ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เกิดใหม่มาเป็นสัตว์เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหาง

    ลำดับตอนที่ #21 : สัตว์เทพอสูรมังกรฟ้า(รีไรท์)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.37K
      215
      28 ส.ค. 64

                    เมื่อหลิ่งเฟยกลับมาถึงร้านยาหลังจากที่เยียนถิงฝากฝั่งให้ดูแลซงกับยูซานพร้อมกับเสื้อผ้าของยูซาน เพราะยูซานนั้นตัวใหญ่มาก มากซะจนใส่เสื้อของเซี่ยหย่งเซิงแล้วยังไม่พอดีกับขนาดตัวเลย

                    “เถ้าแก่ยูซานเป็นไงบ้าง

                    หลิ่งเฟยเอ่ยถามเถ้าแก่ที่กำลังสอนจินลี่จดบันทึกตัวเลข หรือก็คือการทำบัญชี

                    “ข้าได้ทำการรักษาบาดแผลและให้ยารักษาแผลภายในแล้ว แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่ได้สติเลยขอรับ”

                    เถ้าแก่ไม่ได้รังเกียจยูซาน พูดด้วยสีหน้าสีหน้าที่สงสารจับใจเพราะแค่บาดแผลภายนอกไม่ได้มีเพียงแค่แส้หรือรอยฟกช้ำแต่มันยังมีบาดแผลที่เกิดจากอย่างอื่นและเป็นแผลที่มีหลายปีแล้ว ต่อให้มีสายเลือดสัตว์อสูรถ้าไม่ได้รับการดูแลที่ดีก็ย่อมไม่หาย

                    หลิ่งเฟยพยักหน้ารับรู้ก่อนขึ้นไปยังชั้นบนจินลี่รีบเดินมาทันที

                    “ท่านเฟยขอรับ ข้าอยากช่วยรักษายูซาน”

                    เถ้าแก่ดึงแขนจินลี่แทบไม่ทันสายตาส่งคำขอโทษแทนลูกชายตนเองที่ไม่รู้จักพอกับการเรียนรู้ หลิ่งเฟยมองคิดในใจว่าจะสอนอะไรให้เด็กคนนี้ดีเพราะเท่าที่เถ้าแก่บอกมาก็รักษายูซานไปหมดแล้ว

                    “การที่ยูซานยังไม่ได้สตินั้น เป็นเพราะฤทธิยาบางอย่างใช่หรือไม่ขอรับ”                

                    ออ...เรื่องนี้เองหรอกหรือ

                    “ยูซานนั้นแข็งแกร่งอยู่แล้วที่ยังไม่ตื่นเป็นเพราะร่างกายกำลังฟื้นฟูตัวเองเป็นหลัก หากเจ้าเป็นห่วงยูซานมากนักตอนที่เขาตื่นมาก็เอาอาหารอร่อยๆไปให้ก็แล้วกัน”

                    หลิ่งเฟยอธิบายให้เข้าใจง่ายจินลี่ที่ได้รู้แล้วว่าไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงก็รับคำเสียงดังฟังชัดอย่างแน่วแน่

                    เมื่อเปิดประตูห้องตนเองที่ให้ยูซานเข้ามานอนด้วยเป็นการชั่วคราว หลิ่งเฟยก็ต้องทำหน้านิ่งมองเซี่ยหย่งเซิงกำลังตั้งใจฟังกระรอกตัวน้อยพูดอะไรบางอย่างเป็นเสียงฟ่อๆ แม้ว่าจะฟังไม่ออกก็ตาม

                    “ท่านไม่กลับบ้านหรือไง

                    เซี่ยหย่งเซิงทำเป็นไม่รู้ตัว มือลูบหัวเจ้ากระรอกน้อยพร้อมกับรอยยิ้ม

                   “เวลานี้ก็เย็นมากแล้ว ข้าคิดว่าจะนอนค้างที่นี่สักคืนหนึ่ง

                    ขอละผู้ชายสามคนนอนในห้องเดียวกันเนี่ยนะ ไม่ขาดอากาศหายใจหายหรือไง

                    “ข้าว่าห้องมันแคบเกินไป เจ้าควรกลับไปที่บ้านที่มีที่นอนดีๆจะดีกว่า

                    “บ้านของข้ามันก็กว้างเกินไปอีกอย่างหากได้อยู่กับเจ้า ข้าก็ไม่รังเกียจหรอกนะ

                    กล้าพูดได้หน้าตาเฉยจริงๆ

                    “งั้นก็อย่าบ่นแล้วกัน ข้าจะไปอาบน้ำหากท่านหิวก็ไปบอกเถ้าแก่เอง”

                    หลิ่งเฟยกล่าวอย่างเย็นชาก่อนออกจากห้อง และเมื่อกลับมาอีกครั้งก็พบว่าเซี่ยหย่งเซิงปูฟูกที่นอนรอไว้ก่อนแต่ประเด็นคือมีแค่แค่ฟูกเดียว หลิ่งเฟยจึงออกไปหยิบฟูกที่นอนอีกอันมาปูไว้อีกมุมหนึ่งของห้อง

                    “ท่านไม่สนใจข้าเลยนะ ท่านมี่จาง”

                    เมื่ออยู่กันเพียงแค่สองคนไม่นับคนป่วยที่ยังหลับไม่ได้สติกับซงที่นอนอยู่บนอกยูซาน หลิ่งเฟยถอนหายใจอย่างระอาไม่รู้จะสรรหาคำพูดไล่คนนี้ไปยังไง                

                    “ให้ข้าช่วยท่านเช็ดผมนะ”

                    ไม่รอความยินยอมเซี่ยหย่งเซิงหยิบผ้ามาเช็ดเส้นผมที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำ หลิ่งเฟยกรอกตาไปมานึกย้อนไปตอนที่เซี่ยหย่งเซิงขอเป็นเพื่อนกับตนเอง แม้ว่าจะแค่วันเดียวก็ตาม

                    เซี่ยหย่งเซิงบรรจงเช็ดผม พร้อมกับนวดศีรษะให้อย่างเบามือหลิ่งเฟยที่มีท่าทีต่อต้านในตอนแรกหลับตารู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น

                    “อาการปวดหัวของท่านหายแล้วใช่มั้ย

                    “อืม

                    “ข้านึกว่าจอมยุทธ์มี่จางจะป่วยไม่เป็นเสียอีก ท่านเองก็ไม่ต่างไปจากมนุษย์สินะ”

                    เซี่ยหย่งเซิงอาศัยช่วงที่หลิ่งเฟยกำลังเคลิมใกล้หลับสวมกอดจากด้านหลัง หลิ่งเฟยค่อยๆลืมตาตื่นเพราะรู้สึกว่าเซี่ยหย่งเซิงจะล้ำเส้นเข้ามามากเกินไปแล้ว

                    “สหายกันจำเป็นต้องกอดด้วยหรือ

                    “แต่เจ้าก็ไม่รังเกียจข้า

                    เซี่ยหย่งเซิงเปลี่ยนสรรพนามเรียกเพื่อความใกล้ชิดเข้าไปอีก

                    “ข้าไม่คิดมากกับเรื่องพวกนี้แต่ท่านกับข้ายังคงเป็นเพียงแค่สหายวันเดียว และหลังจากนั้นข้ากับท่านก็คือจอมยุทธ์และท่านอ๋องแห่งแคว้นหยิ่ง”

                    อ้อมแขนที่กำลังกอดหลิ่งเฟยค่อยๆคลายออก เซี่ยหย่งเซิงนึกเสียดายและเสียใจที่อีกฝ่ายเย็นชาได้ถึงเพียงนี้ หลิ่งเฟยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกยังไง นางไม่สนว่าใครจะมาชอบพอนางนอกจากคนที่ตนเองพึงพอใจเอง               

                   “งั้นท่านเกิดที่ไหนหรือ

                    ครั้งนี่คุยเรื่องบ้านเกิดรึ

                    หลิ่งเฟยเกาหัวกับความพยายามที่ไม่สิ้นสุดของท่านอ๋องแต่ก็ยอมตอบไปสั้นๆ

                    “แคว้นหยาง

                    “ท่านมีครอบครัวหรือไม่

                    “มีสิ” มีชุน ถังอี๋ ไอ๋อั๋น เหม่ยเหมย เชาเหมา ส่วนเฟิงหู่นะก็คงเป็นเหมือนสหายละมั้ง

                    “แต่ท่านเคยบอกว่าท่านเป็นลูกคนเดียว

                    “ข้าเกิดมาเป็นลูกคนเดียวแต่พอข้าโตขึ้นข้าก็ได้สร้างบ้านของตนเองและอยู่ร่วมกับครอบครัวของข้า

                    “ท่านหมายถึงแต่งงาน?”

                    คำนี้ให้หลิ่งเฟยอยากจะหัวเราะออกมากับความไม่รู้และความเชื่อในอุดมคติของคนในยุทธภพนี้ หากต้องแต่งงานเพื่อมีครอบครัว ชีวิตในชาติก่อนก็คงเรียกได้ว่าล้มเหลวในแต่งงานโดยสิ้นเชิง              

                    “แค่เคยนะ

                    คำว่าแค่เคยยิ่งทำให้เซี่ยหย่งเซิงสงสัยและตกใจไม่น้อยเพราะนั้นหมายถึงว่าจอมยุทธ์มี่จางเคยหย่าร้างมาก่อน เพราะเหตุใดกัน เพราะนางสามารถแปลเป็นบุรุษได้งั้นหรือ?

                    “เจ้าง่วงแล้วใช่มั้ย”

                    หลิ่งเฟยพูดทักเซี่ยหย่งเซิง พอพูดถึงก็เริ่มมีอาการง่วงแล้วจริงๆ เซี่ยหย่งเซิงพยักหน้าราวกับเด็กน้อย ไม่รู้ทำไมถึงได้ง่วงขนาดนี้และรู้ว่าถ้าอยู่ที่นี่ก็ไม่มีอะไรที่ต้องเป็นห่วงขอแค่ได้อยู่กับนางก็พอ

                    “ข้าอยากเห็นครอบครัวของท่านจริงๆว่าจะเป็นเช่นไร”

                    เซี่ยหย่งเซิงซบหลับไปที่ไหล่ของหลิ่งเฟยในร่างบุรุษ หลิ่งเฟยค่อยๆประคองร่างกายไปนอนที่ฟูกที่นอน เซี่ยหย่งเซิงคงจะเบื่อหน่ายกับกลเกมการเมืองในสถานที่ที่เรียกว่าบ้านมามากถึงได้พยายามตีสนิทตนเองให้ได้ ใช่ว่าจะไม่เข้าใจความรู้สึกเซี่ยหย่งเซิงแต่หากเซี่ยหย่งเซิงคิดก้าวล้ำเส้นเข้ามาเมื่อไรนางก็ต้องหยุดเพื่อไม่ให้เป็นต้นเหตุของปัญหาที่จะตามาทีหลัง

                    เมื่ออย่างเมื่อกี้ที่เซี่ยหย่งเซิงรู้สึกง่วงนอนเป็นอย่างมากก็เป็นเพราะตนเองปล่อยไอลมปราณเย็นให้ไปปรับกระแสลมปราณอีกฝ่าย จนรู้สึกง่วงเพราะหากไม่ทำแบบนี้เซี่ยหย่งเซิงก็คงจะยิงคำถามมาอีกมาก               

                   “ข้ารู้ว่าเจ้าตื่นแล้วนะยูซาน

                    หลิ่งเฟยทักคนที่ตื่นมาได้สักพักและแอบเนียนหลับต่อ นางจะไม่ทักเลยถ้ายูซานจะตื่นขึ้นมาและทำเป็นพูดอะไรสักอย่างเพื่อช่วยหลิ่งเฟยจากสถานการณ์เมื่อกี้ ยูซานลืมตามองหลิ่งเฟยในร่างบุรุษเพียงแค่ได้เห็นหลิ่งเฟยแวบแรกในที่ประมูลก็รู้ได้ทันทีว่านางไม่ใช่มนุษย์

                    “ท่านไม่ใช่มนุษย์

                    “อย่างน้อยข้าก็ช่วยเจ้าเอาไว้นะ

                    “ตอนที่ข้าอยู่ที่นั้น ตอนที่ท่านแสดงความโกรธออกมาข้าเห็นกระแสลมปราณของท่าน

                    หลิ่งเฟยนึกย้อนกลับไปเมื่อตอนนั้นยูซานเหมือนคนโดนมอมยา แต่การที่ยังคงมีสติมาสังเกตเห็นนางได้ แปลว่ายูซานต้องแข็งแกร่งอยู่พอตัว

                    “ท่านคือสัตว์เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหาง

                    ราวกับเวลาในห้องได้หยุดไปชั่วขณะ ยูซานดูไม่เกรงกลัวหลิ่งเฟยเลยแม้แต่น้อย หากเป็นผู้อื่นคงกลัวแม้กระทั้งจะเอ่ยคำว่าสัตว์เทพอสูรแล้ว

                    “ไม่กลัวข้ารึไง

                    “ไม่ขอรับ

                    หลิ่งเฟยคลายร่างที่แท้จริงของสัตว์เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางในร่างมนุษย์ ยูซานมองร่างที่เหมือนจะเรืองแสงได้ด้วยความนิ่งเฉยแม้ในใจจะหวาดหวั่นอยู่ไม่น้อย

                    “ข้าสามารถฆ่าเจ้าได้นะยูซาน”

                   หลิ่งเฟยพูดลองใจยูซานว่าจะแสดงสีหน้าออกมามากกว่านี้หรือไม่

                    “ท่านไม่ทำหรอกขอรับ

                    หืม?

                    “หากท่านจะทำจริง ก็นับว่าท่านยอมเสียเงิน10,000 เหรียญทองที่ประมูลข้ามาอย่างสูญเปล่า

                    นัยน์ตาของยูซานไม่มีความลังเลที่จะพูดเรื่องนี้ หลิ่งเฟยเอาหางไปจ่อที่คอแววตาก็ยังคงมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง นอกจากจะไม่ลังเลแล้ว หลิ่งเฟยไม่เห็นความแค้นหรือตัดพ้อในโชคชะตาของตนเองที่ต้องมาเป็นลูกครึ่งและถูกทำร้ายมานับนานปี

                    “ฮะฮะ ก็ถูกของเจ้านะยูซาน”

                    หลิ่งเฟยย้ายที่นั่งมานั่งข้างยูซาน ซงยังคงหลับอยู่บนอกยูซาน มือขาวจับชีพจรร่างกายไม่มีผลข้างเคียงของยาตกค้างอยู่เลยนับว่าน่าอัศจรรย์ใจมาก

                    “แล้วหลังจากนี้เจ้าจะทำยังไงต่อละ

                    “ข้าคิดว่าจะขอติดตามท่านไปเพราะข้าเองก็ไม่มีที่ไปอยู่แล้ว

                    หลิ่งเฟยพ่นขำออกมาทีหนึ่ง อดคิดไม่ได้ว่าที่ยูซานพูดแบบนี้เพราะไม่รู้จะไปไหนหรือแค่อยากมาอยู่กับนางเพราะอำนาจของหลิ่งเฟย

                    “เพราะเจ้าได้ยินที่ข้าคุยกับเซี่ยหย่งเซิงเมื่อครู่นี้แล้วสินะ”               

                   “ข้าไม่ได้หวังสูงจนอยากเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวท่าน ขอแค่ที่หลับนอนให้กับข้าเพียงเท่านั้น”                

                    “....ทำไมเจ้าถึงพูดเช่นนั้นกันยูซาน”

                    “ข้าไม่ต้องการเห็นผู้ที่หวังดีต่อข้าต้องถูกทำร้ายอีกแล้ว หากเป็นท่านที่ไม่มีผู้ใดกล้าแม้แต่จะชี้ปลายดาบเข้าใส่ ต่อให้ต้องอยู่เหมือนคนไร้ตัวตนข้าก็ยินดี”

                    ลูกครึ่งสัตว์อสูรที่หลิ่งเฟยพึ่งได้เคยเห็นเป็นครั้งแรกลุกขึ้นคุกเข่าต่อหน้าหลิ่งเฟยในมือก็ถือเจ้ากระรอกน้อยให้ได้นอนหลับอย่างสบายใจ หลิ่งเฟยอึ้งในคำพูดของยูซานกระบวนการความคิดที่ไม่ได้ซับซ้อนแต่หลิ่งเฟยก็ไม่เคยคิดอะไรแบบนี้มาก่อน

                    “เจ้าคงจะเป็นพวกประเภทพูดไม่เก่งสินะ”

                    เท่าที่ฟังและเข้าใจยูซานคงอยากจะสื่อว่าที่ผ่านมามีคนเคยช่วยเหลือยูซานมามาก แต่พวกเขาก็ต้อมาเดือดร้อนถูกทำร้ายซึ่งเป็นสิ่งที่ยูซานไม่อยากเห็นอีก

                    ยูซานพยักหน้ายอมรับตรงๆว่าพูดไม่เก่ง หลิ่งเฟยยื่นมือไปข้างหน้าเพื่อจับมือตกลงกับอีกฝ่าย

                    “ไม่ต้องอยู่เหมือนคนไร้ตัวตนหรอกยูซาน บ้านของข้ายินดีต้อนรับเจ้ากับซงนะ”

                   

                    “แน่ใจนะว่าไม่รู้เจ็บตรงไหนแล้ว เจ้ากินแค่นี้จะอิ่มหรือยูซาน”

                    เช้าวันต่อมาหลิ่งเฟยนั่งมองจินลี่กำลังบังคับให้ยูซานกินอาหารเช้าให้มากกว่านี้ ยูซานคงจะไม่ชินที่ได้รับอาหารมากกว่าปกติเลยกินไปเพียงแค่ชามเดียวทำให้จินลี่ที่ยังกินมากกว่าสองชามรีบเติมข้าวบังคับให้กินเพิ่มอีก

                    “ดูเหมือนว่าจินลี่อยากจะเป็นเพื่อนกับยูซานมากเลยนะเถ้าแก่”

                    “คงเป็นเพราะพึ่งเคยเห็นอะไรแบบนี้มั้งขอรับ รับขนมเพิ่มหรือไม่ท่านเฟย”

                    ช่วงเช้าไม่ค่อยมีลูกค้าเข้ามาซื้อยามากนักทำให้เถ้าแก่มีเวลาว่างพอมานั่งจิบชาฟังความคำแนะนำของหลิ่งเฟย เมื่อมีผู้ให้ขนมหวานหลิ่งเฟยก็ไม่คิดจะปฏิเสธอยู่แล้ว

                    “เอาสิ”

                    เซี่ยหย่งเซิงนั่งมองภาพที่คล้ายจะวุ่นวายแต่ก็เต็มไปด้วยความอบอุ่น หลิ่งเฟยที่คิดว่าควรกลับไปที่เรือนมายาให้เร็วที่สุดคิดเรียงลำดับว่าจะออกไปซื้ออะไรก่อนดี เสื้อผ้าของใช้ส่วนตัวสำหรับยูซาน ซงที่เป็นกระรอกคงต้องซื้อพวกเมล็ดต่างๆมาปลูกไว้ให้เป็นอาหารของซงแล้วก็หนังสือเทคนิคการสร้างศาลา

                    ตำราหนังสือแบบนี้จะมีขายมั้ยน้อ....               

                    “ยูซาน ซงกินเสร็จแล้วออกไปซื้อของเตรียมตัวกลับเลยนะ”

                    ถึงแม้ว่าจะกะทันหันไปหน่อยแต่ยิ่งกลับเร็วเท่าไรยิ่งดีเพราะมีเรื่องที่ตั้งใจทำไว้ก่อนจะออกไปจากแคว้นหยิ่ง เซี่ยหย่งเซิงที่อาศัยอยู่แคว้นหยิ่งมาตั้งแต่เกิดอาสาขอพาเที่ยวแม้ว่าหลิ่งเฟยจะไม่อยากได้ก็ตาม

                    เพราะมียูซานที่เป็นลูกครึ่งสัตว์อสูรมาด้วย สายตามากมายจากชาวบ้านต่างจับจ้องมาที่ยูซาน หลิ่งเฟยทำเพียงแค่ชำเหลือบมองคนพวกนั้นก็รีบหลบสายตาไม่เว้นแม้แต่เด็กตัวเล็กที่ต้องเก็บนิ้วมือถ้ายังมีนิ้วไว้ชี้อย่างอื่น

                    “เสื้อพวกนี้ก็ดีนะ แต่ปีกของเจ้าเนี้ยสิ สงสัยคงต้องเจาะด้านหลังเสื้อของเจ้าทุกตัวละมั้ง”

                    “ข้าไม่ใส่เสื้อก็ได้ขอรับ”ยูซานพูดเสียงอ่อน เพราะปกติก็ไม่ใส่อยู่แล้วหลิ่งเฟยเหล่ตามองคุณหนูสตรีทั้งหลายในร้านที่แอบส่องสายตามองกล้ามเนื้อหน้าท้องเป็นระยะ หากไม่ติดว่ายูซานเป็นลูกครึ่งสัตว์อสูรพวกนางก็แกล้งทำเป็นลมไม่ก็แกล้งทำหน้าเช็ดหน้าตกเป็นสิบผืนแล้วมั้ง

                    “เจ้าไม่ใส่แล้วจะโชว์เนื้อหนังให้เหล่าคุณหนูหัวใจวายตายหรือไง เอาตัวนี้ ตัวนี้ด้วย ปิ่นกับต่างหูนั้นด้วยนะ”                

                    การเลือกซื้อของที่ทำให้เซี่ยหย่งเซิงที่ไม่ได้พาองครักษ์มากับยูซานกลายเป็นคนถือของ โชคยังดีที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเซี่ยหย่งเซิงมากนักจึงไม่มีใครพูดว่าท่านอ๋องของแคว้นหยิ่งถูกบุรุษที่ไหนไม่รู้มาใช้ถือของให้

                    ซงที่เป็นเพียงแค่กระรอกตัวน้อยเลยไม่ได้ถูกใช้ให้ถือของมองเครื่องประดับสตรีที่มีทั้งหยก เพชร ทับทิมและหลายอย่างที่ไม่รู้จัก เด็กในร้านที่เห็นกระรอกมายืนบนชั้นวางของเกือบเข้าไปจับซงหวังโยนออกไปนอกร้านถ้าหลิ่งเฟยไม่เข้ามาขัดเสียก่อน

                    “....เอาเครื่องประดับพวกนี้ทั้งหมดด้วย”

                    แม้จะอยู่ในร่างบุรุษแต่จิตใจก็ยังเป็นสตรีด้วยความหงุดหงิดกับความมักน้อยของยูซานและความเอาอกเอาใจของเซี่ยหย่งเซิงอันเกินพอดีหลิ่งเฟยหยิบทุกอย่างที่คิดว่าทุกคนในเรือนมายาจะชอบส่งให้คนถือของ เมื่อซื้อเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยหลิ่งเฟยที่ไม่อยากให้ยูซานเหนื่อยเกินไปเก็บของทุกอย่างใส่แหวนหยกมิติในที่ลับตาเพราะยังต้องแวะร้านอื่นอีกเยอะ

                    ยูซานกับเซี่ยหย่งเซิงไม่เคยพบเจอผู้ใดซื้อของเยอะเท่านี้มาก่อนรู้สึกเหนื่อยล้าทางใจเป็นอย่างมาก หลิ่งเฟยเองก็พอสังเกตเห็นพาทั้งคู่แวะร้านอาหารที่รู้มาว่าอร่อยที่สุดในย่านนี้

                    ฟ่อ ฟ่อ

                    วันนี้ข้าสนุกมากเลยเฟย มีของวิงวับๆเยอะไปหมด

                    “ซงพูดอะไรอยู่หรือท่านเฟย

                    "วันนี้ข้าสนุกมาก มีของวิงวับเต็มไปหมด" หลิ่งเฟยทำเป็นดัดเสียงพูดแบบเดียวกับที่ซงสื่อสารออกมา

                    “ของวิงวับที่ว่าคือร้านเครื่องประดับสินะ

                    ครั้งนี้เป็นเซี่ยหย่งเซิงเข้ามาคุยกับซง เป็นภาพที่ดูน่ารักมากที่ท่านอ๋องสามคุยกับกระรอกอย่างตั้งอกตั้งใจราวกับว่าฟังสิ่งที่พูดออก

                    ใช่ แถมวันนี้ข้าได้กินของอร่อยๆเยอะมากยูซานเจ้าก็ต้องกินให้มากๆนะ

                    ยูซานที่ได้รับรู้ความหวังดีแม้จะฟังไม่ออกสักคำแกะเปลือกส้มให้ซงได้กิน อาหารทั้งหมดที่สั่งมาก็หมดไม่เหลือสักจาน

                    “ท่านเซี่ยหย่งเซิงขอรับ”องครักษ์ของเซี่ยหย่งเซิงที่ไม่ใช่สัตว์อสูรงูตนนั้นเดินมาหาด้วยสีหน้าที่ค่อยสู้ดีนักเหมือนมีความหมายบางอย่างแฝงอยู่

                    “....เข้าใจแล้ว”

                    เซี่ยหย่งเซิงลุกขึ้นประสานมือขออภัยที่ต้องกลับก่อน

                    “ ทุกคนต้องขออภัยด้วยจริงๆ แต่เวลานี้ข้ามีธุระด่วนที่ต้องจัดการ”

                    เอ๋ จะไปแล้วหรือ

                    ซงเอ่ยอย่างเสียดาย หลิ่งเฟยลูบหัวซงเบาๆเซี่ยหย่งเซิงที่เหมือนรู้ว่าซงพูดอะไรอยู่หยิบบางอย่างออกมาจากแขนเสื้อ มันคือเครื่องรางขอให้เดินทางปลอดภัยไม่ได้หรูหรามีราคามาให้หลิ่งเฟยแกมบังคับทำให้หลิ่งเฟยต้องยอมรับเครื่องรางนั้นแต่โดยดี

                    “ขอบคุณ แต่ข้าคิดว่ามันไม่ค่อยจำเป็นกับข้าเท่าไหร่นัก

                    หลิ่งเฟยยกให้ยูซานต่อหน้าเซี่ยหย่งเซิงแต่เท่านี้ก็มากพอที่จะทำให้เซี่ยหย่งเซิงไม่นึกเสียใจอีกแล้ว

     

                    พระจันทร์ส่องแสงสว่างในท้องฟ้ายามราตรี แม้ว่าจะไม่ได้เป็นพระจันทร์เต็มดวงแต่สำหรับหลิ่งเฟยแล้วมันไม่ได้สำคัญเท่ากับร้านขายสัตว์อยู่ที่อยู่ตรงหน้า

    ทำไมพวกเราต้องกลับมาที่นี่ด้วย?

    ซงที่ไม่อยากกลับมาที่นี่อีกเป็นครั้งที่สองถามหลิ่งเฟยที่บอกให้เตรียมตัวกลับอย่างไม่เข้าใจ ยูซานเลือกที่จะเป็นผู้ตามแทนที่จะถาม

    “ถามได้ดีซง ข้ากลับมาก็เพื่อทำลายที่นี่นะสิ”

    โคมไฟสีแดงที่ยังคงส่องแสงเพราะแมลงสัตว์อสูรข้างในหลิ่งเฟยตวัดมือครั้งเดียวความมืดก็เข้ามาเยือน ซงร้องเสียงหลงเข้าไปข้างในเสื้อยูซาน

    หลิ่งเฟยมองประตูที่มียันต์ลายอาคมแปะพร้อมโซ่ที่คล้องประตูเอาไว้อย่างหนาแน่น เป็นอาคมเลือดมีเพียงแค่เจ้าของเลือดเท่านั้นที่สามารถเปิดมันได้แต่ถ้าหากว่าคนที่จะเปิดอยู่ในระดับที่สูงกว่าผู้ใช้ยันต์นี้ล่ะ

    เคร้ง

    ยันต์ถูกเผาสลายไปในอากาศ โซ่ที่คล้องกันร่วงลงพื้น ประตูถูกเปิดออกเพียงแค่เอามือไปสัมผัสกับประตู

    ภายในร้านที่มืดมิดไร้แสงสว่างจากทุกสิ่งแต่หลิ่งเฟยยังคงเห็นสัตว์อสูรที่อยู่ในกรง ได้ยินเสียงความทรมานของการถูกพาออกจากสถานที่ควรอยู่

    ไม่มีมนุษย์อยู่ข้างในเลยแม้แต่คนเดียว หลิ่งเฟยรู้สึกเหมือนมันขัดแย้งกันอย่างไงก็ไม่รู้แต่ก็ถือว่าดีสำหรับตนเองจะได้จัดการอะไรได้ง่ายขึ้น

    ขวดโหลใสที่บรรจุไข่สัตว์อสูรมีป้ายเขียนชื่อชนิดสายพันธุ์หลิ่งเฟยหยิบขวดโหลให้ยูซานถือดั่งเหมือนมาซื้อของโดยไม่จ่ายเงิน

    “เอาไปปล่อยในป่าให้หมด”

    ยูซานเข้าใจในการกระทำของหลิ่งเฟยทันที ถึงไข่พวกนี้จะไร้พ่อแม่แต่ก็ยังดีกว่าที่จะเกิดมาไร้พ่อแม่และถูกทรมานไปทั้งชีวิต กรงขังสัตว์ถูกเปิดออกเพียงแค่เอามือไปสัมผัส ร่างจิ้งจอกเก้าหางในร่างมนุษย์ค่อยๆเดินลึกเข้าไปอย่างไม่รีบร้อน

    กรงไหนอยู่ไกลหรือมีโซ่กุญแจล่ามสัตว์อสูรหางสีขาวก็จะตวัดครั้งเดียว เหล่าสัตว์อสูรที่ปลงกับชะตาชีวิต วินาทีที่กรงถูกเปิดออกเมื่อได้เห็นแผ่นหลังและเส้นผมสีเงินที่เดินลึกเข้าไปพวกมันรู้สึกศรัทธาตัวของหลิ่งเฟยและไม่มีวันลืมบุญคุณนี้ไปชั่วชีวิตพากันวิ่งออกไป

    บรรยากาศของห้องใต้ดินนั้นแตกต่างกันลิบลับจากด้านบน ทั้งเหม็นสาบ เสียงโซ่เสียงร้องครางด้วยความเจ็บปวดดังตลอดเวลาราวกับบทเพลงที่ไม่น่าฟังเอาเสียเลย สัตว์อสูรที่อยู่ที่นี่ส่วนใหญ่ถูกคุมขังอย่างแน่นหนา บางตัวก็ถูกโ:ซ่พันเอาไว้ทั้งตัวหลิ่งเฟยหยิบพัดเหล็กไหลออกมาอาวุธที่ได้มาจากการเที่ยวเสาะหาสะสมอาวุธที่ตนเองสนใจมากางออก

    “พวกเจ้าจะได้เป็นอิสระแล้ว จงกลับไปที่ป่าและอย่าให้ถูกจับมาอีกละ”

    เหล่าสัตว์อสูรที่อยู่ในกรงพากันพยายามลุกขึ้นพวกมันรู้สึกได้ตั้งแต่ที่สัตวอสูรด้านบนได้เป็นอิสระแล้วหากเป็นท่านผู้นี้ก็จะยอมเชื่อใจและสัญญาเลยว่าจะไม่ยอมกลับมายังที่แห่งนี้เป็นครั้งสองเป็นอันขาด

    คมดาบจากสายลมที่เกิดจากการสะบัดพัดเพียงแค่ครั้งเดียวทำลายกรงและโซ่เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยสัตว์อสูรที่หลุดพ้นจากพันธการรีบขึ้นไปยังด้านบนเพื่อกลับไปยังบ้านของมัน แต่ก็มีบางตัวที่เจ็บหนักจนไม่อาจขยับกายได้หลิ่งเฟยย่อตัวลูบหัว ตาสีเงินมองนัยน์ตาของสัตว์อสูรที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศก

    “อย่าเศร้าไป เจ้ายังมีป่าให้กลับไปอยู่นะ”

    ไฟสีฟ้าลุกโชกครอบคลุมร่างกายสัตว์อสูรมันเผาทุกสิ่งอย่างยกเว้นสิ่งมีชีวิต สัตว์อสูรที่ไม่สามารถขยับตัวได้เพราะบาดแผลหนักหนาเกินไปค่อยๆลุกขึ้นพยุงตัว มองไปที่จิ้งจอกเก้าหางในร่างมนุษย์เสียง กลิ่นเผาไหม้ไม่อาจปิดบังเรือนร่างที่กำลังยืนขึ้น ใบหน้าแหง่ขึ้นดวงตาปิดลงมุมปากกำลังยิ้มไม่สามารถคาดเดาได้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่

                    เพลิงสีฟ้ากำลังลุกโชกอย่างดุเดือดหินแกรนิตที่เป็นฐานเวทีถูกเผาจนกลายเป็นตะกอนสีดำ สัตว์อสูรที่ได้รับการรักษาจากเปลวเพลิงรีบออกไปในทันที ไฟก็คือไฟถึงจะช่วยรักษาชีวิตเอาไว้แต่หากไม่ระวังให้ดีชีวิตก็อาจดับสูญโดยที่ไม่รู้ตัว

                    รู้สึกดีจริงๆ

                    ยูซานที่บินกลับมา เมื่อเห็นหลิ่งเฟยในร่างจริงกลางกองไฟสีฟ้าแม้จะประหลาดแต่ยูซานไม่รอช้าที่จะบินโฉบลงไปอุ้มหลิ่งเฟยมากลางอากาศ

                    ชาวบ้านชาวเมืองที่รับรู้ได้ถึงความผิดปรกติพากันออกมาดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น เจ้าของร้านขายสัตว์อสูรที่พักอยู่ไม่ไกลทรุดลงไปนั่งที่พื้นเมื่อธุรกิจของตนเองถูกเปลวไฟประหลาดกำลังเผาไหม้ร้านต่อหน้า

                    “ยูซานบินขึ้นให้สูงกว่านี้”

                    หลิ่งเฟยกอดคอยูซานเมื่อพูดจบยูซานเพิ่มระดับความสูงจนอยู่เทียบเท่ากับกลุ่มเมฆซงที่ไม่ได้มีร่างกายทนทานเหมือนทั้งคู่พยายามมุดเข้าไปในเสื้อยูซานให้ได้มากที่สุดจนรู้สึกอุ่น

                    “ทนหน่อยนะซงข้าแค่อยากจะดูให้แน่ใจว่าเขาจะไม่มีวันกลับมาทำธุรกิจแบบนี้อีกแล้ว” และอยากได้ความเป็นส่วนตัวในการพูดคุยกับคนหนึ่งด้วย

                    ซงมองตาปริบเพราะจำหลิ่งเฟยไม่ได้ แต่ความใจดีและโครงหน้าของหลิ่งเฟยทำให้ซงร้องเสียงจี๊ด หางชี้ตั้ง เมื่อจำได้และได้รู้แล้วว่าตนเองได้ตกถังข้าวสารขนาดใหญ่เข้าแล้ว

                    เจ้าเป็นสัตว์เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหาง!!!

                    “และข้าขอแนะนำท่านสัตว์เทพอสูรมังกรฟ้าด้วยนะซง”

                    หลิ่งเฟยชี้นิ้วขึ้นด้านบนซงกับยูซานมองตาดวงตาสีเขียวมรกตกำลังจ้อมมองมาที่ตนเองท่ามกลางความมืด เมื่อกลุ่มเมฆที่บดบังดวงจันทร์เคลื่อนผ่านไปก็ปรากฏร่างสัตว์เทพอสูรมังกรฟ้าต่อหน้า

                    ซงทำอะไรไม่ถูกนอกจากพยายามหายใจเข้าออก ยูซานที่รู้ได้ถึงแรงกดดันพยายามบังคับจิตใจไม่ให้กลัวสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามากเกินไป

                    เจ้ายืนเองไม่ได้หรือไงจิ้งจอกเก้าหาง

                    มังกรฟ้าส่งเสียงครางเบาๆหลิ่งเฟยที่ฟังออกนึกเถียงในใจว่าตนเองมีแค่เจ็ดหางเองจะมาเรียกจิ้งจอกเก้าหางได้อย่างไรกัน

                    “มีผู้ชายหน้าตาดีมาอุ้มแบบนี้มีหรือที่ข้าจะปฏิเสธ”หลิ่งเฟยทำเป็นเอียงอายเอามือลูบแก้มตัวเอง ยูซานแทบไม่อยากเชื่อว่าหลิ่งเฟยจะเป็นคนแบบนี้

                    ..........

                    สัตว์เทพอสูรมังกรฟ้าไม่พูดอะไร ตนเองดูออกว่าสัตว์เทพอสูรจิ้งจอกไม่ได้พูดจริง หลิ่งเฟยถอนหายใจที่รู้สึกเหมือนเด็กเกเรถูกผู้ใหญ่จับโกหกได้จึงปล่อยมือที่กอดคอยูซานออก ก่อนออกมานั่งบนหางตัวเองกลางอากาศ

                    เจ้ามีกลิ่นของเฟิงหู่

                    “ช่วงนี้เฟิงหู่ชอบมาอยู่บ้านข้านะ”หลิ่งเฟยตอบออกไปตรงๆ มังกรฟ้ามองเปลวไฟสีฟ้าที่กำลังค่อยๆมอดลง

                    ทั้งหมดที่ทำไปเจ้าต้องการอะไร

                    ห่ะ? นี้สัตว์เทพอสูรมังกรฟ้าสายตาไม่ดีหรือไง ก็เห็นอยู่ว่าข้าช่วยสัตว์อสูร

                    “การช่วยเหลือผู้อื่นจำเป็นต้องมีเหตุผลด้วยหรือท่านไท่หลง”

                    หลิ่งเฟยถามอย่างไร้เดียงสา ไท่หลงไม่อยากเชื่อว่าที่ทำไปจะไม่มีจุดประสงค์แอบแฝงแต่สถานที่ในตอนนี้ไม่เป็นใจให้ไท่หลง เพราะร่างกายที่ใหญ่โตเกินไปต่อให้อยู่สูงแค่ไหนมนุษย์ที่อยู่ข้างล่างก็เห็นอยู่ดี

                    ตั้งแต่ที่ไท่หลงรู้สึกได้ถึงจิตสังหารเบาๆของสัตว์เทพอสูร แม้ว่ามันจะบางเบาแต่ก็น่าเกรงราวกับพวกที่อยู่ระดับเดียวกับตนเองและจิตสังหารที่ว่าต้องไม่ใช่เฟิงหู่ เฟิงหู่ไม่มีทางปล่อยจิตสังหารที่คมกริบเหมือนกับดาบและแฝงไปด้วยความซับซ้อนไม่อาจเข้าใจได้ ถึงได้ยอมใช้ร่างที่แท้จริงมาหาที่มาของมัน

                    เจ้าของจิตสังหารที่ว่ากำลังนั่งอยู่บนหางตัวเองเอนหลังไปพิงหางสีขาวด้วยท่าทีที่ผ่อนคลาย ราวกับได้ปลดปล่อยบางอย่างจนสบายใจ

                    คราวนี้ข้าจะยอมปล่อยเจ้าไป

                    “ขอบพระคุณท่านไท่หลง ยูซานเจ้ามาช่วยอุ้มข้าหน่อยสิ”

                    เมื่อสัตว์เทพอสูรมังกรฟ้าไม่คิดจะซักไซ้ถามอะไรมากมาย หลิ่งเฟยที่ไม่อยากจะใช้ลมปราณเหาะไปเองพูดแกมร้องขอ เป็นประโยคที่สัตว์เทพอสูรไม่น่าจะพูดออกมาแต่หลิ่งเฟยไม่ถือเย่อหยิ่งตัวเองทำตัวเป็นสตรีประหลาดกล้าขออย่างหน้าไม่อาย

                    ยูซานที่เริ่มทำใจให้ชินกับท่าทีของหลิ่งเฟยได้แล้วเข้าไปอุ้มแต่โดยดี ตามองไปยังมังกรฟ้าในใจยังนึกหวาดหวั่นอยู่มากอะไรมันจะง่ายดายถึงเพียงนี้

                    ทำตัวกิริยาไม่งามเหมือนหน้าตาเลยนะจิ้งจอกเก้าหาง

                    คำพูดทิ้งท้ายก่อนที่มังกรฟ้าจะบินหายไปหลิ่งเฟยที่ได้ยิน เดาะลิ้นรู้สึกว่ามันคือการด่าทางอ้อมอย่างหนึ่ง อยากจะเอาหางฟาดปากและเปิดศึกกันตรงนี้ แต่ในใจก็อยากกลับไปนอนที่เรือนมายาเต็มแก่ จึงยอมทำเป็นหูทวนลมไม่ได้ยินได้ทั้งนั้น







    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×