Lyra Lila
ดู Blog ทั้งหมด

ตำนานกรีก

เขียนโดย Lyra Lila

          ในครั้งโบราณกาล  ยังมีพระชากรีกองค์หนึ่งซึ่งมีพระธิดาผู้งดงามสามองค์  โดยเฉพาะไซคี  พระธิดาองค์เล็กนั้นงดงามที่สุด  จนกล่าวได้ว่าความงามของไซคีนั้นแม้แต่บรรดาเทพธิดาและนางพรายที่ว่างามนักหนายังมิอาจเทียบได้  ดวงจันทร์และดวงตะวันที่เปล่งแสงบนฟากฟ้าก็ยังงามสู้ใบหน้าของเจ้าหญิงน้อยผู้นี้ไม่ได้  ผู้คนต่างเทิดทูนบูชาความงามของเธอราวกับเธอเป็นเทพธิดา  ซึ่งชื่อไซคีนี้หมายความว่าจิตวิญญาณ  ดั่งที่นางเป็นจิตวิญญาณและหัวใจของทุกคนในอาณาจักร

 

            แต่ทว่าความงามกลับเป็นภัยแก่เธอ  เมื่อเทพีอะโฟรไดทีนั้นริษยาความงามของเธอ  เทพี แห่งความงามได้บัญชาอีรอสผู้เป็นบุตรชายคนโปรดให้ใช้ลูกศรทองคำทำให้เจ้า หญิงผู้เลอโฉมหลงรักสิ่งที่ชั่วร้ายน่าเกลียดน่ากลัวที่สุด       

 

อี รอสรับคำบัญชาจากมารดาก็รีบคว้าอาวุธแล้วกระพือปีกสีมุกบินผ่านปุยเมฆสีขาว รอบเขาโอลิมปัสลงไปยังพระราชวังอันเป็นที่อยู่ของไซคีทันที 

 

            เมื่อมาถึงพระราชวัง  อีรอสก็บินเข้าไปในห้องของไซคีทางหน้าต่าง  เทพเจ้าแห่งความรักก็มองเห็นไซคีนอนหลับอยู่บนเตียง  จึงกระหยิ่มยิ้มย่องว่าจะเอาลูกศรแทงแล้วค่อยเนรมิตรสิ่งแสนทุเรศให้เธอลืมตาขึ้นมาเห็นทันทีนี่แหล่ะ  ว่าแล้วอีรอสก็ค่อยย่องเข้าไปใกล้ร่างไซคีพร้อมกับหยิบลูกศรออกมาเตรียมพร้อม 

เมื่ออีรอสเงื้อมือขึ้นหมายจะแทงไซคี  เธอก็ขยับใบหน้าและพลิกตัว  อีรอสถึงกับตะลึงในความงามของเจ้าหญิงมนุษย์ที่อยู่เบื้องหน้าจึงเผลอทำลูกศรหลุดมือแทง

ถูกตัวเอง

 

            ผลก็เป็นดังที่มันเคยทำให้เป็นมานักต่อนัก  หัวใจของอีรอสเต้นแรงขึ้นและหลงรักไซคีหมดหัวใจ  เขาไม่มีทางที่จะทำร้ายไซคีตามที่มารดาบัญชาได้เลย  อีรอสได้แต่มองดูไซคีอย่างหลงใหลและบินกลับโอลิมปัสก่อนที่เธอจะตื่น

 

            เทพีอะโฟรไดทีสังเกตเห็นว่าบุตรชายคนโปรดที่เคยซุกซนได้เปลี่ยนไปตั้งแต่กลับมาจากโลกมนุษย์  จากที่เคยซุกซนก็เอาแต่เหม่อลอย  ดูรวมๆแล้วเป็นอาการที่นางแทบไม่อยากจะคิด  !!อีรอสกำลังตกหลุมรัก!!

 

            กล่าวถึงฝ่ายไซคี  แม้ว่าเธอจะมีรูปโฉมงดงามเพียงใด  ก็กลับไม่มีชายใดมาสู่ขอนางสักที  จนพวกพี่ๆของเธอแต่งงานไปหมดแล้ว  ทำให้พระราชาผู้เป็นบิดากลัดกลุ้มมาก  จึงไปขอคำแนะนำจากวิหารของอะพอลโล  ซึ่งก็ได้คำพยากรณ์มาว่า

           

จงแต่งกายนางให้สง่า  แล้วนำพาไปพงไพรสุดไกลห่าง  อันสิ้นไร้ซึ่งผู้คนจะเดินทาง  .ใจกลางป่าไม้แห่งภูตพราย  ปีกแห่งอสูรกายจักโบกบินมารับบุตรีเจ้า  พาไปยังยอดสูงสุดของภูผาชัน  เพื่อเป็นคู่ชีวันแห่งจอมนาคาผู้ยิ่งใหญ่  อำนาจนั้นไซร้เทียมโอลิมเปียนจอมเทวา

 

พระราชาจึงต้องส่งไซคีไปยังเชิงเขาอันเป็นที่อยู่ของผู้อมตะเพื่อปกป้องอาณาจักร  เจ้าหญิงน้อยก็ร้องไห้ด้วยความหวาดกลัวในตัวอสุรกายที่ต้องไปเผชิญ  แต่แล้วเซฟีรุสเทพเจ้าแห่งลมตะวันตกก็หอบเอาร่างของเธอขึ้นไปยังยอดเขา

ไซคีต้องประหลาดใจที่สถานที่แห่งนี้ไม่ได้น่ากลัวเลย  มันสวยงามยิ่งกว่าพระราชวังแห่งกษัตริย์ใดๆเสียอีก  ราวกับว่ามันเป็นดั่งที่อยู่แห่งเทพก็ไม่ปาน  มีสวนอันร่มรื่นปลูกพันธุ์ไม้ที่แปลกตาสีสันระยิบระยับเหมือนเพชรพลอย  น้ำพุบ่อใหญ่ก็พวยพุ่งสะท้อนแสงแดดอ่อนๆเป็นสีรุ้ง  และมีทางเดินเป็นแผ่นหินอ่อนสีขาวทอดยาวไปสู่ตัวคฤหาสน์หลังใหญ่  และเธอก็ได้ยินเสียงอันทรงอำนาจดังขึ้น  เขาบอกว่าเขาเป็นเจ้าของคฤหาสน์หลังนี้และเป็นสามีเธอ  เขาบอกให้เธอไปไหนมาไหนในบ้านนี้ตามสบาย  ซึ่งก็มีคนรับใช้ที่มองไม่เห็นคอยรับใช้  เสิร์ฟอาหารรสเลิศ   และบรรเลงเพลงขับกล่อมยามที่เธอเข้านอน

 

ไซคีอยู่ที่คฤหาสน์แสนวิเศษอย่างมีความสุข  ซึ่งเธอก็ไม่เคยเห็นเจ้าของคฤหาสน์ผู้เป็นสามีของเธอเลย  เพราะเขาจะมาหาเธอในเฉพาะยามกลางคืนเท่านั้นและไม่ยอมให้เธอจุดตะเกียง  แต่เขาก็ดีกับเธอมากจนเธอคลายความหวาดกลัวและคิดว่าเขาไม่ใช่อสูรกายที่โหดร้ายโดยแน่แท้ 

 

แต่เมื่อเวลาผ่านไป  ไซคีก็คิดถึงครอบครัวจึงขออนุญาตอีรอสให้พาพี่สาวมาเยี่ยมเธอ  ซึ่งพี่สาวของเธอต่างแปลกใจที่เธอยังมีชีวิตอยู่  พวกเธอคิดว่าไซคีคงจะถูกสัตว์ร้ายบนเขากินไปแล้ว  เจ้าหญิงทั้งสองก็ตื่นตะลึงในความงามและความใหญ่โตอันเต็มไปด้วยสิ่งของล้ำค่าของสถานที่ที่น้องสาวอาศัยอยู่ก็เกิดความริษยาขึ้นมา  พวกเธอก็ซักไซ้เกี่ยวกับเจ้าของคฤหาสน์โดยไม่มีความเกรงใจ  และ

เมื่อทราบว่าไซคีไม่เคยเห็นหน้าเขา  พวกเธอก็พูดไปต่างๆนาๆว่า

 

เขาอาจจะอัปลักษณ์อย่างสุดแสน  หากมาตรแม้นต้องซ่อนกายถึงเพียงนั้น

 

หรือว่าเขาเป็นอสูรกายที่น่าสะพรึงกลัวกัน  คอยขย้ำเมื่อเจ้ามิทันระวังตัว

 

แม้ไซคีจะแก้ต่างว่าเขามีความอ่อนโยนและดีกับเธอมาก  แต่พี่สาวอีกคนก็ยังต่ออีกว่า

 

โธ่เอ๋ย!แม่น้องพี่  ก็เจ้าไร้เดียงสาเสียเพียงนี้  จะทันทีเล่ห์ปีศาจอย่างไรได้  ทุกคำหวานที่มันพร่ำพูดไป  อาจกระหยิ่มในใจใช่พูดจริง

 

เมื่อถูกพี่สาวทั้งสองพูดกรอกหูมากเช่นนี้  และเธอก็ยังไม่เคยเห็นหน้าอีรอสเลย  ก็ทำให้ใจเธอก็ยิ่งหวั่นไหว   

 

และพี่สาวทั้งสองกลับไป  เจ้าหญิงน้อยก็รีบเอาตะเกียงและมีดไปซ่อนไว้ใต้เตียง 

 

อีรอสก็มาหาเธอในตอนกลางคืนเช่นเคย 

 

               เมื่ออีรอสหลับ  ไซคีก็หยิบตะเกียงขึ้นมาจุด  แสงไฟที่ส่องไปยังร่างที่หลับใหลนั้นทำให้ไซคีตกตะลึง  เพราะเธอกำลังเห็นชายที่รูปงามที่สุดที่เธอเคยเห็น  เขาดูเป็นคนอ่อนโยนเฉกเช่นน้ำเสียงของเขาเวลาที่พูดคุยกับเธอ  ใบหน้าของเขางามราวภาพวาดจากหัตถ์แห่งเทพ  กลางหลังมีปีกสีขาวมุกส่องประกายเรื่อเรือง  และผิวกายของเขาเปล่งประกายคล้ายเป็นรัศมีอ่อนๆแห่งราชรถอพอลโล

 

               ไซคีมองอีรอสและหลงรักเขาเต็มหัวใจทันที  ความหวาดระแวงทั้งปวงได้หายไป  แล้วเธอก็ค่อยๆขยับตัวจะเก็บตะเกียง  แต่น้ำมันร้อนหยดหนึ่งก็หยดลงบนแขนของอีรอส  เขาก็ลืมตาสีไพลินขึ้นทันที  ใบหน้างดงามดูเจ็บปวดใจ

 

            “เจ้าฝ่าฝืนคำข้า  อีรอสพูดและกางปีกสีมุกบินออกไปทางหน้าต่างทันที  เสียงกังวาลดังมาตามสายลม  เราไม่อาจอยู่ร่วมชายคาต่อไปได้  หากสิ้นไร้ความเชื่อใจและไว้ใจ  ข้าก็ขอจากไปไม่รอรี

 

               ไซคีวิ่งตามและกระโดดออกจากหน้าต่าง  แต่เซฟีรุสก็รับตัวเธอเอาไว้ได้ก่อนที่ร่างของเธอจะหล่นลงกระแทกกับพื้นจนร่างแหลกเหลว  ซึ่งไซคีก็หมดสติไป

 

              เจ้าหญิงน้อยตื่นขึ้นพร้อมกับความเจ็บปวดหัวใจในยามเช้า  เธอรักอีรอสจนถอนตัวไม่ขึ้น  ใจหนึ่งเธออยากตายไปเสียหากไม่มีเขา  แต่เธอก็คิดได้ว่าจะมีประโยชน์อะไรเล่าหากเธอตายไป  น่าละอายเสียเปล่า  และเธอจะทำให้อีกหลายคนเสียใจกับการกระทำของเธอด้วย  สู้ตามหาอีรอสและขอให้เขายกโทษให้กับความโง่เขลาของเธอจะไม่ดีกว่าหรือ

 

              ว่าแล้วเธอก็เดินหน้าต่อไปอย่างไร้ซึ่งจุดหมายปลายทาง  โดยหวังว่าไม่วันใดวันหนึ่งก็ต้องได้พบสามีของเธอแน่นอน

 

               จนตกเย็น  เธอก็มาถึงวิหารของเทพีเดมีเตอร์  ซึ่งเธอก็อ่อนล้าจากการเดินทางตากแดดตากลมมาทั้งวันเหลือเกิน  จึงจะขอเข้าไปอาศัยร่มเงาของวิหานอนพักให้คลายเหนื่อย 

 

             แต่เมื่อเข้าไปในวิหารก็พบว่ามีกองพืชพันธุ์ธัญญาหารวางระเกะระกะไปหมด  เห็นได้ชัดว่าพวกชาวไร่ชาวนานั้นเก็บเกี่ยวมาทั้งวันจึงอ่อนแรงเกินกว่าจะจัดวางให้เป็นระเบียบได้  ไซคีจึงจึงจัดการเก็บกวาดและเรียงผลผลิตเหล่านั้นให้สะอาดเรียบร้อย

 

               ซึ่งเทพีเดมีเตอร์นั้นพอใจมากที่ไซคีช่วยเก็บกวาดวิหารให้ตน  และทราบเรื่องราวของเธอและอีรอสดี  จึงปรากฏกายให้เธอเห็นและแนะนำ

 

            “ไซคีเอ๋ยเจ้าช่างเป็นสาวน้อยที่มีจิตใจดีมากคนหนึ่งข้ารู้ซึ่งสิ่งเจ้าต้องการ….เจ้าเดินทางยาวนานตามหาใคร

 

          “….ฟังเถิดเจ้าหญิงผู้เป็นมิ่งแห่งวิญญาจงมุ่งหน้าไปยังวิหารแห่งอะโฟรไดที  และเอ่ยวจีสวดอ้อนวอน  เจ้าอาจได้พรแห่งรักสมอุรา

 

             ไซคีก็ได้ออกเดินทางตั้งแต่รุ่งสางด้วยหัวใจเบ่งบาน  เมื่อมาถึงวิหารแห่งอะโฟรไดที  เธอก็ได้คุกเข่าลงและอ้อนวอนภาวนาให้อะโฟรไดทีช่วยให้เธอได้พบกับสามีอีกครั้ง

 

               อะโฟรไดทีไม่เพียงจะไม่ปฏิเสธคำขอร้องของเธอ  แต่ยังรับปากอีกด้วยว่าจะช่วย

 

               อ๊ะ!อ๊ะ!  อย่าคิดว่าเจ้าแม่แห่งความรักผู้นี้จะหายเกลียดชังเจ้าหญิงน้อยผู้งามกว่านางแล้วนะครับ

 

              อะโฟรไดทีรับปากก็จริง  แต่มีเงื่อนไขมหาหินมหาโหด  3  ข้อด้วยกัน  ถ้าทำไม่ได้แม้แต่ข้อเดียว  ต้องเลิกพูดกันทันที

 

              ประการแรก  หลังจากที่ไซคีได้พักผ่อนแล้วหนึ่งคืน  อะโฟรไดทีก็พาเธอมาที่ห้องแห่งหนึ่ง  ซึ่งในห้องนั้นมีเมล็ดพันธุ์พืชหลายชนิดปะปนกับเต็มพื้นไปหมด

 

          “ดูเถิดบนพื้นมีเมล็ดมากมายหลายชนิด  จงคัดแยกออกจากกันอย่าให้ผิด  ก่อนอพอลโลผู้ศักดิ์สิทธิ์จะจากจร  อะโฟรไดทีกล่าว  แล้วข้าจะกลับมาในยามนั้น  หากไม่ทันก็ไร้คำใดๆ  เจ้าต้องไปให้ไกลก่อนราตรี

 

              ไซคีเห็นกองภูเขาย่อมๆของเมล็ดพืชหลากหลายนี้  ก็แทบอยากจะร้องไห้  แต่เธอก็ปลอบใจตัวเองว่าต้องเข้มแข็ง  ถ้าเธอทำได้ทั้งหมด  เธอก็จะได้พบอีรอส

 

              ทางฝ่ายอีรอส  ซึ่งยังคงรักเธอไม่เสื่อมคลายและแอบเฝ้าดูแลคุ้มครองเธอเสมอ  ก็ได้ส่งกองทัพมดไปช่วยเธอ  ซึ่งไซคีทั้งประหลาดใจและดีใจ  ที่อยู่ๆก็มีมดมากมายเดินเข้ามาและช่วยคัดแยกเมล็ดพันธุ์  แรงงานแสนขยันนี้ก็คัดแยกเมล็ดพันธุ์ทุกเมล็ดอย่างเรียบร้อยก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน

 

             ไซคีกล่าวขอบคุณพวกมด  ซึ่งมันก็รีบแยกย้ายกันกลับรังเพราะมันได้ทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเสร็จแล้ว

 

               เมื่อตะวันคล้อยต่ำดั่งจะจุมพิตห้วงธรณี  เทพธิดาอะโฟรไดทีก็เยื้องย่างมายังมหาวิหารด้วยอารมณ์แสนสดใส  ด้วยคิดว่าเจ้าหญิงน้อยนั้นทำงานที่ตนสั่งไม่ได้แน่  ยิ่งเห็นไซคีก้มหน้างุดเมื่อเห็นตนก็ยิ่งนึกว่าตนเป็นฝ่ายชนะ

 

           แต่พอเข้าไปในห้องเก็บเมล็ดพืชแล้ว  เจ้าแม่แห่งความรักและความงามก็ต้องเก็บอารมณ์โมโหแทบไม่ทัน  เมื่อเห็นว่าทั้งห้องนั้นสะอาดเรียบร้อย  เมล็ดพันธุ์ทุกเมล็ดถูกแยกตามชนิดใส่ในแต่ละกระสอบที่วางเรียงรายอยู่ข้างฝา 

 

                 อะโฟรไดทีเชิดใบหน้าขึ้นและมองไซคีที่ยิ้มอย่างอ่อนหวานจริงใจให้นาง  แต่สายตาของอะโฟรไดทีนั้นเย็นชาและเกลียดชัง  นางกล่าวกับเจ้าหญิง

 

           “จงยิ้มไปก่อนเถิดไซคี  แต่อย่านึกจะมีทางชนะอีกต่อไป

 

              เทพีแห่งความงามก็ส่งขนมปังอันหยาบกระด้างให้ไซคี  และนางก็จากไป

 

             เมื่อดวงจันทราจากลาสุริยาเคลื่อนมาแทน  อะโฟรไดทีก็มาหาไซคีอีก  นาสั่งให้เจ้าหญิงน้อยข้ามแม่น้ำไปเก็บขนแกะจากฝูงแกะที่มีขนเป็นทองคำมาทุกตัว ซึ่งแกะพวกนี้มันดุร้ายมาก  เทพีแห่งความงามก็ถามไซคีกลั้วด้วยเสียงหัวเราะเยาะ

 

           “แกะทองคำพวกนี้  ช่างมีฤทธีมากมาย  หากว่าตัวนั้นเจ้ากลัวตาย  จะกลับกายกลับใจก็ใคร่ทัน

 

               แต่ไซคีก็ตอบด้วยความกล้า

 

          “โอ้  ท่านเทวีผู้สูงศักดิ์  ข้ารู้สึกซึ้งใจนักที่ท่านห่วง  หากยามนี้ข้าไร้ซึ่งสิ่งทั้งปวง  จะแตกดับหรือโชติช่วงไม่ต่างกัน

 

               แล้วไซคีก็มุ่งหน้าออกจากวิหารไปยังสายธาร  เธอก็เห็นฝูงแกะขนทองคำกำลังเล็มกินยอดหญ้าสีเขียวขจีอยู่ฝั่งตรงข้าม  เจ้าหญิงน้อยจึงถลกชายกระโปรงขึ้นเหนือเข่าเพื่อเตรียมจะลุยน้ำ  แต่แล้วนางก็ได้ยินเสียงที่ฟังเป็นมิตรดังขึ้นมา

 

             “เจ้าหญิงเจ้าหญิงหยุดก่อนเจ้าหญิง  หากไปในยามนี้  ก็เห็นทีวายชีวา  เนื่องด้วยตอนนี้เชษฐาดวงจันทรา  สถิตย์ฟ้าแสงส่องแสนเจิดจ้า  แกะเลอค่ายิ่งแสนร้ายเหนือคณา  จงรอก่อน..รอจนตะวันผ่อนอ่อนแสงล้า  เมื่อนั้นมันจะหยุดนิ่งทอดกายา  เข้าสู่ห้วงนิทราทุกตัวตน  แล้วเจ้าจึงค่อยข้ามพ้นสายธารา  เก็บเส้นทองคำที่ติดตามหนามพฤกษา  นำไปถวายเทพธิดาผู้ต้องการ

 

              ไซคีก็ทำตามคำแนะนำ  เธอเฝ้าคอยจนบ่ายคล้อย  ซึ่งดวงอาทิตย์ลดแสงอันร้อนแรงลง  พวกแกะขนทองคำก็พากันล้มตัวลงนอนตามเงาไม้ 

 

               เจ้าหญิงน้อยก็ข้ามลำธารและไปเก็บขนแกะที่ติดอยู่ตามไม้หนามจนได้เต็มกระสอบ  แล้วจึงกลับไปหาอะโฟรไดที

 

             เทพธิดาก็ยิ่งฉุนไปใหญ่  ที่ไซคีไม่ถูกฝูงแกะที่ดุร้ายรุมทำร้ายจนตายที่ไปเอาขนของมันมาอย่างนี้  นางก็ยื่นเปลือกขนมปังแข็งๆหนึ่งชิ้นให้ไซคีให้รับประทานเป็นอาหาร  แล้วนางก็จากไปเช่นเดิม

 

               ไซคีก็กัดขนมปังแสนอนาถานั้นด้วยความหิว  แต่ในใจของเธอกลับมีแต่ความสุข  เพราะเหลืองานเพียงชิ้นเดียวก็จะได้พบกับสามีผู้เป็นที่รักยิ่งของเธอแล้ว  เขาเป็นสิ่งเดียวที่เหนี่ยวรั้งหัวใจของเธอไว้ไม่ให้ยอมแพ้กับสิ่งยากลำบากต่างๆที่เผชิญมาแล้ว  รวมถึงสิ่งต้องเผชิญต่อไปในภายภาคหน้า  เธอล้มตัวลงนอนอย่างอ่อนล้า  และคิดว่าวันพรุ่งนี้จะมีอะไรรอเธออยู่

 

                 รุ่งเช้าอะโฟรไดทีก็มาบอกไซคีถึงภารกิจอย่างสุดท้าย

 

            “สิ่งที่สามซึ่งข้าให้ทำนั้นแสนสบาย  เพียงบ่ายหน้าไปยังเฮดีสที่มืดมิด  มอบหีบทองปิดสนิทให้เปอร์เซฟโฟนี  บอกว่าตัวข้านี้เทพธิดาอะโฟรไดที  ขอแบ่งปันความโสภีจากจอมนาง 

 

            เจ้าหญิงน้อยฟังก็ถึงกับอึ้ง  งานชิ้นนี้เธอคงทำไม่ได้แน่  ฟังดูเหมือนจะง่ายก็จริง  แต่ว่าไม่มีใครเข้าไปในเฮดีสทั้งที่เป็นๆนี่นา 

 

              เธอเดินไปก็ร้องไห้ไป  แต่ว่าน้ำเสียงอ่อนโยนที่เคยช่วยเธอไว้ก็ดังแว่วมาตามสายลม

 

          “จะร้องไปก็ไร้ประโยชน์เปล่า  มาเถิดข้าจะเล่าบอกเส้นทางข้างล่างให้  เช็ดน้ำตาแล้วนิ่งเถิดแม่ยาใจ  ไม่มีสิ่งใดไซร้ไกลเกินจริง

 

              เสียงนั้นแนะนำเส้นทางที่ปลอดภัยโดยให้เธอลงเรือแจวข้ามแม่น้ำแอคเคอรอน  ซึ่งจะมีชายแก่ชื่อแครอนเป็นคงพาย  และเธอต้องจ่ายเงินให้เขา

 

             จากนั้นก็ต้องผ่านเซอร์บิรัสสุนัขสามหัวซึ่งมีหางเป็นอสรพิษ  เธอต้องอย่ากลัวและร้องเพลงให้มันฟัง  แล้วมันก็จะสงบ  ซึ่งเธอก็จะผ่านเข้าไปได้และให้ออกมาด้วยวิธีเดิม

 

               แล้วเสียงนั้นยังย้ำอีก  ว่าเธอจะต้องไม่กินอาหารของโลกบาดาลเป็นเด็ดขาด  เพราะถ้าเธอกินเข้าไปเธอก็ต้องติดอยู่ที่นั่นตลอดกาล  ซึ่งมันเป็นกฎที่ไม่มีใครฝืนได้  แม้แต่ผู้เป็น  เทพอย่างเปอร์เซพโฟนีก็ยังต้องอยู่ที่นั่นตามจำนวนเมล็ดทับทิมที่กินเข้าไป 

 

              อีกทั้งเธอจะต้องไม่เปิดหีบเป็นอันขาด  ไม่ว่าจะอยากรู้เพียงไรก็ตามว่ามีสิ่งใดอยู่ข้างใน

 

              ไซคีรับปากเสียงผู้ปรารถนาดีอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ  แล้วเธอก็ลงไปตามทางที่เขาบอก  เธอจ่ายเงินให้แครอน  ชายแก่ก็พาเธอข้ามไปเฮดีส  พบกับเซอร์บิรัสก็กล่าววาจาอันอ่อนโยนและร้องเพลงให้มันฟัง  มันก็กลายเป็นสุนัขเชื่องๆธรรมดาๆตัวหนึ่งเท่านั้น(ยกเว้นหัวสามหัว  หางเป็นงู  และตัวใหญ่อย่างกับยักษ์)

 

                และเธอก็เข้าเฝ้าราชินีแห่งโลกบาดาล  และบอกจุดประสงค์ที่มา

 

                ซึ่งเปอร์เซฟโฟนีรับหีบแล้วก็ให้เธอนั่งรอ  นางก็เข้าไปข้างใน  ชั่วครู่เทวีแห่งเฮดีสก็ออกมาแล้วมอบหีบคืนให้ไซคี

 

                 เมื่อไซคีออกมาจากเฮดีสแล้ว  เธอก็ใคร่รู้ว่าความงามที่อะโฟรไดทีให้มาขอจากเปอร์เซฟโฟนีมันมีหน้าตาอย่าไร  และอีกนัยหนึ่ง  เธอก็อยากได้ความงามสักนิดมาเติมให้ตนเอง  เพราะหลังจากอีรอสจากไป  เธอก็ทั้งรอนแรมมาไกลรวมถึงต้องตรากตรำทำงานอีก  เธอคงจะดูโทรมลงกว่าเดิมลงไปถนัดตา เธออยากดูสวยให้มากที่สุดเมื่อได้เจออีรอส

 

               เจ้าหญิงน้อยจึงเปิดหีบออก  ซึ่งก็มีควันขาวดั่งหมอกพวยพุ่งออกมา  แล้วสติเธอก็เลือนลงเข้าสู่ห้วงนิทรา

ความคิดเห็น

ยังไม่มีความคิดเห็น