ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    13 Guardians ตอน Pannamarine เสียงเพลงแห่งการเพรียกหา

    ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 118
      1
      26 ม.ค. 56

     

    บทนำ

     

    วันที่ 6 สิงหาคม ศ.ผ.6001

    แพนเจีย

    ณ ดินแดนที่เวิ้งสมุทรไร้ความเค็ม เหนือท้องทะเลกว้างไพศาลจากฟ้าจรดฟ้า ท่ามกลางหมอกหนาแห่งต้นฤดูใบไม้ร่วง เกาะโดดเดี่ยวซึ่งถูกเรียกขานว่าไอเซิ่ลเอนด์ตั้งตระหง่านอยู่

    มืดมนและลึกลับ คือนิยามของเกาะแห่งนี้

    เมื่อมองจากระยะไกล ไอเซิ่ลเอนด์คือภูเขาหินแกร่งสีดำสนิทที่ผุดโผล่ขึ้นมาเหนือท้องน้ำ ชายขอบคือหน้าผาตัดสูงลิบและโขดหินระเกะระกะไร้หาดทราย เหนือยอดผาเป็นป่าทึบที่เห็นเป็นเงาดำ แม้จะเป็นตอนกลางวันที่ดวงอาทิตย์ลอยเด่นอยู่กลางท้องฟ้า ก็ดูจะหม่นแสงลงเมื่อสาดมากระทบกับเกาะโดดเดี่ยวแห่งนี้... ที่นี่ จึงถูกนิยามว่ามืดมน

    ไอเซิ่ลเอนด์ ดินแดนสุดขอบฟ้า สถานที่เพียงแห่งเดียวที่อยู่นอกแผนที่โลก ไม่มีใครเคยก้าวล้ำเข้าสู่เกาะแห่งนี้ได้ เพราะโขดหินมากมายที่ทำให้ไม่สามารถเอาเรือเข้าเทียบแผ่นดิน เพราะหน้าผาสูงชันยากแก่การปีนป่าย และ...เพราะที่แห่งนี้ไม่ว่าเวทมนต์ชนิดใดก็ใช้ไม่ได้ผล ที่นี่จึงถูกนิยามว่าลึกลับ

    แต่หากจะมีใครที่ได้เข้ามาเหยียบไอเซิ่ลเอนด์ ใครคนนั้นก็คงจะต้องเพิ่มนิยามที่สามเข้าไป นั่นคือ ไร้ชีวิต เพราะแม้จะมีต้นไม้ใบหญ้า แต่กลับไร้เสียงแมลงร่ำร้อง ไม่มีเสียงกระพือปีกของนกบนท้องฟ้า ไม่มีเสียงฝีเท้าของเหล่าสัตว์ป่า เป็นสถานที่ซึ่งไร้ชีวิตและสงบวังเวงโดยสมบูรณ์

    บนยอดหน้าผาที่สูงที่สุด สิ่งปลูกสร้างสีดำกลืนกับสีของหินผาตั้งตระหง่านอยู่ แม้จะสวยงามแต่กลับแปลกแยกกับสภาพตายด้านไร้ชีวิตของตัวเกาะจนขัดตา ราวกับผีเสื้อที่งดงามบินมาเกาะดอกไม้ในภาพวาดที่ไร้ชีวิต

    สิ่งปลูกสร้างนั้นคือปราสาทหินขนาดเล็ก เต็มไปด้วยหอคอยและระเบียงทางเดินที่เปิดโล่ง หากเดินไปตามระเบียงเหล่านี้ จะได้ยินเสียงคลื่นซัดกระทบหินสะท้อนกับเสาและหลังคาของทางเดินราวกับเสียงคร่ำครวญของเหล่าภูต

    ณ ยอดหอคอยที่สูงที่สุดของปราสาท คือห้องทรงกลมซึ่งถูกตกแต่งเป็นห้องนอน ร่างโปร่งร่างหนึ่งยืนนิ่งสงบอยู่ข้างเตียงสี่เสาที่สร้างจากหินอ่อนสีดำและปูด้วยผ้าปูสีเดียวกัน

    เธอคนนั้น...นอกจากดวงตาที่ดูกร้านโลกราวกับคนที่ผ่านวันเวลามาเนิ่นนานแล้ว มองจากดวงหน้าน่าจะเรียกได้ว่าเป็นเพียงเด็กสาว อายุไม่เกินยี่สิบปี ผิวขาวสว่างอมชมพูอย่างน่าอิจฉา รูปร่างระหงแบบบางในชุดกระโปรงกำมะหยี่สีดำยาวจรดข้อเท้ายิ่งขับให้ดูสูงศักดิ์ ผมสีเหลืองทองยาวเลยบ่ามาเล็กน้อย ดวงตาโตสีม่วงประกายทองประหลาดหรุบลงมองร่างที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงสลับกับปฏิทินแบบฉีกที่แขวนอยู่บนผนังเหนือหน้าต่างบานสูง หางตาชี้เฉียงขึ้นเล็กน้อยรับกับจมูกเรียวและโหนกแก้มสูงไร้ราคี ริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรงอย่างกังวลปนเศร้าสร้อยแต่ก็ยังคงเปล่งประกายสว่างสดใสอยู่ท่ามกลางความมืดมิดอันหดหู่

    เธอกำลังรอคอย... รอให้ร่างที่นอนหลับสนิทอยู่ที่นี่มานานถึงสี่ร้อยปีตื่นขึ้น ร่างที่คล้ายเธอมากราวกับหล่อมาจากพิมพ์เดียวกัน เพียงแต่ใบหน้าขาวซีดไปบ้าง และผมสีเหลืองทองนั้นก็ยาวมากจนร่วงมากองสุมอยู่บนพื้น

    จู่ๆ โดยไม่มีสัญญาณล่วงหน้า ลำแสงสีเหลืองสดก็ฉายออกมาเป็นลำจากหน้าอกของเธอ พุ่งออกไปนอกหน้าต่างแล้วระเบิดออก ก่อนจะกลายเป็นฝนสีเหลืองทองพร่างพรมลงในทะเล พร้อมๆ กับดวงตาสีม่วงแบบเดียวกับเธอที่ลืมขึ้นอย่างรวดเร็วจนเด็กสาวแอบสะดุ้ง น้ำเสียงใสเปล่งออกมาจากปากที่เคยเม้มแน่น

    “ท่านพี่ เป็นยังไงบ้างคะ”

    “ผู้พิทักษ์คนสุดท้ายถือกำเนิดขึ้นแล้วสินะ... คนสุดท้ายแล้ว” เสียงใสแต่ทรงอำนาจ ก้องกังวานไม่เหมือนกับเสียงที่น่าจะออกจากปากที่ปิดสนิทมานานถึงสี่ร้อยปีเปรยขึ้นก่อนจะเอ่ยตอบ “การเดินทางครั้งนี้เหนื่อยนัก ดวงจิตของพี่ต้องทำงานอย่างหนักเพื่อผลรับที่น้อยนิด พลังของผู้พิทักษ์ใกล้จะปรับสมดุลของโลกนี้ได้แล้ว การทดสอบได้เสร็จสิ้น เวลาของเรากำลังจะหมดลง...ในที่สุด”

    “ค่ะ ท่านพี่ ในที่สุดก็ถึงเวลาแห่งโลกยุคใหม่ ท่านทาดิเอคงดีใจที่แผนการของเขาใกล้จะสำเร็จเต็มที” เสียงของเด็กสาวแผ่วลงอย่างเศร้าสร้อยแต่ก็แฝงแววโกรธเคือง

    “นั่นสินะ จะเหลือก็แต่ภารกิจสุดท้าย แล้วเราก็จะได้พักกันยาวๆ เสียที” เสียงพึมพำของคนเป็นพี่กลับแฝงไว้ด้วยความดีใจปนโล่งใจ ร่างโปร่งนั้นลุกขึ้นนั่งบนเตียง ผมที่ยาวสยายถูกมีดที่มองไม่เห็นตัดขาดเหลือเพียงแค่กลางหลังก่อนจะหันมายิ้มให้น้องสาว “ทีนี้ก็ได้อยู่ว่างๆ อีกตั้งสิบกว่าปี น้องมีแผนการท่องเที่ยวรึยัง?”

    “คิก ท่านพี่ล่ะก็...”

     

    ในเวลาเดียวกัน ณ อีกฟากหนึ่งของโลก ดินแดนที่ตกอยู่ในวิกาลดึกสงัดเมื่อดวงอาทิตย์สาดส่องเหนือไอเซิ่ลเอนด์ ลำแสงเก้าสายพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้ายามราตรีของนครเก้าแห่ง ก่อนจะแตกระเบิดออกราวกับพลุไฟ น่าเสียดายที่มีน้อยคนนักที่ยังตื่นอยู่และมองเห็นปรากฏการณ์ในครั้งนี้ และ ไม่มีใครรู้ว่าที่จริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้น

    ในเปลเด็กแปดเปลซึ่งตั้งอยู่ในห้องซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดแสงแปดในเก้าลืมตาตื่นขึ้นอย่างพร้อมเพรียงราวกับนัดแนะกันไว้ บ้างก็ส่งยิ้มใสไปให้มารดาซึ่งนั่งมองตนอยู่ บางคนก็หันไปมองหน้าแม่นมด้วยดวงตาใสแจ๋ว และมีบ้าง ที่ได้แต่ลืมตามองผนังมืดมิดในห้องที่ไม่มีใครอื่น

    ในขณะที่ทารกทั้งแปดลืมตาตื่น หญิงสาวคนหนึ่งก็ลืมตาตื่นขึ้นเช่นกัน เธอลุกขึ้นนั่งบนเปลนอนที่สานจากกิ่งไม้ซึ่งแขวนอยู่บนต้นไม้สูง พลางยกมือเสยผลสีม่วงเข้มเกือบดำไปด้านหลัง มองแสงสีม่วงที่มีจุดกำเนิดมาจากต่างหูข้างซ้ายของเธอพุ่งออกไปเหนือยอดไม้ก่อนจะแตกระเบิดออกอย่างใจลอยนิดๆ ก่อนจะหายตัวไปจากตรงนั้นอย่างไร้ร่องรอย

    พร้อมกันนั้น เด็กสาวร่างเล็กนั่งอยู่ริมหน้าต่างที่ปิดสนิท เหม่อมองดูเงาดำที่มืดมิดยิ่งกว่าความมืดของรัตติกาลซึ่งพุ่งออกจากกำไลข้อมือของเธอ ทะลุกระจกหน้าต่างออกไปก่อนจะระเบิดออกที่กลางท้องฟ้า บดบังดวงดาวมากมายจนหม่นแสงไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะพึมพำ

    “ผู้พิทักษ์คนสุดท้ายเกิดแล้ว”

    “ใช่ ผู้พิทักษ์คนสุดท้ายถือกำเนิดขึ้นแล้ว” หญิงสาวผมม่วงคนเดียวกับที่เพิ่งจะนอนอยู่บนเปลต้นไม้ปรากฏตัวขึ้นในห้องพร้อมกับเอ่ยขึ้น ทำให้ร่างเล็กของเจ้าของห้องสะท้านขึ้นเล็กน้อยก่อนจะหันไปมอง

    “มาเร็วจริงนะคะ พวกภูตเนี่ย”

    “อืม แน่นอนอยู่แล้ว ใครใช้ให้ข้าเทียวไปเทียวมาระหว่างดีพรีเจี้ยนกับเฟอร์รี่เทอร์ร่าบ่อยๆ กันล่ะ” ภูติสาวเอ่ยเสียงขึ้นจมูกกึ่งประชดประชัน

    “อย่าทำเสียงอย่างนั้นใส่ฉันสิคะ ฉันเปล่าสักหน่อย โชคชะตาต่างหาก” เด็กสาวโบกไม้โบกมือ แก้ตัวเป็นพัลวัน

    “...ยังไงก็... ดีใจด้วยนะ ทาเรดิเอเฟโอน่า ความฝันของเจ้ากับเขากำลังจะเป็นจริงแล้ว” ภูติสาวเปลี่ยนเรื่องพร้อมกับหัวเราะออกมาน้อยๆ “แพนเจียกำลังจะเข้าสู่ยุคใหม่... สักที”

    “นั่นสินะคะ ท่านกาลเวลา” เด็กสาวร่างเล็กอมยิ้ม ดวงหน้าขาวซีดเปล่งประกายความสุข

    “เรียกข้าว่าท่านได้ยังไง แค่พูดลงท้ายสุภาพแบบนั้นข้าก็แทบจะรับไว้ไม่ได้แล้ว ต้องให้บอกกี่ครั้งกัน” ภูตสาวเจ้าของฉายากาลเวลาเบ้หน้า ท้วงกึ่งล้อเลียน

    “ก็ให้ความเคารพภูตที่มีพลังความคุมธาติสูงอย่างท่านไง”

    “ทั้งๆ ที่เจ้าเป็นคนสร้างข้าขึ้นมาเนี่ยนะ?” กาลเวลาย้อนเสียงสูง

    “ไม่ใช่ฉัน แต่เป็น... เขาต่างหาก” เด็กสาวร่างเล็กถอนหายใจออกมายาวๆ ดวงตาสีดำสนิททอดมองออกไปนอกหน้าต่างอีกหน “ทาดิเอคนนั้น”

     

    “แม่ แม่” เสียงดังแหลมเกือบเป็นกรีดร้องของเด็กหญิงอายุหกขวบกว่าดังสะท้านห้องในโรงพยาบาล จนคนเป็นพ่อต้องส่งเสียงปรามพลางยื่นมือออกรับร่างของเด็กทารกที่พยาบาลในชุดขาวยื่นส่งให้

    “วาเลนไทน์ เบาลงหน่อยลูก”

    “แม่ แม่ แม่” เด็กหญิงวาเลนไทน์ไม่ได้ฟังเสียงคนเป็นพ่อเลยแม้แต่น้อย ร่างเล็ก ผอมบางผิดกับเด็กวัยเดียวกันยืนอยู่ข้างเตียง ยกมือเขย่าร่างที่ถูกปิดด้วยผ้าขาวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าของผู้เป็นแม่อย่างบ้าคลั่ง

    “พี่ครับ” คนเป็นพ่อมองดูลูกสาวด้วยแววตาปวดร้าวก่อนจะหันไปขอความช่วยเหลือจากพี่สาวของภรรยา เธอก็พยักหน้ารับอย่างรู้หน้าที่

    “วาเลนไทน์ มากับป้า” เธอก้าวเข้าไปยึดข้อมือเด็กหญิงเอาไว้ ก่อนจะดึงร่างเล็กขึ้นอุ้ม พาเดินออกจากห้องโดยไม่ฟังเสียงหวีดร้องของเด็กหญิงหรือแรงดิ้นที่ไม่เบานักเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะว่างร่างเด็กหญิงลงบนเก้าอี้หน้าห้องผู้ป่วย “วาเลนไทน์ ฟังป้านะ”

    “ป้า น้องทำแม่ตายแล้ว” วาเลนไทน์ครวญเบาๆ

    “ไม่ใช่ซักหน่อย วาเลนไทน์ จำไม่ได้เหรอจ้ะ ที่แม่เคยบอกวาเลนไทน์ไง” ป้าของเด็กหญิงพูดอย่างอ่อนโยน “น้องจะไม่มีแม่ เพราะฉะนั้นวาเลนไทน์ต้องดูแลน้องแทนแม่ ต้องปกป้องน้องแทนแม่ ต้องอยู่เพื่อน้องแทนแม่”

    “ทำไมละคะป้า ทำไมแม่ต้องตายด้วย ทำไมต้องบอกให้หนูดูแลน้อง”

    “...” คนเป็นป้ากระซิบหลังจากเงียบไปนานจนวาเลนไทน์เกือบจะลืมไปแล้วว่าถามอะไรออกไป “เพราะว่ามันเป็นคำสาปไงจ้ะ วาเลนไทน์”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×