ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [KrisLay] เขียวหวานน่ารัก~♡

    ลำดับตอนที่ #16 : เขียวหวานน่ารัก ~ 16 ~

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.06K
      49
      27 พ.ย. 59


    [Fic] เขียวหวานน่ารัก~

    ตอนที่ 16

    Fiction by 2nd Admin

    .

    .

    .

     

    จางอี้ชิงยืนกอดอกมองอีกคนที่เพิ่งวาดขาย้ายตัวเองลงจากรถมอเตอร์ไซค์คันโตมายืนมองเขาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม คิ้วบางขมวดมุ่นอย่างไม่สบอารมณ์นัก ใบหน้ามุ่ยตุ้ยนั้นถอยหนีเมื่อมือใหญ่ยื่นมาหมายจะถอดหมวกกันน็อคให้เช่นทุกครั้ง

    อะไร?”

    หยุดยิ้มเดี๋ยวนี้เลยนะ

    ไงนะ?”

    ฉันบอกให้หยุดยิ้ม

    ทำไมต้องหยุด ฉันอารมณ์ดี ยิ้มไม่ได้หรือไง?”

    ก็นายยิ้มเยาะฉัน

    ฉันจะยิ้มเยาะนายทำไมกัน?”

    ก็...!” คนตัวเล็กกัดปาก ยิ่งเห็นเรียวคิ้วได้รูปเลิกขึ้นน้อยๆ ก็ยิ่งนึกฉุนนัก ได้แกล้งเขาที่ร้านไอศกรีมนั่นคงสนุกมากสินะ นี่ถ้าไม่ติดว่าขี้เก๊กคงได้หัวเราะออกมาแล้ว ไม่รู้แหละ หยุดยิ้มเลยนะ

    คริสส่ายหน้าน้อยๆ ทั้งที่ยังยิ้ม ก้าวยาวๆ เพียงก้าวเดียวก็ประชิดตัวคนที่กำลังงอนตุ้บป่องได้

    มีแฟนขี้หึงน่ะดีออก ฉันชอบนะ

    ฉันไม่ได้หึงซักหน่อย!” เจ้าของเสียงทุ้มหัวเราะเบาๆ เมื่อคนที่ถูกเขาล็อคตัวเพื่อปลดสายรัดใต้คางนั้นหลับหูหลับตาเถียงกลับ แก้มใสระเรื่อแดงนั้นน่ามันเขี้ยวใช่น้อย เสียแต่เจ้าตัวไม่เคยรู้ หยุดหัวเราะเลยนะ!

    ถ้าไม่หยุดล่ะ?”

    ฉันจะ...!

    จางอี้ชิงงง~” เสียงใสที่ขัดขึ้นนั้นทำให้คริสปล่อยมือจากแก้มนุ่มที่กอบประคองแล้วถอยใบหน้าจนห่าง เจ้าของเสียงกึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงมากระทั่งถึงตัวเพื่อนสนิทแล้วจึงแกล้งเอาไหล่กระแซะแรงๆ

    เป็นไงมั่ง ไปเดทกับรุ่นพี่มา สนุกป่าว?”

    น่าเบื่อ

     

    จริงอ่ะ?” อี้ชิงบู้ปากแล้วเมินมองไปเสียทางอื่น ลู่หานจึงชายตามองพลางเลิกคิ้วเป็นเชิงถามรุ่นพี่ที่ถอยไปยืนพิงสะโพกกับรถมอเตอร์ไซค์คันงามแทน

    พอดีมีคนเข้ามาขัดจังหวะตอนกำลังสวีทกันน่ะ เพื่อนนายเลยหงุดหงิดนิดหน่อย

    สวีทเหรอฮะ?”

    ใครสวีทกับนายกัน?”

    แฟนกันป้อนไอติมกัน ไม่สวีทตรงไหน?”

    ป้อนไอติม? ว้าววว~” เสียงสูงๆ กับตาโตๆ นั่นบอกระดับความตื่นเต้นของลู่หานเสียจนอี้ชิงหน้าร้อนผ่าว พ่อคนดังนี่ก็ช่างกะไร คิดจะให้เขาขายหน้าแม้แต่กับเพื่อนสนิทเลยหรือไงนะ

    อ้อ ซื้อขนมมาฝากด้วยนะ เห็นเพื่อนนายว่าอร่อย ขอบใจที่วันนี้อาสาไปทำงานแทน ฉันเลยได้ไปเดทกับแฟน

    แหม ไม่ต้องเกรงใจก็ได้ฮะ แต่ยังไงก็ขอบคุณนะฮะรุ่นพี่ คราวหน้าจะไปเดทก็เรียกใช้บริการผมได้ เนอะชิงชิง?” ยังมีหน้าเอาไหล่มากระแซะ อี้ชิงมองค้อนเพื่อนสนิทแล้วรีบถอดหมวกกันน็อคใบเล็ก ยัดเยียดมันคืนให้ถึงมือเจ้าของพลางเอ่ยไล่

    กลับไปได้แล้วคนตัวสูงยักไหล่ กิริยาขัดเคืองใจของอี้ชิงมันตลกมากเลยหรือไงนะ ถึงได้มองแล้วยิ้มอยู่เป็นนานกว่าจะหันหลัง เก็บหมวกสีฟ้าไว้ใต้เบาะแล้ววาดขาขึ้นคร่อมรถ

    ไว้ถึงห้องแล้วจะไลน์บอก

    บ๊ายบายฮะรุ่นพี่ ขับรถดีๆ นะฮะอี้ชิงได้แต่ส่งเสียงจิ๊กจั๊กตอนที่ลู่หานจับมือเขาให้ยกขึ้นโบกลา กระทั่งท้ายรถมอเตอร์ไซค์คันงามนั้นห่างออกไป เพื่อนตัวแสบถึงได้ร้องโอ๊ะโอเบาๆ แล้วหันมาหาเขาเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ ไลน์เหรอ? โทรศัพท์ตัวเล่นไลน์ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”

     

     

     

    ว้าววว รุ่นใหม่ล่าสุดเลยนะเนี่ย เราเพิ่งจะเห็นในแคตตาล็อคเมื่อวานเองลู่หานพลิกสมาร์ทโฟนบอดี้สวยสมราคาในมือไปมาอย่างตื่นเต้น ก่อนจะยกขึ้นสูงให้หน้าจอมันปลาบสะท้อนแสงไฟวิบวับ อี้ชิงเอาให้ดูทันทีที่กลับมาถึงห้อง ของจริงสวยกว่าในรูปเสียอีก แน่นอนล่ะว่าเขารู้ราคามัน เพราะอย่างนั้นพอเพื่อนรักเล่าให้ฟังถึงที่มา ก็เลยอดไม่ได้ที่จะครางเสียงอย่างทึ่งๆ ถึงกับซื้อให้แฟน รุ่นพี่นี่ทุ่มชะมัด

    แค่ให้ยืมใช้เท่านั้นแหละ

    ให้ยืมเหรอ? ไม่ม้างง เราว่าเค้าซื้อให้ตัวเป็นที่ระลึกมากกว่า เอาไว้ให้คิดถึงเวลาที่เค้าไม่อยู่ไงหนุ่มขี้เล่นกระเซ้าแล้วเอาไหล่กระแซะ แต่อี้ชิงที่นั่งตัวติดกันอยู่บนโซฟากลับเบะปาก ของแพงๆ แบบนี้ใครเค้าซื้อแจกคนอื่นพร่ำเพรื่อกัน  

    สร้างภาพล่ะไม่ว่า กลัวจะขายหน้าคนอื่นว่ามีแฟนจนน่ะสิ

    เฮ้อออ ช่างไม่คิดเข้าข้างตัวเองบ้างเล้ยยยย ไม่คุยด้วยละเรื่องเซ้าซี้เพื่อนเอาไว้ก่อน มีของเล่นใหม่อยู่ในมือ มีหรือคนที่ชอบเทคโนโลยีอย่างลู่หานจะไม่ลอง พอกดปุ่มเปิดหน้าจอแล้วใส่รหัสที่เพื่อนรักบอกไว้ให้ช่วยจำ แบคกราวด์สวยๆ กับฟังก์ชั่นเริ่ดๆ ก็ทำให้ตากลมเบิกกว้างพร้อมเสียงครางอู้หู ไม่ว่าจะสไลด์นิ้วไปทางไหนก็ดูจะรวดเร็วทันใจไปเสียหมด เครื่องใหม่ๆ มันก็ดีแบบนี้แหละนะ ลู่หานเพลิดเพลินกับการสำรวจแอพพลิเคชั่นที่ติดตั้งมาในเครื่องไปเรื่อยโดยมีเจ้าของนั่งมองอยู่ข้างๆ

    ไหนดูซิ มีไลน์แล้ว อะไรเนี่ย มีแต่ไลน์แฟนตัวเองคนเดียวเลย?”

    ก็มีแต่เบอร์หมอนั่นนี่นา

    งั้นก็ใส่เบอร์เราไว้ด้วยสิ

    ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวก็ต้องคืนเค้าแล้ว

    เอาน่า ตอนนี้ยังอยู่ในมือก็ต้องใช้ให้คุ้ม มีอะไรอีกน้า~ โว้ววว มีแอคเค้าท์ไอจีแล้วด้วย โอ๊ะ ชื่ออะไรเนี่ย? กรีนเคอรี่ซุป? แกงเขียวหวานงั้นเหรอ?”

    ว่าไงนะ?” อี้ชิงแย่งโทรศัพท์คืนมาดูหน้าจอให้เห็นเอง ตอนนั้นมัวแต่หงุดหงิดคนดังที่โพสต์รูปไม่ปรึกษา ไม่ได้เหลือบตามองชื่อไอดีที่ถูกตั้งให้เลยซักนิด

     

    “...ไอดีเป็นชื่อนาย พาสเวิร์ดเป็นชื่อกับวันเกิดฉัน

     

    ชื่อเขาน่ะ จางอี้ชิงไม่ใช่หรือไง แล้วนี่อะไร? อักษรภาษาอังกฤษสามคำเรียงกัน

     

    แกงเขียวหวาน ...เนี่ยนะ?

     

    ตาบ้านี่ ฉันชื่อนี้ที่ไหนกัน

    จริงด้วยสิ เพราะตัวชอบกินแกงเขียวหวาน รุ่นพี่ก็เลยเรียกแบบนี้ใช่มั้ย น่ารักจังน้า~ แฟนตั้งชื่อเล่นให้ด้วย

    น่ารักอะไร เขียวหวานมันชื่อคนที่ไหนกัน เห็นเราเป็นตัวตลกน่ะสิแค่เรียกต่อหน้าคนอื่นไม่พอ ยังเอามาตั้งเป็นชื่ออินสตาแกรมอะไรนี่อีก ใครเห็นเข้าหัวเราะตาย น่าโมโหจริง นี่ถ้ารู้ตั้งแต่ตอนนั้นคงเอาหัวโหม่งให้หน้าหงายไปแล้ว

    ตัวนี่ชอบมองรุ่นพี่เค้าในแง่ร้ายจังทั้งที่อี้ชิงอยากฟาดงวงฟาดงาจะแย่ แต่เพื่อนรักกลับไปเข้าข้างคนดังเสียได้ ทำหน้ายู่ใส่แล้วแย่งโทรศัพท์จากมือเขาเอาไปเล่นต่อเสียอย่างนั้น เพิ่มเบอร์จงแดไปด้วยดีกว่า จะได้แอดไลน์แล้วตั้งกลุ่มกันเลย

    คนตัวขาวก็ได้แต่อมลมจนแก้มป่อง ฮึดฮัดแค่ไหนเพื่อนก็ไม่สน สุดท้ายก็เลยต้องพ่นลมทิ้ง เอนหลังลงกับเบาะโซฟาแล้วดูเพื่อนสำรวจสมาร์ทโฟนของตัวเองต่อ

    ว่าแต่วันนี้ไม่เห็นจงแดโทรหาเลย ไม่มีคำถามเหรอ?”

    มีลู่หานพยักหน้าทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์ด้วยซ้ำ โทรมาแล้ว เราตอบไปแล้ว

    ตอบไปแล้ว?”

    อาฮะ ก็พอดีรู้คำตอบ

    ถามว่าไง ทำไมรู้?”

    เดทแรกของตัวกับรุ่นพี่

    อะไรนะ?”

    ก็มีคนสงสัยว่าเดทแรกของพวกตัวก่อนเป็นแฟนกัน คือที่ไหนอะไรยังไง พอดีเรารู้ก็เลยตอบไปให้แล้ว

    เดทเนี่ยนะ? ไม่เคยซักหน่อย แล้วตัวตอบไปว่าไง?” ลู่หานหันมายักคิ้วซนๆ ให้

    ก็วันที่ตัวนัดสัมภาษณ์รุ่นพี่เค้าไง เราเล่าเพิ่มไปด้วยว่าก่อนหน้านั้นรุ่นพี่ไปหาตัวที่ร้านที่ทำงานพิเศษ แล้วก็นั่งเฝ้าอยู่ตั้งครึ่งค่อนวันก่อนจะไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะด้วยกันสองต่อสองยังมีหน้ามาชูสองนิ้วแล้วยิ้มแป้นแล้น อี้ชิงรีบสั่นหน้าระรัว

    ไม่ใช่ซักหน่อย วันนั้นน่ะ... เดี๋ยวก่อน แล้วตัวรู้ได้ไง?”

    พี่สาวที่ร้านเล่าให้ฟังหมดแล้ว ตัวนั่นแหละ หัดมีความลับกับเพื่อนนะ โดนรุ่นพี่จีบมาตั้งนานแล้ว ไม่เห็นเคยเล่าให้ฟังบ้างเลย

    ไม่ได้จีบซักหน่อย หมอนั่นก็แค่...

    โอ๊ะ มีไลน์เข้ามาแน่ะ

    เสียงสัญญาณสั้นๆ ขัดจังหวะการง้องแง้งของสองเพื่อนรัก เป็นลู่หานที่สไลด์หน้าจอเปิดโปรแกรมแชทให้เจ้าของเครื่องได้อ่านข้อความที่เพิ่งถูกส่งเข้ามาจากรายชื่อเดียวที่ถูกบันทึกไว้

     

    [ถึงห้องแล้ว]

     

    เค้าบอกว่าถึงห้องแล้ว นายตอบไปสิศอกเล็กสะกิดเข้าที่พุงเบาๆ เป็นเชิงเร่ง แต่อี้ชิงส่ายหน้า

    จะให้ตอบอะไร เค้าไม่ได้ถามนี่

    อะไรก็ได้ อย่าง... วันนี้สนุกมาก ขอบคุณนะครับ หรือฝันดีนะครับ ประโยคหวานๆ อย่างที่คนเป็นแฟนกันเขาคุยกันน่ะ

    ไม่เอาอ่ะ

    งั้นส่งสติ๊กเกอร์หรืออีโมน่ารักๆ ก็ได้

    ไม่อาวว

     

    [อ่านแล้วทำไมไม่ตอบ?]

     

    เห็นมั้ย? ตอบเค้าไปสิ

    ตัวก็ตอบเองสิ

    ได้ไง ไม่ใช่แฟนเรานี่

     

    [หรืออยากให้โทรหา?]

     

    เห้ย!” ร้องขึ้นแทบจะพร้อมกันแต่เหมือนอี้ชิงจะช้ากว่า เพราะทันทีที่ข้อความสุดท้ายถูกส่งเข้ามาไม่ถึงห้าวินาที หน้าจอก็เปลี่ยนเป็นแสดงสายเรียกเข้า ก่อนที่อี้ชิงจะทันได้ถอยห่าง ลู่หานก็รีบยัดเยียดสมาร์ทโฟนราคาแพงใส่มือให้เหมือนเป็นของร้อน ซ้ำยังพยักหน้าเร่งรัวๆ ให้อี้ชิงรีบรับสาย ทว่าเจ้าของเครื่องกลับสั่นหน้าดิก ยิ่งเกี่ยงงอนนานไป โทรศัพท์เครื่องใหม่ก็ยิ่งแผดเสียงร้องไม่ยอมหยุด สุดท้ายอี้ชิงก็ยอมแพ้ ฝืนความหมั่นไส้ชื่อที่โชว์หราบนหน้าจอ สไลด์ปลายนิ้วเลือกรับสายแล้วยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู

    โทรมาทำไม?”

    [พูดจาห้วนๆ แบบนี้ได้ยังไง ไม่มีมารยาทเลย] แค่ประโยคแรกก็ทำเอาอยากจะกรี๊ดใส่ แต่เพราะข้างกายนั้นมีเพื่อนสนิทที่คอยเอาหูแนบแอบฟังอยู่ถึงต้องข่มใจ ลากเสียงยาวประชดกลับ

    มีธุระอะไรครับรุ่นพี่?”

    [ฉันไลน์ไปทำไมไม่ตอบ]

    ทำไมต้องตอบ ไม่ได้ถามอะไรนี่

    [แฟนไลน์มาก็ต้องตอบสิ]

    ไม่ใช่แฟนกันจริงๆ ซักหน่อย

    [พูดว่าไงนะ?] คนทางนี้ยู่หน้า อุตส่าห์บ่นเบาๆ แล้วยังได้ยินอีก

    ก็ไม่รู้จะตอบอะไรนี่นา

    [งั้นต่อไปนี้จะโทรหา ดีเหมือนกัน จะได้ยินเสียงกันทุกคืนก่อนนอน] ตาคู่สวยเบิกกว้างอย่างเหวอๆ ขณะที่ลู่หานซึ่งได้ยินทุกคำถึงกับต้องยกมือขึ้นปิดปากกลั้นเสียงขำ

    แค่สติ๊กเกอร์ก็ได้ใช่มั้ย?” อี้ชิงลุกลี้ลุกลนตอบกลับ ได้ยินเสียงถอนใจเบาๆ จากปลายสาย ก่อนจะตามด้วยน้ำเสียงเข้มงวด

    [ต่อไปนี้ถ้าอ่านไลน์แล้วไม่ตอบเกินหนึ่งนาที ฉันจะโทรหาทุกครั้ง เข้าใจมั้ย?]

    แล้วทำไมนายต้อง...

    [พรุ่งนี้ต้องทำงานพิเศษใช่มั้ย?]

    ก็... ใช่

    [เจ็ดโมงจะไปรับ อย่าสายล่ะ]

    ทำไมเช้าจัง ปกติออกเจ็ดโมงครึ่งก็ทัน

    [จะพาไปกินมื้อเช้า ข้าวต้มหมูร้านเดิมหรืออยากกินอย่างอื่น?]

    ก็... ร้านเดิมก็ได้พอเสียงปลายสายอ่อนลง ความดื้อดึงก็ลดลงโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ จางอี้ชิงเผลอกระทั่งพยักหน้าทั้งที่คู่สนทนาคงไม่เห็น

    [งั้นพรุ่งนี้เจ็ดโมงเจอกัน]

    อือ

    [พูดเพราะๆ]

    คร้าบบบ พรุ่งนี้เจอกันคร้าบบบ

    [ฝันดีนะ บาย] มองหน้าจอจนแน่ใจว่าปลายสายตัดไปแล้ว คนแน่จริงถึงได้ย่นจมูกใส่อุปกรณ์สื่อสารราคาแพง ก่อนจะตวัดสายตามองคนแอบฟังที่ตอนนี้เลิกกลั้นขำแล้วมานั่งสองมือท้าวคางมองเขาพร้อมเสียงหัวเราะคิกคัก

    ขำอะไร?”

    รู้ตัวมั้ย เวลาตัวคุยโทรศัพท์กับรุ่นพี่น่ะ งุ้งงิ้งๆ เหมือนแฟนกันจริงๆ เลย

    ตัวไม่มีแฟนซักหน่อย รู้ได้ไงว่าเหมือน?” จอมซนยักไหล่ ย้ายสองมือมารองหัวแล้วล้มตัวลงนอนหนุนตักนิ่มของเพื่อนรัก

    เชื่อเถอะลู่หานหลับตาทั้งใบหน้าเปื้อนยิ้ม แค่นึกถึงดวงตายิบหยีกับรอยยิ้มน่ารักของใครบางคน รอยยิ้มที่ยังค้างบนใบหน้านั้นก็ยิ่งกว้าง

     

    ...เดี๋ยวก็มี เชื่อเถอะ

     

    .

    .

    .

     

                เช้าวันต่อมา มอเตอร์ไซค์คันงามพร้อมสารถีรูปหล่อก็มารอรับแฟนหนุ่มตรงเวลาตามที่นัดกันไว้เป๊ะ ขณะที่เจ้าของช่วงขายาวย้ายตัวเองลงจากรถ ร่างเล็กก็วิ่งกระหืดกระหอบลงบันไดหอพักมาพร้อมกัน ยิ่งเห็นคนรอยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา คนมาช้ากว่าก็ยิ่งรีบเร่ง ถึงตัวได้ก็แก้ตัวเป็นการใหญ่

                “ไม่สายนะ ฉันตั้งนาฬิกาปลุกให้เร็วขึ้นตั้งครึ่งชั่วโมง พอตื่นแล้วก็รีบอาบน้ำแต่งตัว ไม่ได้มัวโอ้เอ้เลยด้วยซ้ำ”

                “ยังไม่ว่าอะไรเลย” คนไม่ว่ายิ้มสำทับพลางโน้มใบหน้าลงมาใกล้ ใกล้เสียจนอี้ชิงผงะถอยไปครึ่งก้าว ดวงตาคมดุนั้นพราวระยับผิดวิสัย ยิ้มทั้งหน้าทั้งดวงตาแบบนี้ คงไม่บ่อยนักที่ใครจะได้เห็น บรรดาสาวๆ ที่หลงปลื้มลุคขรึมเท่มาเห็นเข้าคงได้กรีดร้องเป็นบ้าเป็นหลังแน่ แต่หาใช่กับจางอี้ชิงไม่ ก็ทุกครั้งที่คนดังยิ้มแบบนี้ มักเป็นตอนที่เขาเผลอทำอะไรเปิ่นๆ ออกไปอยู่เรื่อย

                “ทำไมหน้าบึ้ง?” ลู่หานพูดเสมอว่าอี้ชิงเสแสร้งไม่เก่ง ตอนนี้ก็คงเหมือนกัน ไอ้สิ่งที่คิดมันคงแสดงออกทางสีหน้าไปจนหมด คนที่หันไปหยิบหมวกกันน็อคมาให้ถึงได้เห็น

                “ก็นายชอบยิ้มเยาะฉัน”

                “เมื่อไหร่กัน?”

                “ทุกเมื่อนั่นแหละ เมื่อวานก็ทีนึงแล้ว ตอนนี้ก็ด้วย ฉันน่าตลกมากเลยหรือไง” ตัดพ้อด้วยใบหน้างอง้ำ ขณะที่คนดังถอนหายใจเบาๆ เปลี่ยนใจจากที่แค่จะส่งหมวกกันน็อคให้เป็นสวมลงบนหัวกลมๆ แล้วล็อคสายรัดใต้คางให้จนเรียบร้อย

                “นายนี่ซื่อบื้อจนแยกแยะระหว่างน่าตลกกับน่าเอ็นดูไม่ออกเลยสินะ” รุ่นน้องยู่หน้าเมื่อปลายนิ้วเรียวแตะลงที่ปลายจมูก มองตามแผ่นหลังกว้างของคนที่หันกลับไปสวมหมวกกันน็อคของตัวเองแล้ววาดขาขึ้นคร่อมรถด้วยสายตาเคืองๆ

                “คำก็บื้อสองคำก็ซื่อบื้อ เดี๋ยวก็แช่งให้ได้แฟนซื่อบื้อซะหรอก”

                ริมฝีปากได้รูปกระตุกยิ้ม ให้คนตัวเล็กบ่นเสียงเบาแค่ไหนเขาก็ได้ยิน รอจนคนเป็นแฟนปีนขึ้นมานั่งซ้อนท้ายกันแล้วเสียงทุ้มจึงได้เปรยบางคำ น่าเสียดายที่เสียงเครื่องยนต์คงดังกลบเสียจนอี้ชิงไม่ทันได้ฟัง

                “ก็มีอยู่แล้วนี่ไง”

     

     

     

                หลังแวะกินมื้อเช้ากันเรียบร้อย คริสก็พาอี้ชิงมาส่งถึงร้านที่ทำงานพิเศษ อาจเป็นเพราะความเร็วของพาหนะ อี้ชิงจึงมาถึงเร็วกว่าทุกวัน ก่อนเวลาเข้างานปกติด้วยซ้ำ ดังนั้นเมื่อรถเลี้ยวเข้าในลานจอดจึงได้เห็นร่างท้วมของหนุ่มใหญ่ซึ่งเพิ่งก้าวออกมาจากรถพร้อมกระเป๋าเป้ใบใหญ่ อี้ชิงค้อมศีรษะให้เมื่อฝ่ายนั้นหันมาเห็น

                “สวัสดีครับผู้จัดการ”

                “สวัสดีจางอี้ชิง มาแต่เช้าเชียวนะ เพื่อนมาส่งหรือไง” พอเพื่อนที่ว่าถอดหมวกกันน็อคออกให้เห็นหน้าชัดๆ หนุ่มใหญ่ก็จำได้ ยิ่งตาโตด้วยแปลกใจเมื่ออีกฝ่ายแจ้งสถานะที่ถูกต้องอย่างชัดเจน

                “แฟนครับ ไม่ใช่เพื่อน”

                “แฟน? จางอี้ชิงมีแฟนหรือนี่ ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” คนตัวเล็กยิ้มแหยก่อนจะหันไปถลึงตาใส่คนดังโทษฐานไม่ปรึกษา โกหกคนที่มหาวิทยาลัยไม่พอ ยังต้องโกหกคนที่ร้านด้วยหรือไง จะให้ชีวิตเขาวุ่นวายไปถึงไหนกันนะ!

                “คือ... เรื่องนั้นน่ะ ผม...”

                “แล้วนี่ฮเยจินรู้หรือยัง?”

                “ยัง... มั้งครับ”

                “ไม่ได้แล้ว ต้องคุยกันยาวเลย มาๆๆ เข้ามาในร้านก่อน”

                “อย่าเลยครับ คือ เค้ารีบน่ะ มีอะไรต้องทำ ใช่มั้ย?” อี้ชิงปั้นยิ้มใส่แล้วขยิบตาหมายว่าอีกฝ่ายจะรู้กัน และสิ่งที่ได้คือคนดังยิ้มรับพลางเอียงคอน้อยๆ

                “ไม่มี”

                “ห๊ะ?!”

                “นั่นไงล่ะ! มาเลย เข้ามาในร้านก่อน”

                “ต.. แต่ผู้จัดการครับ มันผิดกฏนะ ผู้จัดการบอกเองว่าห้ามพาคนรู้จักเข้ามาในร้านให้เสียสมาธิน่ะ”

    “ร้านยังไม่เปิดซักหน่อย เข้ามานั่งคุยกันก่อนจะเป็นไร”

    “แต่ว่า...!”

    “ขอบคุณครับ แต่ไม่ดีกว่า” ก่อนที่อี้ชิงจะต้องชักแม่น้ำทุกสายในบ้านเกิดมาอ้าง คุณแฟนก็ชิงขัดขึ้นเหมือนรู้ใจ “รายนี้เค้าขี้หึง ขืนผมไปนั่งให้สาวๆ จ้องอาจโดนงอนเอาได้”

    “ห๊ะ?!”

    “อ่า งั้นเรอะ”

    “นายเลิกงานห้าโมงเย็นใช่มั้ย? งั้นซักสี่โมงฉันมารับ ขอเข้าไปนั่งรอในร้านซักชั่วโมงนะครับ” ประโยคหลังนั่นพูดกับคนสูงวัยกว่า และอีกฝ่ายก็พยักหน้าอย่างเต็มใจ

    “ได้สิ ตามสบายเลย”

    “งั้นผมขอตัวก่อน”

    เห็นอี้ชิงมุ่ยหน้ายังมายักคิ้วให้ พูดอะไรไม่ปรึกษาซ้ำยังไม่ยอมเข้าข้างกัน มันน่ากรีดนิ้วให้หน้าหล่อๆ เสียโฉมนัก! คนตัวเล็กเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันตามหลังคนที่ถอยกลับไปขึ้นรถแล้วสตาร์ทเครื่อง กระทั่งมอเตอร์ไซค์คันงามห่างออกไปแล้วนั่นล่ะ ถึงได้หันมาเผชิญกับสายตาคาดโทษของพี่ผู้จัดการร้าน ตัวเล็กๆ ยิ่งเล็กลีบจนคอหดเมื่อถูกเสียงเข้มดุใส่

    “นายนี่น้า มันน่าหยิกให้ตัวเขียวนัก!

    จางอี้ชิงหน้าม่อย เขารู้ทันแผนพี่ผู้จัดการที่อยากให้คนหล่อช่วยเรียกลูกค้าเข้าร้าน ถึงได้หลอกตะล่อมให้เข้าไปข้างใน แต่เพราะเรื่องเป็นแฟนกันที่พ่อตัวดีเค้ากุไว้นั่นแหละ หลอกคนที่มหาวิทยาลัยก็แย่พออยู่แล้ว เขาไม่อยากต้องโกหกคนที่ร้านอีก ก็ขนาดบรรดาพี่สาวในร้านที่เพิ่งรู้ข่าวยังพากันเข้ามาทั้งหยิกทั้งตีเขากันใหญ่ ยังดีว่าหยอกเอินด้วยความเอ็นดูถึงได้เบามือนัก ขืนมือหนักกว่านี้คงได้ตัวเขียวเป็นแกงเขียวหวานจริงๆ แน่

     

     

     

    อี้ชิงมัวแต่ง่วนอยู่กับงานจนแทบไม่ได้เงยหน้าขึ้นดูนาฬิกา กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ใกล้เวลาเลิกงานแล้ว จู่ๆ บรรยากาศภายในร้านก็เปลี่ยนไป จากเสียงจ้อกแจ้กจอแจของลูกค้าก็กลายเป็นเสียงฮือฮาและซุบซิบกันในวงกว้าง ราวกับทุกอย่างหยุดนิ่งเพราะถูกบางสิ่งขัดจังหวะ อี้ชิงยังไม่รู้ถึงที่มา กระทั่งพี่ฮเยจิน พี่สาวที่เค้าท์เตอร์คิดเงินข้างๆ กันแกล้งเอาศอกกระแซะแล้วพเยิดหน้าให้เขาต้องเงยขึ้นมองตาม

    “แฟนใครมาโน่นแน่ะ”

    เรือนร่างสูงใหญ่ที่เพิ่งเดินผ่านกระทั่งเลี้ยวเข้ามาในร้านนั้นดึงดูดให้ทุกสายตาต้องหันไปจับจ้อง ทั้งใบหน้าหล่อเหลาราวกับไม่ใช่คนเอเซียโดยแท้ ผิวพรรณขาวสะอาดอย่างลูกผู้ดี ไหนจะเส้นผมสีสว่างที่ถูกปล่อยให้พริ้วตามทรงโดยไม่เซ็ต แม้จะสวมเพียงเสื้อผ้าที่ธรรมดานัก ทว่ามิอาจลดทอนความโดดเด่นของผู้มาใหม่ลงได้เลย ยิ่งเมื่อริมฝีปากได้รูปนั้นยกยิ้มแม้เพียงนิด เสียงกระซิบก็แทบจะกลายเป็นเสียงกรีดร้องในบัดดล

    ทว่าคนที่ถูกดวงตาคู่คมนั้นจับจ้องกลับก้มหลบ ไม่กล้าสบตาใครทั้งนั้น จางอี้ชิงนึกหงุดหงิดที่ก้อนเนื้อในอกช่างไม่รักดีเอาเสียเลย เจอกันก็แทบจะทุกวัน ยังทำตื่นเต้นเสียเหมือนเพิ่งเคยเห็นเค้ายิ้มให้ครั้งแรกไปได้

                “ลูกค้ามารอ ทำไมไม่ทักทาย” เงยหน้าอีกทีก็ต้องร้องอุ้ยด้วยตกใจเล็กๆ ก็คนที่เป็นเป้าสายตาของคนทั้งร้านมายืนอยู่หน้าเค้าท์เตอร์ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แอบชำเลืองตามองสองเค้าท์เตอร์ข้างๆ ก็ว่างอยู่ ทำไมจำเพาะต้องมายืนตรงนี้ให้คนมองด้วยนะ

                “ว่าไงล่ะ?”

                “ไม่ว่าไงทั้งนั้นแหละ”

                “หน้ามุ่ยอีกละ”

                “เปล่าซักหน่อย” เปล่ามุ่ยหน้า แค่ไม่ชอบเวลาที่ใครมองมาก็เท่านั้น คนดังคงชินเสียแล้ว แต่อี้ชิงทั้งไม่ชินและไม่ชอบเอาเสียเลย ยืนเฉยอยู่เป็นครู่กระทั่งได้ยินเสียงกระแอมของคนที่คอยคุมความประพฤติอยู่ด้านหลัง ถึงได้ผงกศีรษะน้อยๆ ให้คนตรงหน้า

    “สวัสดีครับ รับอะไรดีครับ?”

    “เมื่อกลางวันได้กินข้าวหรือเปล่า?”

    “.....?” คิ้วบางเลิกขึ้นน้อยๆ พร้อมตาคู่ใสที่กระพริบปริบ เป็นลูกค้ามาย้อนถามแบบนี้ก็ได้ด้วยเหรอ “ถามทำไม?”

    “ฉันถามก็ตอบมาเถอะ”

    “กินข้าวกล่อง ต้องรีบผลัดเวรกัน ชักช้าไม่ได้”

    “งั้นเย็นนี้อยากกินอะไร ฉันจะพาไป” เสียงทุ้มว่าไม่ดังนัก ทว่าบรรดาสาวๆ ที่คอยเงี่ยหูฟังคงได้ยิน กระแสซุบซิบจึงดังขึ้นอีกระลอก พี่สาวที่ประจำเค้าท์เตอร์ข้างๆ ก็พากันหัวเราะคิกคัก อี้ชิงถึงกับแยกเขี้ยวใส่คนถาม

    “มาถามอะไรตรงนี้เล่า”

                “หรือจะให้โทรถาม? ก็ได้นะ”

                “เห้ย!” เอาเข้าไป ย้อนคำแล้วยังทำหน้ามึนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาทำท่าว่าจะโทรออกจริงๆ เดือดร้อนอี้ชิงต้องยืดตัวข้ามเค้าท์เตอร์ไปตะปบมือใหญ่ให้วุ่นวาย และกลายเป็นยิ่งเรียกความสนใจจากคนในร้านไปกันใหญ่ พนักงานร่างเล็กกวาดตามองรอบๆ เห็นสายตาที่มองมาแล้วก็ก้มหน้างุด อยากจะมุดดินหนีไปเสียตอนนี้เลยถ้าทำได้ แต่คนแกล้งคงสาสมใจแล้วถึงได้ทำเป็นมองเมนูบนเค้าท์เตอร์เพียงผ่านๆ แล้วก็บอก

                “เลี้ยงเฟรนช์ฟรายส์ฉันหน่อยสิ แค่รองท้องก็พอ เลิกงานแล้วค่อยไปหาอะไรกินกัน” ยักคิ้วทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกไปจากเค้าท์เตอร์โดยไม่รอของที่สั่งด้วยซ้ำ

                “นี่ เดี๋ยวสิ!” เงินก็ไม่จ่าย ยังมีหน้าไปนั่งรอให้คนไปเสิร์ฟ ติดนิสัยคุณชายจนเคยตัวหรือไงกัน “ที่นี่บริการตัวเองนะ”

                “อะแฮ่ม” เผลอโวยวายเสียงดังจนถูกพี่ผู้จัดการดุเอาอีกจนได้ อี้ชิงได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันตามหลังคนที่เลือกนั่งโต๊ะว่างกลางร้านราวกลับกลัวจะเด่นน้อยหน้าใคร ครู่หนึ่งพี่ฮเยจินก็กระแซะมาใกล้แล้วกระซิบอาสาว่าจะดูแลเค้าท์เตอร์ให้เพื่อให้เขาไปดูแลคุณลูกค้าสุดหล่อได้เต็มที่ อี้ชิงไม่ได้เต็มใจนัก แต่มองจากสายตาพี่ผู้จัดการแล้วก็คงต้องเป็นอย่างนั้นล่ะนะ

     

                คริสกำลังก้มหน้าก้มตากับโทรศัพท์ในมือตอนที่อี้ชิงเดินมาถึงโต๊ะ พอเขาวางจานใส่มันฝรั่งทอดลง คนดังก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มให้

                “ขอบใจนะ”

                “ทำไมแต่งตัวแบบนี้?” ก็ไม่ใช่ว่าแปลกตาอะไรหรอก แต่อี้ชิงเพิ่งสังเกตุว่าเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขาสั้นชุดนี้ ไม่ใช่ชุดเดียวกับที่คนตัวสูงใส่ตอนมาส่งเขาเมื่อเช้า ยิ่งปอยผมที่ยังหมาดๆ เหมือนเพิ่งอาบน้ำมาใหม่ๆ ที่ผ่านมาเวลาจะออกไปไหน คริสค่อนข้างพิถีพิถันกับการแต่งกาย เขาคุ้นเคยกับลุคสปอร์ตบอยแบบนี้ก็ตอนที่อยู่ที่มหาวิทยาลัยเท่านั้น

                “ไปซ้อมบาสมา คนในทีมว่างๆ เลยนัดกันไปซ้อม” คนตัวเล็กพยักหน้าน้อยๆ สิ้นความสงสัยแล้วก็กำลังจะหันหลังกลับ แต่คนเป็นแฟนก็ถามต่อ “ตกลงคิดออกหรือยังว่าเย็นนี้อยากกินอะไร?”

                “ไม่ต้องหรอก ซ้อมมาทั้งวันนายน่าจะเพลีย กลับไปพักเถอะ”

                “ดีใจจังที่แฟนเป็นห่วง” คนเป็นแฟนทำหน้าแทบไม่ถูก จู่ๆ ก็พูดแล้วยังยิ้มแบบนี้ สาวๆ แถวนี้คงดิ้นตายกันเป็นแถบแล้วกระมัง “แต่ฉันหิว ถึงยังไงก็ต้องกินข้าวเย็นอยู่ดี กินอะไรง่ายๆ ก็ได้ แถวนี้มีอะไรอร่อยๆ บ้าง?”

                คนตัวเล็กบุ้ยปากน้อยๆ อย่างใช้ความคิด ก่อนจะยิ้มอย่างนึกขึ้นได้

                “จริงสิ ตั้งแต่มาที่นี่ นายได้ลองชิมของกินตามร้านข้างทางบ้างหรือยัง?”

                “ไม่เคยเลย”

                “พลาดแล้วล่ะ ที่นี่น่ะขึ้นชื่อเลยนะ เอางี้มั้ย แถวนี้ตอนหัวค่ำจะมีตลาดนัดกลางคืน ของกินเพียบเลย ถ้านายยังเดินไหวฉันจะพาทัวร์ชิมเอง”

                “จะอิ่มเหรอ ฉันใช้พลังงานไปเยอะด้วยนะวันนี้”

                “นายก็กินเยอะๆ สิ ของกินตั้งเยอะแยะ นายชิมหมดทุกร้านก็เก่งแล้ว”

                “เอางั้นก็ได้”

                พอคริสพยักหน้า อี้ชิงก็พยักหน้ารัวๆ ตาม คนตัวเล็กยิ้มกว้างเมื่อนึกถึงของกินอร่อยๆ มัวแต่คิดว่าวันนี้จะจัดหนักให้พุงกาง ไม่รู้ตัวเลยว่าใครบางคนกำลังมองมาด้วยสายตาเช่นไร

                “เวลาอยู่กับฉัน ยิ้มเยอะๆ แบบนี้สิอย่าเอาแต่หน้าบึ้ง” กระทั่งรู้ตัวเมื่อถูกทัก และคนทักก็ยกสองมือขึ้นท้าวคางมองเขาด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า แต่อี้ชิงเบ้ปาก

                “ยิ้มพร่ำเพรื่อคนก็หาว่าบ้าน่ะสิ”

                “ยิ้มแล้วน่ารัก ใครจะว่า”

     

                ตึก!

     

                ถาดที่ถือมาด้วยแทบจะร่วงหล่น มือไม้อ่อนจนหยิบจับอะไรไม่ติดไปเสียแล้ว จู่ๆ ก็รู้สึกร้อนจนต้องอังมือกับข้างแก้ม แอร์ในร้านเสียหรือเขาไม่สบายกันแน่นะ อี้ชิงผงกศีรษะน้อยๆ ลาคุณลูกค้าก่อนจะถอยห่าง พอจะหันหลังก็ไปชนเข้ากับเก้าอี้ของโต๊ะข้างๆ จนตกใจแล้วถอยไปชนกับลูกค้าที่กำลังเดินสวนมาจนทำกระเป๋าเงินเค้าหล่นอีก ต้องขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ กลับถึงที่ได้ก็ถอนหายใจจนแทบหมดปอด

               

                แต่พอแอบชำเลืองมองเห็นคนหล่อยังยิ้มแล้วโบกมือให้ อี้ชิงก็รีบก้มหลบที่หลังเค้าท์เตอร์เป็นพัลวัน

     

                โอย จะบ้า! ทำงานที่นี่มาร่วมปียังไม่เคยซุ่มซ่ามขนาดนี้เลย ไม่สบายแน่ๆ จางอี้ชิงต้องไม่สบายไปแล้วแน่ๆ ฮื่อ!

     

     

     

     

     

     

     

    ทู บี คอนตินิว...

     

     

     

    คนรอง: โน้ตบุ้คเสีย ต้องเขียนใหม่ ช้ำใจ T^T

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×