คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #94 : Ep.12 - Adjure
UNagain.12 - Adjure
“เอาไงดีล่ะกริช?”
แพทตี้ส่งสายตาขอความเห็น ซึ่งชายหนุ่มก็ต้องกลับด้วยการเหยียดกายขึ้นแล้วรับตราประทับนั้นไว้ กริชมองวัตถุในมืออยู่ชั่วขณะ จากนั้นจึงว่า
“ชั้นไม่มีวันกลับไปที่ขุมหรอก”
เป็นสายตาอันเด็ดเดี่ยว ยามะและราฟาเอลลอบชมเชยในใจ จากนั้นหล่อนจึงทัก “แล้วเจ้าล่ะ?” พลางส่งสายตาให้แพทตี้ราวกับต้องการคำตอบ ด้านหญิงสาวเมื่อเห็นเพื่อนชายตกลง เธอจึงไม่คัดค้านแล้วรับตราประทับจากอีกฝ่ายมาถือไว้ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ยามะจึงปรบมือเรียกความสนใจ
“ยินดีด้วย! ยินดีด้วย! เท่านี้พวกเจ้าก็เป็นคนของข้าแล้ว แต่ว่าก่อนอื่นเจ้าลองเอาตราประทับไปแนบกับปลอกคอดูสิ” เธอชี้มือที่ลำคอเป็นการบ่งบอก ทางด้านทั้งสองแม้จะงุนงง กระนั้นทั้งคู่ก็ปฏิบัติตามอย่างว่าง่าย วิ้ง! มีเสียงใสปรากฏขึ้น ขณะเดียวกันวัตถุเหล็กก็เรืองแสงสว่างจ้า
เพล้ง!
ทันใดนั้นปลอกคอก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทั้งคู่ถึงกับตะลึง กระทั่งตั้งสติได้แพทตี้จึงว่า “ขอบคุณนะ” พลางส่งยิ้มให้หญิงสาวบนบัลลังก์ เธอไหวไหล่ไม่ยี่ระหนหนึ่งก่อนจะเคี้ยวมันฝรั่งทอดต่อ
ทางด้านชายหนุ่มยามนี้กำลังลูบคอตนเองไปมาอยู่
———ตัวเขารู้สึกเหมือนได้เป็นอิสระอีกครั้ง
“ราฟาเอล ข้าฝากที่เหลือด้วยแล้วกัน” พอยามะเอ่ยเช่นนี้ เลขาหนุ่มจึงได้แต่ถอนหายใจ ก่อนจะผายมือให้แก่พวกเขา “ตามผมมาสิ” โดยไม่รอคำตอบ เขาก็มุ่งหน้าออกจากห้องโดยมีทั้งสองตามหลัง
“นายจะพาพวกเราไปไหนกัน?”
“พามาส่งน่ะ”
“เอ๋?”
กระทั่งพวกเขามาหยุดอยู่ด้านหน้าประตู ราฟาเอลจึงยื่นจดหมายมาให้หนึ่งฉบับ แล้วว่า “ในนี้มีข้อความสำคัญ กับเงินอยู่จำนวนหนึ่ง โปรดรักษาตัวด้วย”
ปึง!
“.......”
ทั้งสองถึงกับเงียบกริบ เอ๊ะ? เสร็จแล้วเหรอ? แค่นี้เนี่ยนะ? ในหัวของกริชคิดเช่นนั้น ขณะเดียวกันแพทตี้ก็พึมพำ “นี่สินะที่เรียกว่าส่งแขก” พลางพยักหน้าอืมๆให้กับตนเอง ชายหนุ่มได้แต่เบ้ปาก ก่อนจะเปิดซองจดหมายอยู่หน้าตำหนักทั้งอย่างนั้น ภายในมีธนบัตรของที่นี่กับแผ่นกระดาษเล็กๆอีกใบ
“นี่มัน...บทร่ายงั้นเหรอ?”
อาคมนิรยบาล【บัลละ】ภายในบอกถึงอาคมประเภทนี้ ซึ่งความสามารถของมันคือการเปลี่ยนผู้ร่ายเป็นนิรยบาลชั้นล่าง ไม่ใช่แค่เรื่องอาคม แต่ยังมีอธิบายถึงข้อมูลสำคัญๆอีกต่างหาก เช่นวิธีออกจากเมืองจำต้องใช้ตราประทับกับมุทรา หรือเรื่องลำดับศักดิ์ของนิรยบาลนั้นมีทั้งสิ้น 3 ชั้น
ชั้นล่างใช้เมอร์ริธ 10 จุดในการร่าย ลักษะจะมีสองเขา
ชั้นกลางใช้เมอร์ริธ 30 จุดในการร่าย ลักษะจะมีสี่เขา
ชั้นสูงใช้เมอร์ริธ 60 จุดในการร่าย ลักษะจะมีหกเขา
“.....แสดงว่าเราในตอนนี้ยังใช้ไม่ได้สินะ?”
กริชเปรย ก่อนจะพับกระดาษเข้าซองแล้วเก็บไว้ในอกเสื้อ ทว่าตอนนั้นเองที่แพทสะกิดเขาจนชายหนุ่มต้องหันมาสนใจ จากนั้นเขาจึงเบิกตากว้างกับภาพเบื้องหลัง สิ่งนั้นก็คือกลุ่มในชุดสีจำนวนมากกำลังยืนล้อมกรอบเขาอยู่ ก่อนที่ความจะกระจ่าง ทันใดนั้นชายคนหนึ่งก็ก้าวเท้าออกมา เขาเป็นบุรุษวัยยี่สิบกว่าๆ
“พวกน้องชายคงเพิ่งมาถึงแดนพิพากษาสินะ?”
“ใช่ พวกเราเพิ่งมาถึง แล้วคุณมีธุระอะไรงั้นเหรอ?”
จากนั้นสตรีจากอีกกลุ่มหนึ่งจึงเสนอตัวออกมา หล่อนสวมชุดแดงแบบกี่เพ้าเธอประสานมือให้แก่แพทตี้และกริช ก่อนจะว่า “พวกเราคือตัวแทนสำนัก ที่มาวันนี้ก็เพื่อชักชวนเจ้าเข้าร่วม”
“สำนัก? แบบหนังจีนน่ะเหรอ?” แพทตี้เอียงคอ จากนั้นชายวัยกลางคนจากกลุ่มที่สามจึงโพล่ง
“ใช่แล้วแม่สาวน้อย พวกเราคือสำนักที่ว่านั่นแหละ หน้าที่ของเราหลักๆคือการฝึกวิชาเพื่อออกไปกำราบพวกมารและอสุภะ รวมถึงงานทั้งหลายแหล่ของนิรยบาลด้วยล่ะนะ อ่อ ลืมแนะนำตัว ข้ามีนามว่า【หลิวเฟิงเหลย】เรียกว่าพี่หลิวก็ได้นะสาวน้อย ฮ่าฮ่าฮ่า!”
“อะ...ค่ะ”
เฟิงเหลยกระพริบตาปิ๊งๆให้จนเธอถึงกับชะงักไปครู่หนึ่ง ทางด้านของกริชกลับกระตุกคิ้วมองการกระทำกึ่งมารยาทกึ่งหลีของอีกฝ่ายอย่างไม่ชอบใจนัก เขาว่า “ถ้าเข้าร่วมกับสำนักแล้วเราจะได้อะไร?”
“คำตอบนั้นง่ายมาก น้องชายจะได้ทั้งเงินทองและบารมีของสำนักไว้ป้องกันตัวจากศัตรู ไม่ใช่แค่นี้หากพวกนายทำผลงานดีก็มีโอกาสได้ฝึกฝนอาคมจากพวกเราเพิ่มด้วย ขอรับรองเลยว่าไม่เกินหนึ่งปี น้องชายจะต้องได้รับวิชาจากพวกเราไปอย่างน้อย 2-3 บทแน่นอน พี่ชายมีชื่อว่า【โจเซฟ】หวังว่าพวกเราจะได้อยู่สำนักเดียวกันนะ” จากนั้นหญิงสาวจากอีกกลุ่มจึงประสานมือพูด
“ข้ามีนามว่า【ลู่ไป๋จู】หวังว่าพวกเจ้าจะสนใจในสำนัก”
“มีหลายสำนักงั้นเหรอ?”
“เป็นเช่นนั้น สำนักของข้าคือ【สำนักสตรีเพลิง】อันเป็นอันดับสามของแผ่นดิน น่าเสียดายที่เจ้ามิอาจเข้าร่วม เพราะตามกฎเรารับแต่ผู้หญิงเท่านั้น” หล่อนเหลือบมองแพทหนึ่ง แล้วว่า “สนใจรึไม่?”
“อืม...ขอชั้นคิดดูก่อนนะคะ” แพทตี้ยิ้มแหะๆแล้วหันมาทางกริช แล้วทัก “นายจะเข้าสำนักไหม?” ซึ่งเขาก็ยืนนิ่งพิจารณาอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะว่า “เมื่อครู่คุณพูดถึงมารและอสุภะสินะ? มันคืออะไรงั้นเหรอ?” โจเซฟร้องว่า “น้องชายยังไม่รู้..?” จากนั้นเขาจึงชี้ลำคออันว่างเปล่าแล้วว่า “ปกติพวกเราตอนแรกจะมีปลอกคอใช่ไหมล่ะ?” ซึ่งกริชก็พยักหน้าตอบกลับไป ก่อนจะได้รับคำตอบชวนตกตะลึงออกมา
“หากไม่มีเจ้านี่เมื่อนายตายแล้วก็จะดับสูญไปตลอดกาล”
“หา..!?”
“ถ้าเพิ่งรู้ก็ไม่แปลกหรอกที่จะมีสภาพแบบนี้ แต่อย่าเพิ่งร้อนรนไป หากไม่มีมันแล้วนายก็จะแข็งแกร่งขึ้นได้ เพราะปลอกคอนั่นเป็นตัวล็อกขีดจำกัดของค่าเมอร์ริธยังไงล่ะ” เขาตระหนกอีกครั้ง แล้วว่า
“ค่าเมอร์ริธสามารถเพิ่มได้งั้นเหรอ!?”
“นี่เจ้าไม่รู้?” หนนี้เป็นลู่ไป๋จูขมวดคิ้ว จากนั้นชายฉกรรจ์นามว่าหลิวเฟิงเหลยจึงทัก “ฮ่าฮ่าฮ่า! พวกน้องชายคงเพิ่งตกนรกมาได้ไม่นานกระมั้ง? เอาเถิด คำถามว่ามารคืออันใด อสุภะคืออันใด ข้าจักตอบให้” มันชูนิ้วมือขึ้น แล้วสาธยาย “อสุภะคือปีศาจประเภทหนึ่ง พวกมันกำเนิดจากผู้ที่มีคาร์ม่าสิบห้าจุดแล้วไร้ปลอกคอ”
“เอาจริงดิ...ปีศาจเนี่ยนะ?”
“เป็นเช่นนั้น” เฟิงเหลยกล่าว “เมื่อถึงเวลาเจ้าคงได้เห็นเอง ส่วนพวกมารก็คือตัวตนอันร้ายแรงยิ่งกว่านั้น การคงอยู่ของพวกมันนั้นนับว่าใกล้เคียงกับนามธรรมไม่น้อยเลยทีเดียว”
“เป็นปีศาจอีกงั้นเหรอ?”
“ใช่ มารเป็นสิ่งมีชีวิตที่ถือกำเนิดมาเพื่อกัดกินมนุษย์โดยเฉพาะ” จากนั้นโจเซฟจึงตบมือเรียกสติ เขาเอ่ย “เท่านี้น้องชายก็คงกระจ่างแล้ว เช่นนั้นพี่ชายขอถาม ว่าน้องชายจะเข้าร่วม【สำนักลำนำฟ้า】รึไม่?”
“เฮ้ยๆ เจ้าอย่าลืมนะว่ายังมีข้า【สำนักมังกรเหล็ก】อยู่น่ะ อ่อ หากน้องสาวสนใจ ก็เข้ามาติดต่อที่สำนักได้ตลอดเลยนะจ้ะ” เฟิงเหลยไม่แคล้วหันมาหม้อแพทตี้อีกครั้งจนเธอขนลุกซู่
“น่ารังเกียจเสียจริงนะ หลิวเฟิงเหลย”
“หืม? เจ้าหึงข้าเรอะ? แม่นางจู”
“นี่เจ้า..!?”
“เอาน่าๆ พวกท่านเองก็ไม่ใช่เด็กแล้วนะ มาทะเลาะกันต่อหน้าผู้น้อยก็ดูกระไรๆอยู่ จริงไหม?” โจเซฟกล่าวแก้ไขสถานการณ์แก่ทั้งคู่ จนไป๋จูได้แต่สะบัดหน้าร้อง ‘เชอะ!’ ออกมาเบาๆ เขากล่าว
“เอาล่ะ น้องชายจะเลือกเข้าสำนักไหนล่ะ?”
“เอ่อ...ก่อนอื่นของชั้นถามก่อนได้ไหมคะ?”
ตอนนั้นเองที่แพทตี้ยกมือขึ้น โจเซฟขมวดคิ้วว่า “เชิญ” จากนั้นเธอจึงพูด “ไม่ทราบว่าที่นี่มีแค่สามสำนักเหรอคะ? แล้วสำนักไหนกันที่แข็งแกร่งที่สุด?”
“ในแดนพิพากษามีทั้งสิ้น 6 สำนักหลัก ที่เหลือเป็นเพียงสำนักขั้นก่อตั้งมีสมาชิกไม่ถึงพันคน สำนักจำพวกนี้นับว่ามีเกลื่อนเกือบๆ 10-20 สำนักเลยทีเดียว กระนั้นหากเทียบพวกเราที่เป็นสำนักหลัก ทางนี้นับว่าได้เปรียบว่าหลายขุม ทั้งด้านกำลังคนและความสามารถ แล้วหากถามว่าใครเป็นที่หนึ่ง––”
โจเซฟหันมองสหายต่างสำนักหนหนึ่งแล้วว่า
“คำตอบคือไม่มี”
“เอ๋? ทำไมล่ะคะ..?”
“คานอำนาจกันอยู่สินะ?”
พอกริชโพล่งออกไปอย่างนั้น ทั้งสามจึงค่อยๆพยักหน้าอย่างเลี่ยงไม่ได้ “สำนักมังกรเหล็ก และ สำนักมังกรทองคือตัวเต็งลำดับสอง ดังนั้นการที่พวกข้ามาในวันนี้ จึงส่งผลให้พวกมังกรทองไม่เข้ามาร่วมหาสมาชิก” เฟิงเหลยยังเอ่ยต่ออีก “การประลองสำนักจะมีขึ้นในปีหน้า เช่นนั้นก็อย่าห่วงเลย เพราะพวกมันเองก็คงจะปิดด่านฝึกวิชาอยู่เป็นแน่” แม้เจ้าตัวจะเอ่ยเช่นนั้น แต่กริชก็ดูจะไม่ได้สบายใจเลยแม้แต่น้อย
———จากนั้นโจเซฟจึงยื่นกระดาษมาให้
“ในนั้นมีรายชื่อสำนักทั้งหมดอยู่ หากน้องชายสนใจเข้าร่วมกับสำนักอื่นนอกเหนือจากพวกเราก็ไม่เป็นไร” ชายหนุ่มเอ่ยเช่นนั้น ซึ่งพอดูคร่าวๆก็พบกับชื่อสำนักเกือบ 30 กว่าชื่อเลยทีเดียว
“ชั้นเลือกได้แล้วค่ะ”
ทว่าก่อนที่เขาจะทันได้ตัดสินใจ ตอนนั้นเองที่หญิงสาวเป็นฝ่ายโพล่งขึ้น เรียกสายตาสนใจจากทุกคนโดยรอบได้ทันที “แพทตี้?” กริชเรียกเธอพลางขมวดคิ้วสงสัยเช่นกัน เธอว่า
“ชั้นจะเข้าสำนักลำนำฟ้า”
เฮฮฮฮฮฮฮฮ!!!
ทันใดนั้นกลุ่มศิษย์สำนักของในชุดสีครามหม่นจึงโห่ร้องออกมาดังลั่น ผิดกับสองสำนักที่กำลังยืนคอตกอยู่ โจเซฟยิ้มอย่างยินดี พลางประสานมือให้
“ต้องขอบคุณน้องสาวแล้ว”
“อ๊ะ? ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฮะฮะ”
“ด-เดี๋ยวสิ!?” ตอนนั้นเองที่กริชแย้งขึ้น เขาว่า “นี่เธอจะเข้าสำนักนี้จริงๆงั้นเหรอ!? ทำไมกันล่ะ? ทั้งที่สำนักอื่นก็มีตั้ง––อุ้บ..!?” ตอนนั้นแพทตี้จึงยกมือขึ้นปิดปากของกริชเอาไว้
“ก็ที่พวกเราเห็นหน้าค่าตาน่ะมีแค่สามสำนักนี้เท่านั้น สำนักหนึ่งมีคู่อริ ส่วนอีกสำนักหนึ่งก็รับเฉพาะผู้หญิง”
———คำพูดนี้พลันทิ่มแทงเข้าสู่หัวใจของกริช
“ถ้าหากไม่เลือกลำนำฟ้า พวกเราก็จะไม่ได้อยู่ด้วยกันสิ”
“........อ-อืม”
แม้จะตอบกลับอย่างไม่ยากเย็น ทว่าในใจของเขากลับเต้นระรัวไม่เป็นจังหวะอยู่
———แม้จะปกปิด แต่ใบหน้าของเขายามนี้กลับขึ้นสีอย่างเด่นชัด
“ทำไมหน้าแดงล่ะ? เป็นไข้เหรอ?”
“ย-ยุ่งน่า..!”
۞۞۞
ความคิดเห็น