KerberoS
ดู Blog ทั้งหมด

คิดยังไงกับหนังไทยที่มีแต่หนังตลกแล้วก็มีแต่มุกเดิม ๆ

เขียนโดย KerberoS

          คำเตือน  !!  เรื่องนี้อาจจะมีคำพูดที่เสียดสีวงการภาพยนตร์ไทยของเราบ้าง  แต่ผู้เขียนไม่ได้เจตนาจะต่อว่าหนังของบ้านเราแต่อย่างใด  เพียงแค่อยากจะให้ผู้เยี่ยมชมทุกท่านได้เข้าใจมุมมองของคนดูหนังคนหนึ่ง  ที่อยากเห็นพัฒนาการของแวดวงแผ่นฟิล์มบ้านเรา ที่กำลังล้าหลังอยู่ในขณะนี้  เพราะมีแต่ภาพยนตร์แนวเดิม ๆ เมื่อทุกท่านพร้อมแล้วก็เชิญรับฟังเรื่องราวของกระผมได้นะบัดนี้ " ให้เสียงภาษาไทยโดยหัว A. จอมโวยวายประจำ Blog " (ในเครื่องหมายคำพูดขอให้นึกถึงเสียงพากษ์หนังไทยของทีมงานพันธมิตรนะครับ เพื่อจะได้อรรถรสในการอ่านมากขึ้น) 


          ผมเป็นคนหนึ่งนะครับที่ชอบดูหนังโรง  พอมีเรื่องอะไรน่าดูก็จะพาแก๊งของผม 3-4 คนไปดูกันล่ะ  เฮฮากันไปใครจะด่าอะไรกูในโรงเพราะกูเสียงดังก็ช่างพวกมึงดิ กูก็เสียเงินมานั่งดูเหมือน ๆ กับพวกมึงนั่นแหละ 120-150 บาทจะเท่าไหร่ก็ว่ากันไปแล้วแต่วัน  หรือว่าพวกมึงได้สิทธิพิเศษ (เพิ่มข้าวดิมึง) เสียมากกว่าพวกกูว่างั้นเหอะก็เสียเท่ากันไม่ใช่เหรอไงวะจะมาโวยกูทำเพื่อ ? ก็ยอมรับครับว่าเป็นคนเสียงดังอยู่แล้วเวลาอยู่ในโรงหนังเงียบ ๆ เพราะผมเป็นพวกเสียงดังมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว 


          แต่ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ประเด็นในวันนี้ของผมครับ  แค่อยากจะบ่นให้โลกรู้ขอให้ทุกท่านลืม ๆ มันไปซะเพราะประเด็นของผมในวันนี้ก็คือ หนังไทยบ้านเรานี่แหละครับไม่ใกล้ไม่ไกลเลยซักนิดปลายจมูกเราเนี่ยแหละ  แต่มันก็เหมือนไกลนะครับเพราะเราไม่สามารถมองเห็นมันได้อย่างชัดเจนเต็มสองตาของเรา  ก็เช่นเดียวกับเรื่องราวของภาพยนตร์ในบ้านเรานั่นแหละครับที่เราต่างก็ละเลยหลงลืมกันไป  เห็นว่าเป็นหนังไทยก็เลยอุดหนุนซะหน่อยหารู้ไม่ว่าวงการภาพยนตร์ไทยของเราตอนนี้แทบไม่ต่างอะไรกับตลกคาเฟ่ในพระราม 9 เลยล่ะครับจากใจผมเลย  เพราะอะไรน่ะเหรอครับก็เพราะว่าภาพยนตร์ที่คนไทยทำในตอนนี้เนี่ยสิครับเอะอะอะไรก็คิดได้แต่หนังตลกคอมเมอร์ดี้  หรือไม่ก็รักหวานซึ้งจนเลี่ยน  และที่กำลังดังอยู่ตอนนี้เลยก็คือหนังประเภทที่ เล่นจริง เจ็บจริง ไม่ใช้สลิง ไม่ใช้ตัวแสดงแทน ซากอ้อยแช่แฟ้บอะไรก็ว่ากันไปอย่างที่พวกเรารู้จักกันดี  คือจีจ้า และ จา พนม นั่นเองครับ 


          ก็ไม่ได้จะต่อว่าหนังไทยของเราว่าทำได้ไม่ดีหรอกนะครับ  บางเรื่องผมก็ชอบดูเช่นพวกหนังผีของไทย (ที่ไม่ใช่บุปผาราตรีหรือหนังผีที่ทำเป็นหนังตลก  เพราะม่างบ้าบอ  หนังผีมันต้องน่ากลัวแล้วก็หลอน ๆ โว้ย  ไม่ใช่ผีออกมาแล้วฮากันลั่นโรง  ถ้าจะทำให้ฮาพวกมึงก็ไปทำหนังตลกดิวะ  มาทำหนังผีทำซากเกลืออะไร) เป็นต้น ผมยอมรับนะครับว่าหนังผีไทยของเราทำได้น่ากลัวเลยทีเดียว  ไม่เหมือนกับหนังผีของญี่ปุ่นหรือผีฝรั่ง  แต่เสียอย่างเดียวม่างชอบทำออกมาสั้น ๆ เป็นตอน ๆ ให้คนดูได้ขนลุกกันนิดหน่อยแล้วก็จบเพียงไม่กี่นาทีตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือภาพยนตร์เรื่องสี่แพร่ง  ที่เพิ่งผ่านไปนั่นเอง และห้าแพร่งที่กำลังจะเข้าฉายในเร็ว ๆ นี้เป็นต้น  แต่เราจะไม่พูดถึงหนังผีหรอกครับเพราะเดี๋ยวผมจะมีลิ้งค์ของ Blog บุคคลผู้หนึ่งที่เขาได้วิจารณ์หนังผีกันไปแล้ว  ที่ผมจะพูดวันนี้ก็คือเรื่องของ  หนังตลกและหนังที่ เล่นจริง เจ็บจริง สองแนวนี้เท่านั้นครับ 


          มาเริ่มที่แนวแรกกันเลยนะครับ  ทุกคนเคยสงสัยมั้ยครับว่าทำไมหนังไทยถึงคิดได้แต่หนังตลกโดยที่ไม่คิดจะเปลี่ยนแนวการทำหนังเป็นอย่างอื่นมั่ง  ผมคนนึงล่ะที่คิดอยู่ตลอดเวลาที่มีหนังใหม่เข้าฉายในโรงภาพยนตร์  และเห็นแต่ตัวอย่างหนังไทยมีแต่แนวนี้ทั้งนั้น  จนผมต้องมานั่งถกปัญหาถึงแวดวงแผ่นฟิล์มบ้านเรากับเพื่อนของผมที่ไปดูหนังด้วยกันว่าเพราะอะไร  เห็นแล้วมันน่าเบื่อจริง ๆ และก็ได้บทสรุปมา 3 ข้อดังนี้ครับ 

          1.  ผมวางความคิดทฤษฎีแรกไว้เช่นเดียวกับเพื่อนผมทุกคนเลยครับว่าที่มีแต่หนังพวกนี้เป็นเพราะ  ประเทศไทยของเราไม่มีงบพอที่จะทำหนังได้เท่ากับของต่างประเทศครับ  ซึ่งอันนี้ผมเข้าใจดีเลยเพราะว่าประเทศไทยของเรามีหนี้สินมากกว่ารายได้เพราะอะไรกันว้า  ท่านแพนด้าอีกล่ะสิเมิงเหอะ ๆ นึกถึงเรื่องนี้แล้วมันก็จี๊ดครับ  แต่จะบอกว่าวงการหนังไทยนั้นไม่มีงบก็ใช่เหตุเพราะดูอย่างภาพยนตร์เรื่ององค์บาก 2 ของเฮีย จา พนม ที่เพิ่งผ่านไปสิครับทุกคนรู้มั้ยครับว่า จา พนม ที่เป็นผู้กำกับภาคนี้ได้ของบจากเสี่ยเจียงผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ บริษัท สหมงคลฟิล์มไปเท่าไหร่ ? 300 ล้านเลยนะครับ  ได้ยินแบบนี้หลายคนคงจะตกใจกับงบประมาณอันมหาศาลของหนังเรื่องนี้  ส่วนอีกหลายคนก็อาจจะดูธรรมดาไปเมื่อเทียบกับหนังของต่างชาติที่ทุ่มทุนสร้างไปมากกว่าของเราหลายเท่าตัว  ซึ่งก็จริงครับต่างประเทศเขาทุ่มเทงบในการทำหนังแต่ละเรื่องไปเยอะมาก  เพราะว่าประเทศของพวกเขาเจริญกว่าเรามากครับ  แต่หนังไทยเราก็ไม่ได้น้อยหน้าหรอกนะครับ  อย่างหนังเรื่องพระนเรศวรมหาราช  พระสุริโยทัย  หรือหนังที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ไทย  ของหม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล นี่ไง  ที่ชาวต่างชาติถึงกับชื่นชมในวีรกรรมของกษัตริย์ไทยในอดีต  รวมถึงชื่นชมความสามารถในการสร้างหนังของท่านหม่อมอีกด้วย  นับว่าเป็นความภาคภูมิใจอย่างหนึ่งของคนไทยนะครับที่มีคนชื่นชมในวีรกรรมของชาติเราแม้ว่าบุคคลสำคัญเหล่านี้จะไม่ได้มีชีวิตอยู่ในประเทศเราแล้วก็ตาม 

          กลับมาดูที่เรื่ององค์บาก 2 ที่ผมบอกเอาไว้เมื่อครู่กันต่อดีกว่าจากที่ผมบอกว่าเสี่ยเจียงทุ่มงบไปถึง 300 ล้านบาทเพื่อให้ จา พนม ทำหนังเรื่องนี้แต่ทุกคนดูสิครับว่าองค์บาก 2 ที่ทำเสร็จออกมามันคุ้มกับ 300 ล้านบาทมากน้อยแค่ไหน  ผมว่าเงินขนาดนี้เนี่ยสามารถทำหนังแอคชั่นดี ๆ ได้เรื่องนึงเลยล่ะครับ  ถ้าหากว่าทีมงานเบื้องหลังทุ่มเทแรงกายแรงใจพัฒนาฝีมือทางด้านการใช้เอฟเฟคให้ดูเนียนมากขึ้นกว่านี้ซักนิดก็ยังดีผมว่าเรื่องนี้จะน่าดูมากกว่านี้เยอะครับ  แต่จากมุมมองของผมแล้วผมว่า 300 ล้านที่ทุ่มลงไปเนี่ยทีมงาน  แม่งเอาไปใช้เป็นค่าตัวนักแสดงที่โผล่มาให้พระเอกกระทืบจนหมดแล้วมากกว่า  เพราะทั้งอุปกรณ์ประกอบฉากหลังหรือเสื้อผ้าของเรื่องนี้ไม่เห็นมีอะไรที่มันดูคุ้มกับเงิน 300 ล้านที่เสียไปซักนิด  ทั้งเรื่องเจอแต่เตะ ต่อย ถีบ กระทืบ  แล้วพวกสตั้นที่เอามาให้อัดแม่งก็เยอะซะเหลือเกินตัวเดิมทั้งนั้นแต่ออกหลายรอบ  ถ่ายเสร็จม่างก็รับเงินเต็มกระเป๋ากลับบ้านไปนอนเกาตูดสบายอารมณ์ตัวประกอบกันไป  มึงไปเก็บกดอะไรมาวะครับถึงเอามาลงกับหนังแบบนี้เนี่ยหายเข้าป่านานเกินไปหรือไงเฮีย จา กูอยากจะถามจริง ๆ และทุกท่านลองเอางบประมาณการสร้างของหนังทั้งสองเรื่องนี้มาเทียบกันดูสิครับว่าภาคไหนมันคุ้มกว่ากัน  ในภาคแรกยังไม่ใช้งบมากเท่านี้เลยแต่หนังทำออกมาได้สนุกและหลายอารมณ์นะครับทั้ง บู๊ (จา พนม) ตลก (หม่ำ จ๊กม๊ก) และเศร้า (แอร์ ภุมวารี) และที่สำคัญสำหรับภาคแรกเลยก็คือเรื่อง  เวรกรรมของพวกมารศาสนาที่ตัดเศียรพระพุทธรูปเพื่อเอาไปขาย  ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมเป็นพวกที่ไม่เชื่อในเรื่องนี้หรอกครับแต่ว่าชาวพุทธอย่างเรา ๆ หลายคนอาจจะเชื่อโดยเฉพาะกลุ่มคนหัวเก่า  แต่ในเด็กดีนี้คงไม่มีหรอกมั้งเพราะว่าเอ๊าะ ๆ กันทั้งนั้นเลยนี่นาเหอ ๆ เอาล่ะต่อไป 


          2.  อันนี้เป็นความคิดส่วนตัวของผมนะครับ  ผมคิดว่าคนไทยอย่างเรา ๆ เนี่ยเป็นกลุ่มคนที่อารมณ์ดีครับจึงไม่ค่อยอยากจะสร้างหนังที่มันดูเครียด ๆ จนเกินไปเพราะว่าจะทำให้คนดูไม่อยากดูได้  ยกตัวอย่างเช่น  หนังที่เกี่ยวกับปริศนาที่ซับซ้อนดังเรื่อง The Davinci' Code หรือเรื่อง Death Note เป็นต้นหนังพวกนี้เป็นแนวสืบสวนและไขปริศนาครับ  ซึ่งผู้ชมจะต้องคอยคิดตามตัวละครในหนังเหล่านี้ด้วยว่าปริศนาเหล่านี้ต้องการจะบอกอะไร  เพราะไม่อย่างนั้นเราจะตามเนื้อเรื่องไม่ทันครับ  และก็จะเสียดายเงินไปโดยใช่เหตุ  เพราะว่าคนที่ตามไม่ทันก็จะบ่นหลังจากออกมาจากโรงว่า

" กูดูไม่เห็นรู้เรื่องเลยสาดม่างหนังเชี่ยไรวะเนี่ย "

ประมาณนี้เป็นต้น  ก็เข้าใจครับว่าหนังมันเครียด  แต่ถ้าคนที่ดูไปเครียดตามหนังเพราะดูไม่รู้เรื่องมันจะไปสนุกได้ยังไงล่ะ  ผมคนนึงล่ะที่ดูหนังพวกนี้แล้วเกือบตามไม่ทัน  เลยต้องไปถามเพื่อนที่มันชอบดูแนวแบบนี้ว่าตกลงมันเป็นยังไงแน่  แล้วเราก็จะสนุกได้เหมือนกันครับ  เอาล่ะสุดท้ายและ

          3.  อันนี้ก็ความคิดส่วนตัวเหมือนกันครับ ผมคิดว่าประเทศเราส่วนใหญ่ผู้กำกับหนังจะเป็นตลกครับ  ไม่รู้ว่าแม่งจะแย่งกันเป็นผู้กำกับหนังไปทำเพื่อ ? ถึงยังไงพอหนังพวกมึงเสร็จออกมาก็มีแต่มุกเดิม ๆ แทบทุกเรื่อง  กูเห็นจนกูตามมุกแม่งทันหมดและแล้วมันจะฮามั้ยเนี่ยพี่น้อง  เล่นแย่งกันหามุกมาเล่นกันจนมันไม่มีอะไรจะตลกแล้ว  แต่แม่งก็ยังจะทำกันออกมาอีกให้ตายดิวะ  ข้อนี้ผมว่าหลายคนที่ไปดูหนังตลกกันก็เพราะว่า  อยากได้มุกจากในหนังมาใช้เล่นกับเพื่อน ๆ ในกลุ่มล่ะนะครับ  ซึ่งผมก็เป็นแต่ตอนนี้มันเริ่มเยอะและกูก็เบื่อเป็นนะพี่น้อง  ทำแนวอื่นออกมาให้ดูมั่งเด้ไม่ใช่เป็นตลกมากำกับหนังแล้วแม่งก็ทำแต่หนังตลก  แบบนี้คนดูมันก็ไม่รู้ดิว่าเอ็งมีความสามารถอะไรอีกนอกจากหามุกมาให้ฮากันเนี่ย  พิจารณาตัวเองหน่อยนะครับ 

          เอาล่ะครับทั้งหมดนี้ก็เป็นบทสรุปจากคนดูหนังคนหนึ่งนะครับที่เห็นหนังตลกแทบจะทุกเดือน  รู้สึกว่าจะยาวเกินไปและ  เอาไว้คราวหน้าผมจะมาว่ากันต่อในเรื่องของหนังไทยที่ เล่นจริง เจ็บจริงสวิงกว่าเดิม  อะไรของแม่งนั่นแหละว่ากันไปเอาไว้แค่นี้ก่อนนะครับ

          เลิฟยอลลลลลลลล (ขออนุญาตยืมเครดิตคำพูดของคุณเอ๋อซ่าเจ้าของ Blog กัดจิกที่ผมจะแนะนำให้เพื่อน ๆ ได้อ่าน Blog ของเขากัน)

          http://urza.exteen.com/ เอาลิงค์ไปอ่านกันครับเพื่อใครอยากสะใจต่อจากกระทู้ของผม 


        
  ป.ล.ว่าจะมาเขียนเรื่องหนังเล่นจริง เจ็บจริงต่อในครั้งหน้าพอเข้าเวปของเฮียแกไปเจอตัดหน้าแย่งเขียนซะฉิบ -*- เอาเป็นว่าเชิญไปอ่านเรื่องเล่นจริงเจ็บจริงต่อจากของผมเลยก็แล้วกันครับ ฮ่ะ ๆ ๆ ครั้งหน้ากูจะได้ไม่ต้องตั้งเองดีมากเฮียเอ๋อเหอ ๆ

ความคิดเห็น

ยังไม่มีความคิดเห็น