คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #31 : ตอนที่30 เมื่อผม...เป็นแฟนกับอิน?
ตอนที่30
เมื่อผม...เป็นแฟนกับอิน?
อิน...คือเพื่อนที่ดี เป็นคนที่อยู่เคียงข้างผม ผลักดันผมมาจนถึงทุกวันนี้
เพราะงั้น...แค่การตกลงเป็นแฟนกับอีกฝ่ายมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย
...รึเปล่า?
...
"ไปก่อนนะทอย"
"ขับรถดีๆนะไปป์"
บทสนทนาที่คล้ายกับบทพูดของคู่ข้าวใหม่ปลามันในยามเช้าเป็นสิ่งที่ผมเริ่มชิน และคงจะหายคุ้นชินในไม่ช้า เมื่อวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ไปป์จะมาค้างที่นี่
ผมโบกมือส่งคนที่เดินไปขึ้นรถและจากไปพร้อมกระเป๋าเดินทาง ก่อนถอนหายใจเบาๆ
ตอนแรกคิดว่าต้องใช้เวลาเป็นอาทิตย์ถึงจะหาย แต่แค่ห้าวันนับตั้งแต่ไปป์มาค้างที่บ้านของผม แผลที่มือก็ค่อยๆบรรเทาลง ถึงจะเหลือรอยสีม่วงไว้จางๆ แต่ผมก็สามารถเคลื่อนไหวข้อมือได้โดยไม่เจ็บอีกแล้ว
แต่ถึงจะหายดี เช้านี้ไปป์ก็ยังอาสาอาบน้ำและป้อนข้าวให้ผมเป็นการส่งท้าย ทั้งยังพูดทิ้งท้าย...
"เสียดายนะที่ทอยหายเร็วไปหน่อยฉันเลยอดดูแล อะไรๆ ให้ทอยต่อ" คำพูดที่มาพร้อมรอยยิ้มมีเลศนัยทำให้ผมรีบไล่อีกฝ่ายกลับไปอย่างไม่ยอมให้พูดอะไรอีก
ตลอดห้าวันนอกจากคืนวันนั้นที่ มัน ตั้งขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ ทุกวันไปป์จะมาช่วยจัดการ อะไรๆ ที่มันต้อง ขึ้น ทุกเช้าให้ ถึงจริงๆผมจะคิดว่าไม่ควรและห้ามอีกฝ่ายไปแล้ว แต่ไปป์ก็ยังยืนยันที่จะหยิบยื่นความช่วยเหลือให้
"น่าทอย ให้ฉันช่วยเถอะ เขาว่ากันว่าการบริหารส่วนนั้นทุกเช้าจะทำให้สุขภาพแข็งแรงและอายุยืนขึ้นด้วยนะ"
คำพูดที่มาพร้อมรอยยิ้มขี้เล่นทำให้ผมจนใจจะโต้แย้ง สุดท้ายก็ปล่อยไปเลยตามเลย
เอาจริงๆ มันก็ไม่ได้เสียหายอะไรหรอก แค่...อายนิดหน่อย
ผมสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านแล้วกลับมายังโต๊ะทำงานที่มีกล่องใบหนึ่งตั้งอยู่ ในกล่องนั้นมีบรรดาการ์ดกับหนังสือที่ผมจะใช้แจกในงานมีตติ้งบรรจุอยู่ และผมคิดว่ามันถึงเวลาที่ผมควรเซ็นต์ลายเซ็นต์ให้เสร็จๆได้แล้ว
ระหว่างที่ผมนั่งเซ็นต์อยู่ก็นึกถึงเรื่องเมื่อวานที่ไปป์ถามถึงของในกล่อง พอผมอธิบายรายละเอียดให้ฟังอีกฝ่ายก็มีท่าทางสนใจและขอยืมหนังสือที่ผมเขียนเป็นเรื่องแรกไป เห็นบอกว่าอยากลองอ่านดูตอนว่าง แต่เพราะอีกฝ่ายไม่ใช่คอนิยายผมเลยไม่เร่งให้รีบอ่าน บอกไปป์ให้ค่อยๆ อ่าน ไม่ต้องรีบคืน
ผมจำได้ชัดถึงตอนไปป์ชูหนังสือแล้วพูดอย่างยิ้มๆ
"ไว้อ่านจบฉันจะมาบอกนะว่าชอบตัวละครตัวไหนที่สุด"
ผมยิ้มรับแล้วบอกว่าจะรอ... แต่ก็นะ วันที่อีกฝ่ายจะได้บอกผมคงอีกนาน ดีไม่ดีเดือนหน้าก็ยังอ่านไม่จบ
ขณะที่ผมทำงานอยู่เพลินๆ เสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้น พอหยิบมาดูก็พบว่าเป็นอิน ผมกดรับสายก่อนจะแนบหูกับโทรศัพท์
"ไงจ๊ะสุดหล่อ ว่างคุยไหมเอ่ย?"
"ก็ว่าง มีอะไร?"
"ก็...คือว่าน้า ศุกร์นี้ช่วยมาเป็นแฟนฉันหน่อยสิ "
"ได้สิ"พอผมพูดตอบรับจบ ปลายสายก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับมาด้วยเสียงโทนต่ำ
"นี่ไม่คิดจะ คิด สักหน่อยก่อนตอบตกลงเลยเหรอ?"
"คิดอะไร? เธอขอความช่วยเหลือฉันก็แค่ช่วย มีอะไรผิดงั้นเหรอ?"ผมงงกับคำถามของอิน ก็ในเมื่ออินขอร้องมีเหตุผลอะไรให้ผมต้องปฏิเสธ?
ตอนสมัยมหาลัยฯก็เคยมีเรื่องทำนองนี้ อินขอให้ผมช่วยเป็นแฟนชั่วคราวเพื่อไล่คนที่มาจีบไป เพราะงั้นผมถึงไม่เข้าใจว่ามันมีอะไรให้ต้องคิดมาก?
"ตอนนี้นายไม่โสดแล้วนะยะ! เวลาทำอะไรเคยปรึกษาแฟนบ้างรึเปล่ายะ? หืม?"
"ปรึกษา?"ผมเหวอ "จำเป็นด้วยเหรอ?"
เวลาจะทำอะไรต้องปรึกษาแฟนก่อนงั้นเหรอ?
"ทอย...สมมตินะ ถ้านายบังเอิญไปเห็นแฟนตัวเองกำลังเดินกับผู้ชายที่ไหนไม่รู้จะคิดยังไง?"อินส่งคำถามมาด้วยน้ำเสียงเหมือนกำลังอดกลั้น
เดินกับผู้ชายที่ไหนไม่รู้?
"ก็ไม่คิดอะไรนะ" ผมตอบอินไปอย่างไม่เข้าใจ
"ไม่คิด! นายจะบ้าเหรอ? ไม่หึง ไม่กังวลเลยเหรอว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร?"เสียงที่ดังาตามสายนั้นดังเกินลิมิตจนผมต้องเลื่อนโทรศัพท์ออกห่างหู ก่อนจะคิดตาม
เอ ตอนนี้ผมเป็นแฟนพวกจิน ถ้าเห็นจินเดินกับผู้ชายผมก็คิดว่ามันปกติ แต่ถ้าเดินกับผู้หญิง...
อ่า เข้าใจแล้ว
"แสดงว่าฉันควรจะบอกพวกนั้นก่อนสินะ?"
"ก็ใช่สิยะ!"
พอผมถามไป อินก็ตอบเสียงกระแทกกลับมา ซึ่งผมก็ได้แต่ยิ้มอ่อนใจ แล้วพูดตกลงเรื่องเวลากับอีกฝ่ายก่อนวางสาย
หลังจากนั้นผมก็โทรไปหาเวย์เพื่อบอกเรื่องที่ต้องไปช่วยกันผู้ชายในงานเลี้ยงให้อิน ซึ่งตอนเวย์ฟังเรื่องทั้งหมดก็ถามเรื่องสถานที่กับเวลานิดหน่อย และก่อนจะวางสาย อีกฝ่ายก็ได้พูดบางอย่างกับผม
"ทอยครับ"
"หืม?"
"ขอบคุณนะครับที่โทรมาบอก แล้วก็...คิดถึงนะครับ"น้ำเสียงของเวย์ตอนที่พูดทำให้ผมนึกถึงสีหน้าอีกฝ่ายออกเลยเผลอยิ้มใส่โทรศัพท์ พอรู้สึกตัวก็รีบพูดลาแล้ววางสาย
พอถึงวันศุกร์ผมก็นั่งแท๊กซี่มารออินที่หน้ารั้วบ้าน โดยในวันนี้ผมแต่งตัวด้วยชุดที่ดูเป็นทางการกว่าที่เคย เพราะอิน ผมถึงต้องไปค้นเนคไทในตู้ที่ไม่ได้ใช้มานานพอสมควรมารีด การแต่งตัวของผมตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับพนักงานบริษัทสักเท่าไหร่
ผมยืนรออินอีกสักพักก็เห็นอีกฝ่ายเปิดประตูบ้านเดินออกมา และเมื่อเห็นชัดๆ ผมก็ต้องเบิกตาอย่างประหลาดใจ เพราะในวันนี้อินๆได้เปลี่ยนลุคตัวเองเป็นสาวหวาน เดรสสั้นสีชมพูกับรองเท้าสีขาวไข่มุกที่ใส่ทำให้อีกฝ่ายสมหญิงมากขึ้น ใบหน้าที่ปกติแต่งแบบโฉบเฉี่ยวก็เปลี่ยนเป็นแต่งแต้มเครื่องสำอางอ่อนๆ เส้นผมสีน้ำตาลที่ดัดเป็นลอนน้อยๆ ก็ผูกด้วยยางรัดผมลายลูกไม้ที่มีคริสตัลแวววาวประดับ
ไม่ชินจริงๆ น้า
ผมอมยิ้มกับภาพหายากตรงหน้า แต่ก่อนจะทันได้พูดชม อินกลับยื่นกล่องสีดำที่หน้าตาดูเหมือนกล่องแว่นมาทางผม พอผมเลิกคิ้วแล้วมองหน้าอินเป็นเชิงถามว่า นี่อะไร? อีกฝ่ายก็คะยั้นคะยอให้เปิดดูเอง และพอผมเปิดดูก็พบว่าข้างในเป็นแว่นตาอย่างที่คาด พอลองหยิบมาสวมก็รู้ว่าเป็นแว่นแฟชั่น
"ว่าแล้วว่าต้องเหมาะกับนาย นี่ เดี๋ยวตอนก่อนเข้างานนายก็ใส่ซะหน่อยแล้วกัน"อินพูดด้วยสีหน้ายิ้มๆ ซึ่งผมมองเจ้าตัวก่อนถามเบาๆ
"เท่าไหร่?"
"ไม่เก็บเงินหรอกน่า! อันนี้ถือเป็นค่าจ้างที่นายช่วยมาแกล้งเป็นแฟนฉันวันนี้ไง"อินพูดให้เหตุผลก่อนจะพยายามตัดบทแล้วเปลี่ยนเรื่องเดินไปโทรศัพท์ทิ้งให้ผมยืนถอนหายใจ ด้วยรู้ดีว่าอีกฝ่ายหนีไปเพราะกลัวผมถามต่อเรื่องราคา
ส่วนคนที่อินโทรหาก็ไม่ใช่ใคร แต่เป็นสารถีส่วนตัวของอีกฝ่าย
"นี่ยัยอิน ไหงฉันต้องมาเป็นคนขับรถให้เธอด้วยล่ะยะ!"เสียงหวานตวัดแหว ซึ่งเจ้าของเสียงเป็นเพื่อนสนิทของอิน ชื่อ 'ธารา' เป็นคนที่มาคนละสไตล์กับอินเลย อีกฝ่ายเป็นสาวออฟฟิศไว้ผมทรงบ็อบสั้น และสไตล์การแต่งหน้าจะค่อนข้างจัด วันนี้เธอโดนอินโทรตามมารับไปงานเลี้ยง ซึ่งเพื่อนของอินคนนี้คงไม่โกรธอะไรนักถ้าไม่เห็นหน้าผม
"แล้วนี่ลากหมอนี่มาด้วยทำไม? ที่สำคัญเธอคิดยังไงถึงยังคบกับไอ้คนเหยาะแหยะน่าเบื่อไม่เอาไหนอย่างหมอนี่อยู่อีก? คนพรรค์นั้นสมควรหลุดออกนอกวงโคจรชีวิตเธอไปได้แล้ว!"เจ้าของเสียงปรายตามองมาที่ผมผ่านกระจกหน้าขณะพูด ก่อนจะพลิกสายตากลับไปมองถนน ผมได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ เมื่อไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีอีกฝ่ายก็ยังคงเกลียดขี้หน้าผมอยู่
ทั้งที่ผมจำไม่ได้เลยว่าเคยไปทำอะไรให้
"น่าๆ ธารนี่ก็ชอบพูดแบบนี้ทุกที ทอยเขาไม่ได้แย่ขนาดนั้นซะหน่อย"อินที่นั่งอยู่เบาะหน้าพูดปรามเพื่อนรักตัวเอง ซึ่งคนโดนปรามแค่นเสียงหัวเราะออกมา ท่าทีนั้นดูคล้ายกับใครบางคนที่ผมรู้จักจนเผลอหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ
และแน่นอนว่านั่นทำให้สาวตาคมส่งสายตาพิฆาตมาทางผมอีกระลอก อินยิ้มแห้งๆ ก่อนจะพูดอธิบาย
"วันนี้ฉันจะให้ทอยช่วยมาเป็นแฟนชั่วคราวให้น่ะ พอดีโดนตื๊อนิดหน่อย"
"อ้อ เอามาเป็นไม้กันหมาสินะ"เจ้าของเสียงพูดเน้นอย่างไร้ซึ่งความเกรงใจ ผมได้แต่เสมองนอกกระจกเพื่อที่ไม่สบตากับคนเจ้าอารมณ์ที่ชอบเหลือบสายตามาทางผมอย่างคล้ายจับผิด
พอถึงหน้าโรงแรมที่จัดเลี้ยง ผมกับอินก็ลงจากรถของธารา จากนั้นพวกเราก็สอบถามพนักงานต้อนรับเรื่องห้องจัดเลี้ยง ซึ่งหลังเข้าไปในงานผมก็ต้องเหนื่อยใจเมื่องานเลี้ยงรวมรุ่นที่ควรสนุกสนานกลับมีบรรยากาศเย็นชาห่างเหินเหมือนงานเลี้ยงสวมหน้ากาก
อิน...คือเพื่อนที่ดี เป็นคนที่อยู่เคียงข้างผม ผลักดันผมมาจนถึงทุกวันนี้
เพราะงั้น...แค่การตกลงเป็นแฟนกับอีกฝ่ายมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย
...รึเปล่า?
...
"ไปก่อนนะทอย"
"ขับรถดีๆนะไปป์"
บทสนทนาที่คล้ายกับบทพูดของคู่ข้าวใหม่ปลามันในยามเช้าเป็นสิ่งที่ผมเริ่มชิน และคงจะหายคุ้นชินในไม่ช้า เมื่อวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ไปป์จะมาค้างที่นี่
ผมโบกมือส่งคนที่เดินไปขึ้นรถและจากไปพร้อมกระเป๋าเดินทาง ก่อนถอนหายใจเบาๆ
ตอนแรกคิดว่าต้องใช้เวลาเป็นอาทิตย์ถึงจะหาย แต่แค่ห้าวันนับตั้งแต่ไปป์มาค้างที่บ้านของผม แผลที่มือก็ค่อยๆบรรเทาลง ถึงจะเหลือรอยสีม่วงไว้จางๆ แต่ผมก็สามารถเคลื่อนไหวข้อมือได้โดยไม่เจ็บอีกแล้ว
แต่ถึงจะหายดี เช้านี้ไปป์ก็ยังอาสาอาบน้ำและป้อนข้าวให้ผมเป็นการส่งท้าย ทั้งยังพูดทิ้งท้าย...
"เสียดายนะที่ทอยหายเร็วไปหน่อยฉันเลยอดดูแล อะไรๆ ให้ทอยต่อ" คำพูดที่มาพร้อมรอยยิ้มมีเลศนัยทำให้ผมรีบไล่อีกฝ่ายกลับไปอย่างไม่ยอมให้พูดอะไรอีก
ตลอดห้าวันนอกจากคืนวันนั้นที่ มัน ตั้งขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ ทุกวันไปป์จะมาช่วยจัดการ อะไรๆ ที่มันต้อง ขึ้น ทุกเช้าให้ ถึงจริงๆผมจะคิดว่าไม่ควรและห้ามอีกฝ่ายไปแล้ว แต่ไปป์ก็ยังยืนยันที่จะหยิบยื่นความช่วยเหลือให้
"น่าทอย ให้ฉันช่วยเถอะ เขาว่ากันว่าการบริหารส่วนนั้นทุกเช้าจะทำให้สุขภาพแข็งแรงและอายุยืนขึ้นด้วยนะ"
คำพูดที่มาพร้อมรอยยิ้มขี้เล่นทำให้ผมจนใจจะโต้แย้ง สุดท้ายก็ปล่อยไปเลยตามเลย
เอาจริงๆ มันก็ไม่ได้เสียหายอะไรหรอก แค่...อายนิดหน่อย
ผมสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านแล้วกลับมายังโต๊ะทำงานที่มีกล่องใบหนึ่งตั้งอยู่ ในกล่องนั้นมีบรรดาการ์ดกับหนังสือที่ผมจะใช้แจกในงานมีตติ้งบรรจุอยู่ และผมคิดว่ามันถึงเวลาที่ผมควรเซ็นต์ลายเซ็นต์ให้เสร็จๆได้แล้ว
ระหว่างที่ผมนั่งเซ็นต์อยู่ก็นึกถึงเรื่องเมื่อวานที่ไปป์ถามถึงของในกล่อง พอผมอธิบายรายละเอียดให้ฟังอีกฝ่ายก็มีท่าทางสนใจและขอยืมหนังสือที่ผมเขียนเป็นเรื่องแรกไป เห็นบอกว่าอยากลองอ่านดูตอนว่าง แต่เพราะอีกฝ่ายไม่ใช่คอนิยายผมเลยไม่เร่งให้รีบอ่าน บอกไปป์ให้ค่อยๆ อ่าน ไม่ต้องรีบคืน
ผมจำได้ชัดถึงตอนไปป์ชูหนังสือแล้วพูดอย่างยิ้มๆ
"ไว้อ่านจบฉันจะมาบอกนะว่าชอบตัวละครตัวไหนที่สุด"
ผมยิ้มรับแล้วบอกว่าจะรอ... แต่ก็นะ วันที่อีกฝ่ายจะได้บอกผมคงอีกนาน ดีไม่ดีเดือนหน้าก็ยังอ่านไม่จบ
ขณะที่ผมทำงานอยู่เพลินๆ เสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้น พอหยิบมาดูก็พบว่าเป็นอิน ผมกดรับสายก่อนจะแนบหูกับโทรศัพท์
"ไงจ๊ะสุดหล่อ ว่างคุยไหมเอ่ย?"
"ก็ว่าง มีอะไร?"
"ก็...คือว่าน้า ศุกร์นี้ช่วยมาเป็นแฟนฉันหน่อยสิ "
"ได้สิ"พอผมพูดตอบรับจบ ปลายสายก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับมาด้วยเสียงโทนต่ำ
"นี่ไม่คิดจะ คิด สักหน่อยก่อนตอบตกลงเลยเหรอ?"
"คิดอะไร? เธอขอความช่วยเหลือฉันก็แค่ช่วย มีอะไรผิดงั้นเหรอ?"ผมงงกับคำถามของอิน ก็ในเมื่ออินขอร้องมีเหตุผลอะไรให้ผมต้องปฏิเสธ?
ตอนสมัยมหาลัยฯก็เคยมีเรื่องทำนองนี้ อินขอให้ผมช่วยเป็นแฟนชั่วคราวเพื่อไล่คนที่มาจีบไป เพราะงั้นผมถึงไม่เข้าใจว่ามันมีอะไรให้ต้องคิดมาก?
"ตอนนี้นายไม่โสดแล้วนะยะ! เวลาทำอะไรเคยปรึกษาแฟนบ้างรึเปล่ายะ? หืม?"
"ปรึกษา?"ผมเหวอ "จำเป็นด้วยเหรอ?"
เวลาจะทำอะไรต้องปรึกษาแฟนก่อนงั้นเหรอ?
"ทอย...สมมตินะ ถ้านายบังเอิญไปเห็นแฟนตัวเองกำลังเดินกับผู้ชายที่ไหนไม่รู้จะคิดยังไง?"อินส่งคำถามมาด้วยน้ำเสียงเหมือนกำลังอดกลั้น
เดินกับผู้ชายที่ไหนไม่รู้?
"ก็ไม่คิดอะไรนะ" ผมตอบอินไปอย่างไม่เข้าใจ
"ไม่คิด! นายจะบ้าเหรอ? ไม่หึง ไม่กังวลเลยเหรอว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร?"เสียงที่ดังาตามสายนั้นดังเกินลิมิตจนผมต้องเลื่อนโทรศัพท์ออกห่างหู ก่อนจะคิดตาม
เอ ตอนนี้ผมเป็นแฟนพวกจิน ถ้าเห็นจินเดินกับผู้ชายผมก็คิดว่ามันปกติ แต่ถ้าเดินกับผู้หญิง...
อ่า เข้าใจแล้ว
"แสดงว่าฉันควรจะบอกพวกนั้นก่อนสินะ?"
"ก็ใช่สิยะ!"
พอผมถามไป อินก็ตอบเสียงกระแทกกลับมา ซึ่งผมก็ได้แต่ยิ้มอ่อนใจ แล้วพูดตกลงเรื่องเวลากับอีกฝ่ายก่อนวางสาย
หลังจากนั้นผมก็โทรไปหาเวย์เพื่อบอกเรื่องที่ต้องไปช่วยกันผู้ชายในงานเลี้ยงให้อิน ซึ่งตอนเวย์ฟังเรื่องทั้งหมดก็ถามเรื่องสถานที่กับเวลานิดหน่อย และก่อนจะวางสาย อีกฝ่ายก็ได้พูดบางอย่างกับผม
"ทอยครับ"
"หืม?"
"ขอบคุณนะครับที่โทรมาบอก แล้วก็...คิดถึงนะครับ"น้ำเสียงของเวย์ตอนที่พูดทำให้ผมนึกถึงสีหน้าอีกฝ่ายออกเลยเผลอยิ้มใส่โทรศัพท์ พอรู้สึกตัวก็รีบพูดลาแล้ววางสาย
พอถึงวันศุกร์ผมก็นั่งแท๊กซี่มารออินที่หน้ารั้วบ้าน โดยในวันนี้ผมแต่งตัวด้วยชุดที่ดูเป็นทางการกว่าที่เคย เพราะอิน ผมถึงต้องไปค้นเนคไทในตู้ที่ไม่ได้ใช้มานานพอสมควรมารีด การแต่งตัวของผมตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับพนักงานบริษัทสักเท่าไหร่
ผมยืนรออินอีกสักพักก็เห็นอีกฝ่ายเปิดประตูบ้านเดินออกมา และเมื่อเห็นชัดๆ ผมก็ต้องเบิกตาอย่างประหลาดใจ เพราะในวันนี้อินๆได้เปลี่ยนลุคตัวเองเป็นสาวหวาน เดรสสั้นสีชมพูกับรองเท้าสีขาวไข่มุกที่ใส่ทำให้อีกฝ่ายสมหญิงมากขึ้น ใบหน้าที่ปกติแต่งแบบโฉบเฉี่ยวก็เปลี่ยนเป็นแต่งแต้มเครื่องสำอางอ่อนๆ เส้นผมสีน้ำตาลที่ดัดเป็นลอนน้อยๆ ก็ผูกด้วยยางรัดผมลายลูกไม้ที่มีคริสตัลแวววาวประดับ
ไม่ชินจริงๆ น้า
ผมอมยิ้มกับภาพหายากตรงหน้า แต่ก่อนจะทันได้พูดชม อินกลับยื่นกล่องสีดำที่หน้าตาดูเหมือนกล่องแว่นมาทางผม พอผมเลิกคิ้วแล้วมองหน้าอินเป็นเชิงถามว่า นี่อะไร? อีกฝ่ายก็คะยั้นคะยอให้เปิดดูเอง และพอผมเปิดดูก็พบว่าข้างในเป็นแว่นตาอย่างที่คาด พอลองหยิบมาสวมก็รู้ว่าเป็นแว่นแฟชั่น
"ว่าแล้วว่าต้องเหมาะกับนาย นี่ เดี๋ยวตอนก่อนเข้างานนายก็ใส่ซะหน่อยแล้วกัน"อินพูดด้วยสีหน้ายิ้มๆ ซึ่งผมมองเจ้าตัวก่อนถามเบาๆ
"เท่าไหร่?"
"ไม่เก็บเงินหรอกน่า! อันนี้ถือเป็นค่าจ้างที่นายช่วยมาแกล้งเป็นแฟนฉันวันนี้ไง"อินพูดให้เหตุผลก่อนจะพยายามตัดบทแล้วเปลี่ยนเรื่องเดินไปโทรศัพท์ทิ้งให้ผมยืนถอนหายใจ ด้วยรู้ดีว่าอีกฝ่ายหนีไปเพราะกลัวผมถามต่อเรื่องราคา
ส่วนคนที่อินโทรหาก็ไม่ใช่ใคร แต่เป็นสารถีส่วนตัวของอีกฝ่าย
"นี่ยัยอิน ไหงฉันต้องมาเป็นคนขับรถให้เธอด้วยล่ะยะ!"เสียงหวานตวัดแหว ซึ่งเจ้าของเสียงเป็นเพื่อนสนิทของอิน ชื่อ 'ธารา' เป็นคนที่มาคนละสไตล์กับอินเลย อีกฝ่ายเป็นสาวออฟฟิศไว้ผมทรงบ็อบสั้น และสไตล์การแต่งหน้าจะค่อนข้างจัด วันนี้เธอโดนอินโทรตามมารับไปงานเลี้ยง ซึ่งเพื่อนของอินคนนี้คงไม่โกรธอะไรนักถ้าไม่เห็นหน้าผม
"แล้วนี่ลากหมอนี่มาด้วยทำไม? ที่สำคัญเธอคิดยังไงถึงยังคบกับไอ้คนเหยาะแหยะน่าเบื่อไม่เอาไหนอย่างหมอนี่อยู่อีก? คนพรรค์นั้นสมควรหลุดออกนอกวงโคจรชีวิตเธอไปได้แล้ว!"เจ้าของเสียงปรายตามองมาที่ผมผ่านกระจกหน้าขณะพูด ก่อนจะพลิกสายตากลับไปมองถนน ผมได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ เมื่อไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีอีกฝ่ายก็ยังคงเกลียดขี้หน้าผมอยู่
ทั้งที่ผมจำไม่ได้เลยว่าเคยไปทำอะไรให้
"น่าๆ ธารนี่ก็ชอบพูดแบบนี้ทุกที ทอยเขาไม่ได้แย่ขนาดนั้นซะหน่อย"อินที่นั่งอยู่เบาะหน้าพูดปรามเพื่อนรักตัวเอง ซึ่งคนโดนปรามแค่นเสียงหัวเราะออกมา ท่าทีนั้นดูคล้ายกับใครบางคนที่ผมรู้จักจนเผลอหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ
และแน่นอนว่านั่นทำให้สาวตาคมส่งสายตาพิฆาตมาทางผมอีกระลอก อินยิ้มแห้งๆ ก่อนจะพูดอธิบาย
"วันนี้ฉันจะให้ทอยช่วยมาเป็นแฟนชั่วคราวให้น่ะ พอดีโดนตื๊อนิดหน่อย"
"อ้อ เอามาเป็นไม้กันหมาสินะ"เจ้าของเสียงพูดเน้นอย่างไร้ซึ่งความเกรงใจ ผมได้แต่เสมองนอกกระจกเพื่อที่ไม่สบตากับคนเจ้าอารมณ์ที่ชอบเหลือบสายตามาทางผมอย่างคล้ายจับผิด
แต่ผมก็ปฏิบัติตามหน้าที่ที่ได้รับเป็นอย่างดี โดยคอยยืนอยู่ข้างๆ อิน คอยเดินตามและส่งยิ้มให้กับคนในงานที่เข้ามาทักทายอิน
บอกตามตรงว่าผมรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่กับงานเลี้ยงนี้ โดยเฉพาะตอนที่เพื่อนร่วมรุ่นของอินคอยพูดชมว่าผมกับอินเหมาะสมกันแค่ไหน หรือถามซอกแซกว่าเมื่อไหร่ผมกับอินจะแต่งงานกัน ทำให้ผมฟังแล้วรู้สึกไม่สบายใจ เพราะเจตนาที่พวกเขาส่งออกมาทางแววตาดูไม่จริงใจเอาซะเลย อินเองก็เหมือนรู้ พอคนผละออกไปอีกฝ่ายก็หันมายิ้มเหมือนขอโทษให้ ซึ่งผมก็ได้แต่ปลง
แต่พูดไปแล้ว ผมก็ไม่ค่อยมีหน้าที่อะไรมากนัก เมื่อคนที่คิดจะจีบอิน ส่วนใหญ่พอเห็นผมแล้ว ก็ยอมถอยออกไปแต่โดยดี แต่บางคนที่หน้าค่อนข้างหนาก็กล้ารุกต่อ อย่างเช่นคนนี้
"งายจ๊ะอิน ไม่เจอกันนานสวยขึ้นนะเนี่ย มาคนเดียวเหรอ?"คำทักทายที่ส่อเจตนาชัดเจน ทั้งที่ใครๆ ก็เห็นว่าอินเดินเข้างานมาพร้อมผม แต่อีกฝ่ายกลับถามแบบที่เห็นชัดว่าแกล้งมองข้ามหัวผม
ผมเห็นอินลอบถอนใจ ก่อนอีกฝ่ายจะเข้ามาควงแขนผมอย่างแสดงถึงความสัมพันธ์
"สวัสดีโจ แต่ขอโทษทีเถอะ ฉันว่านายควรไปตัดแว่นได้แล้ว วันนี้ฉันมากับเขา ทอยคะ นี่โจ เพื่อนสมัย ม.ปลายที่ไม่อยากนับเป็นเพื่อนเท่าไหร่"
"ไม่อยากนับเป็นเพื่อน แปลว่าอยากนับเป็นคนรักสินะจ๊ะ ฮิ้ว"ผมมองบทสนทนาที่เล่นเองตบมุกเองอย่างรู้สึกแปลกๆ เหลือบมองอินก็เห็นอีกฝ่ายส่ายหน้าอย่างเอือมระอา ซึ่งนี่เองที่ทำให้ผมมั่นใจว่าผู้ชายคนนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้อินต้องมาขอความช่วยเหลือจากผม
"สวัสดีครับคุณโจ ขอบคุณที่เคยดูแลอินตอน ม.ปลายนะครับ ผมสัญญาว่าจะดูแลเพื่อนของคุณนับต่อจากนี้ไปให้ดีที่สุด"ผมพูดเปิดฉากเสียงนิ่ง ซึ่งคนที่ชื่อโจหันมาจ้องผมตาวาวเหมือนจะเอาเรื่องแล้วใช้สายตาสำรวจตัวผมคล้ายหาช่องจับผิด
ทำสายตาเหมือนธาราไม่มีผิด
ก็อย่างที่บอกว่าวันนี้ผมแต่งตัวตามที่อินบอก ใส่เสื้อผ้าที่ดูเรียบหรูมีราคา ผมไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะหาข้อบกพร่องเจอจนกระทั่งคนตรงหน้าพูดขึ้น
"คุณทอยนี่อะไรก็ดีหมดนะครับ...เสียแค่นาฬิกา ไม่ทราบว่าชอบของเก่าตกรุ่นราคาไม่ถึงพันแบบนั้นงั้นเหรอครับ? ไม่ทราบว่าอยากให้ผมช่วยหาเรือนที่ดีกว่านั้นมาให้ไหมล่ะครับ? หึๆ"เสียงหัวเราะขึ้นจมูกกับสีหน้าดูถูกที่ทำเหมือนกับว่าตัวเองเหนือกว่านั้นทำให้อินที่ฟังอยู่ข้างๆ ทำท่าจะอ้าปากว่า แต่ผมยื่นมือไปกันไว้ก่อน
ผมมองสบตากับคนตรงหน้าก่อนจะยิ้มตอบ
"ใช่ครับ ผมชอบนาฬิการาคาไม่ถึงพันเรือนนี้"พอผมพูดถึงตรงนี้อินก็ทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจ ส่วนคนที่ชื่อโจก็หัวเราะอีกรอบ ท่าทางคงคิดว่าตัวเองชนะแล้ว ตอนนี้เองที่ผมพูดต่อ
"เพราะนาฬิกาเรือนนี้เป็นของขวัญชิ้นแรกที่อินให้กับผม เพราะงั้นผมถึงใส่มัน แม้จะราคาไม่แพง ไม่ใช่ของมียี่ห้อ ดีไซน์ไม่หรูหรา แต่เพราะเป็นของที่อินให้ ผมถึงเก็บมันไว้และใส่มันมาในวันนี้"
"ผมต้องขอขอบคุณสำหรับความมีน้ำใจของคุณโจนะครับ แต่ต้องขอโทษจริงๆ ครับ เพราะถึงจะมีนาฬิกาเรือนอื่นที่ดีกว่า...ยังไงผมก็ชอบเรือนนี้มากกว่า"
หลังผมพูดจบอีกฝ่ายก็ดูจะทำหน้าไม่ถูก มองผมกับอินสลับกันก่อนจะพูดขอตัวแล้วสะบัดหน้าจากไป
"ทำดีมากทอย"อินพูดชมผมขณะเดินมาที่ซุ้มอาหาร อินคีบตักอาหารไปซึ่งส่วนใหญ่เป็นพวกซูชิกับอาหารทะเล
"ฉันไม่ได้ทำอะไร ก็แค่พูดความจริง"ผมตอบพลางมองพวกอาหารแล้วเลือกเอาบาบีคิวห้าไม้กับสลัดไก่
"...นาฬิกานั่นยังเดินอยู่อีกเหรอ? ฉันให้ไปเกือบสิบปีแล้วมั้ง?"อินเปรยถามขณะนั่งโต๊ะที่ว่าง ผมยิ้มนิดๆ พลางจิบน้ำเปล่าแล้วตอบ
"ก็ซ่อมบ่อยพอสมควรล่ะนะ"แล้วบทสนทนาของพวกผมก็หยุดลงเท่านี้ เพราะผมคิดว่าคงไม่ดีเท่าไหร่ที่จะชวนอีกฝ่ายคุยขณะที่กิน กินไปได้สักพักผมก็เงยหน้ามองอินแล้วนึกขึ้นได้
"จริงสิ ลืมบอกไป"อินเงยหน้ามองผมด้วยแก้มตุ่ยๆ ผมมองสภาพปากไม่ว่างของอินแล้วหัวเราะเล็กๆ
"ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แค่จะบอกว่าวันนี้แต่งตัวน่ารักดี สวยมาก"
พอผมชมเสร็จก็หันไปสนใจอาหารต่อ จนกระทั่งกินเสร็จและกำลังจะกลับ ระหว่างลงลิฟต์มา ในลิฟต์ที่มีเพียงผมกับอินอยู่สองคนอินได้พูดเปิดประเด็นขึ้น
"ทอย ฉันว่านายควรเลิกนิสัยพูดตรงๆ นั่นลงบ้างนะ"
"หมายความว่าไง?"ผมเลิกคิ้วมองอินอย่างไม่เข้าใจ
"ก็เรื่องที่นายชมฉันเมื่อกี้นี้ไง"
"นี่ฉันชมเธอไม่ได้?"ผมมองอินอย่างไม่เข้าใจ นี่พูดชมก็ผิด? ชักงงแล้วนะ
"ไม่ใช่ชมไม่ได้ จะว่ายังไงดี...นายจะรู้สึกยังไงเวลาเห็นแฟนตัวเองชมคนอื่น?"คำถามสมมติของอินทำให้ต้องคิดพิจรณาอีกครั้ง
ถ้าจินไปพูดชมคนอื่น...
พอผมลองคิดภาพตามก็เหมือนจะเข้าใจ แต่ก็ยังรู้สึกค้างคา
"เรื่องแค่นี้ก็ถือว่าเข้าข่ายนอกใจงั้นเหรอ?"ผมคิดว่าเรื่องนี้มันเป็นแค่เรื่องเล็กๆ ไม่น่าจะถึงกับต้องเก็บมาใส่ใจเป็นจริงเป็นจัง
อินถอนหายใจอีกแล้ว เจ้าตัวกลอกตามองผมแล้วอธิบายด้วยน้ำเสียงเหนื่อยๆ
"เอาจริงๆ นะทอย เรื่องนี้ผลลัพธ์มันจะไม่ใช่แค่นายกับแฟนนาย คำพูดชมของนายอาจทำให้บุคคลที่สามเข้าใจผิดได้ เอาง่ายๆ ที่นายพูดชมเมื่อกี้ถ้ามองจากคนนอกเขาก็จะเข้าใจผิดเอาว่านายจีบฉัน แต่นั่นไม่สำคัญเท่าว่าถ้านี่ไม่ใช่ฉันแต่เป็นคนอื่น เขาจะเข้าใจผิดคิดว่านายจีบเอาได้ และถ้าบังเอิญอีกฝ่ายคิดเล่นด้วยนายคงรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น"คำพูดยืดยาวของอินทำให้ผมต้องใช้เวลาคิดครู่หนึ่งถึงจะเข้าใจความหมาย ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ แล้วพูดตอบอิน
"อ้อ เข้าใจแล้ว งั้นต่อจากนี้ฉันจะพยายามไม่พูดชมคนอื่นอีก"
"ไม่ใช่ไม่ให้พูดชมย่ะ แต่ควรใช้คำพูดแบบเป็นกลาง อีกฝ่ายจะได้ไม่คิดเข้าข้างตัวเองจนเข้าใจผิดไป โอเค๊?"อินลงท้ายโอเค๊เสียงสูงจนผมหลุดหัวเราะ
"โอเคครับผม"
หลังผมนั่งแท็กซี่ไปส่งอินก็นั่งต่อกลับมาที่บ้าน ระหว่างอยู่บนแท็กซี่ผมก็คิดขึ้นได้ว่าควรจะรายงานบอกเวย์สักหน่อย แต่เพราะเห็นเวลาที่เลยเที่ยงคืนไปแล้วเลยเลือกวิธีส่งข้อความให้แทน
- กลับจากงานเลี้ยงแล้วนะ -
ผมส่งเสร็จก็รู้สึกว่ามันน้อยไปเลยส่งเพิ่มไปอีกข้อความ
-ไปส่งอินแล้ว ตอนนี้กำลังกลับบ้าน -
ผมกำลังเก็บมือถือเข้ากระเป๋าแต่เสียงข้อความเข้าทำให้ผมชะงักไป เปิดดูก็พบว่าเวย์ส่งข้อความมา
- ถึงไหนแล้วครับ?-
- ก็ใกล้ถึงบ้านแล้ว อีกสิบห้านาทีก็ถึง -
- ถึงบ้านแล้วบอกด้วยนะครับ -
- อืม ได้ เดี๋ยวจะส่งข้อความไปบอก -
- โทรมาก็ได้ครับ ผมยังไม่นอน -
พอผมเห็นข้อความนี้ก็ลังเล ยังไม่ทันจะพิมพ์ข้อความใหม่ก็เข้า
- นะครับ ผมอยากได้ยินเสียงทอย -
พอเห็นข้อความนี้ผมจะทำอะไรได้นอกจาก
- ได้ ไว้ถึงแล้วฉันจะโทร -
ผมเก็บมือถือมองวิวด้านนอกอย่างรู้สึกอ่อนใจ เมื่อดูเหมือนว่านอกจากจินแล้ว ผมยังเจอเด็กขี้อ้อนคนใหม่ด้วย
ความคิดเห็น