ลำดับตอนที่ #60
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #60 : เล่ม 2 - ตอนที่ 19 - ทะเลสาบมรกต (4)
เมื่อน้ำตาของหญิงสาวหยดลงมา บลูที่พร้อมจะรับทุกสถานการณ์ก็ลนลานจนทำอะไรไม่ถูก เขายอมไปต่อสู้กับคิเมร่าตัวต่อตัวดีกว่าที่จะมารับมือกับผู้หญิงร้องไห้คนหนึ่ง บลูได้แต่ยื่นผ้าเช็ดหน้าให้พริมแผ่นหนึ่ง เขาไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะทำอะไรดี
พริมรับผ้ามาเช็ดน้ำตา กล่าวว่า “ขอบคุณ”
บลูเหลือมองซ้ายขวาเห็นว่าผู้ที่ดื่มกินโต๊ะข้างเคียงล้วนมิได้สังเกตว่ามีสตรีผู้หนึ่งร้องไห้ มิฉะนั้นเขาอาจจะเป็นตัวร้ายในสายตาของชาวบ้านทั่วไป เขาคิดอะไรไม่ออกได้แต่ถามว่า “เป็นอะไรหรือเปล่า”
พริมส่ายหน้าตอบว่า “ไม่เป็นอะไร”
ความเงียบสงัดผ่านไประยะหนึ่ง พริมก็หยุดร้องไห้ นางเอ่ยปากขึ้นว่า “ขณะที่ข้าค้นหาเอกสารในห้องวิจัยอยู่ข้าก็พบข้อมูลจำพวกหนึ่งซึ่งพอข้าอ่านดูเที่ยวหนึ่งแล้วรู้สึกกลัวมาก ข้อมูลพวกนั้นเป็นการทดลองเกี่ยวกับการนำสัตว์มาผสมกันทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ สัตว์ประหลาดที่เกิดมาจะถูกเก็บเอาไว้เพื่อใช้เป็นอาวุธ”
บลูกล่าวขึ้นมาว่า “หรือว่าพี่ของนางจะถูกจับไปเป็นหนูทดลอง”
พริมส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่ ... ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก การทดลองนี้ไม่ได้ทำกับมนุษย์ แต่สิ่งที่ทำให้ข้ากลัวที่สุดเมื่ออ่านเอกสารเหล่านั้น ทุกแผ่นพบชื่อของพี่ข้าปรากฏอยู่ที่ท้ายกระดาษ พี่ของข้าถึงกับเป็นนักวิจัยผู้คิดค้นทฤษฎีการผสมร่างข้ามเผ่าพันธุ์”
บลูถึงกับนิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออกกับการทดลองที่ป่าเถื่อนเช่นนี้ ด้วยความคิดอันปราดเปรียวเขาคาดเดาว่าเหตุการณ์นี้อาจจะเป็นได้อยู่สองกรณีก็คือหนึ่งพี่ชายของพริมถูกจับไปแล้วถูกบีบบังคับให้เป็นนักวิจัยทดลองจนไม่มีอิสระกลับมาที่บ้าน ส่วนกรณีที่สองก็คือพี่ชายของพริมยินยอมพร้อมใจที่จะเป็นนักทดลองเสียเอง
พริมถอนหายใจครั้งหนึ่งกล่าวว่า “เมื่อข้าพบเห็นชื่อของพี่จึงพยายามหาเอกสารหลายๆอย่างเพื่อค้นหาเบาะแสร่องรอยของพี่ว่าเขาอยู่ที่ไหน ข้าบังเอิญไปเจอข้อมูลการเคลื่อนย้ายสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งนั่นก็คือคิเมร่าที่พวกเราสังหารไปเมื่อคืน เอกสารชิ้นนั้นเป็นเอกสารซื้อขายคิเมร่าให้กับทางอัศวินดำด้วยจำนวนเงินหนึ่งพันเหรียญทอง โดยสถานที่จัดส่งปลายทางอยู่ที่เมืองโอดิน”
บลูสูดหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่ เงินจำนวนหนึ่งพันเหรียญทองเป็นจำนวนมหาศาลสามารถเลี้ยงผู้คนเมืองหนึ่งได้เป็นเดือน เขากล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นห้องวิจัยพวกนี้ก็ต้องเป็นองค์กรที่ใช้ทำกำไรด้วยการขายสัตว์ประหลาดเพื่อเป็นอาวุธอย่างนั้นหรือ”
พริมพยักหน้าตอบบลูว่า “ใช่แล้ว ดังนั้นข้าถึงไม่ได้รอพบอาจารย์ก่อน พอเห็นข้อมูลสำคัญเช่นนั้นข้าจึงรีบออกเดินทางมาที่นี่ทันที ข้าจะต้องไปหยุดพี่ชายด้วยตัวของข้าเอง”
บลูกล่าวว่า “เจ้ามาถึงที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่”
พริมตอบว่า “สองวันก่อน ข้าค้นหารอบเมืองอยู่สองวันก็ยังไม่พบเบาะแสอะไรหรือสถานที่ที่ใหญ่โตเพียงพอจะกักขังสัตว์ประหลาดชนิดนี้ได้ จวบจนเมื่อคืนนี้อยู่ๆอัญมณีสีแดงในขวดก็เกิดเปล่งแสงขึ้นราวกับว่าจะนำข้าไปที่ไหนสักแห่ง เรื่องนี้ข้าก็เคยเล่าให้พี่บลูฟังไปครั้งหนึ่ง ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะหลอกพี่แต่มันเป็นเรื่องที่ข้าไม่รู้จะบอกอย่างไรจริงๆ”
บลูส่ายหน้าคราหนึ่งกล่าวปลอบโยนว่าไม่เป็นไร เขาทราบว่าตลอดช่วงเวลาอาทิตย์ที่ผ่านมาพริมคงผ่านเหตุการณ์เลวร้ายมามาก เขาจึงกล่าวว่า “ข้าขอโทษเช่นกันที่บีบบีงคับเจ้าให้พูดเรื่องราวเหล่านี้ ถือว่าเป็นความผิดของข้าเองแล้วกัน”
พริมกล่าวว่า “ไม่เป็นไรหรอก ก็ดีเหมือนกันที่ข้าได้เล่าออกมาให้ใครสักคนฟัง”
บลูจึงกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นเพื่อเป็นการชดเชย ข้าจะพาเจ้าเที่ยวชมเมืองสักรอบแล้วกัน” พอพูดจบบลูก็เดินออกไปชำระเงินค่ากาแฟทั้งสองแก้วที่บุคคลทั้งสองดื่มไปได้ไม่ถึงสามคำแล้วก็จากร้านอาหารนี้ไป
บลูไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าพริมจะมีเบื้องหลังอันน่าตระหนกถึงเพียงนี้
เมื่อบทเพลงจบลงความเงียบสงัดก็เข้ามาแทนที่
ลูทเหม่อมองทะเลสาบสีเขียวมรกตด้วยความสงบนิ่ง จิตใจเมื่อตอนเช้าที่ปั่นป่วนดุจมรสุมของเขาก็สงบลงได้ในที่สุด เขากล่าวขึ้นทั้งๆที่ยังมองดูทะเลสาบนั้นว่า “ข้าต้องขอขอบคุณเจ้าที่ช่วยชักนำให้ความสามารถในเชิงดนตรีของข้าก้าวรุดหน้าไปอีกขึ้นหนึ่ง”
มีเสียงผู้หญิงคนหนึ่งทั้งนุ่มนวลและอ่อนหวานดังลงมาจากบ้านพักว่า “ข้าก็ต้องขอขอบคุณเจ้าเช่นกัน จะดูเป็นการล่วงเกินเจ้าหรือไม่ถ้าหากข้าจะถามว่า ในขณะที่ท่านบรรเลงเพลงครั้งแรกเสมือนมีความในจิตใจซ่อนอยู่”
ลูทแปลกใจที่ได้ยินเสียงของอีกฝ่ายหนึ่งว่าเป็นเสียงของหญิงสาวนางหนึ่ง ก่อนหน้านี้เขาคาดเดาว่าผู้บรรเลงดนตรีจะเป็นบุคคลสูงอายุเสียอีก เขากล่าวตอบไปว่า “ไม่เลยสักนิด ข้าเพียงกังวลใจในสิ่งที่ข้าไม่สามารถกระทำได้”
ผู้หญิงคนนั้นกล่าวตอบเป็นว่า “ในโลกนี้ไม่มีเคยมีผู้ใดกระทำการใดแล้วล้มเหลวมาก่อน มีเพียงแต่ผู้ที่ล้มเลิกเพราะหยุดกระทำเท่านั้น”
ลูททบทวนคำพูดของหญิงสาวอยู่ครู่หนึ่งจึงยิ้มขึ้น กล่าวว่า “ข้าจะจำคำพูดของเจ้าใส่ใจไว้ไม่ลืมเลือน ไม่ทราบว่าบทเพลงเมื่อครู่นี้มีนามไพเราะอันใด”
หญิงสาวกล่าวตอบว่า “เพลงเมื่อครู่มีชื่อว่าจังหวะแห่งชีวิต”
ลูทกล่าวว่า “ชื่อนี้ช่างเหมาะนัก”
หญิงสาวกลับถามขึ้นบ้างว่า “แล้วเพลงของเจ้ามีชื่ออันใด”
ลูทกล่าวตอบว่า “เพลงนั้นมิใช่เพลงของข้าหากแต่เป็นของมารดาข้า ท่านแต่งเพลงสายลมแห่งความรักขึ้นมาเมื่อข้ายังเป็นเด็กตัวเล็กๆ ในโลกนี้มีแต่เพียงข้า บิดาและมารดาเพียงสามคนที่เคยได้ฟัง แต่ในตอนนี้หากรวมเจ้าไปด้วยคงจะเปลี่ยนเป็นสี่คนได้แล้วสินะ”
หญิงสาวกล่าวว่า “ช่างประพันธุ์ได้ดีเสียจริง ... สายลมแห่งความรัก” หญิงสาวคำนึงถึงชื่อเพลงและท่วงทำนองจนลืมตัวไปพักหนึ่ง
ลูทลุกขึ้นยืนปัดเศษหญ้าตามร่างกายกล่าวว่า “ข้าขอขอบคุณเจ้าที่ช่วยให้ข้าสลัดความวิตกกังวลในจิตใจออกไปได้หมดสิ้น แต่น่าเสียดายห้วงเวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปรวดเร็วเสมอ ข้าจำเป็นต้องจากไปในเวลานี้ ประโยคที่เจ้ากล่าวเมื่อครู่ดลใจให้ข้าคิดได้ว่ายังมีอะไรที่ข้าทำได้และต้องทำอยู่อีกมาก ถ้าหากภายภาคหน้ามีวาสนาได้พบพานข้าอยากจะร่วมบรรเลงบทเพลงกับเจ้าอีก”
หญิงสาวกล่าวตอบว่า “ข้าเองก็ยินดีน้อมสนอง ขอเจ้าได้โปรดรอสักครู่หนึ่งจะได้ไหม”
ลูทตอบว่า “ตกลง”
เวลาผ่านไปครู่หนึ่งเขาเห็นหญิงสาวผมดำนางหนึ่งกำลังเดินออกมาจากบ้านพักสีขาว ดูจากรูปโฉมโนมพรรณนางมีอายุเพียงสิบแปดสิบเก้าปี เดินถือพิณสีขาวอ่อนตัวหนึ่งมาหาเขา
หญิงสาวผู้นั้นชิงกล่าวก่อนว่า “อย่าพึ่งได้เข้าใจผิดไป คุณหนูสั่งข้าให้นำพิณตัวนี้มามอบให้แก่ท่านถือว่าเป็นของขวัญที่มีโอกาสได้พบพานกันในวันนี้”
ลูทจำได้ว่าเคยเห็นพิณตัวนี้ที่ตั้งแสดงไว้ในร้านขายเครื่องดนตรี ซึ่งเป็นพิณตัวเดียวกันกับพิณที่มีเศรษฐีมาขอซื้อ ขนาดเศรษฐีคนนั้นให้ราคาสูงเป็นสองสามเท่าเจ้าของร้านยังไม่ยอมขายดูท่าคงจะมีคุณค่าสูงยิ่ง เขาจึงกล่าวว่า “ของที่มีมูลค่าขนาดนี้ข้ารับไว้ไม่ได้หรอก”
เสียงของหญิงสาวคนเดิมดังลงมาจากด้านบนว่า “ขอให้เจ้าอย่าได้ปฏิเสธ ช่วยถือว่าพิณเป็นสินน้ำใจเล็กๆน้อยๆจากข้า ถ้าเผื่อข้าได้พบเจ้าอีกครั้งเจ้าค่อยกำนัลพิณตัวนั้นกลับให้ข้าก็ได้ ข้าต้องขอโทษด้วยที่ข้าไม่สามารถลงไปพบเจ้า ข้าได้สัญญากับตนเองเอาไว้ว่าจะทำสมาธิอยู่ที่บ้านหลังนี้เป็นเวลาหนึ่งวันเต็ม ก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดินข้าไม่สามารถลงไปไหนได้อีก”
ลูทผงกศีรษะเป็นเชิงเข้าใจ เขาเงียบไปสักพักหนึ่งจากนั้นยื่นมือออกรับพิณสีขาวอ่อนมาถือไว้ แล้วเขาก็หยิบของชิ้นหนึ่งในสัมภาระขึ้นมามอบให้กับหญิงรับใช้ไปพร้อมกับกล่าวว่า “ข้าเพียงแต่จะรับฝากพิณของเจ้าเอาไว้พักหนึ่ง และข้าก็มีของสิ่งหนึ่งที่จะฝากไว้กับเจ้าเช่นกัน การเดินทางเบื้องหน้าคงจะยากลำบากแสนเข็ญ ถ้าหากนำของเช่นนี้ติดตัวไว้ข้าอาจจะพลั้งมือทำมันเสียหายโดยไม่ได้ตั้งใจ ของสิ่งนี้จะเป็นเครื่องหมายแสดงตัวเจ้าทำให้ข้าจดจำเจ้าได้ในอนาคต เช่นเดียวกับที่ข้าจดจำเพลงจังหวะแห่งความรัก เอาไว้ไม่มีวันลืมเลือน”
พอกล่าวจบลูทก็เดินจากไป เขาไม่รู้หรอกว่าสถานที่แห่งนี้เป็นเขตหวงห้ามที่จัดเอาไว้เพื่อต้อนรับอาคันตุกะที่มาเยือนเมืองโอดินเท่านั้น
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น