คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #21 : สัตว์เทพอสูรมังกรฟ้า(รีไรท์)
เมื่อหลิ่งเฟยกลับมาถึงร้านยาหลังจากที่เยียนถิงฝากฝั่งให้ดูแลซงกับยูซานพร้อมกับเสื้อผ้าของยูซาน เพราะยูซานนั้นตัวใหญ่มาก มากซะจนใส่เสื้อของเซี่ยหย่งเซิงแล้วยังไม่พอดีกับขนาดตัวเลย
“เถ้าแก่ยูซานเป็นไงบ้าง”
หลิ่งเฟยเอ่ยถามเถ้าแก่ที่กำลังสอนจินลี่จดบันทึกตัวเลข
หรือก็คือการทำบัญชี
“ข้าได้ทำการรักษาบาดแผลและให้ยารักษาแผลภายในแล้ว
แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่ได้สติเลยขอรับ”
เถ้าแก่ไม่ได้รังเกียจยูซาน
พูดด้วยสีหน้าสีหน้าที่สงสารจับใจเพราะแค่บาดแผลภายนอกไม่ได้มีเพียงแค่แส้หรือรอยฟกช้ำแต่มันยังมีบาดแผลที่เกิดจากอย่างอื่นและเป็นแผลที่มีหลายปีแล้ว
ต่อให้มีสายเลือดสัตว์อสูรถ้าไม่ได้รับการดูแลที่ดีก็ย่อมไม่หาย
หลิ่งเฟยพยักหน้ารับรู้ก่อนขึ้นไปยังชั้นบนจินลี่รีบเดินมาทันที
“ท่านเฟยขอรับ
ข้าอยากช่วยรักษายูซาน”
เถ้าแก่ดึงแขนจินลี่แทบไม่ทันสายตาส่งคำขอโทษแทนลูกชายตนเองที่ไม่รู้จักพอกับการเรียนรู้
หลิ่งเฟยมองคิดในใจว่าจะสอนอะไรให้เด็กคนนี้ดีเพราะเท่าที่เถ้าแก่บอกมาก็รักษายูซานไปหมดแล้ว
“การที่ยูซานยังไม่ได้สตินั้น
เป็นเพราะฤทธิยาบางอย่างใช่หรือไม่ขอรับ”
ออ...เรื่องนี้เองหรอกหรือ
“ยูซานนั้นแข็งแกร่งอยู่แล้วที่ยังไม่ตื่นเป็นเพราะร่างกายกำลังฟื้นฟูตัวเองเป็นหลัก
หากเจ้าเป็นห่วงยูซานมากนักตอนที่เขาตื่นมาก็เอาอาหารอร่อยๆไปให้ก็แล้วกัน”
หลิ่งเฟยอธิบายให้เข้าใจง่ายจินลี่ที่ได้รู้แล้วว่าไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงก็รับคำเสียงดังฟังชัดอย่างแน่วแน่
เมื่อเปิดประตูห้องตนเองที่ให้ยูซานเข้ามานอนด้วยเป็นการชั่วคราว
หลิ่งเฟยก็ต้องทำหน้านิ่งมองเซี่ยหย่งเซิงกำลังตั้งใจฟังกระรอกตัวน้อยพูดอะไรบางอย่างเป็นเสียงฟ่อๆ
แม้ว่าจะฟังไม่ออกก็ตาม
“ท่านไม่กลับบ้านหรือไง”
เซี่ยหย่งเซิงทำเป็นไม่รู้ตัว
มือลูบหัวเจ้ากระรอกน้อยพร้อมกับรอยยิ้ม
“เวลานี้ก็เย็นมากแล้ว
ข้าคิดว่าจะนอนค้างที่นี่สักคืนหนึ่ง”
ขอละผู้ชายสามคนนอนในห้องเดียวกันเนี่ยนะ ไม่ขาดอากาศหายใจหายหรือไง
“ข้าว่าห้องมันแคบเกินไป เจ้าควรกลับไปที่บ้านที่มีที่นอนดีๆจะดีกว่า”
“บ้านของข้ามันก็กว้างเกินไปอีกอย่างหากได้อยู่กับเจ้า
ข้าก็ไม่รังเกียจหรอกนะ”
กล้าพูดได้หน้าตาเฉยจริงๆ
“งั้นก็อย่าบ่นแล้วกัน
ข้าจะไปอาบน้ำหากท่านหิวก็ไปบอกเถ้าแก่เอง”
หลิ่งเฟยกล่าวอย่างเย็นชาก่อนออกจากห้อง
และเมื่อกลับมาอีกครั้งก็พบว่าเซี่ยหย่งเซิงปูฟูกที่นอนรอไว้ก่อนแต่ประเด็นคือมีแค่แค่ฟูกเดียว
หลิ่งเฟยจึงออกไปหยิบฟูกที่นอนอีกอันมาปูไว้อีกมุมหนึ่งของห้อง
“ท่านไม่สนใจข้าเลยนะ ท่านมี่จาง”
เมื่ออยู่กันเพียงแค่สองคนไม่นับคนป่วยที่ยังหลับไม่ได้สติกับซงที่นอนอยู่บนอกยูซาน
หลิ่งเฟยถอนหายใจอย่างระอาไม่รู้จะสรรหาคำพูดไล่คนนี้ไปยังไง
“ให้ข้าช่วยท่านเช็ดผมนะ”
ไม่รอความยินยอมเซี่ยหย่งเซิงหยิบผ้ามาเช็ดเส้นผมที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำ
หลิ่งเฟยกรอกตาไปมานึกย้อนไปตอนที่เซี่ยหย่งเซิงขอเป็นเพื่อนกับตนเอง
แม้ว่าจะแค่วันเดียวก็ตาม
เซี่ยหย่งเซิงบรรจงเช็ดผม
พร้อมกับนวดศีรษะให้อย่างเบามือหลิ่งเฟยที่มีท่าทีต่อต้านในตอนแรกหลับตารู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น
“อาการปวดหัวของท่านหายแล้วใช่มั้ย”
“อืม”
“ข้านึกว่าจอมยุทธ์มี่จางจะป่วยไม่เป็นเสียอีก
ท่านเองก็ไม่ต่างไปจากมนุษย์สินะ”
เซี่ยหย่งเซิงอาศัยช่วงที่หลิ่งเฟยกำลังเคลิมใกล้หลับสวมกอดจากด้านหลัง
หลิ่งเฟยค่อยๆลืมตาตื่นเพราะรู้สึกว่าเซี่ยหย่งเซิงจะล้ำเส้นเข้ามามากเกินไปแล้ว
“สหายกันจำเป็นต้องกอดด้วยหรือ”
“แต่เจ้าก็ไม่รังเกียจข้า”
เซี่ยหย่งเซิงเปลี่ยนสรรพนามเรียกเพื่อความใกล้ชิดเข้าไปอีก
“ข้าไม่คิดมากกับเรื่องพวกนี้แต่ท่านกับข้ายังคงเป็นเพียงแค่สหายวันเดียว
และหลังจากนั้นข้ากับท่านก็คือจอมยุทธ์และท่านอ๋องแห่งแคว้นหยิ่ง”
อ้อมแขนที่กำลังกอดหลิ่งเฟยค่อยๆคลายออก
เซี่ยหย่งเซิงนึกเสียดายและเสียใจที่อีกฝ่ายเย็นชาได้ถึงเพียงนี้ หลิ่งเฟยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกยังไง
นางไม่สนว่าใครจะมาชอบพอนางนอกจากคนที่ตนเองพึงพอใจเอง
“งั้นท่านเกิดที่ไหนหรือ”
ครั้งนี่คุยเรื่องบ้านเกิดรึ
หลิ่งเฟยเกาหัวกับความพยายามที่ไม่สิ้นสุดของท่านอ๋องแต่ก็ยอมตอบไปสั้นๆ
“แคว้นหยาง”
“ท่านมีครอบครัวหรือไม่”
“มีสิ” มีชุน ถังอี๋ ไอ๋อั๋น เหม่ยเหมย เชาเหมา ส่วนเฟิงหู่นะก็คงเป็นเหมือนสหายละมั้ง
“แต่ท่านเคยบอกว่าท่านเป็นลูกคนเดียว”
“ข้าเกิดมาเป็นลูกคนเดียวแต่พอข้าโตขึ้นข้าก็ได้สร้างบ้านของตนเองและอยู่ร่วมกับครอบครัวของข้า”
“ท่านหมายถึงแต่งงาน?”
คำนี้ให้หลิ่งเฟยอยากจะหัวเราะออกมากับความไม่รู้และความเชื่อในอุดมคติของคนในยุทธภพนี้
หากต้องแต่งงานเพื่อมีครอบครัว ชีวิตในชาติก่อนก็คงเรียกได้ว่าล้มเหลวในแต่งงานโดยสิ้นเชิง
“แค่เคยนะ”
คำว่าแค่เคยยิ่งทำให้เซี่ยหย่งเซิงสงสัยและตกใจไม่น้อยเพราะนั้นหมายถึงว่าจอมยุทธ์มี่จางเคยหย่าร้างมาก่อน
เพราะเหตุใดกัน เพราะนางสามารถแปลเป็นบุรุษได้งั้นหรือ?
“เจ้าง่วงแล้วใช่มั้ย”
หลิ่งเฟยพูดทักเซี่ยหย่งเซิง
พอพูดถึงก็เริ่มมีอาการง่วงแล้วจริงๆ เซี่ยหย่งเซิงพยักหน้าราวกับเด็กน้อย
ไม่รู้ทำไมถึงได้ง่วงขนาดนี้และรู้ว่าถ้าอยู่ที่นี่ก็ไม่มีอะไรที่ต้องเป็นห่วงขอแค่ได้อยู่กับนางก็พอ
“ข้าอยากเห็นครอบครัวของท่านจริงๆว่าจะเป็นเช่นไร”
เซี่ยหย่งเซิงซบหลับไปที่ไหล่ของหลิ่งเฟยในร่างบุรุษ
หลิ่งเฟยค่อยๆประคองร่างกายไปนอนที่ฟูกที่นอน เซี่ยหย่งเซิงคงจะเบื่อหน่ายกับกลเกมการเมืองในสถานที่ที่เรียกว่าบ้านมามากถึงได้พยายามตีสนิทตนเองให้ได้
ใช่ว่าจะไม่เข้าใจความรู้สึกเซี่ยหย่งเซิงแต่หากเซี่ยหย่งเซิงคิดก้าวล้ำเส้นเข้ามาเมื่อไรนางก็ต้องหยุดเพื่อไม่ให้เป็นต้นเหตุของปัญหาที่จะตามาทีหลัง
เมื่ออย่างเมื่อกี้ที่เซี่ยหย่งเซิงรู้สึกง่วงนอนเป็นอย่างมากก็เป็นเพราะตนเองปล่อยไอลมปราณเย็นให้ไปปรับกระแสลมปราณอีกฝ่าย
จนรู้สึกง่วงเพราะหากไม่ทำแบบนี้เซี่ยหย่งเซิงก็คงจะยิงคำถามมาอีกมาก
“ข้ารู้ว่าเจ้าตื่นแล้วนะยูซาน”
หลิ่งเฟยทักคนที่ตื่นมาได้สักพักและแอบเนียนหลับต่อ
นางจะไม่ทักเลยถ้ายูซานจะตื่นขึ้นมาและทำเป็นพูดอะไรสักอย่างเพื่อช่วยหลิ่งเฟยจากสถานการณ์เมื่อกี้
ยูซานลืมตามองหลิ่งเฟยในร่างบุรุษเพียงแค่ได้เห็นหลิ่งเฟยแวบแรกในที่ประมูลก็รู้ได้ทันทีว่านางไม่ใช่มนุษย์
“ท่านไม่ใช่มนุษย์”
“อย่างน้อยข้าก็ช่วยเจ้าเอาไว้นะ”
“ตอนที่ข้าอยู่ที่นั้น ตอนที่ท่านแสดงความโกรธออกมาข้าเห็นกระแสลมปราณของท่าน”
หลิ่งเฟยนึกย้อนกลับไปเมื่อตอนนั้นยูซานเหมือนคนโดนมอมยา
แต่การที่ยังคงมีสติมาสังเกตเห็นนางได้ แปลว่ายูซานต้องแข็งแกร่งอยู่พอตัว
“ท่านคือสัตว์เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหาง”
ราวกับเวลาในห้องได้หยุดไปชั่วขณะ ยูซานดูไม่เกรงกลัวหลิ่งเฟยเลยแม้แต่น้อย
หากเป็นผู้อื่นคงกลัวแม้กระทั้งจะเอ่ยคำว่าสัตว์เทพอสูรแล้ว
“ไม่กลัวข้ารึไง”
“ไม่ขอรับ”
หลิ่งเฟยคลายร่างที่แท้จริงของสัตว์เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางในร่างมนุษย์
ยูซานมองร่างที่เหมือนจะเรืองแสงได้ด้วยความนิ่งเฉยแม้ในใจจะหวาดหวั่นอยู่ไม่น้อย
“ข้าสามารถฆ่าเจ้าได้นะยูซาน”
หลิ่งเฟยพูดลองใจยูซานว่าจะแสดงสีหน้าออกมามากกว่านี้หรือไม่
“ท่านไม่ทำหรอกขอรับ”
หืม?
“หากท่านจะทำจริง ก็นับว่าท่านยอมเสียเงิน10,000 เหรียญทองที่ประมูลข้ามาอย่างสูญเปล่า”
นัยน์ตาของยูซานไม่มีความลังเลที่จะพูดเรื่องนี้
หลิ่งเฟยเอาหางไปจ่อที่คอแววตาก็ยังคงมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง นอกจากจะไม่ลังเลแล้ว
หลิ่งเฟยไม่เห็นความแค้นหรือตัดพ้อในโชคชะตาของตนเองที่ต้องมาเป็นลูกครึ่งและถูกทำร้ายมานับนานปี
“ฮะฮะ ก็ถูกของเจ้านะยูซาน”
หลิ่งเฟยย้ายที่นั่งมานั่งข้างยูซาน ซงยังคงหลับอยู่บนอกยูซาน
มือขาวจับชีพจรร่างกายไม่มีผลข้างเคียงของยาตกค้างอยู่เลยนับว่าน่าอัศจรรย์ใจมาก
“แล้วหลังจากนี้เจ้าจะทำยังไงต่อละ”
“ข้าคิดว่าจะขอติดตามท่านไปเพราะข้าเองก็ไม่มีที่ไปอยู่แล้ว”
หลิ่งเฟยพ่นขำออกมาทีหนึ่ง
อดคิดไม่ได้ว่าที่ยูซานพูดแบบนี้เพราะไม่รู้จะไปไหนหรือแค่อยากมาอยู่กับนางเพราะอำนาจของหลิ่งเฟย
“เพราะเจ้าได้ยินที่ข้าคุยกับเซี่ยหย่งเซิงเมื่อครู่นี้แล้วสินะ”
“ข้าไม่ได้หวังสูงจนอยากเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวท่าน ขอแค่ที่หลับนอนให้กับข้าเพียงเท่านั้น”
“....ทำไมเจ้าถึงพูดเช่นนั้นกันยูซาน”
“ข้าไม่ต้องการเห็นผู้ที่หวังดีต่อข้าต้องถูกทำร้ายอีกแล้ว
หากเป็นท่านที่ไม่มีผู้ใดกล้าแม้แต่จะชี้ปลายดาบเข้าใส่
ต่อให้ต้องอยู่เหมือนคนไร้ตัวตนข้าก็ยินดี”
ลูกครึ่งสัตว์อสูรที่หลิ่งเฟยพึ่งได้เคยเห็นเป็นครั้งแรกลุกขึ้นคุกเข่าต่อหน้าหลิ่งเฟยในมือก็ถือเจ้ากระรอกน้อยให้ได้นอนหลับอย่างสบายใจ
หลิ่งเฟยอึ้งในคำพูดของยูซานกระบวนการความคิดที่ไม่ได้ซับซ้อนแต่หลิ่งเฟยก็ไม่เคยคิดอะไรแบบนี้มาก่อน
“เจ้าคงจะเป็นพวกประเภทพูดไม่เก่งสินะ”
เท่าที่ฟังและเข้าใจยูซานคงอยากจะสื่อว่าที่ผ่านมามีคนเคยช่วยเหลือยูซานมามาก
แต่พวกเขาก็ต้อมาเดือดร้อนถูกทำร้ายซึ่งเป็นสิ่งที่ยูซานไม่อยากเห็นอีก
ยูซานพยักหน้ายอมรับตรงๆว่าพูดไม่เก่ง
หลิ่งเฟยยื่นมือไปข้างหน้าเพื่อจับมือตกลงกับอีกฝ่าย
“ไม่ต้องอยู่เหมือนคนไร้ตัวตนหรอกยูซาน
บ้านของข้ายินดีต้อนรับเจ้ากับซงนะ”
“แน่ใจนะว่าไม่รู้เจ็บตรงไหนแล้ว
เจ้ากินแค่นี้จะอิ่มหรือยูซาน”
เช้าวันต่อมาหลิ่งเฟยนั่งมองจินลี่กำลังบังคับให้ยูซานกินอาหารเช้าให้มากกว่านี้
ยูซานคงจะไม่ชินที่ได้รับอาหารมากกว่าปกติเลยกินไปเพียงแค่ชามเดียวทำให้จินลี่ที่ยังกินมากกว่าสองชามรีบเติมข้าวบังคับให้กินเพิ่มอีก
“ดูเหมือนว่าจินลี่อยากจะเป็นเพื่อนกับยูซานมากเลยนะเถ้าแก่”
“คงเป็นเพราะพึ่งเคยเห็นอะไรแบบนี้มั้งขอรับ
รับขนมเพิ่มหรือไม่ท่านเฟย”
ช่วงเช้าไม่ค่อยมีลูกค้าเข้ามาซื้อยามากนักทำให้เถ้าแก่มีเวลาว่างพอมานั่งจิบชาฟังความคำแนะนำของหลิ่งเฟย
เมื่อมีผู้ให้ขนมหวานหลิ่งเฟยก็ไม่คิดจะปฏิเสธอยู่แล้ว
“เอาสิ”
เซี่ยหย่งเซิงนั่งมองภาพที่คล้ายจะวุ่นวายแต่ก็เต็มไปด้วยความอบอุ่น
หลิ่งเฟยที่คิดว่าควรกลับไปที่เรือนมายาให้เร็วที่สุดคิดเรียงลำดับว่าจะออกไปซื้ออะไรก่อนดี
เสื้อผ้าของใช้ส่วนตัวสำหรับยูซาน ซงที่เป็นกระรอกคงต้องซื้อพวกเมล็ดต่างๆมาปลูกไว้ให้เป็นอาหารของซงแล้วก็หนังสือเทคนิคการสร้างศาลา
ตำราหนังสือแบบนี้จะมีขายมั้ยน้อ....
“ยูซาน ซงกินเสร็จแล้วออกไปซื้อของเตรียมตัวกลับเลยนะ”
ถึงแม้ว่าจะกะทันหันไปหน่อยแต่ยิ่งกลับเร็วเท่าไรยิ่งดีเพราะมีเรื่องที่ตั้งใจทำไว้ก่อนจะออกไปจากแคว้นหยิ่ง
เซี่ยหย่งเซิงที่อาศัยอยู่แคว้นหยิ่งมาตั้งแต่เกิดอาสาขอพาเที่ยวแม้ว่าหลิ่งเฟยจะไม่อยากได้ก็ตาม
เพราะมียูซานที่เป็นลูกครึ่งสัตว์อสูรมาด้วย
สายตามากมายจากชาวบ้านต่างจับจ้องมาที่ยูซาน หลิ่งเฟยทำเพียงแค่ชำเหลือบมองคนพวกนั้นก็รีบหลบสายตาไม่เว้นแม้แต่เด็กตัวเล็กที่ต้องเก็บนิ้วมือถ้ายังมีนิ้วไว้ชี้อย่างอื่น
“เสื้อพวกนี้ก็ดีนะ แต่ปีกของเจ้าเนี้ยสิ
สงสัยคงต้องเจาะด้านหลังเสื้อของเจ้าทุกตัวละมั้ง”
“ข้าไม่ใส่เสื้อก็ได้ขอรับ”ยูซานพูดเสียงอ่อน
เพราะปกติก็ไม่ใส่อยู่แล้วหลิ่งเฟยเหล่ตามองคุณหนูสตรีทั้งหลายในร้านที่แอบส่องสายตามองกล้ามเนื้อหน้าท้องเป็นระยะ
หากไม่ติดว่ายูซานเป็นลูกครึ่งสัตว์อสูรพวกนางก็แกล้งทำเป็นลมไม่ก็แกล้งทำหน้าเช็ดหน้าตกเป็นสิบผืนแล้วมั้ง
“เจ้าไม่ใส่แล้วจะโชว์เนื้อหนังให้เหล่าคุณหนูหัวใจวายตายหรือไง
เอาตัวนี้ ตัวนี้ด้วย ปิ่นกับต่างหูนั้นด้วยนะ”
การเลือกซื้อของที่ทำให้เซี่ยหย่งเซิงที่ไม่ได้พาองครักษ์มากับยูซานกลายเป็นคนถือของ
โชคยังดีที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเซี่ยหย่งเซิงมากนักจึงไม่มีใครพูดว่าท่านอ๋องของแคว้นหยิ่งถูกบุรุษที่ไหนไม่รู้มาใช้ถือของให้
ซงที่เป็นเพียงแค่กระรอกตัวน้อยเลยไม่ได้ถูกใช้ให้ถือของมองเครื่องประดับสตรีที่มีทั้งหยก
เพชร ทับทิมและหลายอย่างที่ไม่รู้จัก เด็กในร้านที่เห็นกระรอกมายืนบนชั้นวางของเกือบเข้าไปจับซงหวังโยนออกไปนอกร้านถ้าหลิ่งเฟยไม่เข้ามาขัดเสียก่อน
“....เอาเครื่องประดับพวกนี้ทั้งหมดด้วย”
แม้จะอยู่ในร่างบุรุษแต่จิตใจก็ยังเป็นสตรีด้วยความหงุดหงิดกับความมักน้อยของยูซานและความเอาอกเอาใจของเซี่ยหย่งเซิงอันเกินพอดีหลิ่งเฟยหยิบทุกอย่างที่คิดว่าทุกคนในเรือนมายาจะชอบส่งให้คนถือของ
เมื่อซื้อเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยหลิ่งเฟยที่ไม่อยากให้ยูซานเหนื่อยเกินไปเก็บของทุกอย่างใส่แหวนหยกมิติในที่ลับตาเพราะยังต้องแวะร้านอื่นอีกเยอะ
ยูซานกับเซี่ยหย่งเซิงไม่เคยพบเจอผู้ใดซื้อของเยอะเท่านี้มาก่อนรู้สึกเหนื่อยล้าทางใจเป็นอย่างมาก
หลิ่งเฟยเองก็พอสังเกตเห็นพาทั้งคู่แวะร้านอาหารที่รู้มาว่าอร่อยที่สุดในย่านนี้
ฟ่อ ฟ่อ
วันนี้ข้าสนุกมากเลยเฟย มีของวิงวับๆเยอะไปหมด
“ซงพูดอะไรอยู่หรือท่านเฟย”
"วันนี้ข้าสนุกมาก
มีของวิงวับเต็มไปหมด" หลิ่งเฟยทำเป็นดัดเสียงพูดแบบเดียวกับที่ซงสื่อสารออกมา
“ของวิงวับที่ว่าคือร้านเครื่องประดับสินะ”
ครั้งนี้เป็นเซี่ยหย่งเซิงเข้ามาคุยกับซง เป็นภาพที่ดูน่ารักมากที่ท่านอ๋องสามคุยกับกระรอกอย่างตั้งอกตั้งใจราวกับว่าฟังสิ่งที่พูดออก
ใช่ แถมวันนี้ข้าได้กินของอร่อยๆเยอะมากยูซานเจ้าก็ต้องกินให้มากๆนะ
ยูซานที่ได้รับรู้ความหวังดีแม้จะฟังไม่ออกสักคำแกะเปลือกส้มให้ซงได้กิน
อาหารทั้งหมดที่สั่งมาก็หมดไม่เหลือสักจาน
“ท่านเซี่ยหย่งเซิงขอรับ”องครักษ์ของเซี่ยหย่งเซิงที่ไม่ใช่สัตว์อสูรงูตนนั้นเดินมาหาด้วยสีหน้าที่ค่อยสู้ดีนักเหมือนมีความหมายบางอย่างแฝงอยู่
“....เข้าใจแล้ว”
เซี่ยหย่งเซิงลุกขึ้นประสานมือขออภัยที่ต้องกลับก่อน
“ ทุกคนต้องขออภัยด้วยจริงๆ
แต่เวลานี้ข้ามีธุระด่วนที่ต้องจัดการ”
เอ๋ จะไปแล้วหรือ
ซงเอ่ยอย่างเสียดาย
หลิ่งเฟยลูบหัวซงเบาๆเซี่ยหย่งเซิงที่เหมือนรู้ว่าซงพูดอะไรอยู่หยิบบางอย่างออกมาจากแขนเสื้อ
มันคือเครื่องรางขอให้เดินทางปลอดภัยไม่ได้หรูหรามีราคามาให้หลิ่งเฟยแกมบังคับทำให้หลิ่งเฟยต้องยอมรับเครื่องรางนั้นแต่โดยดี
“ขอบคุณ แต่ข้าคิดว่ามันไม่ค่อยจำเป็นกับข้าเท่าไหร่นัก”
หลิ่งเฟยยกให้ยูซานต่อหน้าเซี่ยหย่งเซิงแต่เท่านี้ก็มากพอที่จะทำให้เซี่ยหย่งเซิงไม่นึกเสียใจอีกแล้ว
พระจันทร์ส่องแสงสว่างในท้องฟ้ายามราตรี
แม้ว่าจะไม่ได้เป็นพระจันทร์เต็มดวงแต่สำหรับหลิ่งเฟยแล้วมันไม่ได้สำคัญเท่ากับร้านขายสัตว์อยู่ที่อยู่ตรงหน้า
ทำไมพวกเราต้องกลับมาที่นี่ด้วย?
ซงที่ไม่อยากกลับมาที่นี่อีกเป็นครั้งที่สองถามหลิ่งเฟยที่บอกให้เตรียมตัวกลับอย่างไม่เข้าใจ
ยูซานเลือกที่จะเป็นผู้ตามแทนที่จะถาม
“ถามได้ดีซง ข้ากลับมาก็เพื่อทำลายที่นี่นะสิ”
โคมไฟสีแดงที่ยังคงส่องแสงเพราะแมลงสัตว์อสูรข้างในหลิ่งเฟยตวัดมือครั้งเดียวความมืดก็เข้ามาเยือน
ซงร้องเสียงหลงเข้าไปข้างในเสื้อยูซาน
หลิ่งเฟยมองประตูที่มียันต์ลายอาคมแปะพร้อมโซ่ที่คล้องประตูเอาไว้อย่างหนาแน่น
เป็นอาคมเลือดมีเพียงแค่เจ้าของเลือดเท่านั้นที่สามารถเปิดมันได้แต่ถ้าหากว่าคนที่จะเปิดอยู่ในระดับที่สูงกว่าผู้ใช้ยันต์นี้ล่ะ
เคร้ง
ยันต์ถูกเผาสลายไปในอากาศ
โซ่ที่คล้องกันร่วงลงพื้น ประตูถูกเปิดออกเพียงแค่เอามือไปสัมผัสกับประตู
ภายในร้านที่มืดมิดไร้แสงสว่างจากทุกสิ่งแต่หลิ่งเฟยยังคงเห็นสัตว์อสูรที่อยู่ในกรง
ได้ยินเสียงความทรมานของการถูกพาออกจากสถานที่ควรอยู่
ไม่มีมนุษย์อยู่ข้างในเลยแม้แต่คนเดียว
หลิ่งเฟยรู้สึกเหมือนมันขัดแย้งกันอย่างไงก็ไม่รู้แต่ก็ถือว่าดีสำหรับตนเองจะได้จัดการอะไรได้ง่ายขึ้น
ขวดโหลใสที่บรรจุไข่สัตว์อสูรมีป้ายเขียนชื่อชนิดสายพันธุ์หลิ่งเฟยหยิบขวดโหลให้ยูซานถือดั่งเหมือนมาซื้อของโดยไม่จ่ายเงิน
“เอาไปปล่อยในป่าให้หมด”
ยูซานเข้าใจในการกระทำของหลิ่งเฟยทันที
ถึงไข่พวกนี้จะไร้พ่อแม่แต่ก็ยังดีกว่าที่จะเกิดมาไร้พ่อแม่และถูกทรมานไปทั้งชีวิต
กรงขังสัตว์ถูกเปิดออกเพียงแค่เอามือไปสัมผัส ร่างจิ้งจอกเก้าหางในร่างมนุษย์ค่อยๆเดินลึกเข้าไปอย่างไม่รีบร้อน
กรงไหนอยู่ไกลหรือมีโซ่กุญแจล่ามสัตว์อสูรหางสีขาวก็จะตวัดครั้งเดียว
เหล่าสัตว์อสูรที่ปลงกับชะตาชีวิต วินาทีที่กรงถูกเปิดออกเมื่อได้เห็นแผ่นหลังและเส้นผมสีเงินที่เดินลึกเข้าไปพวกมันรู้สึกศรัทธาตัวของหลิ่งเฟยและไม่มีวันลืมบุญคุณนี้ไปชั่วชีวิตพากันวิ่งออกไป
บรรยากาศของห้องใต้ดินนั้นแตกต่างกันลิบลับจากด้านบน
ทั้งเหม็นสาบ เสียงโซ่เสียงร้องครางด้วยความเจ็บปวดดังตลอดเวลาราวกับบทเพลงที่ไม่น่าฟังเอาเสียเลย
สัตว์อสูรที่อยู่ที่นี่ส่วนใหญ่ถูกคุมขังอย่างแน่นหนา บางตัวก็ถูกโ:ซ่พันเอาไว้ทั้งตัวหลิ่งเฟยหยิบพัดเหล็กไหลออกมาอาวุธที่ได้มาจากการเที่ยวเสาะหาสะสมอาวุธที่ตนเองสนใจมากางออก
“พวกเจ้าจะได้เป็นอิสระแล้ว
จงกลับไปที่ป่าและอย่าให้ถูกจับมาอีกละ”
เหล่าสัตว์อสูรที่อยู่ในกรงพากันพยายามลุกขึ้นพวกมันรู้สึกได้ตั้งแต่ที่สัตวอสูรด้านบนได้เป็นอิสระแล้วหากเป็นท่านผู้นี้ก็จะยอมเชื่อใจและสัญญาเลยว่าจะไม่ยอมกลับมายังที่แห่งนี้เป็นครั้งสองเป็นอันขาด
คมดาบจากสายลมที่เกิดจากการสะบัดพัดเพียงแค่ครั้งเดียวทำลายกรงและโซ่เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยสัตว์อสูรที่หลุดพ้นจากพันธการรีบขึ้นไปยังด้านบนเพื่อกลับไปยังบ้านของมัน
แต่ก็มีบางตัวที่เจ็บหนักจนไม่อาจขยับกายได้หลิ่งเฟยย่อตัวลูบหัว ตาสีเงินมองนัยน์ตาของสัตว์อสูรที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศก
“อย่าเศร้าไป
เจ้ายังมีป่าให้กลับไปอยู่นะ”
ไฟสีฟ้าลุกโชกครอบคลุมร่างกายสัตว์อสูรมันเผาทุกสิ่งอย่างยกเว้นสิ่งมีชีวิต
สัตว์อสูรที่ไม่สามารถขยับตัวได้เพราะบาดแผลหนักหนาเกินไปค่อยๆลุกขึ้นพยุงตัว มองไปที่จิ้งจอกเก้าหางในร่างมนุษย์เสียง
กลิ่นเผาไหม้ไม่อาจปิดบังเรือนร่างที่กำลังยืนขึ้น
ใบหน้าแหง่ขึ้นดวงตาปิดลงมุมปากกำลังยิ้มไม่สามารถคาดเดาได้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
เพลิงสีฟ้ากำลังลุกโชกอย่างดุเดือดหินแกรนิตที่เป็นฐานเวทีถูกเผาจนกลายเป็นตะกอนสีดำ
สัตว์อสูรที่ได้รับการรักษาจากเปลวเพลิงรีบออกไปในทันที ไฟก็คือไฟถึงจะช่วยรักษาชีวิตเอาไว้แต่หากไม่ระวังให้ดีชีวิตก็อาจดับสูญโดยที่ไม่รู้ตัว
รู้สึกดีจริงๆ
ยูซานที่บินกลับมา เมื่อเห็นหลิ่งเฟยในร่างจริงกลางกองไฟสีฟ้าแม้จะประหลาดแต่ยูซานไม่รอช้าที่จะบินโฉบลงไปอุ้มหลิ่งเฟยมากลางอากาศ
ชาวบ้านชาวเมืองที่รับรู้ได้ถึงความผิดปรกติพากันออกมาดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น
เจ้าของร้านขายสัตว์อสูรที่พักอยู่ไม่ไกลทรุดลงไปนั่งที่พื้นเมื่อธุรกิจของตนเองถูกเปลวไฟประหลาดกำลังเผาไหม้ร้านต่อหน้า
“ยูซานบินขึ้นให้สูงกว่านี้”
หลิ่งเฟยกอดคอยูซานเมื่อพูดจบยูซานเพิ่มระดับความสูงจนอยู่เทียบเท่ากับกลุ่มเมฆซงที่ไม่ได้มีร่างกายทนทานเหมือนทั้งคู่พยายามมุดเข้าไปในเสื้อยูซานให้ได้มากที่สุดจนรู้สึกอุ่น
“ทนหน่อยนะซงข้าแค่อยากจะดูให้แน่ใจว่าเขาจะไม่มีวันกลับมาทำธุรกิจแบบนี้อีกแล้ว”
และอยากได้ความเป็นส่วนตัวในการพูดคุยกับคนหนึ่งด้วย
ซงมองตาปริบเพราะจำหลิ่งเฟยไม่ได้
แต่ความใจดีและโครงหน้าของหลิ่งเฟยทำให้ซงร้องเสียงจี๊ด หางชี้ตั้ง เมื่อจำได้และได้รู้แล้วว่าตนเองได้ตกถังข้าวสารขนาดใหญ่เข้าแล้ว
เจ้าเป็นสัตว์เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหาง!!!
“และข้าขอแนะนำท่านสัตว์เทพอสูรมังกรฟ้าด้วยนะซง”
หลิ่งเฟยชี้นิ้วขึ้นด้านบนซงกับยูซานมองตาดวงตาสีเขียวมรกตกำลังจ้อมมองมาที่ตนเองท่ามกลางความมืด
เมื่อกลุ่มเมฆที่บดบังดวงจันทร์เคลื่อนผ่านไปก็ปรากฏร่างสัตว์เทพอสูรมังกรฟ้าต่อหน้า
ซงทำอะไรไม่ถูกนอกจากพยายามหายใจเข้าออก
ยูซานที่รู้ได้ถึงแรงกดดันพยายามบังคับจิตใจไม่ให้กลัวสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามากเกินไป
เจ้ายืนเองไม่ได้หรือไงจิ้งจอกเก้าหาง
มังกรฟ้าส่งเสียงครางเบาๆหลิ่งเฟยที่ฟังออกนึกเถียงในใจว่าตนเองมีแค่เจ็ดหางเองจะมาเรียกจิ้งจอกเก้าหางได้อย่างไรกัน
“มีผู้ชายหน้าตาดีมาอุ้มแบบนี้มีหรือที่ข้าจะปฏิเสธ”หลิ่งเฟยทำเป็นเอียงอายเอามือลูบแก้มตัวเอง
ยูซานแทบไม่อยากเชื่อว่าหลิ่งเฟยจะเป็นคนแบบนี้
..........
สัตว์เทพอสูรมังกรฟ้าไม่พูดอะไร
ตนเองดูออกว่าสัตว์เทพอสูรจิ้งจอกไม่ได้พูดจริง
หลิ่งเฟยถอนหายใจที่รู้สึกเหมือนเด็กเกเรถูกผู้ใหญ่จับโกหกได้จึงปล่อยมือที่กอดคอยูซานออก
ก่อนออกมานั่งบนหางตัวเองกลางอากาศ
เจ้ามีกลิ่นของเฟิงหู่
“ช่วงนี้เฟิงหู่ชอบมาอยู่บ้านข้านะ”หลิ่งเฟยตอบออกไปตรงๆ
มังกรฟ้ามองเปลวไฟสีฟ้าที่กำลังค่อยๆมอดลง
ทั้งหมดที่ทำไปเจ้าต้องการอะไร
ห่ะ? นี้สัตว์เทพอสูรมังกรฟ้าสายตาไม่ดีหรือไง
ก็เห็นอยู่ว่าข้าช่วยสัตว์อสูร
“การช่วยเหลือผู้อื่นจำเป็นต้องมีเหตุผลด้วยหรือท่านไท่หลง”
หลิ่งเฟยถามอย่างไร้เดียงสา
ไท่หลงไม่อยากเชื่อว่าที่ทำไปจะไม่มีจุดประสงค์แอบแฝงแต่สถานที่ในตอนนี้ไม่เป็นใจให้ไท่หลง
เพราะร่างกายที่ใหญ่โตเกินไปต่อให้อยู่สูงแค่ไหนมนุษย์ที่อยู่ข้างล่างก็เห็นอยู่ดี
ตั้งแต่ที่ไท่หลงรู้สึกได้ถึงจิตสังหารเบาๆของสัตว์เทพอสูร
แม้ว่ามันจะบางเบาแต่ก็น่าเกรงราวกับพวกที่อยู่ระดับเดียวกับตนเองและจิตสังหารที่ว่าต้องไม่ใช่เฟิงหู่
เฟิงหู่ไม่มีทางปล่อยจิตสังหารที่คมกริบเหมือนกับดาบและแฝงไปด้วยความซับซ้อนไม่อาจเข้าใจได้
ถึงได้ยอมใช้ร่างที่แท้จริงมาหาที่มาของมัน
เจ้าของจิตสังหารที่ว่ากำลังนั่งอยู่บนหางตัวเองเอนหลังไปพิงหางสีขาวด้วยท่าทีที่ผ่อนคลาย
ราวกับได้ปลดปล่อยบางอย่างจนสบายใจ
คราวนี้ข้าจะยอมปล่อยเจ้าไป
“ขอบพระคุณท่านไท่หลง
ยูซานเจ้ามาช่วยอุ้มข้าหน่อยสิ”
เมื่อสัตว์เทพอสูรมังกรฟ้าไม่คิดจะซักไซ้ถามอะไรมากมาย
หลิ่งเฟยที่ไม่อยากจะใช้ลมปราณเหาะไปเองพูดแกมร้องขอ เป็นประโยคที่สัตว์เทพอสูรไม่น่าจะพูดออกมาแต่หลิ่งเฟยไม่ถือเย่อหยิ่งตัวเองทำตัวเป็นสตรีประหลาดกล้าขออย่างหน้าไม่อาย
ยูซานที่เริ่มทำใจให้ชินกับท่าทีของหลิ่งเฟยได้แล้วเข้าไปอุ้มแต่โดยดี
ตามองไปยังมังกรฟ้าในใจยังนึกหวาดหวั่นอยู่มากอะไรมันจะง่ายดายถึงเพียงนี้
ทำตัวกิริยาไม่งามเหมือนหน้าตาเลยนะจิ้งจอกเก้าหาง
คำพูดทิ้งท้ายก่อนที่มังกรฟ้าจะบินหายไปหลิ่งเฟยที่ได้ยิน
เดาะลิ้นรู้สึกว่ามันคือการด่าทางอ้อมอย่างหนึ่ง อยากจะเอาหางฟาดปากและเปิดศึกกันตรงนี้
แต่ในใจก็อยากกลับไปนอนที่เรือนมายาเต็มแก่
จึงยอมทำเป็นหูทวนลมไม่ได้ยินได้ทั้งนั้น
ความคิดเห็น