คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : ตอนที่ 15 : คำถาม
“ได้ยินมาว่าคนสวยไม่สบายงั้นเหรอ!!หายดีหรือยังถึงได้มาวิ่งซนในโรงเรียนแบบนี้...”
ใครก็ได้ เอาปืนมายิงหมอนี่ทิ้งที - -+
“ซีซาร์ นายนี่ท่าจะเพี้ยนนะ”
ประโยคนั้นเซโร่เป็นคนพูดขึ้นมาหลังจากที่ซีซาร์ยังคงประสาทหลอนไม่เลิก ไม่รู้ว่ามีใครไปปล่อยข่าวอะไร แต่ดูเหมือนเรื่องที่ฉันป่วยจนต้องหยุดเรียนไปหนึ่งวันจะแพร่สะพัดไปทั่วโรงเรียนจนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่าคนอย่างฉันป่วยเป็นด้วยเหรอ หรือจริงๆแล้วไปรับจ้างฆ่าใครเลยไม่สามารถมาโรงเรียนได้ เหอะ! นี่หรืออนาคตของชาติ สงสารประเทศไทยจริงๆ
“เฮ้ ฟังที่ฉันพูดหน่อยได้มั้ย ฉันเป็นห่วงเธอนะ”
“ฉันต้องการเหรอ ซีซาร์ หยุดยุ่งกับฉันสักที!”
ฉันหยุดเดินเพราะเห็นว่ามันไร้ประโยชน์ที่จะเดินไปต่อทั้งๆที่ยังมีไอ้บ้านี่เดินตามก้นเป็นลูกหมาติดแม่แบบนี้ จริงๆแล้วฉันก็รำคาญมาก แต่ฉันก็ไม่อยากจะร้ายใครเพียงเพราะข้อหาน่ารำคาญหรอกนะ
ถึงจะอยากทำก็เหอะ
“นี่ ฉันไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงทุกคนแบบนี้หรอกนะ ฉันเป็นห่วงเธอ เพราะฉันชอบเธอ ฉันผิดตรงไหน”
คำพูดตรงๆของซีซาร์ทำเอาผู้คนรอบข้างตื่นตะลึงโดยพร้อมเพียงไม่เว้นแม้แต่เซโร่และโซลที่ก็พากันอ้าปากค้างอย่างลืมตัว ยังคงมีเพียงแค่ฉันที่ไม่ได้สนใจอะไรกับซีซาร์ที่ก็ยักไหล่อย่างไม่แคร์สายตาผู้คน
“ผิดตั้งแต่ที่นายคิดจะชอบฉันนั่นแหละ”
“แล้วยังไง มันห้ามได้ด้วยรึไงเล่า”
ซีซาร์พูดออกมาอย่างไม่สนใจใครเลยสักนิดแม้แต่คลีโอที่พึ่งจะเดินสวนกันไป พอยัยนั่นได้ยินแบบนั้น ก็หันมาจิกตามองฉันอย่างมาดร้ายสุดๆ และเมื่อเธอเลื่อนสายตาไปมองที่เขา...แววตาแสนเศร้าคู่สวยก็ทอแสงน้อยใจออกมา...
ผู้ชายนี่มันโง่เหมือนกันทั้งโลกเลยรึไงนะ
“นายจะพูดอะไรก็พูดไปเถอะซีซาร์ ฉันไม่สนใจหรอก ฉันไม่ได้ชอบนาย ชัดมั้ย?”
ซีซาร์ทำหน้าเหมือนไม่แปลกใจอะไร แถมยังยิ้มระรื่นอีกด้วย
“แค่ฉันชอบเธอก็พอแล้วนี่ ฉันไม่ได้หวังอะไรเท่าไหร่หรอกน่า แค่อยากมาอยู่ใกล้ๆอยากมาถามไถ่ อยากเป็นห่วง มันจะรบกวนอะไรเธอนักหนา”
“รบกวนฉันให้รำคาญน่ะมันไม่เท่าไหร่หรอก...”
“งั้นก็...”
“แต่รบกวนจิตใจของคนอื่นให้เจ็บช้ำเล่นน่ะ มันไม่ดีหรอก..ใช่มั้ย”
ซีซาร์เลิกคิ้วสูง สีหน้าฉายชัดว่าไม่เข้าใจในสิ่งที่ฉันพูด คนมันโง่ก็คงจะโง่ต่อไปอีกนาน
“นายมีตาที่ดีนี่นะ ซีซาร์ หันมองใกล้ๆตัวบ้างสิ”
“เธอหมายถึงอะไรเนี่ย”
“ฉันไม่อยากยุ่งกับนายแล้ว ไม่อยากเห็นดวงตาเศร้าๆนั่นแล้วด้วย”
ประโยคนั้นฉันเหลือบไปมองสาวสวยที่แอบฟังอยู่ข้างหลังเสา ทำตัวราวกับว่าไม่มีใครทันสังเกตว่าเธอยืนอยู่ตรงนั้น....
“เธอพูดถึงอะไรน่ะ”
“เลิกยุ่งกับฉัน แล้วเอาเวลาไปรักษาสิ่งสำคัญของนายดีกว่า ชัดเจนนะ”
ฉันเดินออกมาจากตรงนั้น โดยที่ซีซาร์ไม่ได้ตามมาอีก ดูท่าเขาคงจะตกผลึกความคิดได้สักหน่อยว่าต้องมีอะไรในความหมายของคำพูดฉัน แต่ก็นั่นแหละ ฉันไม่คาดหวังว่าเขาจะเข้าใจหรอก
“เธอนี่ใจแข็งจริงๆนะ มีหนุ่มหล่อขนาดนั้นมาจีบยังเล่นตัวอีก”
“ถ้านายชอบนักก็เอาไปสิ เอามั้ยล่ะ คราวนี้ฉันช่วยฟรีไม่คิดค่าจ้าง”
ฉันตอกกลับเซโร่ที่ทะลึ่งมาแซวอะไรไม่เข้าท่า ส่วนคนโดนตอกกลับยกมือขึ้นทำท่าเหมือนยอมความและเดินตามฉันมาเงียบๆก่อนจะทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นได้
“จริงสิ ว่าแต่เธอหายไข้แล้วแน่เหรอ”
คำถามนั้นแฝงมาด้วยความห่วงใยเต็มเปี่ยม และนั่นทำให้หัวใจของฉันแผลงฤทธิ์ขึ้นมาอีกครั้ง
“ไม่ต้องห่วงเพราะฉันหายดีจนสามารถชำระความพวกนายได้...อย่าง ‘เต็มเม็ดเต็มหน่วย’ เลยล่ะ”ฉันส่งยิ้มเยือกเย็นไปให้พร้อมกับตบบ่าเซโร่เบาๆเพื่อตอกย้ำว่าแค้นนี้เขาโดนชำระอย่างสาสมแน่ เซโร่กุมขมับเหมือนคนคิดไม่ตกว่าควรจะทำยังไง ฉันรู้ ครั้งนี้พวกเขาไม่ผิดหรอกที่ไม่ได้ไปรับและทำให้ฉันต้องติดแหงกอยู่บ้าน แต่เซโร่ผิดก็ตรงที่ มาทำหน้าตาเป็นห่วงทั้งๆที่ก็รู้ดีอยู่แล้วว่าฉันไม่ชอบให้ใครเป็นห่วง
“เธอนี่ กับเพื่อนกับฝูงไม่ต้องเจ้าคิดเจ้าแค้นนักก็ได้นะ = =”
“กับเพื่อนนี่แหละตัวดี ต้องจัดให้ถึงใจ”
เซโร่มองหน้าฉันด้วยสายตาเอือมระอาในขณะที่ฉันกลับหัวเราะหึหึ ทั้งๆที่ในใจกำลังเต้นระรัว ยิ่งพาลไปคิดถึงคำพูดของโซลที่บอกว่าเซโร่แทบคลั่งเมื่อได้ยินว่าฉันไม่สบาย อาการก็เหมือนจะฟ้องหนักขึ้นไปอีก เลิกคิด!อย่าทำให้ตัวเองหลงจากทางที่เลือกแล้ว ที่เขาห่วง เพราะเขามีเธอเป็นเพื่อน มันก็แค่นั้น
“ไข้เธอกลับรึเปล่าเนี่ยริช ทำไมหน้าแดงแบบนี้ล่ะ”
เสียงทักนั้นมาจากคนที่ฉันไม่คิดว่าวันนี้จะมาที่โรงเรียน โซลเดินหน้ายุ่งมาที่ฉันกับเซโร่ก่อนจะช้อนคางของฉันและใช้อีกมือวัดอุณหภูมิอย่างถือสิทธิ์ ไม่สนใจแม้สายตาแปลกใจของเซโร่และสายตาอยากรู้อยากเห็นของคนอื่นๆที่กำลังมองมา
“ฉันไม่ได้เป็นอะไร”
ฉันผลักไสมือคู่นั้นก่อนจะจ้องหน้าเขาอย่างไม่ชอบใจ โซลมองหน้าฉันเหมือนจะดุอะไรสักอย่างแต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นอมยิ้มน้อยๆจากนั้นเราสามคนก็เดินไปที่ห้องเรียนพร้อมกันเหมือนกับว่าเมื่อครู่นี้ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น
“ไม่ทำงานรึไง นายขอสอบล่วงหน้าไปก่อนแล้วนี่ จะมาอีกทำไม”
“งานฉันเสร็จแล้ว”
“ห๊ะ?!! เสร็จ คนอย่างนายมีวันที่มีคำนี้หลุดออกจากปากด้วยเหรอ”
เซโร่ถามพลางทำหน้าไม่เชื่อสุดชีวิตจนโซลที่กำลังหัวเราะต้องผลักหัวเขาเล่นด้วยความเอ็นดู(อย่างสุดแสน - -)
“ฉันมีเวลามาอยู่กับเพื่อนก็ดีแล้วไม่ใช่รึไงวะ แกนี่ พูดอะไรน่าเตะ”
“ตั้งแต่แกเปิดแบรนน์แกเคยมาว่างนานๆแบบครั้งนี้ที่ไหนกันเล่า”
เซโร่บ่นอุบอิบพร้อมกับจับมือของโซลแล้วดันมันออกไปให้ห่างจากหัวของตัวเอง
“ก็เมื่อก่อนมันยังไม่มีอะไรให้น่าเป็นห่วง แต่ตอนนี้มีแล้ว”
“หมายความว่าไง อะไรที่น่าเป็นห่วง”
โซลยิ้มร่าแทนคำตอบก่อนจะหันมามองหน้าฉันพร้อมกับรอยยิ้มนั้นที่ทำเอาความรู้สึกแปลกๆตีรวนขึ้นมาอีกแล้ว
“ยิ้มอะไรของนายไม่ทราบ”
“ก็นั่นน่ะสิ ทำไมฉันยิ้มกันนะ เธอไม่รู้รึไง”
“ประสาทน่ะโซล”
ฉันผลักมือของโซลที่ทำท่าจะเอื้อมมาบีบแก้มออกแล้วเดินเชิดหน้านิ่งให้ห่างออกมา โซลเลิกคิ้วสูงขึ้นมานิดนึงและเปลี่ยนมันให้กลับไปเป็นรอยยิ้มกวนบาทาอย่างเดิมในเวลาต่อมา วันนี้จะมาไม้ไหนนะ ให้ตายสิ - -
“เมื่อก่อนของสำคัญมันยังปลอดภัยเพราะฉันรู้ดีว่าไม่มีขโมย แต่พอดีช่วงนี้ขโมยมันชุก เลยต้องมาเฝ้าดูๆเอาไว้บ้าง ไม่งั้นจะเสียใจเอาทีหลัง”
“แกพูดอะไรของแกน่ะโซล = = แกซ่อนอะไรไว้ในโรงเรียนงั้นเหรอ”
เซโร่ที่ทำหน้าไร้เดียงสามองไปที่โซลอย่างงงๆในขณะที่คนถูกมองกลับมองมาทางฉันพร้อมรอยยิ้ม น่าแปลกเพราะแค่เห็นรอยยิ้มนั้นกลับทำให้ฉันร้อนวูบวาบ เหมือนๆจะร้อนตัวกลัวว่าของสำคัญที่เขาพูดถึงจะหมายถึง...
“เป็นอะไรไป จอมมาร”
“ฉันจะไปที่ห้องก่อนล่ะ พวกนายรีบตามมาแล้วกัน”
ฉันพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นแล้วหันหลังเดินจากมาอย่างไม่คิดจะเหลียวไปมองคนทั้งคู่ นี่ฉันเป็นอะไรไป ทำไมหัวใจดวงนี้ถึงได้สารเลวขนาดจะใจเต้นได้เพราะผู้ชายถึงสองคน...นี่มัน...น่าสมเพชจริงๆ
จอมมารวิ่งหนีหายไป ทันใดนั้นรอยยิ้มของโซลก็จางลงด้วยเช่นกัน ไม่ได้อยากจะเข้าข้างตัวเองหรอกว่าอาจจะมีหวัง แต่พอเห็นยัยนั่นเป็นแบบนี้ทีไรมันอดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้สักที เฮ้อ!! ตื่นๆๆๆ><!!! ตื่นได้แล้วโว้ย ไอ้โซลบ้า!!
“แกเป็นอะไรของแกวะ ทำหน้ายังกับปวดตับ”
“ไม่ได้เป็นอะไรหรอก ว่าแต่แกเถอะ ไม่ไปหาเทียนหอมรึไงวะ ปกติเห็นวิ่งแจ้นทุกที”
โซลถามเสียงติดตลกแต่แล้วกลับชะงักไปเมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อนสนิทกลับดูเหม่อลอยอย่างที่น้อยครั้งนักจะได้เห็น
“เฮ้ย เซโร่ เป็นอะไรรึเปล่า”
“หือ? อ๊ะ...ขอโทษ เมื่อกี้นายว่าอะไรนะ”
เซโร่กระพริบตาถี่ๆเหมือนกับว่าพึ่งจะรู้สึกตัวสีหน้าครุ่นคิดเมื่อครู่ของเซโร่สะกิดความรู้สึกบางอย่างของโซลให้รู้สึกแปลกๆและลังเลที่จะถามอะไรอีก
“ช่างเถอะ นายดูเพี้ยนๆไปนะ ไหวรึเปล่า “
“งั้นเหรอ...ฉันก็ว่าตัวเองแปลกๆไปเหมือนกัน”
เซโร่ส่งยิ้มแห้งๆให้กับเพื่อนทำท่าจะเดินผ่านไปแต่แล้วจู่ๆก็หันหลังกลับแล้วลากโซลให้เดินตามกันมา ความรู้สึกแปลกๆที่เขาเริ่มรู้สึก ไม่ว่ามันคืออะไร วันนี้เขาจะไม่ยอมให้มันกวนใจอีกต่อไป
“เดี๋ยวๆๆ มีอะไรวะ”
“ขอคุยด้วยหน่อย”
“รู้แล้วว่าอยากคุย แต่ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้!”
เซโร่ไม่สนใจฟัง มือที่จับมือเพื่อนกระชับแน่นก่อนจะรีบเพิ่มความเร็ว เพราะเขาต้องการพูดในวันนี้ก่อนที่สิ่งที่คิดจะเป็นจริงและเมื่อนั้นเขาอาจจะรู้สึกเสียใจไปตลอดชีวิตที่ไม่คิดถามซะตั้งแต่ตอนนี้...
...ดาดฟ้า...
“ทำไมนะทำไม เวลาจะคุยอะไรกันทีไรต้องมาที่นี่ทุกที”
“เพราะที่นี่ไม่มีใครกล้ามาขวางการคุยของเราไงล่ะ”
เซโร่พูดเสียงเรียบ เป็นความจริงที่ใครก็เถียงไม่ได้ว่าไม่มีใครกล้าย่างกรายเข้ามา ณ ที่นี่ด้วยก็รู้ดีว่าเป็นที่ที่จอมมารแห่ง st.sonata ชอบมาคลุกอยู่ และแน่นอนว่าไม่มีใครอยากจะมาร่วมแชร์พื้นที่ด้วยหรอก
“ขอนั่งพักก่อน อย่าเพิ่งพูดอะไรนะ”
“แกชอบริชเหรอ!”
โซลยังพูดประโยคนั้นไม่ทันจบเซโร่ที่พอตั้งหลักได้ก็สวนขึ้นมาแทบจะในเวลาเดียวกัน ความร้อนใจฉายชัดในแววตาและสีหน้าอย่างชัดเจน โซลถอนหายใจใหญ่เมื่อนึกถึงว่าไอ้เพื่อนคนนี้บทจะดื้อก็ไม่แพ้ใครเหมือนกัน
“บอกว่าขอพักก่อนไง พูดไม่รู้เรื่องอีกแล้วนะ”
“แกอย่ามัวแต่ลีลาน่า ตอบมา><!!”
“อย่ามาดื้อกับฉันนะ ไอ้บ้า บอกว่าขอพักก่อน ถ้าแกไม่อยากพักก็ยืนไป”
โซลว่าแล้วนั่งลง ถอนหายใจเข้าออกลึกๆ ก็คิดอยู่แล้วตั้งแต่ที่เซโร่บอกว่ามีเรื่องอยากจะพูดด้วย ล่ะว่าต้องเป็นคำถามนี้ จะไม่ถามได้ยังไง ในเมื่อเพื่อนคนสำคัญของเขาทั้งสองมีอาการแปลกๆโจ่งแจ้งขนาดนั้น ขนาดเขายังยังต้องห้ามใจไม่ให้คิดว่ายัยนั่นแปลกไปเพราะเขา แต่ก็อย่างว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอก
“ขอถามอีกครั้งว่าแกชอบริชเหรอ?”
“เออ!พอใจยังเนี่ย”
“0_0!!”
“บอกให้รอก่อนๆ ไอ้บ้านี่ ลากขึ้นมาบนนี้มันเหนื่อยนะโว้ย!!”
“หมายความว่าไงวะ”
“ก็เหนื่อยไง เข้าใจยากตรงไหนเนี่ย= =”
“ไม่ใช่...ที่ว่า...ชอบ...”
เซโร่ทวนคำพูดของเพื่อนอย่างติดขัด ไม่รู้ทำไมถึงได้คิดแบบนั้น ไม่รู้ทำไมถึงได้อยากถาม ถึงจะเผื่อใจเอาไว้แล้วว่าคำตอบมันน่าจะเป็นแบบนั้น แต่พอได้ฟังจริงๆมันกลับเจ็บแปลบอย่างบอกไม่ถูก
แต่ต้องรู้ให้แน่ว่าชอบที่ว่าน่ะหมายถึงชอบอย่างไหนกันแน่ บางที อาจจะแค่ชอบ ชอบเพราะเราเป็นเพื่อนกัน บางที...อาจจะแค่นั้นก็ได้
“ว่าไงล่ะ หมายความว่ายังไง”
“ชอบก็คือชอบ ความหมายก็ตรงตัวดีนี่นา มีอะไรไม่เข้าใจอีกเหรอ”
“ชอบแบบเพื่อนเหรอ”
“ไม่ใช่”
โซลย่นคิ้วพลางมองหน้าเพื่อนอย่างนึกเหนื่อยใจ จะโลกสวยไปถึงไหนไอ้เพื่อนแบ้วนี่ = =
“ชอบแบบพี่ชายกับน้องสาวเหรอ”
“ชอบแบบผู้ชายชอบผู้หญิง”
สายตาจริงจังที่ส่งไปพร้อมประโยคนั้น ทำให้ตาของเซโร่เบิกกว้าง นั่นทำให้โซลอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา ใบหน้าของเซโร่แสดงออกมาทุกอย่างในสิ่งที่เขารู้สึก แล้วมันก็อุตส่าห์ถามว่าชอบแบบพี่ชายน้องสาวอีก เด็กน้อยไปมั้ยวะ ไอ้เพื่อนคนนี้
“ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ก็นานพอๆกับใครบางคน...”หางเสียงที่แผ่วลงพร้อมสายตาที่จ้องไปยังคนตรงข้ามที่เริ่มทำหน้าร้อนตัว
“แล้วริชรู้...”
“รู้ ยัยนั่นรู้ทุกอย่างน่ะแหละ”
ทั้งโซลและเซโร่มองหน้ากันอย่างรู้ความหมายพร้อมทั้งทำหน้าหน่ายใจแล้วถอนหายใจออกมาพร้อมกัน เกิดมาเป็นผู้ชายข้างกายจอมมารนี่เหนื่อยจัง = =
“มีอีกเรื่องที่อยากจะถาม...”
“ไม่ได้คบกันเว้ย!”
อีกครั้งที่เซโร่ทำตาโตจนคนตอบอดที่จะหัวเราะไม่ได้ และคราวนี้ก็ไม่เก็บอาการด้วย
“แกรู้ได้ไงว่าฉันจะถามอะไร”
“หน้าผากแกเขียนติดไว้ตัวใหญ่เป้ง ‘อยากรู้จังริชคบกับโซลอ๊ะป่าว’ ”
“อะ...ไอ้บ้า!! ไม่มีโว้ย”
เซโร่เอามือบังหน้าผากพร้อมทำหน้าตาเลิกลัก ถึงปากจะพูดไปแบบนั้นแต่ในใจก็อดกลัวไม่ได้ว่ามันจะมีอะไรแสดงออกมาให้เพื่อนมันรู้จริงๆ
“แกไม่คิดว่าริชจะชอบแกจริงๆเหรอ”
คราวนี้เป็นโซลที่เงียบไป รอยยิ้มบางๆแต้มขึ้นที่มุมปากอย่างเศร้าสลด สายตาหม่นหมองถูกส่งไปยังคนถามที่ยังยืนค้างอยู่กับที่ ไม่รู้เพราะมันไม่เมื่อย หรือเพราะตกใจจนค้างอยู่ที่ท่านั้น
“มันไม่มีทางจะเป็นไปได้หรอก”
“จริงเหรอ”
“ก็เธอว่างั้นนี่”
“แต่ฉันไม่คิดแบบนั้นว่ะ ฉันว่า มันมีอะไรแปลกๆไป จริงๆมันก็แปลกมาสักพักแล้ว...”
เซโร่นั่งลงข้างๆโซลแล้วถอนหายใจ ถึงจะยังไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น แต่มันมีอะไรแปลกไปแน่ๆในระหว่างเพื่อนทั้งสองของเขา
แต่ก็นั่นแหละ ถึงจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ เขาก็ทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว ทุกอย่างมันสายเกินไปแล้ว ไม่ว่าจะยังมีโอกาสอยู่หรือไม่ สิ่งที่เขาแน่ใจคือ เขาต้องรักษาเส้นทางที่เขาได้เลือกเอาไว้ จะทำตามแต่ใจแล้วทำให้ผู้หญิงอีกคนเสียใจไม่ได้....ในเมื่อเขาเป็นคนเลือกเอง
“อะไรที่ว่าแปลก”
“แกไม่รู้จริงๆงั้นเหรอ”
“อย่ามาทำปากดี จะพูดไม่พูด เดี๋ยวตีปากเลย”
เซโร่หัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะส่งยิ้มให้กับคนที่ทำหน้าตาเฉยเหมือนกับว่าไม่สนใจอะไรทั้งๆที่มันรู้ดีกว่าใครทั้งนั้น เสียแต่มันเป็นพวกปากหนักชอบปกปิดแถมยังปากแข็งชนิดที่เอาไขควงมางัดยังไม่ออกเลย
“ฉันพูดไม่ได้หรอกว่ามันแปลกยังไง รู้แต่ว่ามันไม่เหมือนเดิม ไม่เหมือนเดิมมาสักพักแล้ว”
“ดูเหมือนแกจะฉลาดขึ้นมานิดหนึ่งแล้วนะ”
“หมายความว่าไง”
เสียงออดบอกว่าการสอบเริ่มขึ้นในวิชาแรก โซลลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจก่อนจะเดินไปที่ประตูทิ้งคนข้างหลังให้ทำหน้ายุ่งอย่างไม่เข้าใจ เมื่อกี้เขายังเป็นคนนำเกม แปบเดียวมันกลายเป็นคนนำซะแล้ว ให้ตายสิไอ้บ้านี่
“ก็หมายความว่าแกฉลาดพอจะรู้ว่ามันไม่เหมือนเดิม แต่ก็ยังฉลาดไม่พอที่จะรู้ว่าเพราะอะไรมันถึงแปลก”
ร่างสูงเดินกลับเข้าไปในตัวอาคารแล้วแต่เซโร่ก็ยังไม่ยอมขยับ เสียงหัวเราะเบาๆออกมาจากความขบขันตัวเอง หรือไม่ก็ขบขันเพื่อนของเขา...
“ก็ไอ้คนฉลาดๆอย่างแกมันปากแมวอย่างนี้น่ะสิ ฉันถึงไม่หายโง่สักที”
นึกๆแล้วก็ต้องยิ้มเศร้าๆให้ตัวเองแล้วก็ให้กับคนที่วิ่งหนีไปโน่นแล้ว ผู้ชายอย่างเขาทั้งสองคน เกิดมาพร้อมทุกอย่าง มีแต่ผู้หญิงต้องการ ต้องมาดิ้นตายเพราะผู้หญิง คนหนึ่งก็จะบ้าตายเพราะรักมากเกินไป อีกคนก็เสียใจแต่แสดงออกไม่ได้ แต่มีแค่อย่างเดียวที่พวกเขาอยากรู้...
....แล้วหัวใจของจอมมารล่ะ จะรู้สึกยังไง...
ถึงจะคิดไปแบบนั้นแต่พวกเขาย่อมรู้ดีว่า คนอย่างริชแบรนน์ ไม่มีทางเปิดใจให้ใคร ไม่มีทางรักใคร ไม่มีทางที่จะมีใครรู้ได้ถึงความลับหัวใจของจอมมาร
ความคิดเห็น