ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #95 : เล่ม 4 - ตอนที่ 49 - กลีบเมฆ (2)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 801
      0
      11 ม.ค. 51

    หลังจากที่บลูส่งรินะให้ขึ้นไปที่หอน้อยกลางน้ำจนลับสายตา จึงได้กระตุ้นม้ามาจอดเอาไว้ริมทะเลสาบแถบระหว่างหอน้อยกลางน้ำและตึกธงดาบในบริเวณที่ไม่ค่อยมีผู้คน เพื่อที่จะเฝ้าสังเกตความผิดปกติของสถานที่ทั้งสองแห่ง
                    บลูนั่งทบทวนวิชากระบองในหนังสือของอาจารย์ดาธที่ตั้งชื่อบทว่า “เพลงพลอง” ได้นำหลักการที่เขียนบรรยายในหนังสือมาดัดแปลงเข้ากับเพลงหอกยืดหดที่เคยฝึกฝน กระบองต่างจากหอกตรงที่ปลายทั้งสองด้านไม่มีส่วนที่เป็นคมมีด ทำให้วิธีการใช้จึงต่างกันโดยสิ้นเชิง หอกจะเน้นไปทางการแทง ตวัด ปาด เสียบ ทิ่ม ทะลวง แต่พลองจะเน้นไปทางฟาด หวด ปัด ควง กวาด ทะลวง ถึงแม้ว่าอาวุธทั้งสองชนิดนั้นมีหลักการ “ทะลวง” เช่นเดียวกันแต่วิธีการใช้ออกนั้นแตกต่างกันอยู่บ้าง หอกจะใช้ปลายแหลมคมทะลวงเข้าไปตามร่องของชุดเกราะเครื่องป้องกันฝากรอยแผลคมมีดเอาไว้ตามร่างกายของศัตรู ส่วนพลองจะทะลวงโดยใช้ปลายทื่อซึ่งแฝงแรงจากการที่ไม้พลองหมุนรอบแกนเข้าป่นกระดูกและอวัยวะภายในของศัตรู
                    บลูยังไม่มีความสามารถถึงกับป่นกระดูกฝ่ายตรงข้ามด้วยวิสุทธิ์ศาสตราได้ จึงหาทางเปลี่ยนแปลงเพลงกระบองแนวรุกมาใช้เป็นแนวรับ มิได้หวังพึ่งการโจมตีด้วยวิสุทธิ์ศาสตราสักนิด เน้นการฝึกไปที่เคล็ดการปัดและการควงเพื่อที่จะใช้ตั้งรับอาวุธฝ่ายตรงข้าม ในขณะเดียวกันก็สามารถหยิบยืมเอลจากแร่เอลไลท์ที่ปลายกระบองในการโจมตีสวนกลับไป คิดว่าแนวทางการต่อสู้นี้คงเหมาะกับเขามากกว่าการศึกษาเคล็ดเพื่อจู่โจม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกระบองกับหอกแล้วกระบองมีความสามารถในการป้องกันสูงกว่าเสียด้วย
                    ทันใดนั้นประสาททุกส่วนถูกกระตุ้นขึ้นมาโดยอัตโนมัติ เอลที่โคจรอยู่ในร่างถูกปลุกขึ้นมาด้วยสัญชาตญาณของทายาทแห่งอาร์คาน่า บลูรู้สึกเย็นสันหลังวาบขึ้นมาทันทีเมื่อสัมผัสได้ถึงเอลที่น่ากลัว
                    อันตราย!
                    ความคิดยังไม่ทันสิ้นสุดแสงจากอาทิตย์ก็สะท้อนเข้าสู่แก้วตา ฝ่ายตรงข้ามเป็นยอดฝีมือที่ใช้โลหะสะท้อนแสงส่องวาบเข้ามาทำให้ตาของเขาพร่าไปวูบหนึ่ง สำหรับยอดฝีมือเวลาเพียงเท่านั้นก็เพียงพอแล้วที่จะฆ่าคนผู้หนึ่งอย่างหมดจด
                    “เสร็จกัน! เสียงร่ำร้องของบุรุษหนุ่มผมน้ำเงินดังขึ้นในใจ
                    เสี้ยววินาทีนั้นบลูมิอาจใช้สายตาได้ เอลที่ประตูทั้งสี่บานถูกปลุกเร้าขึ้นมาให้ค้นหาตำแหน่งฝ่ายตรงข้ามแทนสายตา เป็นครั้งแรกที่บลู “รู้สึก” ได้ว่าศัตรูอยู่ตำแหน่งใด นี่อาจจะเป็นผลสะท้อนจากการที่ถูกกักขังอยู่ในทรงกลมแสงที่ราเฟริคเสกขึ้น ความมืดที่ครอบงำและการสูญเสียประสาทสัมผัสทั้งห้าทำให้เขาได้รู้ว่าประสาทสัมผัสที่หกมีอยู่จริง เอลในร่างกายจึงแผ่ออกไปรอบตัวจนสัมผัสได้กับเอลที่แหลมคมและร้อนแรง
                    โครม!
                    เพดานรถม้าถูกกระบี่เงินที่อาบไปด้วยสายฟ้าสีส้มทลายแยกออกเป็นสองส่วน  ม้าเทียมรถทั้งสองตัวเมื่อตกใจก็ร้องด้วยเสียงอันดังตะกุยกีบทั้งสี่ทะยานออกไปด้วยความตื่นตระหนก ตัวรถที่ปราศจากม้าเทียมเมื่อถูกสายฟ้าทลายผนังและเพดานจึงพังคืนลงมากองอยู่กับพื้น
    “สัมผัสที่หก” ช่วยบลูระบุตำแหน่งของฝั่งตรงข้ามได้กระโดดออกมาจากรถม้าทันท่วงที วินาทีถัดมาสายตาทั้งสองได้หายจากอาการพร่ามัว เปลี่ยนเป็นสายตาที่สับสนเมื่อพบว่าผู้มาเป็นอัศวินดำผมยาวสีแดงเพลิงผู้มีฉายาว่าวิชชุสีโลหิต
    บลูคว้ากระบองวิสุทธิ์ศาสตราที่กลางหลังออกมาถือด้วยสองมือ สงบจิตใจลงดั่งน้ำนิ่งในทะเลสาบ ต้องกลืนน้ำลายลงไปอึกหนึ่งเมื่อรู้สึกได้ว่าเอลของฝั่งตรงข้ามอย่างน้อยต้องอยู่ในระดับเหนือเมฆา พลางเร่งเร้าเอลในร่างออกมาเต็มตัว ในสมองคิดหาหนทางหนีเอาตัวรอดเพียงอย่างเดียว ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเขาในฐานะของผู้คุ้มกันสตรีทั้งสองจะถูกลอบสังหารเสียเอง จึงหาแผนถ่วงเวลากล่าวว่า “ที่แท้เป็นทายาทของตระกูลชไวน์”
    ซิฟเฟอร์มิยอมเอ่ยปากปะทะคารมด้วย เมื่อเห็นบลูยังไม่ทันตั้งตัวดีมีอย่างที่ไหนจะปล่อยให้โอกาสดีงามเช่นนี้หลุดลอยไป จึงดีดส้นเท้าแทงกระบี่สีเงินไปเบื้องหน้า ประสานเอลประทับสายวิชชุเข้ากับกระบี่จนเกิดเป็นสายฟ้าสีส้มร้อนแรง
    บลูกัดฟันร่ายกำแพงพสุธาด้วยประตูสามบาน หยิบยืมพลังงานจากแร่เอลไลท์ทั้งสองข้างกวาดกระบองใส่พื้นดิน ปรากฏเป็นกำแพงหินแข็งแกร่งผุดขึ้นมาเบื้องหน้า
    ตูม!
    ปลายกระบี่สีเงินทะลวงผ่านกำแพงพสุธาออกมาได้แต่อานุภาพลดทอนลง ซิฟเฟอร์ยังคงมีสายตาที่แน่วแน่บังคับกระบี่ด้วยทวงท่าเช่นเดิมแทงเข้าใส่บลูที่เบื้องหน้า กล่าวออกมาเป็นคำแรกว่า “อยู่!
     
    เวลาแห่งการดิ้นรนผ่านพ้นไปอีกห้าปี
                    ณ บริเวณหน้าสระน้ำ กลางลานรูปวงกลมในนครหลวงนอร์โปลิส สถานที่นี้เป็นใจกลางของสวนหย่อมแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ในเขตของเมืองชั้นกลางอีกทีหนึ่ง ในสระมีน้ำพุที่สร้างจากกลไกเอลเทค ฉีดสายน้ำขึ้นฟ้าเพิ่มเติมความร่มรื่นให้แก่สวนหย่อมแห่งนี้ตลอดวัน ลานรูปวงกลมสร้างยกระดับเป็นสองชั้น มีพื้นอิฐสองสีปูเป็นบันไดสี่ห้าขั้นกั้นระหว่างชั้นบนและชั้นล่าง ข้างลานมีต้นไม้และดอกทิวลิปหลากหลายสีสันประดับไว้สวยงาม ปรากฏเป็นร่างบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่เบื้องล่างของลานแห่งนั้น ดวงตาของเขาบ่งบอกถึงความเข้มแข็งและความสำเร็จในชีวิต
    ห้าปีก่อนบุรุษหนุ่มได้รับรู้ความจริงว่าสตรีผมแดงเป็นหลานสาวของผู้ปกครองจอห์นที่มีอำนาจค้ำฟ้า ถึงแม้ว่าทั้งสองจะรักกันขนาดไหนก็ตามกลับมิอาจผ่านด่านของตระกูลและสังคมรอบข้างได้ แค่เพียงวิธีการสมัครเข้าโรงเรียนก็แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน ด้วยศักดิ์ฐานะที่ไม่ลงรอยทำให้ทั้งสองค้นพบว่าในความเป็นจริงแล้วคนทั้งสองมิอาจจะครองรักร่วมกันได้ ความรักของเขาและนางที่เกิดขึ้นในโรงเรียนจึงต้องมีจุดจบ ล่องลอยดั่งหมอกควันสีจางๆที่ปกคลุมความทรงจำช่วงหนึ่งของชีวิต ในขณะที่ความทรงจำอีกช่วงหนึ่งของชีวิตคือการพลัดพรากและความจริงอันโหดร้าย
                    “ลาก่อน” คำกล่าวสุดท้ายยังคงตราตรึงอยู่ในใจเสมอมา
                    หญิงสาวจำเป็นต้องอำลากลับไปใช้ชีวิตทำงานให้ตระกูลที่ตึกธงดาบ เป็นเหตุให้จำต้องพลัดพราก          บุรุษหนุ่มจึงตัดสินใจทำหน้าที่มือปราบอย่างจริงจังเพราะมีแรงบันดาลใจมาจากเรื่องนี้ วันใดที่ลูกชาวนาผู้หนึ่งได้เลื่อนยศเป็นผู้ตรวจการหรือแม่ทัพใหญ่ประจำสหพันธรัฐแห่งนอร์ ก็มีศักดิ์ฐานะเพียงพอที่จะร้องขอให้โซเฟียกลับมาหาเขาอีกครั้ง ด้วยความปรารถนาอันแรงกล้ากระบี่เกล็ดน้ำค้างที่พึ่งจะเปลี่ยนมือเจ้าของจึงแผลงฤทธาได้อย่างน่าอัศจรรย์
                    และในวันนี้ความพยายามตลอดห้าปีที่ผ่านมาก็ส่งผลิดอกออกผล บุรุษหนุ่มได้รับการแต่งตั้งเป็นมือปราบชั้นหนึ่งแห่งภาคตะวันตก ตำแหน่งที่จัดว่าสูงที่สุดในบรรดาของมือปราบทั่วสารทิศ
                    “เจ้ามาแล้ว” บุรุษหนุ่มในชุดมือปราบระดับหนึ่งสีแดงเข้ม เพียงยืนหันหลังก็สามารถรู้สึกได้ถึงความคงอยู่ของหญิงสาว เขามิใช่บุรุษหนุ่มผู้อ่อนต่อโลกอีก ประสบการณ์ในโลกของมือปราบตลอดห้าปีที่ผ่านมาเปลี่ยนชีวิตและความคิดไปโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นเล่ห์เหลี่ยมอันแพรวพราวและกับดักอันโหดเหี้ยมอำมหิตของโจรผู้ร้ายใดๆ เขาพร้อมที่จะเผชิญและทำลายมันให้สิ้นซาก เพราะนั่นคือภาระอันยิ่งใหญ่ที่มือปราบชั้นหนึ่งแบกรับไว้ให้แผ่นดิน
                    “ท่าน ” หญิงสาวชาวนอร์ยังคงความงามไว้ไม่เสื่อมคลาย แต่เป็นความงามที่พัฒนาจากเด็กสาววัยรุ่นไปเป็นสตรีเต็มตัว ยิ่งได้สวมชุดอันเริ่ดหรูที่ปล่อยชายยาวลงเกือบถึงพื้น ขับเน้นความเป็นเอกลักษณ์ของทายาทตระกูลวิลล์ผู้สูงส่ง จากกันห้าปีครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองมีโอกาสได้พบหน้ากัน
                    “ครานี้ข้ามาหาเจ้าในฐานะมือปราบชั้นหนึ่ง ด้วยศักดิ์และเกียรติยศเช่นนี้คงมิทำให้ชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลวิลล์เสื่อมเสียอีก เวลาห้าปีที่ผ่านมากัดกร่อนหัวใจข้าจนแทบแหลกสลาย แทบมิอาจผ่านพ้นห้วงแห่งความทรมานจากการที่ไม่มีเจ้าอยู่ข้างกาย แต่ในวันนี้ทุกอย่างล้วนผ่านพ้นไปแล้ว”
                    ทายาทแห่งตระกูลวิลล์ยังมิได้กล่าวอะไร ความรู้สึกแห่งความตื้นตันบดบังคำพูดต่างๆไปเสียทั้งหมด นึกไม่ถึงว่าจะมีบุรุษผู้หนึ่งยอมกระทำเพื่อตนเองเช่นนี้ และเช่นเดียวกันในช่วงห้าปีที่ผ่านมาก็มิใช่เวลาอันสุขสบายของนางเลย ไม่เคยเหลียวแลบุรุษผู้ใดที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เพียงคิดถึงแต่เขาผู้นั้นเพียงคนเดียว
                    หญิงสาวก้าวลงบันไดจากลานชั้นบน หมายจะโผเข้าสู่อ้อมกอดของบุรุษหนุ่มตรงหน้า แต่ด้วยสาเหตุบางประการเมื่อนางเคลื่อนกายมาเพียงสองก้าวก็ต้องหยุดลง หยาดน้ำตาไหลลงมาอาบปรางค์แก้มที่ยังคงเปล่งปลั่ง ปล่อยให้แสงจากอาทิตย์ในยามสายลูบไล้ใบหน้า
                    “เจ้าเป็นอะไรไป?
                    “ข ... ข้อขอโทษ” หญิงสาวก้มหน้าลงพื้นปล่อยให้น้ำตาหยดลงไปเบื้องล่าง
                    บุรุษหนุ่มตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเมื่อเห็นหญิงสาวเป็นเช่นนี้ แม้เป็นจอมโจรจากสารทิศไหนเขาไม่เคยหวั่นหวาด แต่เมื่อต้องเผชิญกับน้ำตาของสตรีอันเป็นที่รักกลับไม่รู้จะกระทำเช่นไร นอกเสียจากการเข้าไปสวมกอดนางเอาไว้ กล่าวว่า “เจ้าต้องขอโทษเรื่องอันใด? ฝันร้ายได้ผ่านพ้นไปแล้ว ความทรมานตลอดห้าปีที่ผ่านมาได้มาถึงจุดสิ้นสุด ข้าจะไม่จากเจ้าไปอีก”
                    “มิใช่เช่นนั้น ข้าต้องขอโทษท่านจริงๆ เราสองคนมิอาจไปด้วยกันได้ มิใช่เพราะเรื่องเกียรติยศหรือศักดิ์ศรีแต่ประการใด”
                    คำกล่าวประโยคนี้ประดุจดั่งอัสนีบาตในยามแล้ง สองมือของบุรุษหนุ่มจับต้นแขนนางพร้อมกล่าวว่า “ไม่จริง ... เป็นเพราะเหตุอันใด?
                    หญิงสาวเงยใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา เมื่อสองสายตาประสานสบ ก็ได้ยินเสียงของนางกล่าวต่อไปว่า “ความรักของเราทั้งสองคงจะเป็นไปไม่ได้อีก กฎของตระกูลข้านั้นห้ามมิให้แต่งงานกับบุคคลที่มีเชื้อชาติอื่น ดั่งเช่นบิดาที่มิอาจแต่งงานกับหญิงสาวชาวลาเวนดิสผู้เป็นที่รักได้ ข้ามีเชื้อสายนอร์อยู่เต็มตัวในขณะที่ท่านมีเชื้อสายเจนีส แม้ว่าท่านจะถือสัญชาตินอร์แต่ก็ยังเป็นชาวเจนีสอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง บุญคุณของวงศ์ตระกูลและบุปการีที่เลี้ยงดูมิอาจพังทลายเพราะข้าเป็นต้นเหตุ ... ข้าเจ็บปวดใจยิ่ง แต่ก็รักท่านยิ่ง”
                    “เจ้าหมายความว่าอะไร เชื้อสายใดก็เป็นชนชาตินอร์เช่นกันไม่ใช่หรือ?
                    “ท่านไม่เข้าใจ ... โลหิตทุกหยดของบุคคลทุกคนในตระกูลของข้ามาจากสายเลือดนอร์โดยแท้ อันเป็นสายเลือดหนึ่งเดียวที่สามารถดำรงตำแหน่งผู้ปกครองรัฐได้”
                    “นั่นจะเป็นจริงได้อย่างไร ตลอดช่วงเวลาที่ข้าทำงานเป็นมือปราบไม่เคยได้ยินมาว่ามีกฎไร้สาระเช่นนี้มาก่อน ข้าเองเกิดและเติบโตที่นี่มีเพียงแค่สีผมและสีตาที่แตกต่าง นั่นหมายความว่ามิใช่ชาวนอร์อย่างนั้นหรือ?
                    หญิงสาวส่ายหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง น้ำตาอันอุ่นระอุก็ไหลลงมาอาบแก้ม กระซ่านเซ็นเป็นหยดออกเปรอะเปื้อนชุดของคนรักตรงหน้า กล่าวว่า “แม้ข้าทราบว่าใช่แต่ผู้อื่นมิได้คิดเช่นกัน”
                    มือปราบหนุ่มรั้งรางเข้ามากอดอีกครา กล่าวว่า “ข้ารักเจ้าและเจ้าก็ทราบดีว่าเจ้าเองก็รักข้าเช่นกัน พวกเราจะปล่อยให้สิ่งที่บุคคลอื่นตั้งขึ้นมาอย่างเลื่อนลอยทำลายชีวิตของเราอย่างนั้นหรือ?
                    “ไม่ ... มิได้อยากเช่นนั้น ... ข้าขอโทษ ... ข้า ... ข้าไม่อาจรักท่านได้”
                    โฉมสะคราญผมแดงกล่าวถึงตรงนี้มิอาจทนทานได้อีกต่อไป ตัดใจผละออกจากอ้อมอกของชายคนรัก ใช้มือหนึ่งปิดนัยน์ตาที่เปียกชุ่ม วิ่งออกไปจากลานน้ำพุกลางสวนหย่อม
                    “โซเฟีย ...”
                    ภาพของนางที่หลั่งน้ำตาแห่งความโศกเศร้าแล้วเดินจากไปยังคงตราตรึงอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ นี่เป็นสาเหตุที่สำคัญที่ทำให้ท้อแท้ต่ออาชีพมือปราบชั้นหนึ่งถึงกับคิดอยากลาออก มิใช่เพียงความกตัญญูที่มีต่อบิดามารดาบุญธรรมเท่านั้น
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×