ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [WIN] Oh! Cupid Falls to My House {B.I.xTaehyun}

    ลำดับตอนที่ #3 : ☜ 03 : Brothers ➹ ☞

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 60
      0
      6 ธ.ค. 57

     


     

    “3”

    Brothers

     

     

     

     

     

    “อ้าวคุณ ตื่นแล้วหรอ?” ภาษาอังกฤษสำเนียงแปร่งๆถูกเปล่งออกมาด้วยเสียงทุ้มๆต่ำๆของผู้ชายชาวเอเชียแต่ผิวคล้ำกว่าคนที่ยืนอยู่ข้างเตียงนี่เกือบครึ่ง คนโดนทักเบือนสายตามองตามบุคคลนิรนามที่เดินเข้ามาใกล้เขาเรื่อยๆ ก่อนจะละความสนใจทั้งหมดแล้วหันมาดูดน้ำต่อ มินโฮที่เพิ่งเดินเข้ามาอดทำหน้างงไม่ได้ ในเมื่อคนป่วยไม่พูด ดังนั้นเขาเลยหันไปหาอีกคนแทน

     

     

    “แทฮยอน เขาฟื้นเมื่อไหร่น่ะ” จากภาษาอังกฤษก็เปลี่ยนไปเป็นอีกภาษาหนึ่งแต่น่าแปลกที่ไม่ว่าทั้งคู่จะคุยกันด้วยภาษาอะไร บีไอก็เข้าใจไปได้ซะหมด แปลกจัง แต่ว่า... อ่า... ชื่อแทฮยอน เขาชื่อแทฮยอนล่ะ

     

     

    “เมื่อกี้นี้เองฮยอง เห็นเค้ามองอยู่นาน คิดว่าน่าจะหิวน้ำเลยหาน้ำมาให้”

     

     

    “อืม”

     

     

    สิ้นสุดการต่อบทสนทนาเพียงแค่นั้นเมื่อมินโฮเผลอสบเข้ากับสายตาแสดงความสนใจของคนที่นอนไม่สบายอยู่บนเตียงทันที แบบนั้นซงมินโฮถึงได้เดินเข้าไปหาคนป่วยใกล้ๆอีกครั้งแล้วเริ่มสอบประวัติ

     

     

    “ผมชื่อซงมินโฮ เห็นคุณเป็นลมอยู่กลางถนนเลยพามาโรงพยาบาล แต่ตอนนี้ดูเหมือนคุณจะไม่เป็นไรแล้ว โล่งอกไปที” คนพูดพูดพร้อมกับยกมือขึ้นทาบที่อกตัวเองแล้วพ่นลมหายใจอกมา รอยยิ้มมุมปากน้อยๆถูกส่งมาให้พร้อมกับรอยยิ้มของแทฮยอนที่ผุดขึ้นมาเมื่อเห็นซงมินโฮยิ้มแบบนั้น

     

     

    พอเห็นแบบนั้น มันก็รู้สึกงุ่นง่านในใจแปลกๆจนต้องขมวดคิ้วออกมา

     

     

    “คุณ... เจ็บตรงไหนรึปล่า?” มินโฮถามขึ้นเมื่อเห็นคนป่วยขมวดคิ้ว เหมือนว่าจะมีปัญหา...รึเปล่านะ? พอโดนถามอย่างนั้น บีไอถึงได้ตวัดสายตามองไปทางคนถามแล้วเลิกคิ้วขึ้นเหมือนคิดอะไรได้ก่อนนิ้วใหญ่จะชี้ไปที่มินโฮ

     

     

    “คุณ....มินโฮ” น้ำเสียงแหบๆเพราะไม่ได้พูดแถมน้ำเสียงก็ยังแปร่งๆดังขึ้น เจ้าของชื่อเลิกคิ้วอย่างให้ความสนใจ สายตาของคนสองคนในห้องจับจ้องไปยังคนป่วยหน้าซีดที่จ้องเขม็งมาที่มินโฮ

     

     

    “ครับ?”

     

     

    “มินโฮ...”

     

     

    อยู่ๆสายตาใสๆเซียวๆของบีไอก็เปลี่ยนไป มีรอยขุ่นมัวเกิดขึ้นในดวงตาโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น เหมือนมีพายุขนาดย่อมก่อขึ้นข้างในนั้น และถ้าจะมองให้ลึกเข้าไปอีก จะเห็นว่ายพายุหมุนอย่างบ้าคลั่งในดวงตาคมคู่นั้นของเขา...มีคิวปิดบ๊อบบี้ยืนจ้องกลับมาอยู่ในนั้น

     

     

    “คุณ...” ดวงตาคมเลือนลอยไปชั่วขณะ ก่อนที่คำพูดทั้งหมดจะถูกเปล่งออกมาตามความตั้งใจของเจ้าของพายุหมุนในดวงตาคนนั้น “...ต้องรับผิดชอบ”

     

     

    “เฮ้ย!

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ก็เลยกลายเป็นว่าคนป่วยที่ไม่รู้แม้แต่ชื่อแซ่ของตัวเองกำลังยืนทำหน้าเนือยๆให้กับประตูห้องบานใหญ่ตรงหน้าเหมือนสติยังมาไม่เต็ม

     

     

                ไม่รู้ว่าคำว่า คุณต้องรับผิดชอบ มันโผล่มาจากไหน รู้ตัวอีกทีเขาก็พูดมันไปแล้ว แล้วพอพูดอย่างนั้นออกไปแล้ว ก็ตามมาด้วยข้อซักถามบวกกับการซักไซ้จากเจ้าของชื่อมินโฮอีกยกใหญ่ว่าทำไมเขาต้องเป็นคนรับผิดชอบ ทั้งๆที่ไม่ได้ทำอะไรผิด ก็แค่ผ่านมาเห็นแล้วก็ช่วยเหลือเท่านั้น

     

     

                ในขณะที่บีไอกำลังจนตรอก ข้างหลังของคนสองคนในห้องที่พยายามเถียงสุดใจขาดดิ้นว่าไม่ได้ผิดอะไรทำไมต้องรับผิดชอบก็มีร่างโปร่งๆร่างหนึ่งปรากฏขึ้น จากจางๆก็เริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ ตอนแรกบีไอก็รู้สึกงงๆกับสถานการณ์ในตอนนี้ แต่พอเห็นเงาจางๆของคนที่ยิ้มทะเล่นอยู่ด้านหลังมินโฮกับแทฮยอน มันก็รู้สึกคุ้นเคยขึ้นมา

     

     

    ไม่รู้ทำอีท่าไหนถึงได้พูดตามที่คนโปร่งๆนั่นบอกจนได้ติดสอบห้อยตามเขากลับมาที่โรงแรมกันด้วย แถมคนพามาทั้งสองคนยังทำหน้าบึ้งสุดๆ คนที่บึ้งสุดขีดก็คงหนีไปพ้นแทฮยอนคนนั้นนั่นแหละ

     

     

    มินโฮกำลังกดรหัสเข้าห้อง ในขณะที่แทฮยอนหันมามองแล้วขมวดคิ้วใส่บีไอเป็นพักๆ และน่าแปลกมากที่คนทั้งสองคนไม่มีใครมองเห็นไอ้คนโปร่งๆที่บอกว่าชื่อบ๊อบบี้ที่ยืนพิงผนังยิ้มแฉ่งมาให้เขาคนนี้เลย ไอ้บ๊อบบี้อะไรนั่นโฟ่มาตลอดทางว่ามันน่ะเป็นคิวปิด เป็นเทพแห่งความรัก และเขาเองก็ชื่อบีไอ เป็นคิวปิดเหมือนมัน แต่พลาดท่าเสียทีไปโดนศรรักปักอกเข้า สุดท้ายก็เลยกลายมาเป็นคนอย่างที่เห็น แต่คงเพราะระดับคิวปิดของเขามันสูงกว่าเพื่อนร่วมชั้นเดียวกัน ก็เลยยังมองเห็นมัน แถมยังได้ยินมันพูดอีกด้วย

     

     

    บ๊อบบี้มันก็ไม่รู้หรอกนะว่าเวลาคิวปิดกลายเป็นคนแล้วฟั่งก์ชั่นอะไรมันจะหดหายไปบ้าง แต่ที่แน่ๆจากการแว้บไปถามเพื่อนร่วมชั้นเด็กดีตนหนึ่งทำให้ได้รู้ว่าคร่าวๆว่า น่าจะสื่อสารกับคิวปิดไม่ได้แล้ว เพราะอยู่คนละโลก คนละสถานะ แถมความถี่ก็ยังไม่เหมือนกัน แต่ที่บีไอยังมองเห็นแล้วได้ยินเขาพูด แสดงว่ามันก็เก๋าน่าดู

     

     

    “เออ... ละทีนี้ก็ต้องตามหาเจ้าของศรรักปักอกนายจากคนๆนี้ไง” แล้วบ๊อบบี้ก็ชี้นิ้วไปยังต้นเหตุความผิดพลาดทั้งหมดที่ยืนกดรหัสผิดแล้วผิดอีกไม่ได้ซักทียิ้มๆ บีไอไม่ได้ตอบอะไรไปเพราะถ้าเป็นอย่างที่บ๊อบบี้ว่าจริงคือไม่มีใครเห็นมันนอกจากเขาคนเดียว ก็พูดอะไรออกมาทั้งๆที่ไม่มีใครถามอะไรก็ดูออกจะเพี้ยนไปหน่อย

     

     

    “เพราะว่าศรรักน่ะมันเป็นของคนนี้ แต่ดันผ่ามาอยู่ที่นาย แล้วทีนี้มันมีกฎของความรักว่า รักมันจะเกิดเมื่อเจอ ก็แสดงว่าคนที่คู่กับหมอนี่จะต้องมาเจอหมอนี่แน่ๆ แต่ไม่รู้จะว่าเจอกันแบบไหน เพราะฉะนั้นเราต้องอยู่ใกล้ๆคนคนนี้เอาไว้ พอเจอคนที่ใช่ ศรรักในอกนายมันจะเรียกร้องหาเอง”

     

     

    ถึงจะฟังดูเป็นเรื่องบ้าบอ แต่เขาก็รู้สึกคุ้นเคยกับมันอย่างแปลกประหลาด เพราะแบบนั้นถึงได้ไม่ได้ท้วงอะไรไป หรือบางทีเขาจะเป็นคิวปิดที่เชื่ออะไรง่ายๆกันนะ?

     

     

    “เฮ้... เข้าไปสิ” เจ้าของใบหน้าสวยๆเดินเข้ามาใกล้พลางสะกิดให้เขาเดินเข้าไปข้างใน

    บีไอเดินตามหลังมินโฮเข้าไปและตามมาด้วยแทฮยอนที่ยังคงมีสีหน้าไม่ค่อยพอใจปนสงสัยกับความไม่ชัดเจนของอะไรบางอย่างที่ย้ำเตือนถี่ยิบมาตั้งแต่คนที่เดินนำหน้าบอกให้พี่รหัสของเขารับผิดชอบ ชื่อแซ่อะไรก็จำไม่ได้ แล้วรู้ได้ไงว่าใครต้องเป็นคนรับผิดชอบ...คือหนึ่งในคำถามที่เขาสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามออกไปเพราะมินโฮก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยเดือดร้อนอะไรเท่าไหร่นัก ซึ่งมันไม่ดีเลย!

     

     

    แล้วมันจะไปมีประโยชน์อะไรในเมื่อเขายอมขอแม่มาตามมินโฮฮยองก็เพื่อจะได้อยู่ด้วยกันสองคน แต่กลับกลายเป็นว่ายังไม่ทันจะได้ทำอะไรให้มันได้ดั่งใจก็ต้องรีบกลับเกาหลีแล้วแถมยัง... ยังมาตัวขัดความสุขเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย!

     

     

    บีไอแทบจะหมุนรอบตัวเพื่อสำรวจพื้นที่โล่งกว้างในห้องใหญ่ที่เต็มไปด้วยชั้นหนังสือสูงจนเกือบจรดเพดานในห้องทรงกลม อย่าว่าแต่บีไอเลย บ๊อบบี้เองก็ถึงกับอ้าปากค้างแล้วหันไปมองหน้ามินโฮอีกครั้งอย่างไม่อยากจะเชื่อ

     

     

    “หน้าเหมือนจะไม่ใช่ลูกคนรวยนะ” บ๊อบบี้ว่าอย่างนั้นแล้วทั้งคิวปิดกับบีไอก็ดันหันมองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมาย คำพูดเมื่อกี้ทำให้บีไออดสำลักออกไม่ได้เมื่อมันขำแต่เขากลับต้องพยายามกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ แบบนั้นมินโฮเลยรีบเดินเข้ามาหาคนเพิ่งหายป่วยแล้วทำหน้าตกใจ

     

     

    “เป็นอะไรรึเปล่า?” น้ำเสียงต่ำๆที่ถามมาพร้อมกับแววตาที่ดูเป็นห่วงอย่างจริงใจทำให้บีไอต้องยิ่งพยายามเก็บสีหน้าให้เป็นปกติ ทั้งๆที่คำพูดต่อมาของบ๊อบบี้มันจี้เส้นจะแย่ “หน้าตาก็ไม่ได้ดูฉลาดขนาดนั้นนะ แต่หนังสือกองเป็นกะตั๊กเลยเว้ยเฮ้ย”

     

     

    บีไอส่ายหน้าเบาๆแล้วเริ่มออกเดินสำรวจห้องกว้างๆห้องนี้ เหมือมันจะเป็นกึ่งห้องทำงาน ห้องรับแขกและห้องสมุดขนาดเขื่องรวมกันอยู่ในห้องเดียว โต๊ะตัวยาวที่มีหนังสือหลายสิบเล่มเปิดอ้าค้างไว้บวกกับโน้ตที่ทำเครื่องหมายไว้เกือบทุกหน้าแถมลามมาติดถึงโต๊ะนั่นทำให้คิวปิดทั้งสองอดยอมรับในใจไม่ได้ “ไอ้นี่มันของจริงเลยนี่หว่า” บ๊อบบี้ว่าอย่างนั้น

     

     

    ก็คงจะมีแต่แทฮยอนที่ยังทำหน้ายึ้งแล้วแอบกระแทกส้นเท้าหน่อยๆเวลาเดินก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตัวหนาแรงๆอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะมองมินโฮที่เอาแต่สนใจคนแปลกหน้าและหน้าตาก็แปลกๆด้วย

     

     

    มันก็ใช่หรอกที่มินโฮน่ะไม่ได้คิดอะไรกับแทฮยอนเลยนอกจากน้องรหัสที่น่ารัก แต่สำหรับเขามันไม่ใช่นี่ มินโฮฮยองน่ะเป็นอะไรที่มากกว่านั้น เขาเองก็อธิบายความรู้สึกที่มีต่ออีกฝ่ายไม่ออกเหมือนกันว่ามันยังไงกันแน่ แต่ที่แน่ๆคือไม่ชอบใจเลยซักนิดที่มินโฮจะสนใจใครมากกว่าตัวเขา

     

     

    ถึงไม่มีสิทธิ์อะไรในตัวมินโฮ แต่แทฮยอนก็อยากจะหวงเอาไว้ ไม่เคยเจอใครที่รู้สึกว่าอยากอยู่ใกล้ๆและอยากให้อยู่ใกล้มากเท่านี้มาก่อนเลย แบบนั้นก็เลย....ขอมินโฮตามมาที่นี่ด้วยโดยอ้างว่าจะมาหาแรงบันดาลใจและข้อมูลทำงานวิจัยเรื่องใหม่ส่งอาจารย์เหมือนกัน แล้วคิดหรอว่าพี่รหัสแสนใจดีจะปฏิเสธ แผนที่ว่าจะได้อยู่กับมินโฮตลอดเวลาสองต่อสองมันก็เลยทอประกายวิบวับระยิบระยับล่อตาล่อใจซะจนลืมนึกไปถึงความเป็นจริงเลยว่ามินโฮต้องหัวหมุนขนาดไหนเพราะงานวิจัยของตัวเองยังต้องการข้อมูลและหลักฐานอีกเยอะ ไอ้เวลาที่จะได้อยู่ด้วยกันมันก็เลยกลายเป็นเวลาที่มินโฮเอาแต่หมกตัวอยู่กับงาน หนังสือ ห้องสมุด ห้องแล็ปและเพื่อนนักวิจัย ส่วนแทฮยอนก็ออกไปเดินเที่ยวดูนกชมไม้ตามประสา เรื่องช้อปปิ้งน่ะมีบ้างตามประสาคนพอมีพอกินแต่ไม่เหลือเฟือมากเท่าพี่รหัสตนเอง

     

     

    ทีนี้พองานมินโฮมันเริ่มจะเข้าที่ก็เลยเหลือเวลาอยู่ที่นี่อีกแค่วันเดียว แล้วดูวันเดียวที่เหลือสิ! วันเดียวที่จะได้อยู่กับมินโฮฮยองเต็มที่ดันกลายไปเป็นของคนแปลกหน้าที่ไหนก็ไม่รู้ที่ดันมาบอกให้รุ่นพี่ของเขารับผิดชอบ! มันน่าหงุดหงิดมั้ยเล่า!!?

     

     

    “คุณบอกว่าจำชื่อตัวเองไม่ได้ จะเป็นไรมั้ยว่าผมจะขอเรียกคุณด้วยชื่อเกาหลี” อยู่ๆมินโฮก็พูขึ้นมาพร้อมกับค้นหาหนังสือที่ต้องการไปด้วย บ๊อบบี้ยิ้มแฉ่งแล้วตบไหล่บีไอแรงๆแต่กลายเป็นว่าเจ้าตัวเกือบหน้าคว่ำเพราะมือมันดันทะลุผ่านร่างอีกคนไปได้ง่ายๆ ลืมไปซะสนิทเลยว่านอกจากมองเห็นกับได้ยินแล้วบ๊อบบี้กับบีไอก็ปฏิสัมพันธ์กันทางอื่นๆไม่ได้อีกแล้ว

     

     

    บีไอขมวดคิ้วมองไปยังคนที่ยังคงง่วนอยู่กับการหาหนังสืออยู่ที่ชั้นหนังสือชั้นล่างสุด จนสุดท้ายอีกฝ่ายก็เจอของที่อยากได้ มินโฮหยิบหนังสือเล่มหน้ามาวางปังลงบนโต๊ะก่อนจะใช้นิ้วโป้งแตะเบาๆที่ลิ้นตัวเองแล้วเริ่มต้นเปิดหน้าหนังสือ

     

     

    “หนังสือชื่อแบบเกาหลีน่ะ ผมชอบตั้งชื่อ ผมตั้งชื่อให้ทุกอย่างแหละ น่าสนุกดีนะว่ามั้ย” บีไอไม่รู้ว่ามันจะน่าสนุกตรงไหน ถ้าเกิดว่าคนคนนี้เกิดตั้งชื่อพิเรนทร์ๆให้เขาล่ะ?

     

     

    “อันที่จริงชื่อเกาหลีน่ะแค่ออกเสียงแล้วเพราะก็เอามาตั้งเป็นชื่อได้แล้ว เราไม่ค่อยดูความหมายของมันเท่าไหร่ ผมหมายถึง...ถ้าไม่ใช่พวกคำแย่ๆที่รู้กันอยู่แล้วอ่ะนะ ปกติผมก็เลยตั้งชื่อตามใจชอบ อย่างโต๊ะตัวนี้ก็มีชื่อว่า บ๊อกซู” อย่าว่าแต่บีไอและบ๊อบบี้ที่เลิกคิ้วขึ้น แม้แต่แทฮยอนยังอดผูกปมที่คิ้วไม่ได้ มินโฮหัวเราะออกมาแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

     

     

    “มันไม่มีความหายหรอกหรืออาจจะมีแต่ผมแค่ชอบน่ะ แค่รู้สึกว่าน่าจะชื่อนี้”

     

     

    “เกิดเขาดันตั้งชื่อนายว่าก้อนขี้หมาขึ้นมานี่ล้อยันลูกโตเป็นหนุ่มเลยนะ” บ๊อบบี้พูดพลางกลั้วหัวเราะจนตาหยี แต่บีไอไม่ขำด้วย ก็ถ้าเกิดว่าเขาดันชื่อก้อนขี้หมาขึ้นมาจริงๆล่ะ? ถ้าเกิดคนตั้งชื่อให้เหตุผลว่าน่าจะใช้ชื่อนี้ ก็แสดงว่าเวลามองหน้าเขาเหมือนกำลังมองก้อนขี้หมางั้นหรอ?

     

     

    “แต่ไว้ใจเถอะน่า รอบนี้ผมจะดูความหมายให้ด้วยเพราะงั้นไม่ต้องกังวลไป” ดูเหมือนว่ามินโฮจะอ่านใจคนไม่มีชื่อได้ว่ากำลังกังวลกับสกิลการตั้งชื่อของเขา เลยต้องมีการชี้แจงกันซักหน่อย

     

     

    “ผมขอชื่อที่มันฟังดูหล่อๆรวยๆหน่อยแล้วกัน” บีไอตะครุบปิดปากตัวเองแทบไม่ทันเมื่อปากมันดันขยับพูดไปเองตามใจไอ้คิวปิดที่ยืนหัวเราะตัวงอตาหยีอยู่ข้างๆ มินโฮทำตาโตแล้วอดพูดกลั้วหัวเราะขึ้นมาไม่ได้

     

     

    “ชีวอนมั้ยครับหล่อๆรวยๆ” คราวนี้แม้แต่แทฮยอนที่กำลังจะเปิดหนังสืออ่านยังกลั้นเสียงหัวเราะไว้ไม่ไหว

     

     

    “พุ๊ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! ชีวอนน!

     

     

    บ๊อบบี้เองก็หัวเราะเอาเป็นเอาตายถึงขั้นลงไปนอนกลิ้งลงกับพื้นแล้วด้วยซ้ำ บีไอถลึงตาให้แล้วขยับปากไร้เสียงถามว่ารู้รึไงว่าชีวอนมันหมายความว่าไง คำตอบที่ได้กลับมาคือการส่ายหน้าและการหัวเราะต่อไป

     

     

    เห็นเขาหัวเราะก็เลยหัวเราะด้วย บ๊อบบี้ว่าอย่างนั้น

     

     

    “ล้อเล่นน่ะครับ ชื่อชีวอนน่ะไม่เหมาะกับคุณหรอก ลองชื่อนี้เป็นไง... ฮันบิน?”  น้ำเสียงท้ายประโยคสูงขึ้นเมื่อเป็นคำถาม มินโฮเหลือบตามามองปฏิกิริยาของเจ้าของชื่อที่เขาตั้งให้ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังนิ่งเหมือนกำลังคิดก็เลยรีบอธิบายต่อ

     

     

    “ผมชอบคำว่า ฮันที่แปลว่า หนึ่ง ก็เลยมองหาแต่ตัวฮัน ถึงฮันบินจะเป็นชื่อง่ายๆที่คนเกาหลีมักจะเอามาตั้งชื่อลูกชาย แต่ผมว่ามันพิเศษพอมาอยู่กับคุณนะครับ พอมองหน้าคุณแล้วพูดคำว่าฮันบินดันทำให้ผมนึกถึงพวกนายพลทหาร แม่ทัพ อะไรเทือกนั้น ไม่รู้เหมือกนันว่าทำไม แต่ผมก้มักจะเป็นแบบนี้” มินโฮพูดไปยิ้มไป “ส่วนความหมาย... ผมว่ามันดีนะ มีโลกส่วนตัวแต่ก็ยังเป็นมิตร ใจดีและเข้าถึงได้ (http://www.kabalarians.com/Male/han-bin.htm) เหมาะกับคุณดี คิดว่าไงครับ?”

     

     

    “เฮ้ยมันก็ดีนะ แต่มันออกจะบ้านๆไปหน่อยป่ะเพื่อน?” บ๊อบบี้ลูบปลายคางอย่างครุ่นคิดด้วยท่าที่พวกนักปราชญ์ยุคโรมันชอบทำกัน

     

     

    แทนที่จะคิดมากบีไอกลับทำเพียงยักไหล่แล้วเดินไปนั่งที่อาร์มแชร์ตัวใหญ่ข้างโซฟาที่แทฮยอนนั่งแทน “อะไรก็ได้ ขอบคุณมาก” มินโฮยิ้มกว้างแล้วย้ำอีกครั้งว่าต่อจากนี้ไปเขาและคนอื่นๆจะเรียกบีไอว่า ฮันบิน แทนชื่อจริงที่หายไปในความทรงจำ

     

     

    “ว่าแต่...เราจะเอายังไงกับคุณคนนี้ดีล่ะฮยอง พรุ่งนี้เราต้องกลับกันแล้วนะ” นั่นเป็นคำถามที่ทำให้มินโฮตาโตอีกรอบก่อนจะอ้าปากร้องเบาๆออกมาว่า เอออออออออออเหมือนเพิ่งจะนึกขึ้นได้

     

     

    บ๊อบบี้เองก็เริ่มออกโรงกำกับทิศทางชีวิตใหม่ให้กับบีไออีกครั้งเหมือนกัน

     

     

    “ผมไปด้วย” บีไอว่าอย่างนั้น ตามที่บ๊อบบี้บอกมาว่าต้องเกาะติดผู้ชายคนนี้เอาไว้ เพื่อตามหาเข้าของลูกศรเงินที่ปักอยู่ในอกตอนนี้

     

     

    แทฮยอนถลึงตามองคนพูดทันทีแล้วออกปากพูดแทนพี่รหัส “จะไปด้วยได้ไง ถ้าเกิดครอบครัวคุณกำลังตามหาคุณอยู่ล่ะ?”

     

     

    “ไม่มีหรอก” บีไอพูดขึ้นมา ทั้งแทฮยอนและมินโฮต่างก็ทำหน้างง แบบนั้นเขาก็เลยต้องรีบแก้ตัวอย่างเร่งด่วน “ไม่น่าจะมี...” บีไอมองไปทางมินโฮ “...ผมรู้สึกอย่างนั้น”

     

     

    นัมแทฮยอนกำลังจะอ้าปากเถียงว่ารู้ได้ไงในเมื่อตัวเองความจำเสื่อม บีไอก็รีบพูดแทรกขึ้นมาตามคำบอกของบ๊อบบี้ “...ผมรู้สึกว่าผมตัวคนเดียว โดดเดี่ยว เหงา ถึงผมจะจำอะไรไม่ได้ก็เถอะนะ แต่ความรู้สึกมันไม่ใช่อะไรที่จะลบกันไปได้ง่ายๆ ผมรู้สึกแบบนั้น และมันอาจจะเป็นมานานแล้วด้วย”

     

     

    “โห...โคตรเศร้าเลย” มินโฮว่าอย่างนั้นพลางทรุดตัวลงนั่งเอามือเท้าคางทั้งสองข้างอย่างตั้งใจฟัง คิ้วเข้มๆลู่ตกหน่อยๆเพราะอารมณ์กำลังรันทดตามคนเล่า

     

     

    “ในเมื่อคุณตั้งชื่อให้ผม จ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ผม ก็ช่วยผมอีกซักครั้ง... ได้มั้ยครับ?”

     

     

    “..............”

     

     

    “ช่วยมาเป็นครอบครัวให้ผมหน่อย...”

     

     

    “ไม่ได้นะ” เสียงนี้ของแทฮยอนพร้อมด้วยคิ้วที่ตกจนแทบจะไหลลงพื้น มินโอยังคงทำหน้าอินไปกับคำพูดต่างๆของบีไอ

     

     

    “...ได้มั้ย?” ไม่รู้ว่าเขาไปเรียนน้ำเสียงออดอ้อนน่าสงสารแบบนี้มากจากไหน แต่ที่แน่ๆบีไอไม่คิดว่าตัวเองจะทำเสียงนี้ออกมาได้ถ้าไม่ใช่เพราะบ๊อบบี้มันเล่นมนต์ดำให้ปากเขาขยับไปตามใจปากมันอีกแล้ว มินโฮพอได้ยินอย่างนั้นก็ลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ทันทีแล้วตะโกนออกมาดังลั่น

     

     

    “ได้!

     

     

    “เฮ้ยย! ฮยองง!

     

     

    “มาเป็นพี่น้องกัน นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป!

     

    TBC.

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×