพ้องของตน ส่วนหัวหน้าหมู่บ้านบาดเจ็บเป็นแผลใหญ่น้อยเต็มตัวหลังจากใช้เรี่ยวแรงที่หลงเหลือสังหารโจรผู้นั้นก็ทนทานไม่ไหวต้องทรุดลงกับพื้น ไม่ทราบว่าเป็นตายร้ายดีประการใด

    ขวานของโจรผู้หนึ่งกำลังจะจามเข้าที่ใบหน้าของเด็กน้อย เธอจึงกรีดเสียงร้องอย่างไม่คิดชีวิต เสียงฉัวะคราหนึ่งดังขึ้นโลหิตสดๆไหลอาบไปทั่วใบหน้าของเธอแต่เธอกลับไม่รู้สึกเจ็บปวดแม้แต่น้อย เธอตกใจมากจนไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรดี มือทั้งสองที่กุมใบหน้าแปดเปื้อนไปด้วยโลหิต ในที่สุดร่างของโจรทั้งสองก็ล้มลงเข้าหาร่างของเธอ

    โรซาไลน์ตกใจลืมตาตื่นขึ้นมาพบว่าทั้งหมดเป็นเพียงฝันร้ายตื่นหนึ่งเท่านั้น

    เธอหยิบนาฬิกาข้างที่นอนขึ้นมาดูพบว่าเป็นเวลาตีห้าเศษ โรสลุกขึ้นเดินไปหยิบเสื้อคลุมยาวสีฟ้าที่แขวนไว้ข้างห้อง สวมคลุมทับชุดนอนสีขาวอีกชั้นหนึ่งเพื่อป้องกันอากาศที่หนาวเย็น มองออกไปนอกหน้าต่างเห็นเพียงภาพเงาแห่งรัตติกลาง โรสก้าวเท้าเดินออกไปนอกห้องหวังที่จะสูดอากาศให้ชุ่มปอดลบเลือนความฝันอันโหดร้ายเหล่านั้น

    ยามราตรีของหมู่บ้านเงาจันทร์มีอากาศเย็นกว่าปกติทั่วไป สาเหตุมาจากที่หมู่บ้านนี้มีการขุดคูน้ำล้อมรอบทำให้เกิดลมพัดพาตลอดเวลาโดยเฉพาะทางทิศเหนือตอนบนของหมู่บ้าน เนื่องจากอยู่ใกล้แม่น้ำเจนีสที่มีต้นน้ำมาจากหุบเขาไม้ดอกจะเกิดกระแสลมมากกว่าทิศทางอื่น โรสเดินออกมาจากตัวตึกหัวหน้าหมู่บ้านก็รู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นของลมที่พัดผ่าน จนเธอต้องเอามือทั้งสองมากอดเข้าหากัน แสงสว่างภายนอกถ้าไม่นับรวมแสงจันทร์แล้วก็มีเพียงแสงไฟสลัวจากตะเกียงที่แขวนไว้หน้าประตูบ้านแต่ละหลัง

    ตะเกียงเหล่านี้เป็นตะเกียงที่ใช้พลังงานจากแร่เอลไลท์ ในการทำปฏิกิริยากับอากาศรอบด้าน เมื่อจุดติดแล้วคราหนึ่งจะคงให้แสงสว่างอยู่ไปเรื่อยๆอีกเป็นหลายสิบปี ดังนั้นพวกชาวบ้านจึงเรียกตะเกียงพวกนี้ว่าตะเกียงถาวร ตะเกียงถาวรนี้ถูกประดิษฐ์ขึ้นโดยนักวิจัยในอาณาจักรเอนเซลซึ่งเป็นอาณาจักรที่มีความโดดเด่นในเรื่องของเอลเทคเป็นที่สุด

    โรสเห็นชายคนหนึ่งยืนอยู่ที่บ่อน้ำหน้าตึกกำลังมองเงาสะท้อนของจันทร์ในบ่ออย่างใจจดใจจ่อ

    "บลูไม่นอนพักหรอกหรือ" โรสเอ่ยปากถามพร้อมกับเดินเข้าไปหา มือทั้งสองของเธอยังคงกอดไขว้กันอยู่ที่หน้าอกบ่งบอกถึงความหนาวเย็นของอากาศที่แม้กระทั่งคนท้องถิ่นอย่างเธอยังทนทานไม่ได้

    "ข้าพักผ่อนพอแล้วน่ะ แล้วโรสล่ะนอนไม่หลับหรือ" บลูตอบออกไปพร้อมกับถอดเสื้อยาวที่สวมใส่ไว้ยื่นให้กับโรส

    โรสรับเสื้อยาวของบลูมาคลุมลงที่ไหล่กล่าวขอบคุณจากนั้นจึงตอบว่า "ข้าเพียงแต่ฝันร้ายนิดหน่อยน่ะ"

    บลูยิ้มอย่างเป็นมิตรคราหนึ่งเดินเข้าไปด้านข้างโรส กล่าวว่า "พอจะเล่าให้ข้าฟังได้ไหม"

    โรสรู้สึกแปลกหากต้องเล่าเรื่องฝันร้ายของตนให้ชายหนุ่มแปลกหน้าผู้หนึ่งฟัง แต่ด้วยความที่เขาเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกันก็ทำให้ความกริ่งเกรงในจิตใจของโรสลดลง จากนั้นจึงเริ่มเล่าเรื่องความฝันนั้นให้บลูฟังไปจนหมดสิ้น

    พอบลูฟังเหตุการณ์ทั้งหมดจบก็คาดเดาได้ว่าคงจะเป็นเรื่องในอดีตที่ฝังใจของโรส เขาจึงถามขึ้นว่า "เด็กผู้หญิงคนนั้นคงจะเป็นเจ้าสินะ"

    โรสหลังจากที่รับเสื้อของบลูมาใส่ก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมือที่กอดเข้าหากันก็คลายออก หันหน้าเข้าหาบลูพยักหน้า กล่าวตอบว่า "อืม ... คนที่ช่วยข้าในเหตุการณ์ตอนนั้นก็คืออาจารย์ดาธ ท่านกำราบโจรที่เหลือสองคนจนราบคาบแล้วก็อุ้มข้าขึ้นมากอดไว้ ข้าจำรายละเอียดของตอนนั้นได้ไม่ค่อยได้เท่าไร รู้เพียงแต่ความรู้สึกที่อบอุ่นปลอดภัย ข้าร้องไห้ในอ้อมกอดอาจารย์จนหลับไปพอข้าตื่นขึ้นมาอีกทีก็นอนอยู่บนเตียงที่บ้านหลังนี้"

    โรสพลางชี้มือไปที่ตึกหัวหน้าหมู่บ้าน เล่าต่อไปว่า "หลังจากนั้นข้าถึงขอให้อาจารย์สอนวิชาให้กับข้าเพื่อให้ข้าปกป้องหมู่บ้านหลังนี้ไม่ให้เกิดเหตุโศกนาฏกรรมกับหมู่บ้านเงาจันทร์ แต่อาจารย์ดาธก็ปฏิเสธไม่ยอมสอนวิชาการต่อสู้ให้กับข้า ท่านสอนการใช้เอลแห่งแสงตั้งแต่พื้นฐานให้กับข้าเป็นการทดแทน วันต่อมาข้าจึงเริ่มหัดวิชาเอลกับอาจารย์จนข้าใช้ได้อย่างถนัดมือ รวมระยะเวลาทั้งหมดแล้วก็ประมาณสามเดือนเศษที่อาจารย์อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้และข้าได้ฝึกวิชากับท่าน เจ้าลองมองไปด้านโน้นสิ เห็นบ้านสีเทาหลังนั้นไหม บ้านหลังนั้นแหละที่เป็นที่พักชั่วคราวของอาจารย์ในคราวก่อน ตั้งแต่นั้นมาท่านลุงกอร์ดอนก็มิได้ให้ใครเข้าพักอีก เก็บไว้ให้อาจารย์ดาธพักเพียงคนเดียว"

    บลูกล่าวว่า "ดูเหมือนว่าอาจารย์จะเป็นที่เคารพของคนในหมู่บ้านแถบนี้"

    โรสพยักหน้าคราหนึ่งกล่าวตอบว่า "กังหันน้ำด้านหลังตึกที่เจ้าเห็นทุกวันนี้เป็นฝีมือของท่านอาจารย์สร้างด้วยตนเอง พอท่านประกอบกังหันเสร็จท่านอาจารย์ขอความร่วมมือชาวบ้านทุกคนช่วยกันขุดคลองส่งน้ำจากแม่น้ำเจนีส โดยใช้กังหันน้ำอันนั้นส่งน้ำไปรอบหมู่บ้านนับแต่นั้นมาผลผลิตทางการเกษตรก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พองานขุดคลองเสร็จสิ้นและตัวข้าเองก็เริ่มใช้เอลได้คล่องแล้วท่านก็บอกว่าจะเดินทางจากไป ก่อนจากไปท่านก็ได้หาวิธีคุ้มครองหมู่บ้านนี้โดยการเสกเอลปิดปากทางเข้าหมู่บ้านและมอบป้ายผนึกที่ใช้เปิดทางให้กับชาวบ้านทุกคน ด้วยเหตุนี้ทำให้บุคคลในหมู่บ้านเท่านั้นถึงสามารถเข้าออกได้เพื่อป้องกันอันตรายจากภายนอก มิให้เป็นดั่งหมู่บ้านข้างเคียงที่ปัจจุบันนี้คงเหลืออยู่เพียงเถ้าถ่าน เจ้ารู้ไหมว่าชาวบ้านที่เคยอาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งนั้นได้พากันอพยพย้ายถิ่นฐานไปตั้งรกรากที่อื่นกันหมดแล้ว"

    บลูเห็นว่าพอโรซาไลน์เล่าจบท่าทางของเธอดูโล่งใจขึ้นกว่าเดิมมาก ตัวเขาเองพึ่งจะมาอยู่ที่นี่เพียงวันเดียวจึงไม่สะดวกกับการวิพากษ์วิจารณ์ เขารู้แก่ใจว่าโจรปล้นหมู่บ้านพวกนี้โหดเหี้ยมเพียงใด ไม่ใช่เพียงแต่หมู่บ้านใกล้เคียงแห่งนี้เท่านั้น ยังมีหมู่บ้านอีกหลายแห่งและคนอีกหลายคนที่ประสบโศกนาฏกรรมแบบเดียวกันนี้ เขาในฐานะที่ทำงานเป็นคนคุ้มกันภัยย่อมรู้ดี บลูเห็นสีหน้าโรสดีขึ้นตามลำดับจึงเอ่ยปากว่า "เจ้าสีหน้าดีขึ้นตั้งเยอะแล้วนี่ ไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม"

    โรสถามย้อนกลับไปว่า "ไม่เป็นไรแล้วล่ะ ว่าแต่บลูทำไมถึงออกมาเดินที่นี่ทั้งๆที่ท่านหมอวีสั่งให้พักผ่อนเพื่อดูดซึมผลของหญ้าสะท้อนจันทร์"

    บลูยิ้มอย่างสดใสคราหนึ่ง กล่าวว่า  "ข้าเปิดประตูก่อกำเนิดบานที่สามได้สำเร็จแล้ว พลังกระตุ้นจากหญ้าสะท้อนจันทร์ถูกข้าดูดซับมาจนหมด"

    โรสตื่นตระหนกกับพรสวรรค์อันน่าตกใจของบลูกล่าวว่า "ไม่น่าเชื่อ ท่านใช้เวลาเพียงครึ่งคืนก็สามารถทำได้สำเร็จ ตอนแรกที่หมอวีบอกว่าใช้เวลาหนึ่งวันข้ายังไม่ค่อยจะเชื่อเท่าไร แต่นี่ท่านใช้เวลาอย่างมากก็แค่สิบชั่วโมง"

    บลูยิ้มคราหนึ่งแต่ไม่กล่าวอะไร บุรุษผู้หล่อเหลาและหญิงสาวที่งดงามไม่แพ้กันมองดูจันทราบนฟ้าจากนั้นก้มลงมามองดูเงาจันทร์ในบ่อน้ำแห่งนี้พักหนึ่ง ทั้งสองปล่อยให้เวลาที่เงียบสงัดนี้ผ่านไป ไม่นานแสงจากพระอาทิตย์ก็เริ่มทอขึ้นจากทางทิศตะวันออก ชายหนุ่มหญิงสาวเหม่อมองจันทราและอาทิตย์ที่ปรากฏอยู่บนท้องฟ้าพร้อมกันอย่างลืมตัว ภาพเบื้องหน้านี้ให้ความรู้เสมือนว่าถึงแม้ดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์จะไม่สามารถปรากฏขึ้นให้เห็นชัดพร้อมกันในวันๆหนึ่งได้ แต่ในบางจังหวะเวลาแล้วล่ะก็ทั้งสองก็สามารถอยู่ร่วมกันได้เช่นกัน

    โรสเอ่ยปากทำลายความเงียบขึ้นก่อนพร้อมกับยื่นเสื้อคลุมคืนให้แก่บลู "ขอบใจมากบลู ข้าคิดว่าจะไปพักผ่อนต่ออีกหน่อยแล้วล่ะ ราตรีสวัสดิ์"

    บลูตอบพร้อมกับรับเสื้อคลุมนั้นเอาไว้ว่า "เช่นกัน อรุณสวัสดิ์"

    โรสยิ้มขึ้นคราหนึ่งจึงกล่าว "อรุณสวัสดิ์"รอยยิ้มของโรสในตอนนี้หากเปรียบกับความงดงามของแสงตะวันที่ส่องประกายในยามรุ่งอรุณนับว่าเฉิดฉายไฉไลไม่แพ้กัน

    นี่เป็นครั้งแรกที่บลูรู้สึกสนิทสนมกับหญิงสาวคนหนึ่งเร็วขนาดนี้ ตนเองพึ่งจะรู้จักกันเพียงไม่ถึงสองวัน อาจเป็นเพราะอาจารย์หรืออาจเป็นด้วยเหตุผลอื่นแต่เขาก็มิได้นำมาใส่ใจ โรซาไลน์เป็นหญิงสาวที่ทั้งงดงามและน่ารักทำให้เข้ารู้สึกราวกับว่าเธอเป็นน้องสาวที่สนิทสนมกันมานานคนหนึ่ง

    นี่อาจจะเป็นความผูกพันตั้งแต่ชาติปางก่อนก็ได้ ใครจะไปรู้

                    สายตาคู่หนึ่งมองลงมาจากห้องที่ชั้นสามของตึกด้วยความเป็นห่วงเป็นใย จับจ้องไปที่ร่างของหญิงสาวผมทองจนเธอเดินกลับเข้าบ้านพักไป

    เมื่อถึงยามสาย พิราบสื่อสารกลางท้องนภาบินเข้ามาสู่หน้าต่างที่ตึกหัวหน้าหมู่บ้าน ร่อนผ่านทางเดินโผเข้าห้องโถงมาหากอร์ดอนผู้เป็นเจ้านายของมัน

    ที่เท้าของพิราบผูกกระบอกเล็กๆแท่งหนึ่งหนึ่ง กอร์ดอนรับพิราบตัวนั้นเอาไว้ เปิดกระบอกหยิบเอากระดาษออกมาอ่านผ่านสายตา แล้วค่อยปล่อยมันบินกลับขึ้นฟ้าไป

    เวลานั้นทุกคนล้วนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ขาดเพียงท่านหมอวีที่ต้องตรวจรักษาคนไข้ ทุกคนยังไม่ลุกไปจากโต๊ะอาหารหลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เพราะอาหารเช้ามื้อนี้จัดขึ้นมาเพื่อเลี้ยงส่งลูทและบลูสำหรับการเดินทางครั้งใหม่ ทั้งสองกำลังจะออกจากหมู่บ้านไปในไม่ช้า

    แม่ครัวปรุงอาหารเลี้ยงแขกอย่างสุดความสามารถ ถึงแม้ว่าจะเป็นอาหารพื้นๆไม่ซับซ้อนพิสดารอย่างเช่นข้าวต้มซี่โครงหมูตุ๋นและผัดผัก แต่รสชาติความเอร็ดอร่อยนั้นเทียบได้กับอาหารชั้นเลิศตามภัตตาคารที่พ่อครัวมือหนึ่งลงมือปรุงด้วยตนเอง

    กอร์ดอนเปิดม้วนกระดาษแผ่นที่ดึงจากขานกพิราบขึ้นมาอ่านดู แผ่นกระดาษนั้นกว้างยาวประมาณครึ่งฟุตมีตัวหนังสือเขียนเอาไว้ถี่ยิบ หัวกระดาษมีตัวหนังสือตัวใหญ่กว่าธรรมดาเขียนเอาไว้ เมื่อมองดูก็จะเห็นเด่นชัดกว่าตำแหน่งอื่นเขียนว่า "พิราบรายวัน"

    พิราบรายวันเป็นองค์กรค้าข่าวที่ใหญ่ที่สุดในแผ่นดินก็ว่าได้ ทำการค้าข่าวรายวันโดยมอบพิราบสื่อสารให้ไว้กับลูกค้าที่ลงทะเบียนเป็นสมาชิก จากนั้นทางสำนักข่าวก็จะจัดส่งข่าวคราวรายวันผ่านทางนกพิราบ

    การฝึกพิราบสื่อสารแต่ละตัวและการเขียนหนังสือแต่ละฉบับจัดเป็นต้นทุนที่มีค่าใช้จ่ายสูงพอสมควร สำนักข่าวพิราบรายวันจึงทำฟาร์มเพาะเลี้ยงนกพิราบสื่อสารเป็นหลายพันตัวโดยเฉพาะ ส่วนปัญหาการเขียนตัวหนังสือลงบนกระดาษเพื่อส่งข่าวออกไปจำนวนมากแก้ไขได้ด้วยการตั้งโรงพิมพ์

    เทคโนโลยีการพิมพ์ในสมัยนี้จะใช้ไม้แท่งเล็กๆแกะสลักเป็นตัวอักษรตัวหนึ่ง จากนั้นนำแท่งไม้จำนวนมากมาเรียงกันเพื่อให้ได้เนื้อหาของข่าวตามต้องการ สุดท้ายค่อยเทน้ำหมึกลงไปแล้วนำไปพิมพ์ลงบนกระดาษ กระบวนการทั้งหมดนี้ทำให้ต้นทุนทั้งหมดต่ำลงมา จัดอยู่ในขั้นที่ประชาชนชั้นสูงที่มีฐานะดีพอสมควรสามารถสมัครเป็นสมาชิกได้

    อย่างไรก็ตามพิราบรายวันมิใช่สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปจะมีกันได้ง่ายๆ ผู้ที่รับข่าวสารจากพิราบรายวันจะต้องมีฐานะค่อนข้างดีทีเดียว ในหมู่บ้านเงาจันทร์นี้คาดว่ามีเพียงหัวหน้าหมู่บ้านกอร์ดอนที่สามารถรับข่าวสารจากพิราบรายวัน

    กอร์ดอนพบเห็นข่าวที่น่าสนใจอยู่ข่าวหนึ่งจึงอ่านให้ทุกคนบนโต๊ะอาหารได้ยินพร้อมกันว่า "มือปราบไกทำภารกิจสำเร็จลุล่วง ปราบปรามขุนโจรราเกซแถบตะวันตกในอาณาจักรนอร์ได้ราบคาบ ขุนโจรราเกซออกปล้นชิงพ่อค้าวาณิชที่เดินทางผ่านระหว่างเมืองเจนีสฝั่งเหนือและเมืองโอดินเป็นเวลานาน ทำให้เกิดเหตุการณ์ข้าวยากหมากแพง ก่อนนี้ทางการเคยส่งกำลังเข้าล้อมปราบถึงสองครั้งสองคราแต่ก็ไม่สำเร็จ มือปราบไกผู้เป็นมือปราบชั้นหนึ่งได้รับคำสั่งตรงจากผู้ตรวจการฝั่งตะวันตกคือมิดาส เดอแลม วางแผนให้มือปราบท้องถิ่นสวมรอยพ่อค้าล่อให้โจรปล้น ส่วนตัวของมือหิมะไกได้ลอบเข้าไปจับตายราเกซเป็นผลสำเร็จ กองโจรรายนี้เมื่อขาดผู้นำจึงสลายตัวไปในที่สุด" เมื่ออ่านจบกอร์ดอนก็ยื่นกระดาษให้โรซาไลน์ที่นั่งข้างๆอ่านข่าวอื่นๆต่อไป

    ลูทฟังจบแล้วจึงถามขึ้นว่า "มือปราบไกคนนี้เป็นใครอย่างนั้นหรือ"

    บลูเคยได้ยินชื่อเสียงของมือปราบไกมานาน เมื่อคราวที่เขารับจ้างคุ้มครองพ่อค้าอยู่ที่เมืองเจนีสเหนือจึงตอบว่า  "เขาเป็นมือดีคนหนึ่งในหน่วยปราบปรามโจรผู้ร้ายของอาณาจักรนอร์ มีเพลงกระบี่ชั้นเยี่ยมและสามารถสร้างผลงานร้อยกว่าชิ้นในรอบไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผลงานทั้งหมดล้วนเป็นการปราบปรามโจรผู้ร้ายให้เข็ดขยาด ฟังจากข่าวลือและฉายาของเขาที่เรียกว่ามือหิมะไก ระบุเป็นนัยเขายังสามารถใช้เอลน้ำแข็งได้โดยตรงด้วย"

    โรสกล่าวถามบลูว่า "พวกสายเลือดแห่งสัญลักษณ์อย่างนั้นสิ"

    บลูพยักหน้าคราหนึ่งให้กับโรสจากนั้นมองไปทางลูท เห็นลูททำหน้าสงสัยยังไม่คลายจึงอธิบายต่อว่า"เอลระดับสองเกิดจากการหล่อหลอมเอลสองประเภทที่ไม่ตรงข้ามกันเข้าด้วยกันจนเกิดเป็นเอลระดับสองขึ้น ในที่นี้ไกใช้เอลน้ำแข็งซึ่งเกิดจากการหลอมรวมกันของเอลน้ำและเอลลม ซึ่งคนปกติอย่างข้าไม่สามารถทำการปล่อยเอลน้ำแข็งออกมาในคราวเดียวเช่นนั้นได้ ข้าจะต้องใช้เอลน้ำคราหนึ่งแล้วค่อยใช้เอลลมคราหนึ่ง ผลจากเอลน้ำและลมทั้งสองจะรวมกันเป็นเอลน้ำแข็งขึ้นมา ด้วยเหตุนี้เอลจำพวกนี้ถึงได้เรียกว่าเอลระดับสองเพราะคนธรรมดาต้องใช้เอลสองครั้ง

    มีคนอยู่ประเภทหนึ่งที่จะใช้เอลระดับสองได้โดยตรง คนพวกนี้จะมีสัญลักษณ์แห่งเอลปรากฏขึ้นตามร่างกาย สัญลักษณ์แห่งเอลน้ำแข็งบนร่างกายของมือปราบไกมีคุณสมบัติผสมผสานเอลน้ำและเอลลมภายในเสร็จสรรพ ทำให้มือปราบไกสามารถปล่อยเอลน้ำแข็งออกมาได้ตามใจนึก ความสามารถพิเศษดังกล่าวนี้ตกทอดกันเพียงทางสายเลือดมีโอกาสน้อยมากที่จะเกิดขึ้นกับคนทั่วไปที่ไม่มีสายเลือดพิเศษ แต่ก็ใช่ว่าพวกที่มีสายเลือดเช่นนี้จะใช้ได้กันทุกคน โอกาสที่จะมีสัญลักษณ์ปรากฏขึ้นบนร่างมีเพียงครึ่งต่อครึ่ง พวกเราจึงเรียกคนที่มีสายเลือดเหล่านั้นและมีสัญลักษณ์ปรากฏขึ้นว่าพวกสายเลือดแห่งสัญลักษณ์"

    ลูทค่อยพยักหน้าส่งเสียงดังออ เขาไม่มีความรู้ทางด้านเอลลิสอยู่เลยเมื่อเห็นบลูพี่น้องของเขาอธิบายได้อย่างชัดเจนหมดจดจึงยอมรับนับถือบลูในเรื่องเอลลิสเป็นอย่างยิ่ง

    โรสกล่าวว่า "โดยปกติแล้วบุคคลที่มีเอลระดับสองจะยึดติดกับวงศ์ตระกูล ทำงานให้เฉพาะกับองค์กรภายในเท่านั้น แต่แล้วทำไมมือปราบไกถึงได้ออกมาเป็นมือปราบเสียได้"

    กอร์ดอนเล่าว่า "ตระกูลเอลระดับสองมีทั้งหมดสี่ตระกูลด้วยกันคือน้ำแข็ง ไม้ สายฟ้าและโลหะ ทั้งสี่ตระกูลจัดเป็นสี่ตระกูลใหญ่ในแผ่นดินผืนนี้ แต่ในปัจจุบันตระกูลทั้งสี่นี้หลงเหลือเพียงสามตระกูลนั่นคือไม้ สายฟ้าและโลหะเท่านั้น คนในตระกูลน้ำแข็งจึงมีอิสระในการเลือกทางเดินชีวิตของตน"

    ลูทถามว่า "แล้วตระกูลน้ำแข็งหายไปไหนหรือลุงกอร์ดอน"

    กอร์ดอนเล่าต่อไปว่า "ตระกูลน้ำแข็งแต่เดิมเป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่ที่อยู่ในเมืองเจนีส หลังจากเหตุการณ์สงครามเจนีสเมื่อยี่สิบห้าปีก่อน คนในตระกูลน้ำแข็งบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก พอรัฐเจนีสล่มสลาย ตระกูลน้ำแข็งก็ล่มสลายตามกันไป บุตรหลานตระกูลน้ำแข็งต่างกระจัดกระจายกันไปตามทิศทางของตน แต่งงานกับชาวบ้านธรรมดาให้กำเนิดบุตรธิดา ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เห็นไกมีสายเลือดของเอลน้ำแข็ง"

    ลูทยังสงสัยอยู่จึงถามต่อไปว่า "แล้วเอลไม้ สายฟ้าและโลหะเกิดจากอะไรบ้าง"

    บลูตอบว่า "เอลไม้เกิดจากน้ำผสมกับดิน เอลสายฟ้าเกิดจากลมผสมกับไฟ ส่วนเอลโลหะเกิดจากดินผสมกับไฟ"

    ลูทนึกขึ้นได้ว่าบิดาของเขาให้สอบถามเรื่องราวเกี่ยวกับศาสตราคู่กู้แผ่นดิน เขาจึงเอ่ยปากถามว่า "ลุงกอร์ดอนพอจะทราบเรื่อง 'ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน' และ 'หากผู้ใดครองสองศาสตราผู้นั้นจะมีอำนาจครองแผ่นดิน' บ้างไหม"

    ทุกคนในห้องล้วนพยักหน้าคราหนึ่งแสดงว่ารู้จักคำกล่าวนี้เช่นกันแต่มิได้เอ่ยปาก เฝ้ารอคำตอบของกอร์ดอนผู้เป็นนักล่าสมบัติผู้โด่งดังในอดีต กอร์ดอนตอบว่า "คำกล่าวเช่นนี้มีมาตั้งแต่สองร้อยกว่าปีก่อนตั้งแต่บุรพกษัตริย์อาเรสซึ่งอีกนัยหนึ่งก็คือผู้กล้าอาเรสสถาปนานครมิสต์สำเร็จ ราวสามสิบปีก่อนข้ากับแมกซ์ตระเวนไปทั่วสารทิศเพื่อพิสูจน์คำกล่าวประโยคนี้ แต่เกิดเหตุสงครามเจนีสขึ้นมาก่อนปรากฏไฟสงครามลามเลียไปทั่วพื้นที่ พวกข้าจำต้องหยุดการค้นหาเพื่อเข้าร่วมสงคราม"

    โรสอยากรู้เช่นกันจึงถามว่า "แล้วผลเป็นอย่างไรลุงกอร์ดอน"

    กอร์ดอนตอบว่า "คำกล่าวที่ว่าศาสตราคู่กู้แผ่นดินเป็นความจริง ยอดศาสตราวุธทั้งสองชิ้นเป็นอาวุธคู่มือของบุรพกษัตริย์อาเรส ชิ้นหนึ่งเป็นดาบอีกชิ้นหนึ่งเป็นกระบี่ ดาบเรียกว่ากุญแจแห่งพิภพ กระบี่เรียกว่ากุญแจแห่งสวรรค์ จัดเป็นอาวุธคู่บ้านคู่เมืองของรัฐอิสระเจนีสและนครมิสต์มาเกินกว่าสองร้อยปี"

    บลูถามว่า "ทำไมถึงได้เรียกอาวุธว่า 'กุญแจ' มันมีที่มาที่ไปอย่างไรหรือ"

    กอร์ดอนแทนที่จะตอบโดยตรงกลับกล่าวว่า "คำกล่าวที่ว่า 'หากผู้ใดครองสองศาสตราผู้นั้นจะมีอำนาจครองแผ่นดิน' ยังคงเลื่อนลอยหาบทพิสูจน์ไม่ได้ ศาสตราวุธทั้งสองชิ้นกลับเป็นกุญแจไขไปสู่คำกล่าวประโยคนี้ ข้าในสมัยหนุ่มสืบค้นอย่างลำบากแสนเข็ญจนได้ตำแหน่งอันแน่นอนของสุสานบุรพกษัตริย์ ซึ่งตั้งอยู่ในเขตหวงห้ามของนครมิสต์ มีตำนานเก่าแก่เล่าขานกันภายในราชวงศ์เจนีสว่าสุสานแห่งนี้เป็นที่บรรจุฝังพระศพของบุรพกษัตริย์อาเรส ด้านในสุดของสุสานมีประตูบานหนึ่งเชื่อมต่อกับคลังสมบัติส่วนตัวของบุรพกษัตริย์อาเรส มีคำกล่าวเล่าลือกันว่าหากผู้ใดเปิดประบานตูนี้เข้าไปได้ก็จะสามารถเข้าไปฝึกวิชาของพระองค์ที่ใช้หยุดยั้งสงครามในห้วงกลียุคได้"

    ลูทถามว่า "หากเป็นเช่นนั้นจริง ทำไมพวกพระราชโอรสพระราชธิดาของบุรพกษัตริย์อาเรสไม่ใช้กุญแจทั้งสองไขประตู เปิดไปฝึกวิชาเสียล่ะ"

    กอร์ดอนยิ้มครั้งหนึ่ง กล่าวว่า "ใครว่าพวกเขามิได้ทดลอง พวกเขาเคยทดลองแล้วแต่ประตูไม่เปิดออกต่างหาก เป็นเรื่องที่ล่วงรู้กันไปทั่วทุกสารทิศมีประจักษ์พยานที่ยืนยันได้นับร้อยนับพัน ประตูบานนั้นบุรพกษัตริย์อาเรสทรงลงผนึกเอลปิดไว้ด้วยพระองค์เอง ด้วยฝีมืออันสูงส่งสุดยอดของพระองค์จึงไม่มีใครที่มีความสามารถถึงขนาดทำลายประตูบุกเข้าไปได้ เมื่อมีผู้พิสูจน์ว่ากุญแจทั้งสองดอกไม่สามารถไขประตูลับ คำกล่าวที่ว่า 'หากผู้ใดครองสองศาสตราผู้นั้นจะมีอำนาจครองแผ่นดิน' จึงไม่มีผู้ใดเชื่อถืออีก ประชาชนส่วนใหญ่คิดว่าเป็นกระแสข่าวโคมลอยที่มีคนตั้งใจปั้นน้ำเป็นตัวหวังจะให้แผ่นดินแตกแยก คำกล่าวประโยคนี้จึงมีคุณค่าเพียงเป็นเกร็ดหนึ่งในตำนานของบุรพกษัตริย์เท่านั้น"

    ลูทกล่าวต่อไปว่า "อย่างนั้นทำไมพ่อกับลุงกอร์ดอนยังคงสืบหาอาวุธทั้งสองต่อไป"

    กอร์ดอนกล่าวว่า "ถึงแม้คำกล่าวประโยคหลังจะเป็นคำกล่าวโคมลอย แต่ศาสตราคู่กู้แผ่นดินเป็นเรื่องจริง กุญแจแห่งพิภพและกุญแจแห่งสวรรค์เป็นสุดยอดศาสตราวุธที่ทุกคนใฝ่ฝันหา หากเทียบกับสิบสี่ยอดศาสตราวุธที่พวกข้ารวบรวมขึ้นมา กุญแจทั้งสองดอกนี้จัดว่าอยู่เหนือขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง"

    ลูทถามต่อไปว่า "แล้วลุงกอร์ดอนรู้ได้อย่างไรว่ากุญแจนี้มีอานุภาพสูงส่งขนาดนั้น"

    กอร์ดอนกล่าวว่า "เพราะข้าได้เห็นด้วยตัวตนเองมาแล้วน่ะสิ กุญแจแห่งพิภพเป็นศาสตราวุธคู่มือของกษัตริย์กาเรียที่ใช้รบในสงครามครั้งนั้น"

    ห้องทั้งห้องเงียบสงัดลง ต่างคนต่างก็ใช้ความคิดในเรื่องของศาสตราคู่กู้แผ่นดินนี้ ลูทใช้ความคิดอยู่พักหนึ่งก็หันหน้าไปมองบลู ทั้งสองมีความเห็นตรงกันว่าสมควรแก่เวลาแล้ว จึงลุกขึ้นกล่าวคำขอบคุณและคำอำลาต่อทุกคน

    บีทที่นั่งอยู่ติดกับโรซาไลน์ลุกขึ้นกล่าวคำอำลา ส่งถุงผ้าขนาดกะทัดรัดให้กับทั้งสอง กล่าวว่า "นี่เป็นของจากท่านหมอวีฝากให้กับพี่ทั้งสอง ภายในเป็นกล่องไม้แบ่งเป็นสี่ช่องเก็บยาสรรพคุณแตกต่างกันไว้ทั้งหมดสี่ชนิด ข้าได้สอดกระดาษเขียนวิธีใช้และคุณสมบัติอย่างละเอียดเอาไว้ในกล่อง เผื่อว่าจะต้องใช้ในยามคับขันจำเป็น พวกพี่ก็สามารถใช้ได้โดยที่ไม่ต้องมีความรู้ทางด้านตัวยาแต่อย่างใด"

    ทั้งสองรับกล่องยามาด้วยความปลื้มปิติรีบกล่าวขอบใจบีทและฝากคำขอบคุณไปหาท่านหมอวีด้วย

    กอร์ดอนลุกขึ้นกล่าวคำอำลา พูดขึ้นว่า "ก่อนที่พวกเจ้าจะจากไปข้าอยากจะฝากอะไรกับพวกเจ้าสักอย่างหนึ่ง"

    คนหนุ่มทั้งสองรับปากคราหนึ่งถามรายละเอียดว่าเป็นอะไร

    กอร์ดอนกล่าวว่า "ข้าอยากจะให้หลานโรสเดินทางไปกับพวกเจ้า"

    ทั้งบลูและลูทกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า "จริงหรือ"

    กอร์ดอนกล่าวต่อว่า "หลานโรสก็เป็นศิษย์คนหนึ่งของดาธดูท่าทางแล้วเธอคงอยากจะออกเดินทางไปพร้อมกับพวกเจ้า ถึงอยู่ในหมู่บ้านนี้ต่อไปก็ไม่สามารถทำอย่างที่หลานโรสนึกฝันได้"

    กอร์ดอนหยุดพักครู่หนึ่งจากนั้นจึงหันไปกล่าวกับโรสต่อว่า "เรื่องคุ้มครองหมู่บ้านน่ะปล่อยเป็นภาระหน้าที่ของข้าเอง เจ้าคงจะไว้วางใจอดีตหน่วยรบพิเศษที่เคยผ่านสงครามมาหลายครั้งใช่ไหม ส่วนเรื่องรักษาพยาบาลเจ้าควรจะไว้วางใจน้องชายอันประเสริฐของเจ้า ถึงแม้หลานบีทจะไม่มีความสามารถทางด้านเอลดังเช่นเจ้า แต่ก็มีความสามารถทางการแพทย์ที่โดดเด่นกว่าคนหนุ่มใดๆที่ข้าเคยพบเห็น ยิ่งมีอาจารย์เช่นท่านหมอวีคอยชี้แนะแล้วรับรองหมดห่วง หรือเจ้าว่าอย่างไรหลานบีท"

    บีทยิ้มคราหนึ่งหันไปกล่าวกับโรสว่า "พี่โรสไม่ต้องเป็นห่วง ข้าเริ่มฝึกวิชาแพทย์มาก็เพราะเห็นว่าพี่สามารถช่วยรักษาคนได้ดังนั้นข้าคิดว่าวิชาช่วยคนเป็นสิ่งที่ดี จนใจที่ข้าไม่มีความสามารถทางเอลแบบพี่แม้แต่น้อยถึงอยากทำแบบที่พี่ทำก็เป็นไปไม่ได้ พี่โรสไม่ต้องเป็นห่วงหรอกฝีมือแพทย์ของข้าในตอนนี้ยังเก่งกว่าวิชาเอลของพี่เสียอีก"

    โรสหัวเราะคราหนึ่งน้ำตาซึมออกมาจากนัยน์ตาทั้งสอง กล่าวว่า "ขอบใจบีท ขอบคุณลุงกอร์ดอน" แล้วจึงหันไปทางบลูกับลูทกล่าวต่อว่า "พวกเจ้าทั้งสองรอข้าเก็บของสักครู่นะ" แล้วก็วิ่งเข้าไปเก็บของอย่างรวดเร็ว

    หลังจากที่โรสจากไป กอร์ดอนจึงกล่าวกับลูทว่า "เรื่องที่พ่อเจ้าขอให้ข้าช่วย ข้าเองไม่สามารถช่วยได้เต็มที่ แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าหลานข้าคนนี้เรียนรู้เรื่องกลไกกับดักและวิชาพิเคราะห์สิ่งของจากข้าไปทั้งสิ้น โรสจะเป็นตัวแทนของข้าเพื่อสานต่อความฝันของแมกซ์และเป็นตัวแทนของท่านหมอวีที่จะช่วยพยาบาลพวกเจ้าได้ในยามคับขัน ข้าหวังว่าโรสคงเป็นกำลังที่ช่วยเหลือเจ้าทำให้แผ่นดินนี้ปราศจากสงคราม หรือถ้าสงครามเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ขอให้สงครามสิ้นสุดโดยเร็วที่สุด"

    ลูทกล่าวคำขอบคุณอีกคราหนึ่งกล่าวว่า "สักวันหนึ่งข้าจะกลับมาเยี่ยมหมู่บ้านเงาจันทร์อีกครา"

    กอร์ดอนกล่าวอำลาว่า "ขอให้อาเรสคุ้มครองพวกเจ้าทั้งสาม"

    ไกเดินทางกลับมาจากภารกิจถึงเมืองเจนีสเหนืออย่างปลอดภัยไร้อันตราย

    ผู้คนในเมืองต่างแซ่ซ้องสรรเสริญเขาเป็นการใหญ่ พ่อค้าวาณิชย์ทยอยกันมามอบของขวัญชิ้นงามให้กับเขาอย่างไม่หยุดหย่อน เขาได้แต่ตอบปฏิเสธของขวัญทั้งสิ้น แนะนำให้พ่อค้าพวกนั้นเอาไปทรัพย์สินไปบริจาคองค์กรที่สำคัญเช่นโรงเรียนและกองทุนพัฒนาตัวเมือง เพื่อทำประโยชน์ส่วนรวมให้กับสังคม

    หลังจากงานเลี้ยงต้อนรับและขอบคุณไกสิ้นสุดลง ไกเดินออกจากห้องอาหารไปตามถนนสายหลักในตัวเมืองเพื่อดูบรรยากาศยามค่ำคืนของเมืองเจนีสเหนือ เขาใช้เวลาว่างอันจำกัดอย่างมีความสุข ชื่นชมกับผลงานที่ตนเองเพียรสร้างขึ้นในช่วงร่วมเดือนที่เขาประจำการอยู่แถบนี้

    ขณะนั้นเป็นเวลาหัวค่ำพวกพ่อค้ายังคงเปิดร้านรวงขายของกันตามถนนอย่างครึกครื้น โดยที่ไม่มีการร้องเรียนเรื่องโจรผู้ร้ายลักเล็กขโมยน้อยแต่อย่างใด ผู้คนจำนวนมากสวมชุดยาวกันหนาวออกเดินตามถนนเพื่อจับจ่ายใช้สอยสินค้าต่างๆ ไม่เกรงกลัวโจรผู้ร้ายจะฉกชิงวิ่งราวในยามราตรี ผู้คนบางส่วนเดินกะหนุงกะหนิงกับคู่รักของตนกันอยู่ตามไรทาง ผู้คนที่เดินผ่านไปมาบ้างก็ยิ้มให้เขาเพราะจำได้ที่เขาเป็นมือปราบ เขาก็ได้แต่โบกไม้โบกมือยิ้มตอบคราหนึ่ง

    นี่ช่างเป็นภาพแห่งบรรยากาศอันแสนสุขเสียเหลือเกิน ไกตั้งใจว่าจะถนอมสันติสุขที่แลกมาด้วยหยาดเหงื่อและโลหิตไว้ให้นานที่สุด

    ตัวเขาเองตัดสินใจแล้วว่าวันรุ่งขึ้นจะเดินทางกลับไปหาผู้ตรวจการมิดาส และขอลาออกอย่างเป็นทางการเสียที เขาจะได้มีเวลาปลีกตัวไปดูแลบิดามารดาของเขา พวกท่านอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านเล็กๆที่ห่างจากตัวเมืองเจนีสเหนือไปราวยี่สิบกิโลเมตร เขาวาดฝันถึงงานใหม่ของเขาว่าคงจะไม่พ้นการเป็นครูหรือผู้คุ้มกัน ในเมืองเจนีสเหนือหรือโอดินที่ใกล้กับหมู่บ้านของบิดามารดาเขาแห่งใดแห่งหนึ่ง

    เสียงเด็กหญิงคนหนึ่งอายุไม่เกินสิบขวบดังขึ้นด้านหลังเขา เขาหันไปพบว่าเด็กคนนั้นจับชายเสื้อของเขาด้านหลังของเขาไว้ กล่าวว่า "น้าๆ น้ำชาขอบคุณน้ามากนะที่ช่วยปราบโจรให้พ่อแม่ของน้ำชา พรุ่งนี้น้ามาที่ร้านอาหารของพ่อแม่น้ำชานะ งานประจำปีก็จะเริ่มฉลองพรุ่งนี้เหมือนกัน น้ามาให้ได้นะ"

    น้ำชาน้อยวิ่งกลับไปหาพ่อแม่ที่ยืนอยู่ที่ถนนฝั่งตรงข้าม ทั้งสามยิ้มให้เขาด้วยความเป็นมิตร ไกจึงยิ้มตอบคราหนึ่งกล่าวกับน้ำชาว่า "เด็กที่ประเสริฐนักชื่อเรียกหาของเจ้าก็ไพเราะ แต่น้ำใจที่น้ำชามีให้น้าขอรับไว้ด้วยใจ พรุ่งนี้น้าต้องเดินทางกลับเมืองโอดินจึงไม่สามารถไปตามคำเชิญได้ ถ้าเมื่อไหร่ที่น้ามีโอกาสกลับมาเมืองนี้อีกรับรองว่าน้าจะไปดื่มกินที่ร้านอย่างแน่นอน"

    พ่อแม่ของน้ำชาน้อยกล่าวตอบว่า "ด้วยความยินดี"

    เมื่อไกเดินจากมา ในใจของเขาก็บังเกิดความอบอุ่นจากความรักของครอบครัวขึ้นมาทันที แต่เขากลับยิ้มอย่างฝืนๆคราหนึ่งครุ่นคิดว่า ตัวเขาเองก็อายุเกือบสามสิบปีแล้วทำไมยังไม่สามารถลืมนางในดวงใจที่ไม่มีวันสมปรารถนาคนนั้นได้อีก เรื่องราวในอดีตครั้งนั้นก็ผ่านมาเป็นเวลาเกือบสิบปีแล้ว ไกได้แต่ถอนหายใจคราหนึ่งแล้วเดินเลี้ยวเข้าไปยังซอยด้านข้างกลับไปยังที่พัก

    ทันใดนั้นไกรู้สึกถึงภัยอันตรายขึ้นมาในทันที จิตใต้สำนึกของมือปราบที่เขาพึ่งพามาตลอดสิบปีนี้ตื่นตัวขึ้น สิ่งนี้เป็นลางบอกเหตุว่ามีภัยกำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า

    การลอบทำร้าย!

    ปลายกระบี่สีดำสนิทพุ่งออกมาจากกำแพงด้านข้างด้วยความรวดเร็วและเฉียบคม จังหวะที่ไกรู้ตัวปลายกระบี่เย็นเฉียบก็ห่างจากทรวงอกเขาไม่ถึงสามเมตร

    เขานึกในใจว่ามือสังหารคนนี้ร้ายกาจนักอาศัยช่วงเวลาที่เขากำลังครุ่นคิดถึงเรื่องอื่นมาลอบทำร้ายเขาในตัวเมือง เหมือนไม่เกรงกลัวกฎหมายบ้านเมืองแม้สักนิดเดียว ถึงแม้จะคิดเช่นนั้นแต่มือทั้งสองข้างของเขาผนึกเอลน้ำแข็งขึ้นหันกลับไปประกบมือเข้าที่ตัวกระบี่สีดำเป็นรูปดอกบัวอย่างพอเหมาะพอดี กระบวนท่านี้ของเขาพัฒนามาจากท่ารับกระบี่ด้วยมือเปล่าแต่เปลี่ยนชื่อเป็นแช่กระบี่ด้วยมือเปล่า

    แสงสีน้ำเงินเรืองรองส่องประกายเจิดจ้าในยามราตรี วงแหวนสีน้ำเงินสองวงซ้อนกันปรากฏขึ้นที่แขนทั้งสองของไก เสื้อผ้าชุดมือปราบของเขาพองขึ้นจากการโคจรเอลไปทั่วร่าง สัญลักษณ์แห่งเอลน้ำแข็งที่ไหล่ข้างขวาก็สว่างไสวขึ้นไม่แพ้กัน

    กระบี่ดำของมือสังหารที่คลุมหน้าถูกฝ่ามือทั้งสองข้างของเขาประกบเข้าด้วยกัน แช่เย็นเป็นน้ำแข็งไม่สามารถทะลวงต่อไปยังหน้าอกของเขาได้ ผู้ลอบทำร้ายสะท้านขึ้นคราหนึ่งบิดกระบี่เป็นเกลียวอาศัยจังหวะเวลาที่น้ำแข็งส่วนในยังไม่แข็งถึงที่สุดชักกระบี่กลับไปได้ ไม่ว่าเป็นจังหวะหรือเรี่ยวแรงที่ใช้ออกล้วนพอดิบพอดีทำให้กระบี่ไม่ติดอยู่ในฝ่ามือรูปดอกบัว พอกระบี่ดำหลุดออกจากท่าแช่กระบี่ด้วยมือเปล่ามือสังหารก็แทงเฉียงๆติดต่อกันอีกสามคราหมายจะไล่ต้อนไกให้จนมุม

    ไกเห็นวิธีการที่มือสังหารชุดดำเอาตัวรอดได้ก็ต้องประเมินฝีมือของมือสังหารผู้นี้เสียใหม่ เขาได้แต่ถอยหลังมาสามก้าวหลบรอดคมกระบี่ที่แทงติดตามมา จวบจนตกอยู่ในมุมอับด้านหลังของไกเป็นกำแพงไม่สามารถก้าวถอยหลังได้อีก กระบี่เกล็ดน้ำค้างขนาดยักษ์ที่สะพายไว้ด้านหลังก็ไม่สามารถชักออกมาได้สะดวก ไกจึงใช้ความสามารถเฉพาะตัวหลอมน้ำแข็งเป็นแผ่นหนาเคลือบมือทั้งสองข้างเอาไว้เสมือนถุงมือน้ำแข็งใช้เป็นท่าหัตถ์หิมะซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสมญานามเขา ใช้ฝ่ามือต่างอาวุธเข้าต้านรับกระบี่ฝั่งตรงข้าม

    เสียงดังติงตังจากการปะทะอีกหลายครา ไกใช้มือเปล่าที่ห่อหุ้มด้วยน้ำแข็งรับกระบวนท่าจู่โจมจากมือสังหารได้เป็นทั้งหมด เขาทำการตอบโต้โดยการโผไปเบื้องหน้าต่อยออกด้วยหัตถ์หิมะด้านซ้าย มือสังหารวกกระบี่ดำกลับมาป้องกันตัวเองคุ้มครองร่างกายจากท่าตอบโต้ของไก กระบี่ดำปะทะเข้ากับหมัดของไกที่ต่อยออกสุดแรง ความเย็นจากหมัดแผ่ซ่านเข้าสู่ตัวกระบี่จนมือสังหารแทบทนทานไม่ได้ กระบี่ดำเกือบจะหลุดลอยออกไป

    ในขณะที่มือซ้ายของไกต่อยออกด้วยเอลน้ำแข็ง เท้าขวาของเขาก็สะกิดฝักกระบี่ยักษ์ที่สะพายอยู่ด้านหลังจากเบื้องล่าง ทำให้ตัวกระบี่ลอยออกมาได้สำเร็จ ไกสลายน้ำแข็งในมือขวายกขึ้นรับกระบี่เกล็ดน้ำค้างที่ถูกสลัดออกจากฝักมาถือเอาไว้ ด้วยฝีมือที่ไกสามารถชักกระบี่อันเทอะทะพร้อมกับคุกคามศัตรูถอยหลังกลับไปได้พร้อมๆกัน ทำให้มือสังหารชุดดำพบว่าฝีมือเช่นนี้เป็นที่น่าตระหนกเกินไปแล้ว

    หลังจากไกชักกระบี่ออกจากฝักเป็นผลสำเร็จ เขาก็ฟันออกด้วยท่าหลอกล่อ ท่าจู่โจมจริงคือมือหิมะด้านซ้าย มือซ้ายของเขาแบออกสี่นิ้วเรียงชิดติดกันราวคมดาบ เปลี่ยนน้ำแข็งที่หลอมเป็นก้อนเป็นแท่งน้ำแข็งแหลมคมราวคมดาบแทงเข้าคราหนึ่ง นอกจากหัตถ์หิมะสามารถต่อยออกก็ยังสามารถเปลี่ยนเป็นคมมีดแทงเสริมได้ด้วย

    มือกระบี่ดำไม่ใช่มือสังหารปลายแถว หากจะจัดอันดับตามจริงแล้วเขาสมควรอยู่ไม่ห่างไกลจากหัวแถวเท่าใด เขาดูออกว่ากระบี่ยักษ์มิใช่ท่าจู่โจมที่แท้จริงพลันแทงกระบี่ดำออกด้วยความเร็วสูงเกิดเป็นบุปผากระบี่ขึ้นดอกหนึ่ง มือซ้ายแบออกประกบสี่นิ้วติดกันเช่นเดียวกับไก ใช้ออกด้วยเอลแห่งลมเกิดพลังลมหมุนปั่นป่วน ปัดกระบี่ในมือขวาที่เป็นท่าจู่โจมหลอกล่อของไก

    อย่างไรก็ตามฝีมือของไกเหนือกว่ามือสังหารกระบี่ดำอยู่ขั้นหนึ่ง ความเร็วในการจู่โจมของไกจึงมากกว่าขั้นหนึ่ง เขาคาดว่าด้วยความเร็วที่แตกต่างเขาสามารถใช้แท่งน้ำแข็งในมือซ้ายทะลวงฝั่งตรงข้ามก่อนที่บุปผากระบี่ดอกนั้นจะทำอันตรายใดๆกับเขาได้

    เสียงลมแหวกอากาศดังขึ้นมาจากระยะสามสิบเมตร ไกรู้สึกตัวได้ว่ากำลังตกเป็นเป้าของลูกธนูลับที่ยิงออกมาจากเบื้องบน เขาพลาดท่าเสียแล้ว!

    สถานการณ์กลับตาลปัตรเมื่อปรากฏมือสังหารอีกคนหนึ่ง คำนวณจากความรุนแรงของลูกศรพบว่ามือธนูคนนี้ร้ายกาจกว่ามือสังหารกระบี่ดำอีกด้วย จังหวะที่ลูกศรหลุดจากแหล่งเป็นจังหวะที่ไกจู่โจมใส่มือสังหารกระบี่ดำไม่สามารถเปลี่ยนกระบวนท่าได้ สถานการณ์พลิกกลับจากหน้ามือเป็นหลังมือแทนที่เขาจะเป็นฝ่ายกระทำกลับถูกกระทำเสียเอง

    ลูกธนูพุ่งลงมาจากหอสูงใส่กลางหลังของไกอย่างเร่งร้อน เขาเกิดไหวพริบหันหลังต้านลูกธนู ใช้วิธีคล้ายกับการชักกระบี่คือเอาปลายเท้าเขี่ยฝักกระบี่เพื่อให้ฝักกระบี่กระทบกับลูกศร เกิดแรงผลักเปลี่ยนวิถีการยิงให้เบนออกไปด้านข้าง เสียงดังตังครั้งหนึ่งเมื่อลูกศรกระทบถูกฝักดาบเกิดการเปลี่ยนวิถีแหวกอากาศไปปักต้นไม้ใหญ่ด้านข้างกำแพง ส่วนท่าจู่โจมของไกก็ต้องชะงักลงชั่ววูบทำให้มือสังหารกระบี่ดำเบื้องหน้าฉวยโอกาสคลี่คลายได้ทันควัน

    ตัวเขาเซออกไปเล็กน้อยด้วยแรงจากลูกศรเมื่อครู่ เมื่อไกมองไปอีกคราหนึ่งมือสังหารทั้งสองก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย เขาทราบว่าตามไปก็ไร้ประโยชน์คนพวกนี้ต้องเตรียมทางหนีทีไล่ไว้เป็นอย่างดี ไกมิใช่ไม่เคยถูกลอบทำร้าย มือปราบอันดับหนึ่งล้วนตกเป็นเป้าสังหารอันดับหนึ่งของพวกมิจฉาชีพเสมอมา เขานึกในใจว่าครั้งนี้เป็นการลอบสังหารที่ร้ายกาจที่สุดที่เขาเคยพบพาน

    ไกไม่ละทิ้งสัญชาตญาณมือปราบเพียรสำรวจพื้นที่โดยรอบทั้งหมดเพื่อเก็บหลักฐาน ไกกำลังทำการวินิจฉัยว่าบุคคลที่ลอบจู่โจมเขาทั้งสองนั้นเป็นใคร หลักฐานที่สำคัญที่สุดในที่นี้ก็คือลูกศรดอกนั้นนั่นเอง

    เขาเดินไปหยิบลูกศรขึ้นมาดูพบว่าหัวลูกศรปักลงไปในต้นไม้ใหญ่ร่วมนิ้วเศษ ตัวลูกศรทั้งใหญ่และยาวกว่าปกติ วัสดุที่สร้างลูกศรทำจากเนื้อไม้ชั้นดีทั้งแกร่งและเหนียวสามารถรับแรงที่ยิงออกด้วยพละกำลังมหาศาล เขาคาดเดาได้คร่าวๆว่า ผู้ที่สามารถยิงลูกศรนี้ออกต้องมีร่างกายสูงใหญ่อย่างน้อยก็ต้องเกินเมตรแปดสิบขึ้นไปมิฉะนั้นจะไม่สามารถน้าวคันธนูขนาดใหญ่โตนี้ได้ กล้ามเนื้อต้องแข็งแรงสมบูรณ์จึงจะออกแรงส่งให้ลูกศรแหวกอากาศมาด้วยความเร็วสูง ด้วยสัญชาตญาณมือปราบผู้สืบคดีมากว่าร้อยคดี ถ้าเขาพบเห็นกระบี่ดำและดวงตาคู่นั้นอีกครั้ง รับรองว่าเขาจะจำมันได้อย่างแน่นอน

    ก่อนที่ไกจะจากไปก็สะท้านขึ้นคราหนึ่งเมื่อเขาบังเอิญนึกถึงองค์กรลับและผู้คนทั้งเก้า ... อัศวินดำ ... ในตอนนี้เขายังไม่แน่ใจว่าอัศวินดำมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่และเบื้องหลังของเรื่องนี้เป็นเรื่องราวใด แต่ถ้ารอให้เขาหาหลักฐานพบมันจะเป็นการสายเกินไปหรือไม่

    ถ้าอัศวินดำดำเนินการเคลื่อนไหวเช่นนี้จริง จะอย่างไรไกก็ต้องสืบให้รู้เรื่องว่าความจริงเป็นเช่นไร

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×