ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ความลับในหุบเขาหมอก

    ลำดับตอนที่ #9 : ++ เสียงเพลงในสายลม++ เทศกาลใบไม้แดง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 840
      1
      18 มิ.ย. 50

    8

    เทศกาลใบไม้แดง

    สำหรับเอเธเนียล ชั้นเรียนทหารไม่มีอะไรยากเลยแม้แต่อย่างเดียว แต่สำหรับเด็กสาวบ้านป่า หล่อนแทบจะไม่รู้จักอะไรเลย

    อัศวินถือว่าเป็นขุนนาง มีหน้าที่ปกครองทหารอีกทอดหนึ่ง ส่วนทหารก็มีหน้าที่ดูแลนักเรียนฝึกหัดอีกที แต่หน่วยอัศวินศักดิ์สิทธิ์เป็นหน่วยที่ตั้งขึ้นใหม่ มีหน้าที่เป็นผู้คุ้มครองบุคคลสำคัญในสภาสูงครูเซนโดยเฉพาะ

    ตำแหน่งของบาซันจึงก้ำกึ่ง ตอนเช้าต้องไปเรียนวิชาทหาร แต่ตอนบ่ายต้องไปฝึกอาวุธกับอัศวิน กลางคืนติวพิเศษกับครู

    'ครู' ต้องทึ่งกับความสามารถในการเรียนรู้ของหล่อน ไม่ว่าจะสอนอะไร หล่อนก็จะจำได้ในทันที ไม่ว่าจะเป็นตัวอักษรหรือการคิดเลข เพียงแต่การจะทำให้นักเรียนพูดนั้นยากเย็นนัก

    เขาเกิดหมั่นไส้ขึ้นมา เลยสอนหล่อนร้องเพลง

    สิ่งที่บาซันทำคือมองเขาเหมือนตัวประหลาด แล้วตบมือให้จังหวะ

    เรื่องเช้าวันนั้นยังไม่ทันซา ตอนนี้ก็มาอยู่ด้วยกันดึกๆ ดื่นๆ ทุกวัน เอเธเนียลไม่รู้จะกลบข่าวลือยังไงแล้ว จะจีบจริงๆ เสียเลยก็...

    หล่อนก้มหน้ามองตำราเรียน ทำให้เห็นเสี้ยวหน้าสวยแปลกตากว่าชาวครูเซน แก้มขาวใสดูเนียนนุ่ม ทั้งๆ ที่ตากแดดพอๆ กับเขา ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนหรุบลงทำให้เห็นแพขนตายาวดูอ่อนช้อย

    จ้องๆ อยู่ หล่อนก็หันมาสบตา แล้วชี้ไปที่คำศัพท์ในหนังสือ

    "อ่านว่า...อินดราเซีย" เด็กหนุ่มบอก

    เขารู้สึกว่าแก้มตัวเองร้อนวาบขึ้นมา จึงเสหันหน้าไปทางอื่นเสีย

    ชิ เด็กบ้านนอกพรรค์นี้

    "ขัดหูขัดตาจังน้า"

    นายพลผู้ไว้หนวดหรอมแหรมเดินไปมาอยู่ในห้องทำงาน ทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่าง ชายหนุ่มในชุดเสื้อคลุมสีแดงสดที่นั่งจิบชาอยู่ใกล้ๆ วางถ้วยในมือลงบนจานรอง แล้วหันไปมองนอกหน้าต่าง พวกนักเรียนทหารบางกลุ่มกำลังฝึกดาบ บางกลุ่มกำลังฝึกม้า บางกลุ่มกำลังสู้กันด้วยมือเปล่า

    "มีแต่พวกเหม็นเหงื่อ ดูแล้วชอบก็แปลกแล้ว"

    นายพลอามาสเหลือบตามองน้องชาย ก่อนจะส่ายหน้า

    "ไม่ใช่แบบนั้น เจ้ามองลงไปสิ"

    เด็กหนุ่มผมทองชะโงกศีรษะไปมอง แล้วก็ยักไหล่

    "ขยันขันแข็งดีนะ จะไปรบกับพวกเดนตายอินดราเซียเหรอ"

    ชายร่างใหญ่ทำเสียงจึ๊กจั๊กในลำคออย่างขัดใจ เขายืนยืดตัวตรงเอามือไพล่หลัง ก่อนจะหันมาเอ่ยเสียงขรึม

    "ตัดสินใจแล้ว"

    "เรื่อง?"

    "เรียกช่างมาออกแบบชุดอัศวินหญิงดีกว่า"

    เอย์ระสำลักน้ำชาพรวด

    "ที่เดินไปเดินมานี่คิดเรื่องแบบนี้หรือท่านพี่"

    "เจ้าไม่เห็นด้วยรึไง"

    ดวงตาสีเขียวเพ่งมองลงไปยังร่างบางในชุดรัดกุมหลวมโพลกแล้วขมวดคิ้วน้อยๆ

    "ไม่น่ารัก"

    นายพลอามาสพยักหน้าหงึกหงัก

    "ดอกไม้ดอกเดียวท่ามกลางปลักโคลน น่าเอามาจัดให้สวยๆ"

    "ไม่ใช่เพียงแค่ปลักโคลน แต่ที่นี่มันเน่าเฟะ โดยเฉพาะผู้ชายคนนั้น...อเล็กซิส"

    ดวงตาสองคู่แลสบกัน ดวงตาสีเขียวเข้มกว่าของนายพลอามาสลุ่มลึกยากจะหยั่ง

    "แล้วจะให้ข้าหมกตัวอยู่แต่ในบ้านแบบยูจีน? หรือหาเมียสักคนแบบอากะ"

    เอย์ระรินน้ำชาลงในถ้วยใหม่ แล้วเติมน้ำตาลลงไปสี่ช้อน

    "ท่านอยู่ที่นี่แหละ ดูแลเด็กคนนั้นด้วย จนกว่าจะถึงเวลา"

    "ห่วงนัก ทำไมไม่ดูแลเสียเอง"

    เด็กหนุ่มก้มหน้านิ่ง

    "เลเซธก็เพื่อนข้า ซานากีก็เพื่อนข้า ทำก็ไม่ดี ไม่ทำก็ผิด"

    "ทำตัวมีลับลมคมในเสียจริง รู้อะไรมาอีกล่ะ"

    รอยยิ้มบนใบหน้าคมคายดูแปลกประหลาด คล้ายสนุก คล้ายเยาะหยัน

    "บอกก็ไม่สนุกสิ"

    ผู้เป็นพี่ขยับยิ้มมุมปาก เขาไล้นิ้วโป้งไปตามแผลเป็นยาวที่แก้มซ้าย "ไอ้พวกมดแมลงอินดราเซีย"

    "มดอะไรกัดเป็นแผลลึกแบบนั้น"

    คำของน้องชายทำให้ใบหน้าคร้ามขรึมลง ยามไม่มีรอยยิ้ม ใบหน้าคมเข้มของนายพลอามาสดูดุดันน่ากลัวราวกับพยัคฆ์

    "แลนดีสยังไม่อภัยให้ข้า แผลนี้จึงยังไม่หาย"

    "ถ้าเขารู้ว่าบาซันยังไม่ตาย แผลท่านจะหายไหม"

    อามาสไม่ตอบคำถาม เขาคว้าดาบเล่มงามบนผนังมาคาดไว้กับเอว แล้วหมุนกายออกไปจากห้อง

    "ลงไปเดินโฉบๆ ซะหน่อย พวกปลาเล็กปลาน้อยมันจะได้เข้มแข็ง"

    งานเฉลิมฉลองเทศกาลใบไม้แดงมีขึ้นทั่วครูเซน นักบวชหลวงจะสวดแสดงความขอบคุณครูซที่วิหารหลวง ก่อนจะนั่งบนรถม้าออกไปสวดอีกครั้งต่อหน้ารูปสลักของครูซที่จัตุรัสกลางเมือง

    ทันทีที่ประตูวังเปิดออก รถม้าไม่มีหลังคาสีดำสนิทเทียมด้วยอาชาพ่วงพีสีเดียวกันก็ย่ำเท้าออกมาจากข้างใน ถนนสู่จัตุรัสกลางเมืองถูกขนาบด้วยทหารทั้งสองข้าง

    เสียงโห่ร้องด้วยความยินดีของประชาชนดังกึกก้อง ชายหนุ่มผู้มีดวงตาสีม่วงยืนโบกมือให้ประชาชนอยู่บนรถ วันนี้เขาสวมใส่ชุดยาวกรอมเท้าสีแดง เส้นผมสีเงินละเอียดยาวทอดอยู่บนผ้าคลุมสีแดงราวเส้นไหมชั้นดี ข้างกายเคียงไว้ด้วยอัศวินซ้ายขวา

    อัศวินโยชัวร์และว่าที่อัศวินหญิงบาซัน

    ดวงตาสีเขียวเข้มราวพงไพรของนายพลอามาสที่ขี่ม้าตามหลังจับจ้องไปที่ร่างเด็กสาวอย่างปลาบปลื้ม

    ผ้าไหมสีม่วงอ่อนๆ สะท้อนแสงเงาวับ ขลิบชายด้วยไหมเกลียวสีเงิน แนบเข้ารูปไปกับร่างบอบบาง สอดผสานไปกับเกราะเหล็กเงาวับอย่างลงตัว ดูคล่องแคล่วไม่กรีดกราย หมวกผ้าไหมประดับขนสัตว์สีขาวดูนุ่มนิ่ม ออกแบบเข้ากับสายคล้องดาบหนังสัตว์สีขาว ขับเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนให้ดูระยิบระยับ

    ชุดใหม่น่ารักจริงๆ

    เมืองทั้งเมืองประดับประดาไปด้วยสีแดงและดำ กลมกลืนไปกับสีของต้นไม้ที่เรียงรายอยู่สองฟากถนน ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าสดใส ราวกับสวรรค์จะร่วมอำนวยพร

    พิธีการต่างๆ เป็นไปอย่างราบรื่น ระหว่างที่ประมุขแห่งศาสนจักรสวดขอพรและกล่าวคำขอบคุณมหาเทพ ประชาชนต่างเงียบกริบ ทำให้เสียงทุ้มกังวานแผ่ขยายไปไกล

    "องค์ชายคงต้องฝึกปอดน่าดู"

    นายพลร่างใหญ่กระซิบกระซาบกับเสธคนสนิท คาร์ลดันแว่นขึ้นเล็กน้อยแล้วทำเป็นไม่ได้ยิน

    เมื่อการสวดจบสิ้นลง เหล่าสภาสูงแห่งศาสนจักรก็ได้รับเชิญให้เข้าไปนั่งในปะรำพิธี เพื่อชมการแสดงที่ชาวบ้านจัด ซึ่งประกอบด้วยการร้องรำทำเพลง แสดงละคร และแสดงการฝึกอาวุธของทหาร อาหารและไวน์ถูกแจกจ่ายให้ประชาชน พร้อมๆ กับที่เหล่าสมาชิกสภาสูงเริ่มทยอยเดินทางกลับ

    สายลมอ่อนๆ พัดโชย พาเอากลิ่นหอมประหลาดให้อบอวลทั่วลาน ทั้งอากาศดี ทั้งท้องอิ่ม ไม่ว่าใครก็อยากจะกลับบ้านไปนอนสักตื่น ยิ่งได้ไวน์รสเลิศที่หมักบ่มได้ครบสามปียิ่งทำให้บรรยากาศรื่นรมย์ยิ่งนัก

    แม้จะมองไม่เห็น แต่ชายหนุ่มก็รู้สึกถึงความอ่อนโยนที่แฝงอยู่ในอากาศ ทั้งเสียง ความอุ่น รังสีแห่งความสุขแผ่ขยายไปทั่ว โดยมีจัตุรัสแห่งนี้เป็นศูนย์กลาง

    ถูกต้องแล้วใช่ไหม...เรื่องที่เขาทำลงไป

    ขอโทษด้วย...แลนดีส

    อัศวินโยชัวร์จับมือขาวของประมุขแห่งศาสนจักรประคองขึ้นรถม้า ระหว่างนั้นชายหนุ่มผมสีเงินก็เอ่ยถาม

    "ได้ยินว่ามีองครักษ์ซ้ายขวา หากท่านเป็นซ้าย แล้วขวาอยู่ไหนล่ะ"

    ชายหนุ่มเหลือบมองเด็กสาวที่ยืนนิ่งเหมือนหุ่นอยู่ด้านหลัง แล้วหันกลับมามององค์ชายใหม่

    "นางก็ยืนอยู่ข้างๆ ฝ่าบาทมาตั้งแต่เช้าแล้วนี่ขอรับ"

    อเล็กซิสหันขวับไปมองทันที คิ้วเข้มขมวดเข้าอย่างงุนงง

    ตั้งแต่เช้า...ทำไมเขาถึงไม่รู้สึกอะไรเลย

    โยชัวร์เองก็เริ่มแปลกใจเช่นกัน ปกติองค์ชายอเล็กซิสมีประสาทสัมผัสไวมาก ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นกาย ความร้อน เสียงหายใจ เป็นไปได้หรือว่าองค์ชายจะไม่รู้

    "เจ้า..."

    ถามไม่ทันจบคำ เสียงหวีดร้องก็ดังขึ้น มือของอัศวินหนุ่มที่ส่งให้จับกลายเป็นเกาะกุมแขนของประมุขแห่งศาสนจักรไว้แน่น

    ความเกร็งและความร้อนที่ลดลงอย่างรวดเร็วทำให้อเล็กซิสรู้สึกถึงความตึงเครียด

    "เกิดอะไรขึ้น"

    "ลอบสังหาร ทรงก้มลงเดี๋ยวนี้กระหม่อม"

    ทหารทั้งสี่ที่ยืนล้อมรอบรถม้าล้มลงบนพื้น ลูกศรเหล็กยาวใหญ่เสียบลำคอจนทะลุ กลิ่นคาวเลือดโชยคลุ้ง ทหารที่ยืนประจำอยู่ริมถนนรีบตีวงเข้ามาล้อมรถม้าไว้หลายชั้นทันที

    นายพลอามาสพร้อมอัศวินนับสิบรีบออกจากปะรำพิธีมาสมทบ ดวงตาสีเขียวเข้มหรี่มองแสงวิบวับตามยอดหลังคา ก่อนจะตะโกนสั่งลูกน้อง

    "อยู่นั่น!"

    สั่งพลางนึกสบถในใจ...ไอ้บ้าเอย์ระ รู้แล้วก็ไม่บอก

    เหล่าทหารกรูกันไปตามทิศทางที่เห็นแสงสะท้อนทันที องค์ชายอเล็กซิสถูกประคองขึ้นรถม้า พร้อมด้วยทหารที่ตั้งโล่เหล็กล้อมเป็นเกราะคล้ายโดม

    บาซันก็ถูกดันอยู่ในนั้นด้วย เสียงโยชัวร์สั่งการดังอื้ออึง รถม้าแล่นอย่างรวดเร็วฝ่าฝูงชนที่กำลังวิ่งหนีอย่างวุ่นวาย

    ประมุขแห่งศาสนจักรนิ่งเงียบอยู่ตลอดเวลา ก่อนจะเอ่ย

    "มันจะมีอีก..."

    ตูม!

    เสียงระเบิดกึกก้องกัมปนาท ระยะทางก่อนจะถึงประตูปราสาทไม่ไกลแล้ว แต่ถนนถูกทำลาย ทำให้รถม้าต้องจอดอย่างแรงจนกลุ่มอัศวินเซไปด้านหน้า

    อ๊าก

    เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นหลายครั้งแทบจะพร้อมๆ กัน ห่าลูกศรพุ่งเข้ามาจากหลายทิศทาง หลายดอกลอดช่องว่างของโล่ปักเข้าร่างของเหล่าองครักษ์

    หน่วยอัศวินศักดิ์สิทธ์รีบเข้ามาล้อมองค์ชายเพื่อพากลับเข้าวังอย่างรีบเร่ง ทันใดนั้น สายลมแรงก็พัดวูบ พากลิ่นหอมเอียนโชยปะทะจมูก แล้วทุกร่างก็ไม่อาจขยับตัวได้

    "กลั้นหายใจ"

    โยชัวร์รวบรวมกำลังตะโกนสั่งลูกน้อง แต่ก็ทำให้เขาต้องอ้าปากสูดกลิ่นนั้นเข้าไปอีก ชายหนุ่มถึงกับเข่าทรุด จับดาบไม่ไหว เขามองไปทางองค์ชายอเล็กซิสอย่างกังวลใจ ก่อนจะต้องเบิกตากว้าง

    เงาร่างของบุรุษที่มีดาบยาวใหญ่อยู่ในมือบดบังแสงตะวัน ไม่รู้ว่าเขากระโดดมาจากไหน แต่ร่างนั้นกำลังจะเข้าถึงตัวประมุขแห่งศาสนจักร

    "ฝ่าบาท!"

    น้ำเสียงของเขาลอดออกมาไม่พ้นคอ ร่างนั้นเงื้อดาบขึ้นในอากาศ ก่อนจะฟันฉับลงมาอย่างรวดเร็ว

    ใบดาบมิได้สัมผัสเนื้อใคร แต่คลื่นพลังคมกริบเร็วปานแสงเคลื่อนผ่านอากาศมาทางร่างบุรุษผมเงินที่ยืนอยู่เพียงลำพังท่ามกลางกลุ่มอัศวินที่นอนไร้เรี่ยวแรงอยู่บนพื้น

    อเล็กซิสกำมือแน่น เขารับรู้ได้ว่าเหนือศีรษะมีร่างที่เต็มไปด้วยความรุ่มร้อนแห่งจิตอาฆาต และร่างนั้นได้สร้างคลื่นพลังอันรุนแรงตรงมาสู่เขา

    เปรี้ยง!

    ลมพายุหอบใหญ่พัดเศษฝุ่นดินปลิวว่อน ตามด้วยอะไรบางอย่างที่กระแทกเข้ากับร่างเขาโดยแรง

    "แลนดีส!"

    เสียงตะโกนของนายพลอามาสทำให้ร่างที่ขยับไม่ได้อยู่แล้วชะงักงัน ร่างสูงใหญ่ของผู้บัญชาการทหารกระโจนขึ้นไปกลางท้องฟ้า แล้วตวัดดาบกระแทกร่างของผู้บุกรุกกระเด็นออกไปทางหนึ่ง

    แลนดีส...

    ชื่อนี้ทำให้องค์ชายแห่งครูเซนตกอยู่ในภวังค์ เสียงอาวุธปะทะกันล่องลอยไกลออกไป ก่อนที่สติจะถูกกระชากกลับเข้าสู่ความเป็นจริง

    ความอุ่นค่อยๆ แผ่กระจายลงอาบร่างเขาพร้อมๆ กับกลิ่นคาวคลุ้ง ชายหนุ่มเอื้อมมือไปสัมผัสร่างที่ทาบทับอยู่ แล้วก็เพิ่งสำนึกได้ว่าเขาไม่รู้สึกเจ็บตรงไหนเลย      

    เด็กคนนี้เอาตัวบังเขาไว้

    มือขาวคลำสะเปะสะปะไปตามแผ่นหลังบอบบาง จนเจอต้นตอของของเหลวที่ค่อยๆ ซึมออกมาตามจังหวะหัวใจเต้น ความยาวของแผลบนหลังของหล่อนทำให้เขาเย็นวาบไปทั้งร่าง

    แผลนั้นยาวตั้งแต่หัวไหล่ข้างซ้ายเฉียงพาดกลางหลังไปถึงเอวด้านขวา เลือดออกมากราวกับน้ำ ร่างนั้นค่อยๆ เย็นลง พร้อมๆ กับเสียงหายใจที่อ่อนลงจนแทบไม่ได้ยิน

    "ฝ่าบาท..."

    เสียงครางของอัศวินที่นอนอยู่ใกล้ๆ เรียกสติของชายหนุ่มกลับคืนมา เขาค่อยๆ โอบร่างในอ้อมแขนให้แน่นเข้า แล้วตะโกนเสียงดังอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน

    "เอาหมอออกมาที่นี่เดี๋ยวนี้ เร็วเข้า!"

    เขารอคอยอยู่ครู่ใหญ่ แต่ก็ยังไม่มีใครมาถึงตัว ชายหนุ่มกัดฟันกรอด...ในเวลาแบบนี้เขาเป็นเพียงตัวไร้ความสามารถ

    "ตรงนี้ไม่มีใครเลยหรือไง!"

    เลือดของหล่อนออกมาไม่หยุด อาบเต็มมือและแขนของเขา เสียงหัวใจที่แผ่วลงๆ ทำให้เขาต้องตัดสินใจ

    เหลือแต่วิธีนั้น...

    เขาวางร่างหล่อนลงบนพื้นข้างๆ ตัวแล้วจึงถอยสร้อยคอที่เป็นแผ่นทองบางๆ ออกมา เฉือนเข้าที่ปลายนิ้วของตนจนเลือดออก

    เขาคลำจนเจอใบหน้าเธอ แล้วค่อยๆ สอดนิ้วเข้าไปในปาก ให้ลิ้นของหล่อนสัมผัสกับโลหิตของเขา

    ขอโทษนะ...เจ้าคงต้องมาเป็นของข้าเสียแล้ว

    มือขาวค่อยๆ อุ่นขึ้นจนกลายเป็นร้อนจัด ความร้อนที่มือตัวเองทำให้ชายหนุ่มนิ่วหน้า...เขาเองก็ใช่จะทนมันได้นานนัก

    "หยุด"

    เสียงเย็นชาดังขึ้น พร้อมๆ กับที่มือของเขาถูกดึงออกจากปากหล่อน

    "ทำแบบนี้มีแต่จะให้นางตายเร็ว"

    แม้จะมองไม่เห็น ประมุขแห่งศาสนจักรก็รู้ว่าเสียงสวบสาบที่ดังขึ้นตรงหน้าคือเสียงอุ้มร่างเด็กสาวไปจากเขา

    บุรุษแห่งครูเซนดึงชายเสื้อของชายหนุ่มไว้ ก่อนจะยืนขึ้นอย่างสง่างาม

    "สายไปแล้ว เอย์ระ มาครูซ นางดื่มเลือดของข้าไปแล้ว"

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×