ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Ending [ทำมือ] MONSTER' N DIRTY สัมพันธ์อสูร

    ลำดับตอนที่ #5 : MONSTER' N DIRTY สัมพันธ์ครั้งที่ 04 [140%]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 12.22K
      146
      15 เม.ย. 60



    Image result for dark hot gif tumblr


    สัมพันธ์ครั้งที่ 04
         
           หลายวันผ่านไป

    นรกบนดินมันเป็นแบบนี้นี่เอง

    ตลอดหลายวันที่ผ่านมาฉันแทบไม่ได้คุยกับเตโช ตั้งแต่ที่เขาย่ำยีฉันจนสาแก่ใจก่อนพาส่งโรงพยาบาล เขาก็ลากฉันกลับมา หาเชือกเส้นใหญ่ๆ ผูกกับเสาต้นหนึ่ง และใช่ ฉันถูกล่ามเหมือนสัตว์ เขาสวมปลอกคอให้ฉัน ทำเหมือนฉันไม่ใช่คน

    ลำพังแค่เชือกเส้นเดียว ฉันคิดว่าตัวเองมีปัญญาเอาออกได้ง่ายๆ แต่เพราะเตโชฉลาดเป็นกรด เอากุญแจมาล็อกปมเชือกตรงเสาอีกที ฉันจึงทำอะไรไม่ได้

    จะเข้าห้องน้ำแต่ละที... ฉันต้องบอกมันทั้งที่ไม่อยากจะเสวนา

    หิวข้าวแทบตาบ แต่ก็ไม่อยากลดตัวลดศักดิ์ศรีเพื่อขออาหารกิน เอาจริงๆ หลายครั้งเขาก็เอาอาหารมาให้ แต่ด้วยทิฐิ ด้วยความเกลียด ฉันจึงขว้างมันทิ้ง บางทีมันเอาอะไรร้อนๆ มาให้ฉัน... ฉันก็สาดใส่หน้ามัน

    สะใจดี แต่ยังไม่สะใจพอ

    “...”

    “...”

    ส่วนตอนนี้... ฉันยังคงนั่งนิ่งอยู่ตรงจุดที่ตัวเองไม่ไหนไม่ได้ขณะรอบคอยังคงถูกสวมด้วยปลอกคอ เบื้องหน้าคือเตโช... มันนั่งตรงปลายเตียง จ้องหน้าฉันด้วยแววตาอ่านยาก

    หลายนาทีแล้ว เหมือนเรากำลังเล่นสงครามประสาทกัน

    “หิวไหม?” แต่สักพักหนึ่งเขาก็ปริปากถาม... มันกลบทับความเงียบที่เข้ามามีบทบาทอยู่ร่วมสิบนาทีก่อนหน้านี้ แน่นอนว่าฉันไม่ตอบ ส่งผลให้เตโชบิดยิ้มร้ายกลับมา รอยยิ้มที่สร้างความเย็นเยียบไปถึงขั้วหัวใจ

    “...”

    “พูดแล้วไม่พูดด้วย เหงาจัง” เตโชทำเสียงหงอย หากแต่สีหน้าไม่เป็นไปตามคำพูด

    ฉันเขยิบหนีตามสัญชาตญาณเมื่อเห็นเขาเริ่มขยับตัวอีกครั้ง ไม่นานก็ตรงเข้ามานั่งยองๆ ตรงหน้า หลุบสายตามองสารรูปของฉันที่บอกตามตรงว่าย่ำแย่เต็มที

    มันจับฉันใส่เสื้อยืดตัวใหญ่ๆ เพียงตัวเดียว เสื้อที่มีแต่กลิ่นของมัน...

    “...” ฉันกัดริมฝีปาก กำหมัด ที่นิ่งไม่ใช่ว่ายินยอม แต่กำลังหาโอกาส และตอนนี้ฉันรู้ว่าอะไรคือ จุดอ่อนของมัน 

    หมับ กึก

    เมื่อฉันไม่ตอบโต้ เขาจึงรวบเส้นผมยาวๆ ของฉันไว้ในกำมือ ออกแรงกระตุกเพียงเล็กน้อยเพื่อให้ฉันแหงนหน้าขึ้นมองหน้าในองศาที่ต้องการ

    “ถามอีกครั้ง... หิวข้าวไหม ไม่สิ ต้องถามว่าจะยอมกินดีๆ ไหม” ฉันเหลือบมองบริเวณสันกรามที่แดงเถือกจากการโดนน้ำเต้าหู้ลวกเมื่อช่วงเช้า และใช่ ฝีมือฉันเอง

    เล็งพลาดไปนิดหน่อย คราวหน้าจะเล็งดวงตา...

    “ไม่กิน!” ฉันตะคอกเมื่อแรงตรึงของเส้นผมเริ่มหนักหน่วงขึ้น ความจริงฉันก็ไม่ได้อดจนขาดแคลน เพียงแต่ฉันไม่กินมันต่อหน้าเขา และบางทีก็กินได้เพียงคำสองคำ

    อย่างที่บอก เพราะมันเป็นของเตโช ส่วนใหญ่ฉันจึงปฏิเสธ

    “งั้นตามใจเนอะ ตายขึ้นมาอย่าโทษฉันละกัน อิๆ” เตโชหยัดตัวขึ้น เขาทำท่าจะเดินไปที่ไหนสักที่ ทว่าเสียงสัญญาณหน้าห้องทำให้เขาชะงักเท้าอย่างช่วยไม่ได้

    มะ มีคนมา... 

    “...” ฉันรีบมองบานประตูที่คาดว่ามีคนอยู่อีกฟาก ไม่ว่าใคร... อย่างน้อยเขาก็คงจะดีกว่าผู้ชายที่ชื่อเตโช

    หวังว่าอย่างนั้นนะ

    แกรก

    เตโชเดินไปเปิดประตูให้บุคคลที่สามทันที แต่ฉันแอบเห็นเขาแง้มดู... พูดคุยกับใครสักคนตรงนั้นไม่ยอมเปิดประตูกว้างๆ เพื่อให้เข้ามา

    ปึง...

    เพียงไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น เตโชก็หมุนตัวกลับมา เขาตรึงสายตาไว้ที่ฉัน เบี่ยงไปปลดเชือกที่ผูกไว้กับเสาออก

    “อึก...” ฉันหน้าแดงเมื่อเตโชกระตุกเชือกจนร่างกายเขยื้อนไปตามแรงเล็กน้อย สัญชาตญาณบอกให้ฉันลุกขึ้นเพื่อลดทรมานจากการหายใจไม่ออก อยากยื้อ... แต่ปลอกคอมันพอดีกับลำคอของฉันเลยน่ะสิ “จะพาไปไหน!” ฉันตะคอกถามเมื่อเตโชจูงฉันเข้าไปในห้องเก็บของขนาดเล็ก ซึ่งในนั้นมีแต่กล่องลัง และอะไรต่อมีอะไรกระจัดกระจายไร้ระเบียบ

    “อยู่ในนี้นะ” เตโชผูกเชือกและล็อกกุญแจไว้มุมหนึ่งของห้อง โดยครั้งนี้มันหาเชือกมาผูกข้อมือฉันไว้เป็นการสำทับ เลวร้ายกว่านั้นยังเอาเทปปิดปากฉันไว้จนตอนนี้ไม่สามารถทำอะไรได้แม้แต่การส่งเสียง

    เตโชจัดการทุกอย่างเสร็จสรรพซึ่งใช้เวลาเพียงหนึ่งนาทีเท่านั้น

    “อื้อ!” ฉันเปล่งเสียง แต่กลับอู้อี้แทบไม่ได้ยิน

    “ฉันจะแง้มประตูเอาไว้... เธอเป็นอะไรขึ้นมาฉันเห็นเธออยู่แล้ว” พูดจบเตโชก็ออกจากห้องไป ก่อนสอดมือเข้ามาคล้องโซ่ตรงบานประตู แน่นอนว่าการคล้องโซ่เอาไว้โดยไม่ล็อกทำให้ฉันสามารถมองผ่านช่องว่างได้ และนั่นทำให้ฉันได้เห็นเตโชกับผู้หญิงคนหนึ่ง...

    น่าจะเป็นคนเมื่อครู่นี้

    ผู้หญิงคนนั้นกอดเตโช ซุกไซ้ เคลียคลอ ก่อนผลักเขาล้มลงบนเตียง

    ให้ตาย... องศาการมองเห็นของฉันมันพอดีกับเตียงที่พวกนั้นกำลังใช้เป็นสนามรัก และใช่ มันเป็นจุดเดียวกันที่เตโชใช้ทำร้ายฉันจนป่วยหนักมาหลายวัน

    “ช่วงนี้เตไม่ค่อยรับโทรศัพท์เค้าเลย โทษฐานที่ทำให้เค้าน้อยใจ... เตต้องรับผิดชอบนะ”

    “ตามสบายเลยครับ... เพราะในนี้มีแค่ เราสองคน’" 

    สองคนเหรอ เหอะ

    ฉันอยากจะแค่นหัวเราะให้กับความตอแหลของเตโชแต่ก็ทำไม่ได้ สุดท้ายเลยเบือนสายตาหลบเพราะไม่อยากดูภาพทุเรศๆ ของผีเน่ากับโรงผุ

    ไม่รู้หรอกว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร แต่ถ้ามองเตโชเป็นผู้ชายธรรมดาได้ก็คงจะประสาทพอกัน

    “อือ...” ทว่าเสียงครางแหบทุ้มทำให้ฉันต้องหันกลับไป ไม่รู้สิ เหมือนมีอะไรสั่งให้ฉันทำอย่างนั้น กระทั่งได้เห็นว่าเตโชซึ่งถูกคร่อมกำลังมองมาทางนี้ ยกยิ้มมุมปากเหมือนเยาะเย้ย...

    ฉันไม่รู้ว่าเตโชกำลังจะสื่ออะไร เพราะสิ่งเดียวที่รับรู้ได้คือการดูถูกเหยียดหยาม เวลาปกติถ้ามันเห็นฉันเป็นอากาศแล้วปล่อยไปก็ดีอยู่หรอก แต่นี่ไม่ใช่...

    จับฉันมัด จับฉันล่าม... ทำกับฉันสารพัดสารเพแต่กลับบอกกับผู้หญิงคนนั้นว่าอยู่กันแค่สองคน

    Bitch

    ฉันขบฟันจนปวดไปถึงสันกรามเมื่อรอยยิ้มดังกล่าวเริ่มชั่วร้ายขึ้นเรื่อยๆ และขณะเดียวกันเสื้อผ้าที่เขาสวมก็ค่อยๆ หลุดออกทีละชิ้น ยัยผู้หญิงคนนั้นปลดเข็มขัดของเตโชแล้วโยนมาแถวๆ นี้...

    “เค้าคิดถึงเตจังเลยค่ะ” ฝ่ายหญิงกระซิบเสียงพร่าขณะเลื่อนฝ่ามือเล็กๆ ไปลูบคลำบริเวณเป้ากางเกง วูบนั้นเตโชเลื่อนสายตากลับไป กัดริมฝีปากเพื่อข่มกลั้นตัวเอง ฉันรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้นจึงเบือนหน้าหนีอีกครั้ง

    คราวนี้หันหลังให้บานประตู พยายามทำหูทวนลมไม่รับรู้อะไร

    ทว่าระหว่างนั้นสายตาก็พลันเหลือบเห็น บางอย่างซึ่งคาดว่าเป็นของเตโช เขาทำตกเอาไว้และคงไม่รู้ตัว

    หึ...

     

     


    หลายนาทีผ่านไป... ฉันยังนั่งอยู่ในนี้เหมือนเดิมเพราะไปไหนไม่ได้ ทำเป็นไม่รับรู้ถึงการมีตัวตนของสิ่งมีชีวิตสองตัวด้านนอก

    ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกนั้นยังทำเรื่องสกปรกๆ กันอยู่ไหม ไม่รู้และไม่อยากรับรู้ด้วย

    กึก

    ฮะ เฮือก...

    เหมือนอ่านใจกันได้ยังไงยังงั้น เพราะหลังจากนั้นเพียงไม่กี่วินาทีประตูก็ถูกเปิดเข้ามา แรงผลักจากคนด้านนอกทำให้บานประตูไม้กระแทกแผ่นหลังพอดี ฉันสะดุ้ง รีบหันกลับไปมองผู้มาใหม่ด้วยความตกใจ

    ตายยากชะมัด เพิ่งบ่นถึงก็โผล่หัวมาให้เห็น!

    ฉันแหงนหน้าขึ้นมองเขา เตโชไม่ได้สวมเสื้อ กางเกงยีนสีซีดก็ดูไม่เข้าที่เข้าทางเหมือนใส่มันลวกๆ เร็วๆ เพื่อจะเดินมาที่นี่

    “ไม่สนุกเลย” เตโชบ่นพึมพำพลางเบะปากเหมือนเด็ก เขาย่อตัวลงมาก่อนแกะเทปกาวจากริมฝีปากฉัน ถึงเขาจะดึงมันออกไม่แรงนักแต่ก็รู้สึกเจ็บแปลบๆ อย่างบอกไม่ถูก “พอมีเธออยู่แล้วทำไมไม่ลง” เขากระซิบ

    ...ส่วนฉันชะงัก

    พล่ามอะไร ขนลุกสิ้นดี!!

    “จะทำอะไรก็เรื่องของแก” ฉันเขยิบห่าง แต่ไอ้จอมหน้าด้านกลับตามมา

    มันเป็นอยู่อย่างนั้นสักพักหนึ่งกระทั่งแผ่นหลังของฉันทาบติดกับกล่องลังกองมหึมาซึ่งวางทับกันในระดับความสูงที่เลยศีรษะขึ้นไปประมาณครึ่งเมตร

    “ก็ทำไม่ลงอ่ะ” เตโชค้อมร่างฉันไว้ด้วยร่างกายสูงใหญ่และท่อนแขนหนา กลิ่นกายของมันทำให้ฉันเวียนหัว ทั้งน้ำหอม กลิ่นบุหรี่ และกลิ่นบุรุษเพศที่ฉันได้กลิ่นหลายคืนติดต่อกัน

    จะอ้วก

    “แล้วมาบอกฉันหาพระแสงอะไร!” ฉันถามเสียงดัง ยกข้อมือทั้งสองที่ถูกมัดด้วยเชือกป้องกันตัวเองจากการคุกคามของไอ้ชั่วที่กำลังเอียงคอเล็กน้อยเหมือนหมาจรจัดไร้เจ้าของ

    “คิดเองไม่เป็นเหรอ ต้องบอกทุกเรื่องเลย” เตโชพยายามจะขยับหน้าเข้ามาใกล้ แต่ฉันต่อต้าน เบี่ยงหลบ ส่งผลให้ปลายจมูกโด่งเฉียดปลายจมูกและผิวแก้มแทนที่จะเป็นริมฝีปาก

    “ฉันไม่อยากคิดเรื่องเกี่ยวกับแกต่างหาก รกสมอง เสียเวลา” ฉันขบฟัน มีหลายล้านคำที่อยากใช้ด่ามันให้สาสม แต่เอาเข้าจริงๆ ฉันกลับพูดอะไรที่มันไม่สะเทือนเตโชแม้แต่รูขุมขน “ไปไกลๆ!

    ยิ่งใกล้เท่าไหร่... ฉันยิ่งได้กลิ่นที่ปนเปมากับกลิ่นของเขา นั่นยิ่งทำให้ดูน่าขยะแขยงเข้าไปใหญ่

    “ให้มันจริงเถ้อออ” เตโชลากเสียงยาวอย่างรู้ดี “แน่ใจเหรอว่าไม่คิดเกี่ยวกับฉัน จริงป่ะเนี่ย”

    “ฉันคิด”

    “...”

    “คิดว่าแกสมควรไปตายให้หนอนแทะไงไอ้เตโช!




    บทบรรยาย เตโช

    “ปากดีอีกแล้ว หัดพูดดีๆ เหมือนนิวหน่อยสิ... เตคะ เตขาน่ะพูดเป็นหรือเปล่า หือ?” ผมหมายถึงยัยผู้หญิงหุ่นเอ็กซ์ที่เพิ่งเข้ามาในห้องเมื่อเกือบครึ่งชั่วโมงก่อน ยัยนั่นชื่อนิว เป็นผู้หญิงช่างตื๊อ น่ารำคาญนิดหน่อยแต่ขี้เอาใจ

    ปกติเวลามีผู้หญิงมาหาถึงคอนโดฯ ผมไม่ค่อยขัดศรัทธาพวกเธอหรอก เว้นเสียแต่ไม่มีอารมณ์หรือเบื่อจนไม่อยากคุย ก็อย่างที่เคยบอก... ผมไม่ชอบมีความสัมพันธ์กับใครซ้ำๆ อย่างมากก็แค่ครั้งสองครั้ง ยัยนิวอะไรนั่นผมเลิกติดต่อมาสักพักเพราะเบื่อ แต่ก็นะ เธอดันมาถูกจังหวะพอดี

    แค่อยากรู้ว่าเอื้องขวัญจะมีปฏิกิริยายังไงถ้าผมให้นิวทำเรื่องอย่างว่า... ช่วงแรกๆ ยัยนั่นแอบมองผมผ่านช่องว่างของบานประตู แต่พอผ่านไปเรื่อยๆ ยัยนั่นกลับหายไปจากรัศมีสายตาประหนึ่งว่าไม่แคร์หากผมจะมีอะไรกับผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ใช่เธอ

    ผมพลาดนี่หว่า...

    พลาดที่ลองใจกับคนอย่างเอื้องขวัญ คนอย่างยัยนั่นไม่ใช่คนที่ผมจะประเมินได้ง่ายๆ

    เหมือนความเกลียดที่ยัยนั่นมีต่อผม... สิ่งนั้นก็เปลี่ยนไม่ได้เหมือนกัน

    อ่า คิดอะไรแปลกๆ อีกแล้วนะไอ้เต

    "ฉันพูดดีกับทุกคนยกเว้นแก"

    “งี้ฉันก็เป็นกรณีพิเศษสินะ อิๆ” ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย ถ้าหากผมเป็นหนึ่งเดียวสำหรับยัยนั่น มันก็โอเคนะ... เพราะผมมันเป็นพวกเรียกร้องความสนใจไง “อ่ะๆ ไม่แกล้งละ ไปกินข้าวกัน” ผมชวนเอื้องขวัญอีกครั้ง

    เชื่อไหมว่าวันนี้ผมตื่นแต่เช้าเพื่อออกไปซื้อน้ำเต้าหู ปลาท่องโก๋หน้าปากซอย แต่ปรากฏว่ายัยนั่นกลับสาดน้ำเต้าหู้ร้อนๆ ใส่หน้าผมซะงั้น... จนถึงตอนนี้ผมยังแสบๆ ไม่หายเลย

    ดื้อดีนัก เลยหาเชือกมามัดข้อมือซะเลย

    มีมือไว้ใช้งานดีๆ ไม่ชอบ สงสัยอยากอยู่อย่างคนพิกลพิการ

    “ฉันบอกว่า อ๊ะ!” ผมรู้ว่าเอื้องขวัญต้องปฏิเสธ คราวนี้เลยไม่สนใจเสียงนกเสียงกา จัดการปลดเชือกแล้วลากออกมาจากห้อง ผมไล่นิวกลับไปแล้ว เพราะงั้นตอนนี้จึงมีเราสองคนเหมือนอย่างที่เคยเป็น

    “จะกินหรืออยากโดนปล้ำ เลือกเอา” ผมขู่ทันทีที่พามาถึงห้องครัว จัดการเอาโจ๊กสำเร็จรูปที่ซื้อมาไว้ตั้งแต่เมื่อวานเข้าเครื่องเวฟ “ตอบ...” ผมกระตุกเชือกจนเจ้าตัวถลาเข้ามาชนกับแผงอก

    “ไม่กิน ไม่เอาอะไรทั้งนั้น!” เอื้องขวัญยืนแทบไม่อยู่ ตั้งแต่มาอยู่นี่กินข้าวแทบนับครั้งได้ ไม่เซ ไม่หมดแรงก็บ้าแล้ว

    “กฎของการอยู่ที่นี่...” ผมก้มหน้าลงไปเพื่อเน้นย้ำคำพูดที่ยัยนั่นควรจำเอาไว้ “เธอต้องเลือกว่าจะทำหรือไม่ทำ ถ้าทำก็จบ แต่ถ้าเธอไม่ทำ... ฉันจะ...”

    “อ๊ะ!” เอื้องขวัญเบิกตาโพลง เผลอปล่อยเสียงร้องเพราะผมจงใจกดริมฝีปากลงบนกลีบปากนุ่มแรงๆ ก่อนผละออกมา

    ติ๊ง!

    ผมยิ้มมุมปากหลังจากนั้น... เป็นเวลาเดียวกันที่ไมโครเวฟส่งสัญญาณ ผมเอาโจ๊กที่เพิ่งอุ่นจนร้อนออกมา ตักใส่ช้อนและยื่นไปจ่อริมฝีปากของเอื้องขวัญ

    “อ้าปากเร็ว...” ผมสั่ง แต่เอื้องขวัญส่ายหน้าไปมา ส่งสายตาขยะแขยงกลับมา

    “ฉันไม่อยากกินของของแก”

    “งั้น...” ผมตักโจ๊กใส่ปากตัวเอง จากนั้นก็...

    กึก!

    “อื้อ!! แค่กๆ”

    ผมประกบริมฝีปากลงบนริมฝีปากยัยนั่น บังคับให้อ้าปาก ก่อนส่งโจ๊กอุ่นๆ เข้าไปในปากยัยนั่นด้วยริมฝีปากและปลายลิ้นของตัวเอง...

    กินดีๆ ไม่ชอบ ต้องให้ใช้วิธีซาดิสม์

    ก็ได้... จัดให้!



    ครึ่งชั่วโมงต่อมา

    “ไอ้สกปรก!

    “ช่วยไม่ได้ เธอดื้อเอง อิๆ” ผมยักไหล่สองทีอย่างไม่แยแสหลังจากป้อนข้าวป้อนน้ำเอื้องขวัญด้วยวิธีสุดพิสดารเสร็จสรรพ อันที่จริงสองนาทีก่อนผมจับยัยนั่นอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วแหละ ก็แหม... กว่าจะกินเสร็จอะไรเสร็จ เลอะเทอะเป็นบ้าเลย “ฉันจะออกไปข้างนอก อยู่เฝ้าบ้านดีๆ นะรู้เปล่า”

    ผมเดินไปหยิบเสื้อคลุมสีดำมาสวม ทำท่าจะก้าวเท้าออกจากห้อง แต่...

    “...” ผมวกกลับไปหาเอื้องขวัญอีกครั้ง

    ยัยนั่นถูกผมมัดไว้ใกล้กับจุดเดิม คราวนี้ถ้าอยากเข้าห้องน้ำก็เข้าได้สบาย 

    เมื่อวกกลับมาหยุดตรงหน้าเอื้องขวัญ เจ้าตัวก็ใช้นัยน์ตาแดงก่ำเหลือบมองผม ขยุ้มมือกับชายเสื้อแน่นจนเห็นเส้นเลือดปูด

    “จะกลับมาก่อนหกโมง” ผมบอกขณะก้มหน้ามองเอื้องขวัญ สิ่งที่ยัยนั่นตอบรับมาคือการสะบัดหน้าหนีเหมือนผมเป็นธาตุอากาศ

    โอเค!

    ผมเออออเองเสร็จสรรพ จ้องหน้ายัยนั่นเพียงไม่กี่วินาทีก็ก้าวเท้าออกมาจากห้อง

    จุดมุ่งหมายคือ รังของผม...

     



    ใช้เวลาไม่นานนักผมก็ขับรถมาถึงรังของตัวเอง ตรงนี้เป็นตึกที่พ่อผมสร้างไว้นานแล้ว ท่านตั้งใจจะทำอะไรสักอย่างแต่ก็ปล่อยรกร้างมาหลายปี ผมเลยยึดและทำเป็นรังของตัวเองซะเลย ลูกน้องคนไหนไม่มีที่ซุกหัวนอนผมก็ให้อยู่ที่นี่

    ถามผมเป็นใคร ทำไมถึงมีลูกน้องน่ะเหรอ

    อืม ความจริงพวกมันส่วนใหญ่รู้จักกับพ่อผมทั้งนั้น ท่านเป็นพวกชอบช่วยเหลือ เจอคนประสบปัญหาก็ยื่นมือเข้าช่วย เห็นเด็กถูกทิ้งก็ทำท่าจะรับมาเลี้ยงลูกเดียว

    แต่จะเลี้ยงทีเดียวยี่สิบสามสิบคนก็ไม่ไหว ท่านเลยรับแค่นลินและไอ้อักขระเข้ามาอยู่ในบ้าน ส่วนคนอื่นๆ ก็วิ่งตามผม เรียกผมว่าลูกพี่บ้าง หัวหน้าบ้าง โน่นนั่นนี่ สุดท้ายจึงเกิดความเคยชิน

    เดิมทีผมไม่ชอบช่วยเหลือคนเท่าไหร่หรอก ถ้าหากว่าเขาไม่ใช่คนที่ตัวเองรู้จักหรืออยากช่วยจริงๆ แต่บางที... ผมแค่อารมณ์ไม่ดี พอเจอไอ้กุ๊ยกำลังรังแกเด็ก เลยระบายโทสะด้วยการเล่นงานมันจนปางตาย แล้วคนที่ถูกช่วยไว้ก็วิ่งตามก้นผมต้อยๆ จนกลายเป็นหนึ่งในลูกน้อง... และหนึ่งในนั้นก็ หักหลังผมเรียบร้อย

    “ไอ้ กอร์นครับลูกพี่” เมื่อมาถึงรัง หนึ่งในลูกน้องก็รีบบอกชื่อไอ้เวรตัวหนึ่งที่ปล่อยข่าวเสียหายน้องสาวผม...

    นลินเป็นน้องสาวต่างสายเลือด พ่อผมรับมาเลี้ยง... และตอนนี้เธอท้องกับไอ้อักขระ เด็กอีกคนที่พ่อผมเพิ่งรับมาเลี้ยงได้ไม่กี่ปี

    ยังดีที่ไอ้อักขระไม่ได้ทำเอกสารเปลี่ยนนามสกุล มันจึงเป็นเพียงแค่เด็กนอกคอกในครอบครัว ความสัมพันธ์ของสองคนนั้นเลยไม่ผิดอะไร แต่ก็นั่นไง... เพราะมันทำนลินท้องทั้งๆ ที่ยังเรียนอยู่ ยัยน้องสาวตัวดีของผมจึงต้องพยายามปกปิดเพื่อกันไม่ให้ตัวเองถูกมองในแง่ลบ

    เด็กสมัยนี้ท้องก่อนวัยอันควรมีเยอะมาก... ถึงจะรับผิดชอบ แต่ก็ถูกมองว่าเป็นขยะสังคมอยู่ดี

    ยิ่งสองวันก่อนมีคนปล่อยข่าวว่านลินท้องกับน้องชายทั่วมหาวิทยาลัยยิ่งแล้วใหญ่ ยัยนั่นกลายเป็นผู้หญิงสกปรก เอาไม่เลือก ทั้งๆ ที่เรื่องพวกนี้มีคนรู้ไม่กี่คนเท่านั้น

    ผมให้ลูกน้องตามสืบจนรู้ว่าคนปล่อยข่าวคือไอ้กอร์น... หนึ่งในอดีตเด็กขี้ยาที่ผมเคยช่วยเหลือ

    เอาไงกับมันดีนะ?

     



    เมื่อรู้ว่าใครปล่อยข่าว ผมก็ออกจากรังมาพร้อมเรื่องที่ต้องคิด

    ตั้งใจจะกลับคอนโดฯ แต่ขับรถผ่านร้านสะดวกซื้อพอดีผมจึงแวะซื้ออาหาร ขนมนมเนย และผลไม้นิดๆ หน่อยๆ เผื่อเอื้องขวัญจะกิน...

    ถ้ายัยนั่นไม่กินเดี๋ยวผมกินเองก็ได้

    เมื่อได้ของครบตามที่ต้องการแล้วก็มุ่งหน้ากลับ แต่...

    ผมเห็นเด็กตัวน้อยกำลังปั่นรถหมีสามล้อข้างถนนใหญ่ คิ้วผมขมวดมุ่นขณะกวาดสายตาไปรอบๆ แต่ไม่เห็นผู้ปกครองคนไหนอยู่ในรัศมีเลย เด็กคนนั้นดูๆ แล้วอายุไม่น่าจะเกินสี่ขวบ

    “ช่างแม่ง ไม่ใช่เรื่องของกู” ผมไหวไหล่เมื่อตระหนักว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ตัวเองควรสาระแน แต่ว่านะ เด็กผู้หญิงผมสั้นคนนั้นกำลังปั่นรถหมีสามล้อออกสู่ถนนใหญ่...

    ใครเป็นพ่อเป็นแม่เด็กวะ... ทำห่าอะไรอยู่

    ผมถอนหายใจและรีบลงจากรถ ตั้งใจจะพาเด็กไปฝากไว้ที่ป้อมตำรวจไม่ไกลจากตรงนี้ ทว่า...

    ปี๊บ!!!!

    ตู้ม...

    ทุกอย่างรวดเร็วมาก และผมเองก็ไม่ทันได้คิดอะไร... รู้ตัวอีกทีก็พุ่งเข้าไปคว้าเด็กคนนั้นไว้ก่อนที่รถยนต์คันหนึ่งจะปะทะเข้าหา โชคดีที่ผมกอดเด็กคนนั้นไว้และกลิ้งเข้าหาฟุตบาธก่อนรถจะเหยียบเราจนเละไม่เป็นท่า

    อ่า... สัญชาตญาณล่ะมั้งเนี่ย ปกติผมเคยเอาชีวิตไปเสี่ยงเพื่อช่วยคนอื่นที่ไหนล่ะ

    ประหลาดแฮะ...

    “พี่ชายขา...” เสียงสดใสทำให้ผมก้มหน้ามองเด็กในอ้อมแขน เห็นว่าเขากำลังเงยหน้ามองผมอยู่ ผมจึงค่อยๆ ลุกขึ้นในสภาพคลุกฝุ่นโดยมีสายตาของประชาชีนับสิบมองมาอย่างให้ความสนอกสนใจ...

    ยืนมองอยู่ได้ เสือกเรื่องชาวบ้านเป็นอย่างเดียว แต่ไม่มีใครยื่นมือเข้ามาช่วยเด็กสักคน

    “พ่อแม่เราอยู่ไหน” ผมถามและเปลี่ยนมานั่งริมฟุตบาธ มองสภาพเด็กน้อยที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบดินทราย ตรงแขนมีรอยถลอกนิดหน่อย แต่ไม่แสดงออกว่าเจ็บเลย

    แล้วก็นะ ทันทีที่มองลึกเข้าไปดวงตากลมโตใสซื่อของเขา

    ...ผมรู้สึกกระตุกวูบที่หัวใจ

    “...” เด็กคนนั้นส่ายหน้า ก่อนชี้นิ้วไปยังรถหมีสามล้อที่ถูกรถยนต์เหยียบจนเละตุ้มเปะ 

    “แล้วมาเล่นตรงนี้ได้ไง” ผมถามอีก เริ่มรู้สึกเคล็ดเอวและขาแปลกๆ สงสัยเป็นเพราะแรงกระแทกฟุตบาธเมื่อครู่นี้แน่ๆ

    ไม่น่าเอาตัวเข้ามาเอี่ยวเลยกู เจ็บตัวฟรีเลยเนี่ย

    “โน่นๆ”

    “หือ” ผมเลิกคิ้วเมื่อเด็กนั่นชี้ไปยังร้านสะดวกซื้อ

    อะไรวะ 

    “ขะ ขอโทษครับ! ไม่เป็นอะไรมากกันใช่ไหมครับ!” ระหว่างที่ผมนั่งงงกับเด็กตรงหน้า อยู่ๆ ก็มีผู้ชายคนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาอย่างลนลาน สงสัยจะเป็นเจ้าของรถคันเมื่อกี้ “พอดีผมมัวแต่ก้มหาของ เงยหน้าขึ้นมาอีกทีรถก็อยู่ใกล้เด็กมากๆ แล้ว... เบรกเกือบไม่ทัน”

    “พาเด็กไปหาหมอสิ” ผมดันเด็กให้มัน ก่อนลุกขึ้นเตรียมกลับไปยังรถของตัวเองซึ่งจอดอยู่ไม่ไกล ทว่า...

    “บัวนิล!” ผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งวิ่งหน้าตื่นออกมาจากร้านสะดวกซื้อ เธอถลาเข้าไปหาเด็กคนดังกล่าวด้วยความเป็นห่วง อืม... นี่แม่เด็กใช่ไหม ทำไมเพิ่งโผล่หัวมา เสียงโครมครามดังสนั่นขนาดนี้...

    ผมชำเลืองมองด้วยหางตา

    “...” กระทั่งเด็กคนนั้นทำหน้าบึ้ง วิ่งเข้ามากอดขาผมเหมือนพยายามหลบผู้หญิงคนนั้น นั่นทำให้ผมงงหนักเข้าไปใหญ่

    “บัวนิล! วิ่งหนีทำไม” ผู้หญิงคนนั้นเริ่มทำหน้ายักษ์ แต่ทันทีที่เธอเงยหน้าขึ้นมองผม... ใบหน้าดุๆ สักครู่ก็เลือนหายไป หลงเหลือเพียงใบหน้าที่ฉาบทาไปด้วยความห่วงใย

    ตอแหลป่ะเนี่ย ผมดูออกนะ

    “แม่เด็กเหรอครับ เมื่อกี้เขาเกือบโดนรถชนน่ะ” ผมเอ่ยเสียงปกติ เด็กคนนั้นยิ่งขยุ้มนิ้วกับกางเกงผมมากขึ้น

    เจอหน้ากันเมื่อกี้เองนะ ทำเหมือนผมเป็นพ่อที่พลัดพรากกันมาหลายปีอย่างนั้นแหละ

    “เอ่อ... คุณช่วยบัวนิลไว้ใช่ไหมคะ ขอบคุณนะคะ” เธอก้มศีรษะให้ ทำท่าจะเข้ามาดึงเด็กที่ชื่อบัวนิล แต่เด็กนั่นยื้อตัวเองไว้ “นิล อย่าดื้อสิคะ” เสียงนั้นมีความกดดันอยู่กลายๆ

    “ค่ะ...” บัวนิลพยักหน้าอย่างกล้าๆ กลัวๆ ก่อนปล่อยมือจากกางเกงผม สักพักเขาก็หันกลับมา “พี่ชายขา”

    “?” ผมเลิกคิ้ว กระทั่งบัวนิลล้วงเอาอมยิ้มรสนมจากกระเป๋ากางเกงแล้วยื่นมาตรงหน้า

    “ขอบคุณค่ะ” บัวนิลยิ้มกว้างจนตาหยี ตอนแรกกะจะปฏิเสธ แต่เด็กคนนั้นคะยั้นคะยอให้รับไว้ ผมจึงรับมาและมองเขาเดินไปพร้อมคนเป็นแม่

    “เอ่อ แล้วคุณไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ” ผู้ชายคนนั้นยังไม่ไป มันหันมาถามผม “ผมเห็นคุณเลือดออก”

    หื้ม เลือดออกเหรอ... ตรงไหนวะ

    “ช่างผมเหอะ” ผมยักไหล่แล้วขึ้นรถมา เจ็บแค่นี้ไม่ได้ครึ่งกับสิ่งที่ผมเคยเจอมาหรอกน่า...

    จบบทบรรยาย เตโช

     




    แกรก

    เตโชกลับมาแล้ว...

    ฉันสะดุ้งทุกครั้งที่มันปรากฏตัว และครั้งนี้... ฉันสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่แปลกไป

    เขาหิ้วถุงพะรุงพะรัง กางเกงมีรอยขาดจนเห็นว่าผิวหนังถลอกปอกเปิด ศีรษะของเขามีเลือดไหลซิบ ท่าเดินเหมือนคนปวดเมื่อยตัว ไปกัดกับหมาตัวไหนมาอีกล่ะ เหอะ

    ฉันแสยะยิ้มในใจ รู้สึกสมน้ำหน้าสภาพแบบนั้นจนอยากหัวเราะ แต่ก็ทำได้แค่นั่งนิ่งๆ

    “เหี้ยแม่ง... เจ็บเอาเรื่องนี่หว่า” เตโชโยนถุงขนมและอาหารไว้บนโต๊ะในครัว ก่อนออกมานั่งบริเวณปลายเตียง เขาบิดตัวไปมาโดยไม่มองหน้าฉัน

    “...”

    “นี่” แต่สักพักเตโชก็เรียกฉัน “ทำแผลให้หน่อยสิ”

    “...” ฉันเบะปาก สะบัดหน้าหนี มันใช่เรื่องที่ฉันต้องทำให้เหรอ ไร้สาระ

    “เอื้องขวัญทำแผลให้เตหน่อยคร้าบ”

    น้ำเสียงออดอ้อนอ่อนหวาน แต่ฉันรู้ดีว่ามันเคลือบไปด้วยยาพิษร้ายแรง

    “แผลแค่นั้นไม่มีปัญญาทำเองก็ไปตายซะ” ฉันกระแทกเสียงใส่ขณะเหลือบมองแผลบริเวณขาและศีรษะ มีรอยถลอกและเลือดไหลก็จริง แต่แค่นั้นสะเทือนหนังหนาๆ ของมันด้วยเหรอ สำออย!

    “อูย...” เตโชคราง “เอาน่า อย่าขัดใจฉันสิ อยาก โดนหรือไง” เป็นไปตามคาดว่าหลังจากที่ฉันไม่ยอมทำตามคำสั่ง เจ้าตัวก็มักจะขู่ในสิ่งที่ฉันหวาดกลัว

    แล้วยังไงล่ะ สุดท้ายฉันก็จนตรอก

    ถ้าไม่ทำ ฉันก็ต้องโดน...

    ให้ตายสิ เตโชเห็นฉันเป็นอะไรกันแน่

    “งั้นก็ปลดเชือก” ฉันเอ่ยเสียงเย็นชา คิดอยู่ลึกๆ ว่าช่วงที่มันปลดเชือกให้แล้วอาศัยช่องโหว่หนีไปเลยดีไหม

    “ปลดให้มาทำแผลนะ ไม่ใช่ปลดให้หนี อย่าแม้แต่จะคิด” ฉันสะอึก คำพูดที่ดูรู้ดีแม้กระทั่งความคิดของฉันนั้นยิ่งทำให้ฉันหวาดกลัว มันเป็นคนหรือเปล่านะ

    “เออ” ฉันตอบรับเสียงห้วน สักพักเตโชจึงเดินมาปลดเชือกให้ ก่อนจูงฉันไปนั่งบริเวณปลายเตียง แน่นอนว่าฉันพยายามรักษาระยะห่างเอาไว้ ไม่อยากนั่งใกล้มัน

    “นั่งไกลขนาดนั้นคงทำแผลได้มั้ง” เตโชที่เพิ่งเอื้อมมือหยิบอุปกรณ์ทำแผลในลิ้นชักข้างเตียงหันมามองฉัน ซ้ำยังกระตุกเชือกจนฉันถลาเข้าไปใกล้อย่างห้ามไม่ได้! ไม่สิ... ขนาดนั่งใกล้กันจนแทบไม่มีช่องว่าง มันก็ยังกระชากฉันเข้าไปอีก ผลสุดท้ายฉันก็นั่งแหมะอยู่บนตักหนา

    “ฉันไม่นั่งบนนี้!” ฉันโวยวาย ทำท่าจะลงไปนั่งบนเตียงดีๆ ทว่าท่อนแขนแข็งแกร่งของเตโชโอบเอวฉันเอาไว้ ไม่แน่นจนอึดอัด แต่ก็มากพอจะพันธนาการไม่ให้ฉันหนีไปไหนได้

    “กล้าขัดฉันเหรอ หื้ม?” ตัวแข็งเกร็งทันทีที่ลมหายใจร้อนผ่าวเป่าระต้นคอ เตโชเองก็คงสัมผัสได้ว่าฉันตื่นตระหนก มันจึงหัวเราะคิกคักก่อนบังคับให้ฉันนั่งคร่อมและหันหน้าเข้าหาตัว สภาพแบบนี้มัน... บัดซบจริง!

    “...” ฉันขบกราม นับหนึ่งถึงสิบในใจประมาณสามรอบจึงหยิบอุปกรณ์ขึ้นมาทำแผลให้เตโช เพิ่งเห็นว่าบริเวณหน้าผากแผลไม่ได้ใหญ่โตอะไร แต่บวมแดงพอสมควร

    น่าจะโดนให้หนักกว่านี้

    เอาให้สมองไหลแล้วตายๆ จากโลกนี้ไปซะจะได้จบ

    ฉันเอาสำลีจุ่มแอลกอฮอล์แล้วเช็ดเบาๆ บริเวณบาดแผล มองแค่ตรงนั้น... แต่รู้สึกถึงสายตาของเจ้าของตัก มั่นใจว่ามันกำลังจ้องหน้าฉันอยู่ ลมหายใจอุ่นร้อนเหมือนจะขยับใกล้เข้ามาทุกทีจนฉันต้องเลื่อนสายตากลับมา

    เป็นอย่างที่คิดจริงๆ เตโชกำลังจ้องหน้าฉันอยู่ เพิ่งเห็นว่าระยะห่างของเราลดลงกว่าก่อนนี้ประมาณหนึ่ง ซึ่งก็มากพอจะทำให้ฉันรับรู้ได้ถึงอันตราย

    “ทำตรงนี้เสร็จ ทำตรงขาให้ด้วย” ในครั้งที่เตโชขยับปาก ความอ่อนนุ่มทว่าน่ารังเกียจก็สัมผัสโดนปลายจมูกของฉันด้วย ทำเอาฉันชะงัก

    “ขยับหน้าเข้ามาใกล้ทำไม!” มือฉันเริ่มสั่นเมื่อท่อนแขนของเขาบีบรัดฉันแน่นขึ้นจนหน้าอกเบียดเสียดกับเรือนกายแข็งแกร่ง ช่องว่างของเราในตอนนี้แทบไม่เหลือเลย “ไอ้เต...”

    “อย่าขึ้นองขึ้นไอ้ได้ไหม ไม่น่ารัก” มันต่อว่าฉัน จะให้พูดดีด้วยแต่ทำสันดานแบบนี้น่ะเหรอ ไอ้เฮงซวย

    “อึดอัด!” ฉันปาสำลีทิ้งอย่างเหลือทน “อย่ามาทำตัวบ้าๆ กับฉันนะ ปล่อย!

     “เธอยังทำแผลให้ฉันไม่เสร็จ” เตโชหลุบตามองซากสำลีบนพื้น “ปาทิ้งแบบนี้ อย่าบอกนะว่าจะไม่ทำแล้ว อยากโดนดีเหรอ” เขาข่มขู่ฉันอีกแล้ว ทำไมต้องเป็นแบบนี้อยู่เรื่อย

    “ก็นายมันเฮงซวย ทำตัวดีๆ แบบคนอื่นเขาไม่เป็นไง! อ๊ะ” ฉันยังด่าเขาไม่ทันจบ ฝ่ามือหนาก็เคลื่อนลงต่ำก่อนตะปบบนสะโพกของฉัน เขาบีบเค้นมันจนฉันปล่อยเสียงร้องเนื่องจากความเจ็บ

    “ทำแผล” เขากระซิบเสียงพร่า ทว่าเต็มไปด้วยความน่ากลัว “เดี๋ยวนี้”

    “...อึก” ฉันหยิบสำลีก้อนใหม่ขึ้นมาแล้วทำแผลให้เขาต่ออย่างห้ามไม่ได้ ระหว่างนั้นฝ่ามือหนาก็ยังคงตะปบอยู่บริเวณเดิมจนฉันหลุดเสียงร้อง ข้อนิ้วแข็งกระด้างทั้งห้าบีบผิวเนื้อจนจนระบม

    ฉันเจ็บเหมือนโดนกระหน่ำตี ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้ทำแบบนั้น แต่ความรู้สึกไม่ได้ต่างกันเลย

    “เพิ่งนึกออกเลย” อยู่ดีๆ เตโชก็พูดขึ้น “หลายปีก่อนฉันไม่ได้ป้องกันนี่... แต่ก็ไม่เห็นเธอท้อง น้ำยาไม่ดีพอหรือเธอกินยาคุม” ขะ เขากำลังพล่ามอะไร

    “...” ฉันแทบร้องไห้เมื่อเตโชแย่งสำลีไปจากมือฉันแล้วโยนทิ้งไป จากนั้นก็บังคับให้ฉันจ้องหน้าเขาตรงๆ

    ใช่ หลายปีก่อนเขาไม่เคยป้องกันเลยสักครั้ง ไม่เลยสักครั้งเดียว

    “งั้นทำให้ท้องดีไหม จะได้มีข้ออ้างไม่ให้เธอหนี อิๆ”

    เขาไม่เคยรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองเคยทำ... ฉันได้รับมันมาจนถึงทุกวันนี้

    ไม่เคยรู้ว่าความทุกข์ทรมานของฉันเป็นยังไง แม้กระทั่งตอนนี้ 


    ******
    อัพจ้า 
    อัพแล้วจ้าาา ขอเม้นต์ด้วยเด้อออ
    ใครเล่นทวิตเตอร์ ติดเเท็ก #พี่เตคนจิต หรือ #สัมพันธ์อสูร ก็ได้ค่ะ เข้าไปเล่นกันเยอะๆ น้าาา 




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×