ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พรางรัก ลวงใจ (ตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์สมาร์ทบุ๊ค)

    ลำดับตอนที่ #4 : ผุ้การสาวใจเด็ด 2(รีไรท์ )

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.06K
      6
      8 ก.พ. 52

    ตอนที่ 4 ผู้การสาวใจเด็ด 2

           เธอเพียงแต่พยักหน้า แล้วพยายามก้าวเดินไปเรื่อยๆตามที่เรี่ยวแรงของตนเองจะเดินไปได้  ผู้พันโอบเอวของเธอไว้ นายพลสาวใช้แขนอีกข้างหนึ่งเกาะบ่าเขาไว้แบบพยุงปีก  เขาเอ่ยขึ้นเบาๆเหมือนจะชวนคุย
           “ รายา.......ทำไมคุณถึงต้องเอาชีวิต  มาเสี่ยงแบบนี้ด้วย คุณมีค่ากับบ้านเมืองมากนะ  มีค่ายิ่งกว่าสมบัติล้ำค่าใดๆของสวาติติเสียอีก  คุณเป็นบุคคลที่ชาวสวาติติ  สมควรยกย่องในความเสียสละ  ของคุณนะรายา  ผมเองยังรู้สึกว่าคุณเสียสละ  และทุ่มเทชีวิต และความสุขส่วนตัว จนดูเหมือนจะมากเกินไปด้วยซ้ำ  “
          เธอคงได้ยินคำที่เขาพูด  แต่ก็ไม่กล่าวคำใดออกมา ใบหน้าของหญิงสาวเคลียอยู่กับใบหน้าของเขา จนเขารู้สึกถึงแก้มนิ่มนวลละไมของเธอ  เธอเอ่ยถามขึ้นเพียงเบาๆ  “ จะสว่างหรือยัง.... เราต้องรีบกลับออกไป....คุณต้องพาฉันออกไป....หาใครสักคนให้ช่วย.... เชื่อฉันสิคะ.”  เธอยังกล่าวถามคำเดิม
          เขาพยายามเพ่งมองนาฬิกาที่ข้อมือ   แสงจันทร์สาดแสงรอดใบไม้ลงมา  ทำให้เขาเห็นลำน้ำเล็กๆตรงหน้า ซึ่งเข้าใจว่าคงเป็นลำธาร
           “ นี่เพิ่งจะสามทุ่มน่ะ รายา.....คุณนั่งพักตรงนี้ก่อนนะ  ตรงนี้มีลำธาร  ผมจะไปหาน้ำมาเช็ดหน้าให้นะ คุณหิวน้ำมั้ย  ผมจะพาคุณไปใกล้ๆลำธารนะ ” เขาพาเธอเดิน เข้าไปใกล้ลำธารเล็กๆ  ประคองให้เธอนั่งพิงต้นไม้  และเดินลงไปในลำธารนั้น วักน้ำใส่มือขึ้นมาให้เธอดื่ม เธอดื่มอย่างรู้สึกกระหาย  ผู้พันศรัณย์ ดึงผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋ากางเกง  ชุบน้ำมาเช็ดหน้าให้เธอ  ทำให้ผู้การสาวรู้สึกดีขึ้น 
          เธอเริ่มหันไปมองรอบๆตัว  แล้วบอกกับผู้พันศรัณย์เบาๆ  " เรามาผิดทางแล้วค่ะ  หน่วยลาดตะเวนของเรา ต้องไปทางตะวันออก  ทางที่เราจะไปไม่มีลำธาร  "  เธอกล่าวเบาๆ นิ่วหน้า  หลับตาแน่น  และกัดฟันเสียงดังกรอดๆ อย่างรู้สึกเจ็บปวด 
          " คุณพอจะรู้มั้ยว่า แถวนี้มีกองกำลังของพวกมัน อยู่บ้างหรือเปล่า "  ?
          " เท่าที่รู้ไม่มีค่ะ แต่ก็ไม่แน่นัก  ทางนี้จะไปหมู่บ้านของชาวบ้าน  เป็นหมู่บ้านจองข่า เราต้องเดินแยกไปทางตะวันออก อีกประมาณเกือบสองกิโล  ก็จะถึงหน่วยที่ตั้งแค้มป์ทหารของเรา  เราต้องไปค่ะไปที่แค้มป์  เราต้องไปให้ทันก่อนสว่าง "  เธอกล่าวเบาๆ
          " แต่ผมว่า......เราน่า จะเข้าไปในหมู่บ้านนี้  ก่อนดีกว่านะครับ  คุณบาดเจ็บมากนะ อีกเกือบสองกิโลน่ะไม่ใช่น้อย เราเดินทางกันแบบนี้  ยังไงก็ไม่ทันสว่างแน่  และอีกอย่างหนึ่งนะ  คุณเดินไม่ไหวแล้วด้วย  เราคงต้องเข้าไปในหมู่บ้านก่อนเถอะนะครับ  ถ้าเลือดคุณออกมากอย่างนี้ละก็  อันตรายมากนะ  เชื่อผมเถอะครับ แล้วถ้าเราเกิดเจอพวกทหารป่าขึ้นมาตอนนี้  เราจะลำบากมากนะ  สำหรับผมอาจจะเอาตัวรอดได้ แต่คุณสิ...คุณไม่ไหวแล้ว " เขากล่าวกับเธออย่างมีเหตุมีผล
          " ฉัน........เกรงว่า  คุณจะ......ต้อง.......เดือดร้อน........เพราะฉัน  "  เธอกัดฟันกล่าวออกมาเบาๆด้วยเสียงกระท่อนกระแท่น สีหน้าแสดงความเจ็บปวดมากขึ้น เขาเห็นเธอกัดริมฝีปากที่สั่นระริกไว้แน่น
          " รายา...ผมมาที่นี่ มาช่วยบ้านเมืองของคุณ  ผมก็ต้องยอมทุกอย่างอยู่แล้ว คุณจะคิดทำไม ไม่เห็นจะน่าคิดมากเลย เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่หรือครับ เพื่อนก็ต้องช่วยเพื่อน  ในยามคับขันในยามเจ็บยามไข้สิครับ "  เขากล่าวทั้งที่ยังประคองเธออยู่ 
          " เชื่อฉัน.....เถอะค่ะ.... เราต้อง... ไปให้....ถึงแค้มป์..... นั่น....ก่อนสว่าง..... "  เธอกล่าวออกมา เป็นห้วงๆ
          " รายา......คุณอย่าดื้อนักเลย  ผมยอมที่จะเดือดร้อนทุกอย่าง เพราะยังไงๆก็คงไม่มีทางเลือกอื่นแล้วละ เชื่อผมดีกว่า เราจะเข้าไปในหมู่บ้านนี้กัน เพื่อขอความช่วยเหลือจากชาวบ้าน ดีกว่านะครับ  รายา.... เชื่อผมสักครั้งเถอะ  นึกว่าผมขอร้องละ "  เขากล่าวกับเธอ อย่างรู้สึกหงุดหงิดในความดึงดันของเธอ  แต่เมื่อศีรษะของผู้พันสาวตกลงในอ้อมแขนของเขาอีกครั้ง  เขาจึงรู้ว่านายพลสาว หมดสติแน่นิ่งไปอีกครั้ง 
          ผู้พันหนุ่มแห่งกองทัพบกไทย  ตัดสินใจจับร่างเธอขึ้นพาดบ่า เดินเข้าไปในหมู่บ้านนั้นทันที เมื่อเข้าเขตหมู่บ้านเสียงหมาเห่ากระโชกใส่  และวิ่งกรูเกรียวกันออกมา  และเริ่มต้นเห่าขึ้นพร้อมๆกัน  จนสียงลั่นไปทั่วทั้งหมู่บ้าน  คนในหมู่บ้านนั้นต่าง  แง้มประตูหน้าต่างออกมาดู  เสียงตะโกนถามออกมา  ว่าเป็นพวกไหนกัน  ที่นี่เราไม่มีอะไรหรอกนะอาหารก็พอจะมีก็  พวกไก่ พวกเป็ดในเล้านั่น  อยากได้ก็เอาไป  อย่าทำร้ายใครเลย  เขาตัดสินใจวางร่างของเธอให้พิงกับต้นไม้  และเดินช้าๆไปตามทางเดินในหมู่บ้าน  แสงจันทร์ข้างขึ้นสาดส่องร่างของเขา  พ่อเฒ่าที่แง้มหน้าต่าง  มองเห็นเพียงทหารหนุ่ม ซึ่งยืนอยู่กลางลานดินเพียงลำพัง  จึงตัดสินใจตะโกนออกมา
          “เป็นใครกันพ่อหนุ่ม ทหารของนายพล ราเปรียงเหรอ “
          " ผมเป็นทหารของ สวาติติ และมีคนบาดเจ็บมาด้วย จะขอพักค้างคืนสักคืนน่ะครับ "  เขากล่าวตอบออกไป ทั้งๆที่ยังไม่เห็นต้นตอเจ้าของเสียงนั้น
          " ทหารเมืองหรือ.....เข้ามาเลย รีบเข้ามาเร็วๆไอ้พวกนั้นจะเห็นเข้า  " ผู้เฒ่าผู้อารี ปรากฏกายขึ้น พร้อมกับแสงวอมแวมของตะเกียงรั้วในมือ  และรีบเดินลงจากบ้าน  ตรงมาที่เขาทันที  พร้อมทั้งชูตะเกียงขึ้น มองสำรวจเขา และบอกเขาด้วยเสียงร้อนรน “ เร็วเข้าพ่อหนุ่มมาทางนี้ “   ผู้เฒ่าชี้มือไปที่กระท่อมหลังหนึ่ง  บอกให้เขาขึ้นไปพักได้  
          ผู้พันศรัณย์รีบกลับไป  อุ้มผู้การสาวขึ้นพาดบ่า แล้วเดินตามเข้าไปในกระท่อมหลังนั้นทันที  ชายชรารีบหาหมอนและเสื่อมาปูให้  แล้วบอกเขาว่ากระท่อมนี่  เป็นของลูกสาวของแกเอง  แต่ไม่มีใครอยู่  เพราะไปทำงานที่ในเมือง  นานๆจะกลับมาสักครั้ง เอาคนเจ็บมานอนได้เลย เขาวางร่างของเธอลงบนเสื่อ ใช้หมอนรองศีรษะให้ ชายชรารีบถามว่าถูกยิงมาหรือ  และสังเกตเห็นเลือดที่ไหลหยดลงบนพื้นฟาก  และบอกว่าแกพอมียาอยู่บ้าง  องค์หญิงรายาทรงประทานให้มาเมื่อเร็วๆนี้เอง พระองค์ท่านเดินทางมาเยี่ยม  ชาวบ้านที่หมู่บ้าน ตัวแกอยากจะออกไปดูหน้าท่าน  พอดีไม่สบายลุกไม่ไหวก็เลยไม่ได้ออกไปเข้าเฝ้า  เขาว่าท่านสวยอย่างกับนางฟ้า
         “ ท่านสวยเหมือนนางฟ้าจริงๆ  เหรอเปล่าล่ะพ่อหนุ่ม “ ผู้เฒ่าถามแล้วสาละวน  หยิบกล่องยามาส่งให้ พร้อมทั้งตักน้ำใส่กะละมัง และผ้าผืนหนึ่งมาวางไว้ให้พร้อม
         " สวยจ๊ะ สวยเหมือนนางฟ้า นั่นแหล่ะจ๊ะตา " เขาตอบยิ้มๆรับกล่องยานั้นมาถือไว้
           ชายชราลุกขึ้นยืน  " เอ็งทำแผลให้เจ้าหมอนี่  ไปเถอะนะพ่อหนุ่ม  ตาไปนอนก่อน  ไม่อยากเห็นเลือดน่ะ เห็นแล้วใจคอไม่ดี  แล้วมันจะตายมั้ยล่ะ  นอนนิ่งออกอย่างนี้น่ะ ?  " ชายชราถามพร้อมกับใช้มือป้องตา  แล้วมองไปที่ร่างของผู้การสาว  แต่แสงสว่างวอมแวมจากตะเกียงรั้ว ทำให้ผู้เฒ่าเห็นเพียงทหารนายหนึ่งเท่านั้น  เขารีบบอก
          “ ถ้าตาไม่กล้าดู ตาก็ไปนอนเถอะครับ เดี๋ยวผมจะรีบทำแผลแล้วละ “ 
          " เออๆ งั้นตาไปก่อนนะ ถ้าเอ็งมีอะไรก็เรียกได้นะ  บ้านตาหลังถัดไปนี่เอง  "  ผู้เฒ่ารีบหันหลังเดินงกๆเงิ่นๆออกจาก กระท่อมลงไปทันที  โดยทิ้งตะเกียงรั้วไว้ให้ 
          ผู้พันศรัณย์หยิบตะเกียงมาวางไว้ ทางด้านหัวนอน  ใช้มีดค่อยๆตัดแขนเสื้อ บริเวณไหล่  ของเสื้อพลางทหารตัวนอกออก  แกะผ้าที่เขารัดไว้ออกอีกชั้นหนึ่ง  แล้วใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดเลือดที่หัวไหล่ พบว่ากระสุนได้ถากหัวไหล่ไป  เป็นแผลลึกพอสมควร  เลือดยังคงไหลรินออกมาเรื่อยๆ  ตัวเธอเริ่มร้อนจัดด้วยพิษไข้ที่ขึ้นสูง จากการอักเสบของแผล  เขาใช้ผ้ามาชุบน้ำเช็ดหน้าและคอให้เธอ   และใช้สำลีชุบอัลกอฮอล์เช็ดทำความสะอาด  บริเวณรอบๆปากแผลจนสะอาด  ใช้ผ้าก๊อสที่มีอยู่  พับหลายชั้นปิดปากแผล  และใช้ผ้าก๊อสพันรอบหัวไหล่ไว้  อีกชั้นหนึ่ง  มียาแก้ปวด แก้ไข้  อยู่ในกล่องยานั้นด้วย เขารีบนำยาแก้ปวดใส่ปากให้เธอ  พร้อมทั้งช้อนหลังเธอขึ้น  แล้วกรอกน้ำลงไปปาก  ผู้การสาวกลืนยาลงคอ  และสำลักน้ำนิดหนึ่ง  และเริ่มเพ้อเบาๆ
          " ผู้พัน.....พาฉัน....กลับออกไป " 
          " รายา พรุ่งนี้นะครับ  อีกไม่กี่ชั่วโมงก็สว่างแล้วละ  ผมจะหาทางรีบพาคุณกลับ  พวกทหารต้องออกค้นหาเราแน่ๆ  แต่ตอนนี้เราต้องอยู่ที่นี่ก่อนนะครับ  ข้างนอกอันตรายมาก  " เขากล่าวกับเธอทั้งๆ ที่เขาก็รู้ว่าเธอไม่รู้สติ  และเพียงแต่เพ้อออกมาเท่านั้น
         " ฉันหนาว หนาวเหลือเกิน ปารอง.....ห่มผ้าให้ฉันด้วย "  เธอเพ้อเบาๆ เขานึกสงสัยว่าใครกัน  ที่ชื่อปารองที่เธอเพ้อหา 
    ผู้พันหนุ่มมองหาผ้าห่มไปรอบๆ  แต่ก็ไม่มี เธอเริ่มกระสับกระส่าย  และยกมือขึ้นเหมือนจะไขว่คว้า เขาจับมือเธอไว้เธอจับมือเขาไว้แน่น และยังคงเพ้อว่าหนาว ผู้พันหนุ่มถอดเสื้อทหารที่เขาสวมอยู่  ห่มคลุมให้เธอ  แล้วล้มตัวลงนอนข้างๆ โอบร่างเธอไว้เบาๆเข้ามากอดไว้กับอก  และหลับลงไปในที่สุด ด้วยความเหนื่อยอ่อน 
          เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง  และเกือบจะรุ่งสางแล้ว ภายในกระท่อมเริ่มสว่างขึ้นน้อยๆ พอมองเห็น เสียงไก่ขันรับอรุณดังขึ้นเป็นระยะๆ  ผู้การสาวเริ่มรู้สึกตัว และค่อยๆลืมตาขึ้น  เธอขยับตัวนิดหนึ่ง และรู้สึกเจ็บแผลที่หัวไหล่ทันที เธอเห็นปลายคางที่มีเคราเขียวๆสากๆ อยู่ชิดติดอยู่กับใบหน้าของเธอ อย่างรู้สึกตกใจ  เธอรีบขยับตัวอีกครั้งก็รู้ว่าตนเองหนุนแขนของอยู่ และยังอยู่ในอ้อมกอด  ของผู้พันหนุ่มซึ่งหลับสนิท  แขนอีกข้างหนึ่งของเขายังคงโอบกอดร่างเธอไว้ ในอ้อมแขน  กลิ่นกายจากบุรุษเพศที่กำลังโอบกอดเธออยู่นี้  เป็นความรู้สึกแรกที่แปลกเหลือเกิน  อ้อมกอดของผู้ชายคนหนึ่ง ที่บังอาจโอบกอดองค์หญิงรัชทายาทแห่งสวาติติ  ซึ่งไม่เคยมีใครกล้า และบังอาจขนาดนี้  แสงสว่างภายนอก ลอดเข้ามาทางฝาไม้ไผ่ขัดแตะเพียงลางๆ  เธอพยายามดันหน้าอกเขาน้อยๆ  แต่ก็เจ็บแผลที่ไหล่ จนไม่สามารถจะออกแรงที่แขนได้ เธอพยายามเปล่งเสียงเรียก
          " ผู้พัน......ผู้พันคะ...." 
          เขาขยับตัวทันทีพร้อมทั้งลืมตาขึ้น  เขาเห็นดวงตากลมโต หวานซึ้งอยู่ตรงหน้า  ด้วยความรู้สึกตกใจนิดหนึ่ง เขารีบคลายวงแขนที่โอบกอดเธอออก  แล้วรีบลุกขึ้นนั่ง ผู้การสาวยังคงขยับตัวไม่ได้ เธอนิ่วหน้าอย่างเริ่มเจ็บปวด
         " ที่นี่ที่ไหนคะ? " เธอถามเบาๆ
         “ก็คงเป็นหมู่บ้านอะไร  ที่คุณบอกเมื่อคืน ผมก็จำไม่ได้เสียด้วยสิ "  เขาตอบเธอพร้อมกับยิ้มให้เธอน้อยๆ สีหน้าเขาอ่อนโยน
         " อืม....จองข่าค่ะ เช้าแล้วหรือคะ ? " 
         " ครับ....เช้าแล้ว คุณรู้สึกเป็นยังไงบ้าง  ? "  เขาถามเบาๆ มองหน้าที่ซีดเซียวของเธอ  อย่างสงสาร
         " ฉันไม่เป็นอะไรมากหรอกค่ะ  เรารีบไปกันเถอะค่ะ  คุณช่วยจับฉันลุกขึ้นหน่อยเถอะค่ะ เราต้องรีบไปก่อนที่  ใครจะเห็นว่า  เราอยู่กันสองคนตามลำพัง  " ผู้การสาวพยายามขยับตัวจะลุกขึ้น
         " รายาคุณนอนเฉยๆ  นิ่งๆก่อนดีกว่านะ  ตอนนี้เลือดหยุดแล้ว ถ้าคุณขยับตัวเลือดจะไหลออกมาอีก และใครจะเห็น  เขาก็คงไม่คิดอะไรหรอก คุณบาดเจ็บออกอย่างนี้น่ะ  " เขาปรามเบาๆ 
          เธอมองไปที่หัวไหล่ตนเอง " เสื้อฉันล่ะ คุณถอดเสื้อฉันหรือคะ ?  "  เธอถามหน้าเข้มขึ้นทันที
         " ก็ใครจะถอดให้ล่ะครับมากันสองคน  ผมตัดออกแค่ตัวนอกน่ะ  มันถอดไม่ได้กลัวคุณจะเจ็บ  แล้วก็ตัดแขนเสื้อยืดออก ไม่ได้ถอดออกทั้งหมดหรอกครับ " เขากล่าวด้วยเสียงกลั้วหัวเราะน้อยๆ เมื่อเห็นสีหน้าที่เข้มขึ้นของเธอ
          ผู้การสาวเพียงแต่เม้มริมฝีปาก  ตนเองนิดหนึ่ง ไม่กล้าสบตากับเขา พลางคิดในใจ ผู้พัน....คุณรู้มั้ยว่าคุณเป็นผู้ชายคนแรก ที่ถูกเนื้อต้องตัวฉันขนาดนี้  แถมยังกอดฉันไว้ทั้งคืนอีกด้วย
          ผู้พันศรัณย์มองกริยาของเธอ  พร้อมทั้งคิดขึ้นมาได้ว่า เธอไม่ใช่เป็นเพียงแค่ผู้บัญชาการ ทหารทหารเท่านั้น  แต่เธอยังเป็นถึงองค์หญิงรัชทายาท  เขาไม่สมควรแม้แต่จะแตะต้องตัวเธอด้วยซ้ำ  ทำให้เขาต้องรีบเอ่ย
          " อืม...ผมขอโทษ....ที่ทำแบบนี้ แต่ก็จำเป็นต้องทำ เพราะผมต้องทำแผลให้คุณ  แล้วคุณก็เป็นไข้  แล้วก็เพ้อบอกว่าหนาวมาก ผมก็มองหาผ้าห่มก็ไม่มี  ก็เลยถอดเสื้อของผมห่มให้คุณ  เอ่อ...แล้วก็เลยกอดคุณเอาไว้น่ะ  ผมรู้นะครับว่าคุณเป็นถึงองค์หญิงรัชทายาท  ผมไม่บังควรที่จะแตะต้อง  ตัวคุณเสียด้วยซ้ำไป เหมือนกับว่าผมไม่รู้จัก  ที่ต่ำที่สูงน่ะครับ  แต่ก็ไม่ทราบจะทำยังไง  ในเมื่อคุณเพ้อบอกว่าหนาวมาก คุณเรียกชื่อปารองให้ห่มผ้าให้  ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำการไม่บังควรกับคุณ คุณคงเข้าใจนะครับ "  เขากล่าวกับเธอด้วยน้ำเสียงเรียบๆ  สีหน้ากังวลขึ้นอย่างรู้สึกตัวว่าผิด 
          เธอเห็นความจริงใจ ในสีหน้าของเขาขณะที่พูด  " ฉันต้องขอบคุณคุณมากค่ะ  ที่ช่วยชีวิตฉัน  ฉันไม่ได้คิดเรื่องที่ต่ำที่สูงอะไร  อย่างที่คุณพูดหรอกค่ะ คุณอย่ากังวลเลยนะคะผู้พัน "
          เธอกล่าวกับเขาแล้วนิ่งเงียบ หลับตาลงนิ่งๆด้วยความรู้สึกปวดแผลขึ้นมา  มากมายอีกครั้ง เธอนิ่วหน้าพร้อมทั้งกัดริมฝีปากตนเองน้อยๆ เหมือนจะพยายามข่ม  ความเจ็บปวดนั้น  และเริ่มปวดศีรษะหนึบขึ้นอีก อาการไข้ เริ่มถาโถมเธออีกครั้ง เธอเอื้อนเอ่ยบอกกับเขาเบาๆ
         “ ผู้พันคะ.....ช่วยไปตามใครก็ได้  ให้มาที่นี่ มาช่วยเรา หรือให้มาอยู่กับเรา “   
          เขามองเธออย่างรู้สึกสงสาร  และคิดว่าคงต้องหาทาง  ไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด  เพราะรู้ว่าอาการของเธอ  ต้องการหมอโดยเร็ว  " รายา....ผมขอลงไปดูลาดเลา  ข้างนอกก่อน เผื่อมีหนทาง  ที่เราจะหาทางไปจากที่นี่ "  
          เธอเพียงพยักหน้าให้เขา และเอ่ยบอก " ไปตามคนมาช่วยเราสิคะ  ให้เขามาอยู่กับเราก็ได้ " เธอย้ำอีกครั้ง
          " เอ่อ...ผมจะลงไปดูก่อนนะ ว่าพอจะมีใครมาช่วยเราได้บ้าง “
          เขาค่อยๆย่องออกมา  จากกระท่อมนั้นเบาๆ ย่องลงบันไดมาข้างล่าง  ท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้นทีละน้อย  เขาเห็นว่าหมู่บ้านทั้งหมู่บ้านยังคงเงียบเชียบ มีเพียงเสียงนกกา  ที่เริ่มออกหากิน มีควันไฟจากครัวของบ้าน  บางหลังที่ลอยกรุ่นขึ้น เขาเร้นกายอยู่ข้างกระท่อม  อย่างเงียบกริบ  เมื่อได้ยินเสียงคล้ายฝีเท้าคนเดิน เขาลอบมองอยู่ที่ข้างเสากระท่อม  และก็เห็นผู้เฒ่าคนเมื่อคืน  ถือหม้อข้าว  เดินกระย่องกระแย่ง ตรงมาที่กระท่อม  แล้วเดินขึ้นบันไดไปอย่างช้าๆ พลางส่งเสียงร้องเรียก
          ” พ่อหนุ่ม......พ่อหนุ่ม เอาข้าวมาให้ ข้าวต้มใส่เกลือน่ะ ไม่มีกับข้าวอะไรหรอก แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไร ตกถึงท้องเสียเลย “ ชายชราเรียกและกล่าวงึมงำ  แกไม่เห็นว่าผู้พันหนุ่มซ่อนตัวอยู่ข้างล่าง
          ผู้พันรีบเดินกลับขึ้นไปบนกระท่อม รับหม้อจากชายชรามาถือเสียเอง  ชายชราเปิดประตูกระท่อมเข้าไป แสงในกระท่อมไม่สว่างนัก  ผู้พันศรัณย์วางหม้อข้าวต้มลง  หาชามและช้อนมาตัก แล้วถือชามมานั่งลงข้างผู้การสาว
          ” คุณ.....ทานข้าวต้มหน่อยนะ ผมจะป้อน “ เขาช้อนหลังเธอขึ้น ด้วยแขนซ้ายให้เธอพิงกาย  อยู่ในอ้อมแขนเขา และใช้มือขวา ตักข้าวต้มเปล่าๆนั้นใส่ปากให้เธอ ผู้เฒ่ามองมาที่เธอ
          " เออ....เจ้านี่.....เป็นทหารหญิงด้วยหรือนี่  เพิ่งรู้ว่าเมืองเรา  ก็มีทหารหญิงด้วย  นึกว่าเจ้าหญิงรายา ทรงเป็นทหารหญิงคนเดียวเสียอีก  นึกยังไงถึงอยากเป็นทหารล่ะอีหนู  หน้าตาก็ดูดี งดงาม  มาเป็นทหารก็เลยดูขะมุกขะมอม หรือว่าเจ้าคือ.......เอ่อ....องค์หญิง  รายา...."  ผู้เฒ่าทำท่าสังเกตจ้องมองเธอ 
          " ไม่ใช่เจ้าหญิงรายาหรอกจ๊ะตา  นี่เมียฉันเอง  เราออกมาลาดตะเวนน่ะ เรามากันหลายคน  แต่เราถูกทหารป่ามันล้อมซุ่มยิงน่ะ  เกือบจะหนีเอาตัวกันไม่รอดแน่ะ "  เขาบอกปัดทันที  เกรงอันตรายจะเกิดกับองค์หญิงรายา  จากสถานการณ์รอบด้าน 
           ชายชรานั่งลงแล้วมองมาที่ผู้การสาว กล่าวออกมาว่าเมียเขาเป็นผู้หญิง  ที่เก่งกล้าเหลือเกิน  ที่ออกมาแนวชายแดนอย่างนี้  เพราะมีการปะทะกันทุกวัน  ที่นี่ก็ไม่ใช่จะปลอดภัย  พวกมันวนเวียนมาบ่อยๆ  มาขอเป็ดขอไก่ของพวกชาวบ้าน  เวลาที่พวกมันไม่มีอะไรจะกิน  ผู้เฒ่าทำท่ากังวลว่าทั้งสองคน  จะกลับยังไงกัน เพราะรู้ว่าคนเจ็บคงต้องการหมอ  หมู่บ้านนี้ก็มีแต่คนแก่  และก็เด็กๆเท่านั้น  หนุ่มสาวก็เข้าไปทำงาน  ในเหมืองพลอยกันหมด  จะหาใครมาช่วยก็ลำบาก  แกนั่งชันเข่าแล้วเล่าต่อว่า 
          ตั้งแต่องค์หญิงรายาเรียนจบ  กลับมาจากเมืองฝรั่ง ท่านก็เปิดเหมืองขุดหารายได้เข้าเมือง เห็นว่าจะให้ฝรั่งมาทำเหมืองใหญ่ มีเครื่องจักรทันสมัยเพื่อขุดลงไป  สำรวจได้ลึกๆ และมีเครื่องมือที่จะรู้ว่า  มีพลอยมีเพชรอยู่ตรงไหน  ซึ่งอาจจะได้พลอยได้เพชร  มากมายกว่าเหมืองขุดแบบเก่า  ท่านสร้างถนน สร้างโรงเรียนให้เด็กๆ ตามหัวเมืองและก็พยายามส่งเสริมอาชีพให้ราษฎร  ไม่งั้นป่านนี้ชาวบ้าน  คงก็ต้องไปทำงานกับพวกมันกันหมดแล้ว  เจ้าหญิงท่านเก่งเห็นว่าจะมาสร้างอ่างเก็บน้ำ  ไว้สำหรับเก็บน้ำ  ให้พวกชาวไร่ชาวนาอีก  และเอ่ยสั่งกับเขาว่า  ให้ไปบอกเจ้าหญิงด้วยว่าให้ท่านระวังตัว ชาวบ้านเป็นห่วงพระองค์ท่านมาก  แกอวยพรให้องค์หญิงรายา  โดยยกมือขึ้นพนมเหนือศีรษะ
          “  ขอให้พระเป็นเจ้าคุ้มครอง  ท่านด้วยเถอะ ท่านดีกับพวกเรามากเหลือเกิน  “ ผู้พันมองหน้าของผู้การสาวที่นิ่งฟังชายชรากล่าวนิดหนึ่ง เขาเห็นรอยยิ้มบางๆ และน้ำตาที่คลอคลองหน่วยตา  ด้วยความปิติ  ในความรักความภักดี  ที่ประชาชนมีต่อเธอ
          " จ๊ะฉันจะไปทูลท่านให้  เจ้าหญิงของตาท่านทรงดื้อนัก  ท่านชอบออกมานอกเมืองบ่อยๆ มารบกับพวกทหารป่าน่ะ   ไม่มีใครห้ามท่านได้เลย "  ผู้พันกล่าวกับชายชรา  และมองหน้าเธอยิ้มๆ
          " เจ้าหญิงทรงกล้าหาญเข้มแข็ง  และคงเพราะความห่วงใย  ประชาชนของท่านด้วยน่ะพ่อหนุ่ม  เขาว่ามีเจ้าเมืองไพลินยามาขอแต่งงาน  แต่ท่านไม่ยอมแต่งด้วย  เพราะห่วงราษฎรน่ะ  เขาว่าท่านทรงเกรงว่า  จะไม่มีเวลาให้กับราษฎรของท่าน  และเมื่อแต่งแล้ว  ท่านจะต้องไปอยู่ที่เมืองไพลินยา  ตามราชประเพณีด้วย  ท่านก็เลยไม่ยอมแต่งงาน ตาละสงสารเจ้าหญิงเหลือเกิน  จะรักใครหรือว่าแต่งงาน  มีลูกมีผัวก็ยังไม่กล้าเลย  แล้วเอ็งสองคนล่ะ  มีลูกมีเต้ากันหรือยัง ?  " ชายชรากล่าวสรรเสริญเจ้าหญิง  และหันมาถามผู้พันหนุ่ม
          " ยังจ๊ะตา เราสองคนต้องช่วยเจ้าหญิงน่ะจ๊ะ ถ้ามีลูกแล้ว จะมาได้ยังไงใช่มั้ยจ๊ะ  ที่รัก  " เขาก้มลงถามผู้การสาวยิ้มๆ ซึ่งทำให้เธอต้องกัดริมฝีปากนิดหนึ่ง  อย่างรู้สึกเขินอาย  แต่ก็จำต้องพยักหน้าน้อยๆ
         " เออ......ดีแล้ว เอ็งสองคน  ช่วยเจ้าหญิงไปก่อนก็ดีนะ แล้วนี่เอ็งจะพาเมียกลับบ้านยังไงกันล่ะ เอ็งจะต้องรีบพานังหนูเมียเอ็งมันไปหาหมอนะ  เลือดมันออกมากขนาดนี้น่ะ  เลือดมันจะหมดตัวเอา " 
         " ฉันคิดว่าสายๆ พวกของฉัน  ก็คงจะตามมาน่ะจ๊ะ  " 
         " เอ็งสองคนหลบอยู่ในนี้นะ  อย่าออกไป  ถ้าพวกทหารของเรามา ตาจะพามาที่นี่เองนะ ตาไปก่อนละ  ยังไม่ได้ให้ข้าวไก่เลย  " ตาเฒ่ากล่าวเบาๆ  แล้วลุกขึ้น กระย่องกระแย่ง  เดินลงเรือนไป เธอบอกเขาให้เรียกตาไว้  ให้อยู่ด้วยแต่เขาบอกกับเธอว่า
         “ ให้ตาไปเถอะครับ ขืนให้แกอยู่ และเริ่มสว่างแล้ว  ตาเกิดสงสัยหรือว่า  จำคุณได้ขึ้นมาจะยุ่ง “
         เขาประคองเธอให้นั่งพิงฝาบ้านไว้ เธอนั่งมองเขาที่สาละวนเก็บถ้วยเก็บชาม  และเริ่มหายามาให้เธอ  พร้อมกับขันน้ำ หยิบยาแก้ปวดลดไข้  เขาป้อนยาใส่ปากเธอ  พร้อมกับยกขันน้ำให้เธอดื่ม เธอกลืนยาลงคอ  แล้วถามโดยไม่มองหน้าเขา
          “ คุณทำไมต้องบอกตาว่า  ฉันเป็น  เอ่อ....เป็นเมียคุณ “
          เขายิ้มน้อยๆอย่างนึกขัน  บอกกับเธอยิ้มๆว่า  “ รายา.....ตาคงสงสัยอยู่เหมือนกันนะครับ  ผมกลัวตาจะจำคุณได้เสียด้วยสิ  เพราะสวาติติไม่มีทหารหญิงสักคน  ผมไม่ต้องการให้ใครรู้ว่า  คุณเป็นใคร  เรายังอยู่ในสถานการณ์  ที่อันตรายอย่างนี้  ผมไม่อยากเสี่ยงน่ะ คุณเป็นบุคคลสำคัญมาก  ของสวาติติ  ที่ผมต้องรักษาความปลอดภัย  ให้มากกว่าชีวิตของผมเอง  แต่ผมต้องขอโทษ  ที่พูดแบบนี้ ผมรู้ว่ามันคงไม่เหมาะ ไม่ควรนัก “ 
         " ฉันไม่ได้ว่าอะไรคุณนะคะ  ที่คุณบอกกับตาแบบนั้นน่ะ   แต่ฉันอยากทราบว่า  คุณไม่ไว้ใจตาหรือคะ ?  " 
         " เราไว้ใจใครไม่ได้ทั้งนั้นนะรายา  ตาเป็นพวกเราก็จริง  แต่ถ้าตาเผลอพูดอะไรออกไป   เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์  ก็จะไม่เป็นผลดีกับเรา  เรายังไม่อยู่ในสถานการณ์ ที่ปลอดภัย  และเราจะประมาทอะไรไม่ได้ นะครับ จนกว่าเราจะพ้นไปจากที่นี่เสียก่อน  แต่ผมคิดว่าทหารของผม  ต้องนำกำลังมาช่วยเราได้แน่ " 
         " ผู้พันคะ......ฉันอยากบอกอะไรคุณสักอย่างค่ะ  แต่ฉันเกรงว่าคุณจะไม่สบายใจ  สักเท่าไหร่ ฉันไม่ทราบว่าคุณจะคิดยังไง  กับเรื่องที่ฉันจะบอก  แต่ฉันต้องบอกค่ะ  ก่อนที่จะสายเกินไปและแก้ไขไม่ได้ "  เธอกล่าวเบาๆมองหน้าเขานิ่งๆ สีหน้าของนายพลสาวอิดโรย ซีดเซียวอย่างน่าเป็นห่วง
         " คุณบอกว่าเราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ  มีเรื่องอะไรก็บอกผมเถอะครับ "  ผู้พันหนุ่มมองผู้การสาวกล่าวถามเธอเบาๆ มองหน้าเธอนิ่งๆอย่างใคร่รู้
         “ เอ่อ....คือว่า “ 
         ก่อนที่เธอจะเอ่ยอะไรออกมา  เสียงรถยนต์และรองเท้าคอมแบททหาร  ที่ย่ำมาตามพื้นดิน  จากภายนอกกระท่อมก็ดังขึ้น  ผู้พันศรัณย์ประคองร่าง  ผู้การสาวให้นอนราบลงทันที  เขาคลานคืบไปที่ฝากระท่อม  ลุกขึ้นยืนพิงฝากระท่อมยกปืนขึ้นเตรียมพร้อม  เขามองรอดฝาขัดแตะออกไป  ก็เห็นตาเฒ่ากำลังเจรจา  อยู่กับบุคคลที่เขามองไม่เห็น  เพราะมีบ้านอีกหลังบังอยู่ 
         “ พวกเจ้าเป็นทหารของใครกัน  จะมาเอาอะไร  พวกเราไม่มีอะไรหรอก มีอาหารบ้าง อยากได้ก็เอาไป ไก่ก็มีอยู่สิบกว่าตัวนั่นเอาไปเลย  อย่าทำร้ายใคร ที่นี่มีแต่คนเฒ่าคนแก่  แล้วก็เด็กๆทั้งนั้น “ เสียงชายชราพูดกับบุคคลนั้น เหมือนอย่างที่แกพูดกับเขาเมื่อคืนนี้
         “ พวกฉันเป็นทหารของเมืองสวาติติน่ะ  เพื่อนของเราหนีทหารป่า  มาทางนี้ตั้งแต่เมื่อคืน พวกเราตามรอยเลือดมาจ๊ะ  ผู้เฒ่าเห็นทหารที่บาดเจ็บมาทางนี้  บ้างหรือเปล่าล่ะเรามาช่วยเขาน่ะจ๊ะ “ เสียงนั้นเขาจำได้แม่นยำว่า  เป็นเสียงของหมวดราเมน
         “ พวกท่านเป็นทหารเมืองแน่เหรอ “ ผู้เฒ่าถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก และมองทุกคนอย่างสำรวจ
         “ แน่สิจ๊ะพ่อเฒ่า เราเป็นทหาร  ในสมเด็จเจ้านาดิฟจริงๆจ๊ะ “ 
         “ งั้นก็ดีเลยจ๊ะพ่อ  เมื่อคืนนี้พวกทหารเมือง  สองคนผัวเมีย  มาพักอยู่ที่กระท่อมนั่น  เมียมันโดนยิงมาด้วยน่ะ พวกท่านต้องรีบพามันไปโรงพยาบาลรักษา เลือดมันออกมากเหลือเกิน มา....ตามข้ามา “ ผู้เฒ่าตอบแล้วชี้มือ มาที่กระท่อม รีบเดินงกๆ เงิ่นๆ พาทหารกลุ่มนั้นมาทันที 
           ผู้พันหนุ่มมองเห็นทหาร  ของสวาติติหลายสิบนาย  มีร้อยตรี ราเมน  เดินนำทหารตรงมา และเหล่าทหารอีกหลายนาย  ที่ติดตามมาเดินถือปืนระวังหลัง  และส่วนหนึ่งยังคงกระจายกำลัง  ไปรอบๆหมู่บ้าน  ชายชราเดินกระย่องกระแย่งตามหลังมา ผู้พันศรัณย์เห็นดังนั้นก็ดีใจ  รีบกลับมาประคองผู้การสาว  ที่ยังคงนอนราบอยู่กับพื้น  ตัวเธอร้อนจัดด้วยพิษไข้จากการอักเสบของบาดแผล  ที่เริ่มอักเสบมากขึ้น  เขาก้มลงช้อนตัวเธอขึ้น  ไว้ในวงแขนเขย่าเธอเบาๆนิดหนึ่ง
          " รายา  รายา  หมวดราเมนพาทหาร  มาช่วยเราแล้วลืมตาสิครับ "   
          หมวดราเมนและจ่าหวัง  เดินขึ้นมาบนกระท่อมแล้วเปิดประตู  เขาทั้งสองเห็นภาพที่ผู้พันศรัณย์  ประคองกอดผู้การสาวไว้ในอ้อมแขน  กำลังเรียกเธอเบาๆ 
         " ผู้พัน......ใครโดนยิงครับ  ผมตามรอยเลือดมา "  จ่าหวังถามด้วยสีหน้าตกใจ
         " ผู้การโดนยิงที่หัวไหล่  กระสุนถากไปเลือดก็ออกมาก ต้องรีบพาท่านไปโรงพยาบาล ตอนนี้แผลอักเสบมากไข้ขึ้นสูงด้วย  "  เขากล่าวกับหมวดราเมน และจ่าหวัง 
          หมวดราเมนมีสีหน้าตระหนกสุดขีด เมื่อรู้ว่าผู้ที่บาดเจ็บคือผู้บัญชาการของเขา เขา รีบเดินออกไป  แล้วตะโกนเรียกพลขับ  " ทหารเอารถมารับตรงนี้  ผู้การถูกยิง เร็ว...."  เขากล่าวอย่างร้อนรน  
          เสียงรถยนต์ติดเครื่อง  กระหึ่มรออยู่หน้ากระท่อม  ผู้พัน ศรัณย์ อุ้มผู้การสาวไว้ในวงแขน  และอุ้มเธอมาขึ้นรถ เขายังคงประคองเธอไว้ในวงแขน  ด้วยท่าทางทะนุถนอม เธอซบหน้าลงกับอกเขานิ่งเงียบ  ด้วยหมดสติลงไปอีกครั้ง จนกระทั่งถึงโรงพยาบาล  ที่โรงพยาบาลได้รับวิทยุแจ้งข่าว  การถูกยิงของผู้การสาว หมอเลนินและทุกคนในโรงพยาบาลต่างมารอคอยรับ  ด้วยสีหน้าวิตก เมื่อรถจอดสนิทที่หน้าโรงพยาบาล  เขาอุ้มเธอลงมาจากรถ  และวางเธอบนเตียงเข็น  หมอและพยาบาลวิ่งกันอย่างเร่งร้อน  พาเธอเข้าไปในห้องฉุกเฉิน  เขาก้าวยาวๆตามมาถึงเตียงในห้องฉุกเฉิน หมอเลนิน ขอให้เขาออกไปคอยข้างนอกก่อน และรูดม่านปิดพร้อมทั้งปิดประตูห้องฉุกเฉินทันที  ทำให้เขาจำเป็น ต้องเดินออกมาคอยข้างนอก 
          ผู้พันศรัณย์เดินกลับไป กลับมา อยู่หน้าห้องพยาบาลนั้นหลายตลบ ด้วยความรู้สึกที่มากกว่า  ความห่วงใยธรรมดาที่เขาก็ไม่เข้าใจตนเองนัก  แต่ก็ไม่อาจจะสลัดความรู้สึกนั้นลงได้  ในใจเฝ้าแต่ร่ำร้อง  แม่ดอกฟ้ารายาผู้สูงศักดิ์...อย่าเป็นอะไรไปมากกว่านี้เลยนะ  เท่าที่คุณเป็นอย่างนี้  ผมก็รู้สึกแย่จนบอกไม่ถูกแล้วละ  จ่าหวังที่นั่งรออยู่ด้วยนั้น  มองท่าทางของเจ้านาย  ที่ครุ่นคิดไม่พูดไม่จา หัวคิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากัน  และใช้มือทั้งสองข้าง  ล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกงและเดินกลับไปกลับมาของเขา  อย่างเริ่มเวียนหัว  จึงลุกเดินมาหาเขา  แล้วก้มลงกระซิบเบาๆ
         “ ผู้พันครับ.....ผู้พันจะเดินไปเดินมาทำไม ผู้การไม่ได้เข้าไปคลอดลูก  สักหน่อยจะได้รอลุ้น  “ สีหน้าผู้กล่าวนั้นยิ้มอย่างทะเล้น สายตามีแววล้อเลียน  และเหมือนกับจะหยั่งรู้ในความรู้สึก  ของผู้บังคับบัญชา
          เขาหยุดเดินทันที และหันมากล่าวด้วยเสียงรอดไรฟัน " ทะลึ่งแล้วจ่า เดี๋ยวโดนจนได้  " 
          แต่จ่าหวังทำเหมือนไม่ได้ยินคำขู่   ยังคงยั่วเย้าอย่างเดาเหตุการณ์  " ผู้พัน......ถามจริงๆเถอะ  เมื่อคืนนี้กอดผู้การคนสวยทั้งคืนเลยหรือครับ บอกหน่อย... "    
          " จ่า........เดี๋ยวกลับไปที่ห้อง  แล้วเจอของจริงแน่  ชักจะทะลึ่งขึ้นทุกวัน  ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ เดี๋ยวก็ไม่ได้กลับเมืองไทยหรอก  " เขาหันมาถลึงตาใส่ลูกน้อง  กล่าวอาฆาตมาดร้ายทันที
          จ่าหวังรู้ว่านี่คงไม่ใช่คำขู่เสียแล้ว เขาทำคอย่นตีสีหน้าแหยๆ " ไม่ถามแล้วครับ ผมไม่ถามแล้วครับผู้พัน "  แล้วรีบเผ่น แน่บออกมาข้างนอกทันที

          เกือบชั่วโมงผ่านไป หญิงชราผู้หนึ่งแต่งกายเรียบร้อย  แบบสตรีในวังเดินช้าๆเข้ามา  มีทหารเดินตามมาส่งเมื่อทหารเห็นว่าเขายืนอยู่  ก็ยืนตรงชิดเท้าและเดินกลับออกไป  ยืนอารักขาหน้าประตูทางเข้าตามเดิม หญิงผู้นั้นเดินเข้ามาถามเขาทันที      
          ” คุณทหาร......คุณรู้มั้ยว่า  องค์หญิงประทับรักษาพระองค์  อยู่ตรงไหนพาฉันไปหน่อยเถอะจ๊ะ  “ หญิงชราเงยหน้าขึ้นถามเขา แล้วใช้ผ้าซับน้ำตาสะอื้นน้อยๆ ด้วยสีหน้าที่เป็นทุกข์เหลือประมาณ
         เขาชี้มือไปที่ห้องฉุกเฉิน " ประทับอยู่ห้องนี้ครับ แต่ตอนนี้หมอยังไม่อนุญาตให้ใครเข้าไป  หมอกำลังถวายการรักษาอยู่ คงต้องรออีกสักครู่  เชิญนั่งรอตรงนี้ก่อนนะครับ "  พันเอกศรัณย์รีบเชื้อเชิญหญิงชรา  ให้นั่งลงที่เก้าอี๊ หน้าห้องฉุกเฉิน หญิงชรานั่งลงแล้ว  กล่าวรำพึงรำพันด้วยเสียงสั่นเครือ
          “ โธ่....ทูลกระหม่อมของปารอง  ทรงเจ็บมากแค่ไหนก็ไม่รู้ “ 
          เขานึกถึงคำที่เธอเพ้อเรียกชื่อปารอง ก็คงเป็นหญิงชราผู้นี้น่ะเอง เขามองความอาดูรของหญิงชรา  อย่างนึกสงสารจับใจ  แต่ก็ไม่รู้ว่าหญิงชราผู้นั้น  เป็นอะไรกับองค์หญิงรายา เขาเดินมานั่งลงข้างๆแล้วปลอบใจหญิงชราผู้นั้น
           " องค์หญิงไม่ทรงเป็นอะไรมากหรอกครับ กระสุนคงถากพระอังสาเป็นแผล และก็ทรงเสียพระโลหิตมากไปสักหน่อย  ตอนนี้ยังทรงไม่รู้สึกพระองค์ เดี๋ยวหมอคงจะออกมาบอก  ถึงพระอาการไม่ต้องร้องไห้นะครับทำใจดีๆ  "  ผู้พันศรัณย์อธิบาย  ให้หญิงชราทราบพระอาการพร้อมทั้งปลอบใจ
          " โถ....ฝ่าบาททำไม ถึงต้องเอาพระชนม์ชีพมาเสี่ยงอย่างนี้  ห้ามยังไงก็ไม่ทรงเชื่อ  " หญิงชรารำพันแล้วซับน้ำตาที่ร่วงรินลงอาบแก้มอย่างน่าสงสาร 
          พันเอกศรัณย์มองหญิงชรา เขาไม่แน่ใจในฐานะของหญิงชรานัก เขาจึงกล่าวขอโทษและกล่าวถามว่าเธอเป็นอะไรกับองค์หญิงรายา  หญิงชราตอบด้วยเสียงปนสะอื้นบอกกับเขา ว่าเธอเป็นพระพี่เลี้ยง ที่รับใช้ใกล้ชิด  อยู่กับพระองค์หญิง มาตั้งแต่พระองค์ท่านยังทรงพระเยาว์  หญิงท่านนั้นกล่าวย้อนถามเขาว่า  เขาอยู่สวาติติทำไมถึงไม่รู้จักเธอ  แล้วมองหน้าเขาอย่างสงสัย ทำให้เขาต้องตอบเธอด้วยรอยยิ้ม  ว่าเขาไม่ใช่คนสวาติติ เขาเป็นทหารที่มาจากเมืองไทย  และเมื่อวานเย็นนี้เขาไปช่วยองค์หญิง ออกมาจากวงล้อมทหารป่า  ขณะที่พระองค์ทรงต้องพระแสงปืน  และเขาได้พาพระองค์หญิงฝ่าวงล้อมทหารป่าออกไป เมื่อคืนนี้เขาก็พาพระองค์หลบหนีไปอาศัย  ชาวบ้านที่หมู่บ้านตรงชายแดน  จนมาเมื่อเช้าทหารก็ไปช่วยเขากับองค์หญิง กลับออกมาจากหมู่บ้านนั้น  หญิงชรามองหน้าคมสันของเขา  นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วถามขึ้นว่า
          “ ท่านช่วยพระชนม์ชีพของพระองค์หญิงไว้หรือจ๊ะ  ฉันขอขอบคุณท่านมากเหลือเกินจ๊ะ และเมื่อคืนคุณทหารกับองค์หญิง ไปพักอยู่ที่บ้านใครหรือจ๊ะ “  หญิงชรายกมือขึ้นไหว้ขอบคุณเขาและถาม
          เขารีบรับไหว้และกล่าวกับหญิงชราท่านนั้น “ ไม่เป็นไรหรอกครับ เป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว  แล้วที่ถามว่าไปค้างที่บ้านใครน่ะ ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน  เพราะว่าไม่ได้ถามชื่อเจ้าของบ้าน พอขึ้นไปแล้วตาเจ้าของบ้าน ก็ไปแกบอกว่าเป็นบ้านของลูกสาวแกเอง  และผมเองก็ไม่กล้าบอกแกว่า ท่านเป็นองค์หญิง  กลัวว่าจะไม่ปลอดภัยน่ะครับ “ เขาเล่าเสียงเรียบๆ
          หญิงชรามองหน้าเขาชะงัก มือที่ถือผ้าเช็ดหน้าค้างนิ่งก่อนจะถาม “ แล้วไม่มีใครอยู่ด้วยเลยหรือจ๊ะ เมื่อคืนนี้น่ะ “ 
          เขามองหน้าหญิงชรายิ้มๆ และนึกว่าหญิงชราพระพี่เลี้ยงขององค์หญิงนั้น  คงเป็นห่วงว่าเขาอาจจะทำการไม่สมควร หรือว่าฉวยโอกาสกับองค์หญิงของแก  ก็เลยถามเขาอย่างนี้  ซึ่งเขาก็รีบตอบให้แกสบายใจขึ้นทันที
           " ไม่มีหรอกครับ ก็มีแต่ผมกับองค์หญิงเท่านั้น พลทหารที่ตามไปด้วยก็ถูกยิงตาย  กลางทางน่ะครับ แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ  ผมปฏิบัติต่อพระองค์อย่างดีที่สุด ไม่คิดบังอาจล่วงเกินพระองค์หญิงหรอกครับ ผมรู้เรื่องที่ต่ำที่สูงดี "
          " โธ่......ฝ่าบาท  "  หญิงชรากล่าวเพียงเท่านั้น  แล้วสะอึกสะอื้นออกมาอีก 
          เขารู้ว่าความรู้สึกของหญิงชรา  คงนึกว่าองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ของเธอ  ต้องบาดเจ็บอย่างไม่สมควร ที่จะต้องเป็นไปขนาดนี้ เธอคงนึกสงสารเจ้านายอย่างสุดที่จะทนได้ เขามองหญิงชราที่ฟูมฟาย  และก็กล่าวปลอบใจอีกครั้ง
          " อย่าร้องไห้เลยนะครับ องค์หญิงไม่ทรงสาหัสมากหรอกนะ  พอหมอรักษาแล้ว  อีกไม่กี่วันก็ทรงพระเกษมสำราญแล้วละครับ "
            หญิงชราดูเหมือนจะไม่ได้ยินเสียง  หรือว่าสนใจคำปลอบโยนของเขาเลย เธอยกผ้าขึ้นปิดหน้าและร่ำไห้  ออกมาอีกโฮใหญ่ จนเขาเองต้องมองหญิงชราอย่างหมดปัญญา  ที่จะปลอบโยนอะไรอีก   
             

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×