เรื่อง : The Kleanesis : The Path of New Man
แนว : Sci-Fi/Fantasy
ผู้แต่ง : J.U. Ketknowledge
อะไรคือ…The Kleanesis
จริง ๆ แล้ว Kleanesis คือชื่อสากลที่ใช้เรียกองค์ความรู้ที่ยิ่งใหญ่และลึกลับที่สุดของจักรวาล แต่สำหรับนิยายเรื่องนี้ The Kleanesis คือเรื่องราวการผจญภัยของชายหนุ่มนิรนามในโลกอนาคต ซึ่งแน่นอนว่าการผจญภัยนั้นจะนำเขาไปสู่สิ่งที่เรียกว่า Kleanesis
ลองจินตนาการถึงหนัง Sci-Fi ที่จำลองเหตุการณ์ในอนาคต ที่ซึ่งมนุษยชาติมิใช่สิ่งมีชีวิตหนึ่งเดียวในจักรวาลอันกว้างใหญ่ พวกเขามีเทคโนโลยีล้ำหน้าจนถึงขั้นสามารถเดินทางไปยังดวงดาวต่าง ๆ ภายในเวลาอันรวดเร็ว ที่ซึ่งอาณานิคมในจักรวาลแผ่ขยายไปอย่างกว้างไกล ถ้าให้ยกตัวอย่างที่ใกล้ที่สุดก็น่าจะเป็นภาพยนต์เรื่อง Star Trek
นิยาย The Kleanesis ได้แรงบัลดาลใจมากจากหลายสิ่งหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นภาพยนต์ เกมส์ นิยาย หนังสือ บทความทางวิทยาศาสตร์ และดนตรี ซึ่งทั้งหมดนั้นหลอมรวมมาเป็นนิยายเรื่องนี้ ด้วยความที่นิยายเรื่องนี้มีความเป็น Sci-Fi อิมเมจที่ใช้ในการจินตนาการจึงเป็น ‘คนจริง ๆ’ (แต่ใครจะจินตนาการเป็นแอนิเมะก็ไม่มีปัญหา) ดังนั้นทุกรายละเอียดในนิยายจึงแฝงไปด้วยหลักการและข้อเท็จจริงที่ใช้ขับดันเนื้อเรื่องให้มีความสมจริง แต่เนื่องด้วยตั้งใจให้นิยายเรื่องนี้อ่านสนุกและไม่เน้นหลักการทางวิทยาศาสตร์จนเกินไป ดังนั้นในหลาย ๆ องค์ประกอบจึงมีความเป็น Fantasy อยู่ในนั้น ซึ่งเรื่องที่น่าท้าทายที่สุดก็คือ การจะปรับสมดุลให้เรื่องนี้มีความสนุกสนานโดยยังคงไว้ซึ่งความสมจริงตามแต่จะหาเหตุผลและหลักการมารับรองได้ ซึ่งนี่คือ อีกหนึ่งเสน่ห์ที่น่าค้นหาของนิยาย The Kleanesis
กว่าจะมาเป็น…The Kleanesis
ย้อนไปเมื่อหลายปีก่อน สมัยที่ได้อ่านนิยาย Harry Potter ใหม่ ๆ ความคิดแรกเลยก็คือ…ต้องการมีนิยายเป็นของตนเองสักเรื่อง เนื่องด้วยยังอยู่ในวัยที่การ์ตูนซูเปอร์ฮีโร่ยังมีอิธิพลต่อชีวิต พล็อตเรื่องแรก ๆ จึงเป็นแนวซูปเปอร์ฮีโร่ แต่ด้วยเวลาที่ผ่านไป รวมถึงความสนใจในวิทยาศาสตร์ พล็อตเรื่องจึงถูกดัดแปลงและพัฒนามาเป็นแนว Sci-Fi อวกาศ โดยใช้ชื่อนิยายในตอนนั้นว่า The Entanglement of Event แต่เนื่องด้วยไม่มีพื้นจากการเขียนนิยายมาก่อน ผลที่อออกมาก็คือ เรียงความวิทยาศาสตร์ที่มีตัวละครในการขับเคลื่อนบทเรียน นิยายล้มเหลวไม่เป็นท่า ซึ่งเป็นเช่นนี้อยู่นานหลายปีและหลายเวอร์ชั่น จนในที่สุดจึงปรับเปลี่ยนทางด้านเนื้อเรื่องให้มีความเข้มข้นขึ้นและลดความเป็นวิทยาศาสตร์ลง ซึ่งผลจากการเปลี่ยนแปลงทำให้นิยายเริ่มเป็นที่สนใจจากผู้อ่านมากขึ้น
แต่ถึงกระนั้นก็ยังติดในเรื่องของภาษาและการเขียนที่ยังไม่ลงตัว นิยายเรื่องนี้จึงถูกเปลี่ยนพล็อต และสไตล์การเขียนอีกหลายครั้งราวกับว่ายังคงหาแนวทางและภาษาของตนไม่ได้ หลายครั้งที่ท้อ หลายครั้งที่ทิ้งมันไป และก็หลายครั้งที่ยังคงมีความหวังและกลับมาทุ่มเท ซึ่งในช่วงที่ล้มลุกคลุกคลานนั้น สื่อจากเกมส์และภาพยนต์ได้เข้ามามีบทบาทในการปรับปรุงเนื้อเรื่องเป็นอย่างมาก เด่น ๆ ก็เช่นภาพยนต์เรื่อง Star Trek,The Matrix,Total Recall,Star Wars หรือจะเป็นเกมส์ Action/RPG อย่าง Mass Effect,Halo,Starcraft เป็นต้น ซึ่งผลรวมจากสื่อดังกล่าวทำให้ธีมเนื้อเรื่องในนิยายมีความชัดเจนขึ้น ซึ่งหลังจากนั้นก็เริ่มค้นหานิยายจากนักเขียนไทยหรือนิยายแปลสมัยใหม่ที่มีธีมเนื้อเรื่องในลักษณะเดียวกันเพื่อจะศึกษางานและลักษณะการเขียน แต่ผลที่ได้ก็คือ ไม่มี...ซึ่งสาเหตอาจเกิดจาก ไม่มีจริง ๆ หรือยังหาไม่พบ ซึ่งจากเหตุการณ์นั้น ผู้เขียนจึงได้ข้อสรุปว่า
…ในเมื่อไม่มีก็แต่งเองซะเลยละกัน…
ดังนั้นนิยาย The Entanglement of Event จึงเปลี่ยนแนวการเขียนเป็น Sci-Fi/Fantasy แทน และเปลี่ยนชื่อเป็น The Kleanesis ในที่สุด แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงติดปัญหาเดิม ๆ อย่างเรื่องภาษาและการเขียน ซึ่งเกือบจะทำให้ผู้เขียนท้อจนเลิกแต่งไปเลย ถ้าไม่มีจุดเปลี่ยนที่สำคัญบางอย่างเข้ามา
ครั้งหนึ่ง หลังจากท้อใจจนผันตัวมาเป็นผู้อ่าน นิยายเล่มหนาเล่มหนึ่งก็ผ่านเข้ามาในชีวิต ซึ่งถ้าบอกชื่อผู้เขียนก็คงต้องร้อง ‘ออ’ เพราะเขาคือผู้ที่เขียนเรื่อง ระหัสลับดาวินชี่ และเทวากับซาตาน ใช่ครับ เขาคือ…แดน บราวน์ นั่นเอง
หลังจากที่ได้อ่านงานเขียนของแดน บราวน์ ผู้เขียนรู้ทันทีเลยว่า จุดเด่นในเรื่องความสมจริงในการบรรยายและการนำเสนอที่ดูราวกับชมภาพยนต์นั้นจะตอบสนองพล็อตเรื่องของนิยาย The Kleanesis ได้อย่างลงตัว ซึ่งสำนวนแปลจากนิยายแดน บราวน์ มีอิธิผลต่อการเขียนและการวางโครงเรื่องของ The Kleanesis มากถึงมากที่สุด หลาย ๆ ไอเดีย หลาย ๆ สำนวน หลาย ๆ การดำเนินเรื่องและหลาย ๆ คำอธิบาย ล้วนได้ แดน บราวน์เป็นครู ซึ่งหลังจากดัดแปลงแนวการเขียนให้เข้ากับพล็อตเรื่องแล้ว นิยาย The Kleanesis ก็เริ่มได้สไตล์เป็นของตัวเอง ซึ่งจากจุดนี้เป็นเหมือนก้าวกระโดด การเขียนนิยายเรื่องนี้จึงพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วและเริ่มมีแนวทางที่ชัดเจนตราบจนทุกวันนี้...
จักรวาล…The Kleanesis
ด้วยความซับซ้อนของเนื้อหาและขอบเขตที่ขยายออกไปไกล อีกทั้งหลักการที่ปูอยู่เป็นพื้นหลังของเรื่องราวเช่น การปกครอง ศาสนา เผ่าพันธุ์ต่างดาว อาณานิคม เทคโนโลยี และการเป็นอยู่นั่นค่อนข้างซับซ้อนและสมจริง นิยาย The Kleanesis จึงไม่สามารถแต่งจบได้ภายในตอนเดียว ซึ่งการจะรับรู้เรื่องราวของ The Kleanesis ให้ได้ครบถ้วนนั้น อย่างน้อยนิยายเรื่องนี้ต้องมีถึง 3 ภาค ซึ่งภาค The Path of New Man ที่ทุกท่านกำลังอ่านกันอยู่นี้คือเรื่องราวเพียง 1 ใน 3 ของเรื่องราวทั้งหมด และแน่นอนว่าพล็อตเรื่องของ The Kleanesis นั้นได้วางไว้จนจบบริบูรณ์แล้ว ซึ่งหลังจากที่ภาค The Path of New Man จบแล้วนั้น อีกสองภาคที่เหลือจะเริ่มโครงการทันที ซึ่งถ้าไล่เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นดังนี้
The Kleanesis : The Path of New Man
The Kleanesis : Back To The Memory
และ
The Kleanesis : The End After Wake Up ซึ่งเป็นภาคสุดท้ายของไตรภาค ซึ่งกว่าจะแต่งจนจบครบบริบูรณ์นั้นก็คงจะใช้เวลาไม่น้อย แต่ถึงอย่างไรแล้ว ด้วยความน่าสนใจของตัวละครบางตัวที่เป็นตัวเชื่อมโยงของเรื่องราวในภาคหลัก ในอนาคต ซึ่งค่อนข้างแน่นอน…Side Story ของจักรวาล The Kleanesis จะต้องมีขึ้น ซึ่งผมตั้งใจว่าจะให้มีถึงสองเรื่องด้วยกัน แต่ก็คงไม่ยาวนัก หรือพูดง่าย ๆ ว่าจบภายในเล่มเดียว
ซึ่งสรุปรวมแล้ว จักรวาลของ The Kleanesis นั่นจะมีด้วยกันถึง 3 ภาคหลัก กับอีก 2 Side Story…
พูดถึงความยาวของเนื้อหานั้น ณ ปัจจุบัน นิยาย The Kleanesis : The Path of New Man นั้นค่อนข้างจะยาว เนื่องด้วยเป็นภาคแรกที่ต้องปูเนื้อหาที่จำเป็นทั้งหมด ฉะนั้นมีความเป็นไปได้สูงว่า ภาค The Path of New Man นั้นถ้าเป็นหนังสือก็อาจจะต้องแบ่งออกเป็น 2-3 เล่ม ตามแต่จะเหมาะสม ซึ่งเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นกับภาคอื่น ๆ ด้วยหรือไม่ก็ต้องติดตามกันต่อไป
ก่อนเดินทางสู่…The Kleanesis
เนื่องด้วยเนื้อหาที่มากและโครงเรื่องที่ซับซ้อน หลายสิ่งหลายอย่างในนิยายเรื่องนี้อาจจะแตกต่างไปจากความเคยชินของผู้อ่านทั่วไป (แต่ถ้าใครเป็นสาวกแดน บราวน์ ก็คงไม่ต้องอธิบายอะไรกันมาก)
เรื่องแรก นิยาย The Kleanesis อ่านว่า เดอะ คลีเนซิส (จะอ่านว่า เดอะ คลีนีซิส ก็ได้ แต่ใช่คำว่าเนจะตรงกว่านะ)
เรื่องต่อมา นิยาย The Kleanesis ใช้ตัวละครในการดำเนินเนื้อเรื่องหลายตัว และจะสลับกันไปเรื่อย ๆ ซึ่งลักษณะการเล่าจะเป็นแบบฐานพีระมิดไปถึงยอดพีระมิด คือ ในช่วงเริ่มจะใช้หลายตัวละครดำเนินเรื่อง แต่เมื่ออ่านไปเรื่อย ๆ ตัวละครที่ดำเนินเรื่องจะน้อยลง ๆ เพราะเหตุการณ์ต่าง ๆ จะมาบรรจบกันในที่สุด ซึ่งหลายท่านอาจจะไม่คุ้นเคยและขัดใจกับการดำเนินเรื่องในลักษณะนี้ แต่มีเทคนิคง่าย ๆ ในการอ่าน นั่นก็คือ พยายามจำให้ได้ว่าตัวละครนั้น ๆ ดำเนินเรื่องล่าสุดไปถึงไหน เพราะไทม์ลายนั้นเรียงกันไว้แล้ว จะไม่สับสนในเงื่อนเวลาแน่นอน สรุปคือ ใครอ่านได้ เข้าใจ แสดงว่าความจำดีและช่างสังเกตมาก ๆ
เรื่องต่อมาอีก บางตอนของนิยาย The Kleanesis นั้นสั้นมาก ๆ ๆ ๆ ๆ (ถ้าใครเป็นสาวกแดน บราวน์ก็จะเข้าใจ) ซึ่งตรงนี้ได้แบบอย่างมาจากแดน บราวน์ ซึ่งถึงจะขัดต่อธรรมเนียนในการแต่ง แต่ก็อยากให้รู้ว่า ผู้เขียนต้องการเสนอตอนนั้น แค่นั้นจริง ๆ และเนื่องด้วยผู้เขียนแต่งมา 80 กว่าตอนแล้ว ตอนหน้า ๆ ยังมีไปอ่านกันเถอะนะ นะนะ 5555
เรื่องต่อมาอีกหน่อย จริง ๆ แล้ว นิยาย The Kleanesis นั้น ไม่มีชื่อตอน แต่ที่เห็นในเด็กดีว่ามีนั้น เพราะต้องการให้สารบัญมันสวยและช่วยดึงดูดให้ผู้อ่านสนใจ ซึ่งในฉบับตีพิมพ์ (ถ้าได้ตีพิมพ์นะ) อาจจะไม่มีชื่อตอน หรืออาจจะมี ผู้เขียนจะมาขอโหวดอีกครั้งเมื่อเรื่องนี้ได้ตีพิมพ์
เรื่องต่อมาอีกหน่อยนะ เนื่องด้วยผู้เขียนเป็นพวกอ่อนภาษามาก จึงเขียนผิดเป็นประจำ ถ้าเพื่อน ๆ นักอ่านท่านใดพบกับคำผิดเข้า อย่านิ่งดูดาย ทักและแก้ไขได้เลยครับ จะเป็นพระคุณอย่างสูง
เรื่องต่อมาอีกหน่อยนะฮะ การอ่านนิยายเรื่องนี้แนะนำให้เป็นคนช่างสังเกตและขี้สงสัย นิยาย The Kleanesis นั่นมีปมปริศนาอยู่มาก เหมาะกับผู้อ่านที่ชอบค้นหาคำตอบ ซึ่งแนะนำว่าบางปม บางปริศนาอาจะมีคำตอบในภาคที่อ่าน แต่ในบางปมในบางปริศนาอาจต้องรอภาคหน้า ๆ มาเฉลย
และเรื่องสุดท้าย ขอขอบคุณเพื่อน ๆ นักอ่านทุกท่านที่ให้โอกาสกับนิยายเรื่องนี้ มันอาจไม่ใช่นิยายที่ดีที่สุด แต่ก็เป็นนิยายที่ผู้เขียนทุ่มเทชีวิตให้กับมัน (เฉกเช่นนักเขียนท่านอื่น ๆ ) หากมีข้อบกพร่องประการใด ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี่ด้วย หรือถ้าเพื่อน ๆ นักอ่านอยากเสนอแนะ ติชม ก็สามารถทำได้เต็มที่ครับ ผู้เขียนใจเย็น ใจกว้าง ติชมมาถูกใจไม่ถูกใจ หรือเสนอแนะมาไม่เข้าตา ผู้เขียนไม่มีด่าว่าตอบกลับครับ มีแต่อธิบายไปด้วยเหตผลหรือไม่ก็ปล่อยผ่าน (ก็ถ้าปากจัดมากใครจะกล้ามาเม้นละ 5555)
ความคิดเห็น
ป.ล อย่างว่ากันละ ก็ผมมันพวกคิดเยอะนิ (ฮ่า)
เปิดเรื่องมาจะเริ่มอ่าน พอเห็นฟ้อนท์เป็นสีแดงเลยแอบพักการอ่านไปก่อน 5555 อยากบอกว่าการเขียนที่ทำให้น่าอ่าน สีของอักษรก็มีผลน้าค้า ด้วยความเคารพน้าค้าา เดี๋ยวจะทยอยอ่านค่า ❤🐶