ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fic Reborn : จันทราเจ้าเอย... (OC) [END]

    ลำดับตอนที่ #2 : Moon Number.0 < I am … >

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 7.91K
      816
      17 ก.พ. 63

    Moon Number.0

    I am … >

     

    จันทราเจ้าเอย..

    ฉันคือ...

     

     

     

     

    ชื่อของฉันคือเมอริเอตต้า มารี อายุ11ปี และรักคุณพ่อมากๆ

     

    ว่าไปนั่น

     

    นี่ก็เลยวันเกิดอายุสิบเอ็ดขวบมาหกปีแล้ว และฉันก็ไม่ได้รักคุณพ่อหรอกนะ ถึงแม้รูปลักษณ์ภายนอกจะยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่ความจริงก็โตพอจะใช้คำว่าเด็กสาวได้

     

    เป็นเพราะคุณพ่อนั่นแหละ 

     

    กระนั้นก็ใช่ว่าจะเกลียดอะไร

     

    ประวัติของฉันเป็นอะไรที่น่าเบื่อ ประกอบด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษราวสองถึงสามหน้ากระดาษ เกิดที่ปารีสโดยมีคุณแม่ดูแล สามขวบผู้ให้กำเนิดตาย ถูกส่งไปเรียนที่นิวยอร์ก หกขวบต่อที่จีน จากนั้นถูกคุณพ่อเรียกตัวไปยังลอสแองเจลิสเมื่อเก้าขวบพอดี ไม่เคยจัดงานวันเกิด แต่ได้รับของขวัญเป็นคุกกี้นมสดหนึ่งชิ้นพร้อมจดหมายที่มีข้อความความ 'แกยังไม่พร้อม'

     

    ก็นานปีอยู่กว่าจะเข้าใจ แต่คุณพ่อคะ เด็กสามขวบที่ไหนจะรู้เรื่องกัน เอาเถอะ สุดท้ายพออายุครบเก้าขวบ คำว่า 'แกพร้อมแล้วก็ปรากฏอยู่บนหน้ากระดาษพื้นเรียบแทน

     

    ตลอดเวลาหกปี ฉันถูกป้อนความรู้มากมาย อบรมมารยาท ทั้งยังเข้ารับการทดสอบเพื่อประเมินและวิเคราะห์ประมวลความคิด หนักหนาสาหัสพอดู ว่านอกเหนือจากการเรียนและเข้ารับการทดสอบก็ไม่มีอะไรจะทำ คนรอบตัวไม่เคยพูดกับฉันเลย ยกเว้นเพียงเสียงคำสั่งสอนเท่านั้นที่ฉันจะได้ยินจากปากของพวกเขา ไม่รู้หรอกนะว่าระดับการศึกษาของตัวเองอยู่ขั้นไหน แค่รับทุกอย่างไว้ให้มากที่สุดเท่านั้นเอง

     

    ชีวิตค่อนข้างจะน่าเบื่อจนกระทั่งพบกับคุณพ่อ

     

    คุณพ่อชอบคนมีประโยชน์ แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่ฉันมีจะไม่มากพอให้คุณพ่อชอบ


    วันเกิดปีนี้ถูกต้อนรับด้วยคนที่สวมใส่ชุดคลุมยาว เครื่องแบบของคุณหมอที่เคยพบเห็น พวกเขานำฉันไปยังห้องสีขาว เครื่องมือทันสมัยเรียงราย กลิ่นยาตลบอบอวล พอมองไปที่กำแพงห้องก็เจอคุณพ่อยืนอยู่อีกฝั่ง มีกระจกที่กั้นเราไว้ ฉันก้าวเท้าตามคำสั่งของผู้ใหญ่ที่ไม่รู้จัก ฟังเสียงพูดคุยของพวกเขา

     

    พูดมากจัง ไม่เคยได้ยินใครพูดขนาดนี้มาก่อนเลย

     

    ชื่อสารเคมีมากมายพรั่งพรูออกมาจากปากของพวกเขา ฉันจดจำมันขึ้นใจ ในเวลาที่การทดสอบเริ่มขึ้นมันดูเหมือนจะง่ายดาย ฉันเพียงแค่ต้องนอนนิ่งๆ แค่นั้นเอง

     

    คุณพ่อพยักหน้าเล็กน้อยขณะที่ผู้ใหญ่ชุดขาวจับฉันล็อกไว้กับเตียง ตอนนั้นเอง... ที่ฉันได้รู้จักกับคำว่าเจ็บปวดเจียนตาย

     

    ฉันเข้ารับการทดลองเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสิ่งที่เรียกว่าไฟดับเครื่องชน ชื่อสิ้นคิด แต่ทุกคนก็พอใจที่จะเรียกมันแบบนั้น โปรแกรมมาเฟียศึกษาถูกเพิ่มเข้ามาในตารางเวลา 

     

    ทดลอง  เรียน  ฝึกงาน

     

    วนเวียนอยู่เช่นนั้น

     

    คุณพ่อเป็นมาเฟีย และเขาอยากได้ผลงานที่สมบูรณ์สำหรับแฟมิลี พี่ชายพี่สาวทั้งสี่คนของฉันล้มเหลว ตายในภารกิจสอง ตายระหว่างทดลองหนึ่ง และชิงฆ่าตัวตายไปหนึ่ง เหลือฉันที่ผลลัพธ์ค่อนไปทางดี ซึ่งสิ่งที่ตามมาคือการทดลองอันหนักหนาแสนสาหัส มีแต่จะโหดร้ายขึ้นเรื่อยๆ ถึงแบบนั้นนอกจากพลังไฟที่เข้มข้นเกินอัตราปกติและระบบวิเคราะห์กระบวนความคิด ทุกอย่างกลับผิดแผนเมื่อพละกำลังรวมไปถึงร่างกายทรุดโทรมลงตามระยะเวลาที่ผันผ่าน อาจจะเพราะธาตุหมอกในตัวช่วยยื้อชีวิตมาได้จนถึงอายุสิบเอ็ด

     

    สุดท้ายฉันก็ตาย ตายในวันเกิดที่ไม่มีคุกกี้นมสด

     

    คิดว่าจบแล้วล่ะสิไม่หรอก ถึงตรงนี้ฉันก็ชื่นชมในความพยายามของคุณพ่อนะ เพราะแม้แต่วิญญาณของฉัน เขาก็ยังหาวิธีกักขังและใช้ประโยชน์ได้

     

    อ่าหะ วิญญาณ

     

    ได้ยินว่าเขากำลังมีลูกชายคนที่หก เจ้าหนูน้อยคนนั้นยังอยู่ในท้องแม่ไม่ถึงสี่เดือนดี ส่วนฉัน วิญญาณที่คงสภาพอยู่ด้วยไฟดับเครื่องชนของตัวเองก็ยังต้องทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายต่อไป

     

    ตามใบสรุปผลของกลุ่มผู้ใหญ่ชุดขาว พลังของฉันเข้มข้นเกินกว่าจะอยู่ในร่างของสิ่งมีชีวิต ไม่แน่ชัดแต่มีความเป็นไปได้ว่านั่นคือสาเหตุที่ฉันตาย ร่างกายของมนุษย์ไม่รองรับมัน ทว่าพลังนี่ดันหลอมรวมกับกายจิต ส่งผลให้มีรูปร่างเด่นชัดขึ้นมา ถึงแบบนั้นก็มีข้อบกพร่อง ไม่สามารถปรากฏตัวในที่มีแสงอาทิตย์… แต่ก็ยังสามารถสื่อสารหรือสร้างภาพมายาได้อยู่ จริงๆ แล้วจะเรียกข้อบกพร่องก็ไม่ถูก เพราะหลังจากที่คุณพ่อรู้ หน้าที่สอดแนมเป้าหมายในที่สาธารณะก็ถูกเพิ่มเข้ามาในใบภารกิจ

     

    ได้งานเพิ่มอีกแล้ว..

     

    ร่างกายของฉัน-- ศพของฉันถูกสต๊าฟเก็บไว้สำหรับทดลองเพิ่มเติมภายหลัง ส่วนวิญญาณนั้นพวกเขาไร้ซึ่งหนทางจะทดลองทางกายภาพ ดังนั้นตารางเวลาจึงถูกเปลี่ยนเป็นการใช้ไฟธาตุหมอกและสิ่งที่คล้ายพลังจิตแทน

     

    ฉันเรียกมันว่าพลังจิตเพราะมันคล้ายกับพวกในโทรทัศน์ อาศัยการตั้งสมาธิควบคุมคลื่นซึ่งแผ่ออกมาจากตัว อืม ขอตั้งชื่อว่าคลื่นวิญญาณได้ไหม?

     

    มันน่าเบื่อมากๆ ฉันอยากจะหนีออกไปเหมือนกัน แต่เพราะไม่รู้จะออกไปทำอะไร ไร้เป้าหมายสิ้นดีจึงได้แต่อยู่แบบนี้รอวันที่ทุกอย่างจะจบลง

     

    วันเวลาอันไร้ค่าของฉันยังดำเนินต่อ

     

    ผันแปรจากวันไปเป็นสัปดาห์ สัปดาห์เป็นเดือน เดือนเป็นปี

     

     

    หกปีต่อมา ฉันกำลังยืนรอน้องชาย ตอนนี้คงอายุห้าขวบนิดๆ เขาได้เจอคุณพ่อเร็วกว่าฉันเสียอีก แต่ไม่เป็นไร เขาจะได้รับทุกสิ่งที่ฉันเคยได้รับอย่างครบถ้วน เชื่ออย่างนั้น

     

    ทว่า…

     

    แผละ!!

     

    เขาดันตายตั้งแต่สัปดาห์ที่สอง แย่จัง ถึงฉันจะเป็นวิญญาณ แต่กลับมองไม่เห็นสิ่งที่เรียกว่าผี น้องชายที่ไร้ค่าถูกทิ้งขว้างอย่างเดียวดาย กายหยาบของเขาที่ระเบิดกระจุยกระจายเลอะพื้นห้องทดลองไปหมดเลย

     

    คุณพ่อดูจะไม่พอใจเสียด้วย อย่างไรก็ตาม เหมือนวันนี้จะไม่จบลงง่ายๆ

     

    เสียงสัญญาณเตือนแสดงสถานการณ์ไม่สู้ดี ที่แห่งนี้ถูกศัตรูเข้าจู่โจมเสียแล้ว ผู้บุกรุกกำลังเข้ามาถึงส่วนในของอาคารทำให้ทุกอย่างจมสู่คำว่าโกลาหล ปรปักษ์แสนร้ายกาจของคุณพ่อฆ่าคนของแฟมิลีเกลื่อนกลาด ทุกพื้นที่ทางเดินย้อมไปด้วยเลือด

     

    คำสั่งยังไม่ถูกถ่ายทอดจากปากของคุณพ่อ ฉันจึงไม่ได้ทำอะไร.. ไม่สิ ฉันไม่ได้ยินมันอย่างตั้งใจต่างหาก

     

    หนูไม่ได้ยินอะไรเลยค่ะ

     

    ใช่แล้ว เพราะกระจกที่ขวางกั้นระหว่างเราไว้ไงล่ะ ไม่ได้ยินเลยจริงๆ นะ ต่อให้คุณพ่อตะโกนจนเสียงแหบแห้ มารีก็ไม่ได้ยินอะไรเลยล่ะ เหมือนกันกับที่คุณพ่อไม่ได้ยินเสียงขอร้องของฉันที่อ้อนวอนให้การทดลองจบลงเสียที

     

    ร่างโชกเลือดของคุณพ่อที่วิ่งหนีนักฆ่าจนหัวซุกหัวซุนมาหาฉันน่าชมเสียนี่กระไร

     

    ฉันคลี่รอยยิ้มประดับใบหน้า สายตาจดจ้องคุณพ่อที่ตะเกียกตะกายใบหน้าแนบกระจก มือของท่านประทับหยาดโลหิตบนวัสดุสีใสด้วยการทุบตีราวหวังว่ามันจะแตกออกและเรียกฉันออกไปช่วยได้... โง่จัง น่าจะเข้าใจได้แล้วว่าทางเลือกของตัวเองมีแต่ตายแล้วก็ตาย ของเหลวหนืดข้นคลั่กนั่นกระเซ็นคล้ายดอกไม้ไฟที่ฉันเคยเห็นจากหน้าจอโทรทัศน์สมัยเด็ก

     

    สวยงามจังเลย ราวกับศิลปะ

     

    อยากช่วยอยู่หรอก แต่คุณพ่อน่าเบื่อเกินทนแล้วนี่นา ูจากสังขารก็ไม่น่าจะรอดได้นาน

     

    อ้าว ไม่ถึงนาทีก็นิ่งสนิทแล้วเหรอฉันเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยอย่างเห็นใจ ตายเร็วจัง อ๊ะ คุณพ่ออาจจะกำลังมองอยู่รึเปล่านะ โบกมือบ๊ายบายให้สักหน่อยก็แล้วกัน ถึงเบื้องหน้าจะเป็นแค่ซากของบุรุษมีอายุก็เถอะ

     

    โว้ย!! ล้างบางหมดแล้วก็ค้นเอกสารให้เสร็จๆ อย่าชักช้า!!

     

    อ่า... ขอเดาว่าเป็นศัตรูที่บุกเข้ามา สำเนียงโวกเวกโวยวายปะปนกับเสียงโครมครามเป็นระยะ ไหนๆ แล้ว ออกไปช่วยจะถูกเรียกว่าลูกเนรคุณไหมนะ? คงไม่หรอก ไม่ทันแล้วล่ะ

     

    พี่ชายผมยาวคนนั้นน่ะ หนูพาไปห้องลับได้นะคะ

     

    ก็เธอเพิ่งปล่อยให้คุณพ่อตายไปต่อหน้าต่อตานี่นา

     

    .

    .

    .

     

     

    พี่ชายคนนี้สุดยอดไปเลยแหะ ถึงจะคุยยากนิดหน่อยก็เถอะ เขาหัวไวทีเดียว ปากมากไปนิดแต่ฟังแล้วก็ชวนหัวเราะเสมอ น่าสนใจๆ รู้สึกสนุกแบบที่ไม่ค่อยได้พบเจอ ตอนแรกที่ทักเขาก็ฟันฉันขาดเป็นสองท่อน พอเห็นกายจิตของฉันประกอบเข้าเหมือนเดิมก็วิเคราะห์ได้ทันทีว่าคือสายหมอก ประมวลผลได้อย่างรวดเร็วเสียด้วยว่าฉันไม่ได้แสดงตเป็นปฏิปักษ์

     

    เธอคือเมอริเอตต้า มารี?”พี่ชายที่ฉันซักชื่อมาได้นามว่าสเปลบี สควอโล่กระตุกคิ้วถาม ในมือถือเอกสารที่มีรูปฉันแปะเด่นหรา ฉันตอบเขาอย่างดี พูดจาเจื้อยแจ้วอย่างที่ไม่เคยได้รับอนุญาตให้ทำ เป็นไกด์พาทัวร์ห้องลับของคุณพ่ออย่างนำเสนอสุดชีวิต

     

    ใช่เเล้วค่ะพี่ชาย จะเรียกหนูว่ามารีก็ได้นะ

     

    สีหน้าครุ่นคิดของพี่ชายสควอโล่ชวนให้ฉันเดาใจเหลือเกิน และถ้าคาดการณ์ไม่ผิดล่ะก็…

     

    ร่างของเธออยู่ไหน?”

     

    เขาจะไม่ปล่อยฉันไปง่ายๆ

     

    ทางนี้เลยค่ะ

     

    อย่างแน่นอน…

     

    ฉันหวังว่าการตามเขาไปจะไม่ใช่ความคิดที่ผิด

     

    ไม่ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไรฉันก็ไม่เสียใจหรอกนะ เพราะหลังจากนี้คงสนุกสนานน่าดูเลยล่ะ 

     

    คอยมองหนูจากในนรกด้วยนะคะ คุณพ่อ :)

     

     

    ☽☽☽

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×