ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [KrisLay] เขียวหวานน่ารัก~♡

    ลำดับตอนที่ #31 : เขียวหวานน่ารัก ~ 31 ~

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.11K
      121
      23 ก.พ. 62


    [Fic] เขียวหวานน่ารัก~

    ตอนที่ 31

    Fiction by 2nd Admin

    .

    .

    .

     

                คริสยังกอดอกมองคนที่อยู่ตรงหน้าตาขวาง ในขณะที่รุ่นน้องพยายามทำใจดีสู้เสื้อ เอาแต่ส่งยิ้มให้อย่างไม่ลดละ แม้ว่าลู่หานจะยืนยันหนักแน่น แต่สีหน้าข้องใจนั้นบอกชัดว่าคริสยังไม่หายแคลงใจเท่าไหร่ แต่เซฮุนจะทำยังไงได้ล่ะ ในเมื่อรุ่นพี่ที่น่ารักทั้งสองต่างพากันทิ้งแฟน(?)ตัวเองไว้ตรงนี้ แล้วเดินหนีไปแอบคุยอะไรกันไม่รู้อยู่ไกลๆ โน่น กว่าที่สายตาดุๆ จะยอมละเว้นก็เล่นเอาเด็กหนุ่มถึงกับพรูลมหายใจใหญ่ ได้แต่ชะเง้อคอรอว่าเมื่อไหร่คนตัวเล็กทั้งสองจะกลับมาเสียที         

                “ตกลงว่ายังไง? เมื่อวานบอกไม่มีแฟน ทำไมวันนี้กลายเป็นแฟนตัวไปได้เนี่ย?

                “ชู่วว เบาๆ สิ เดี๋ยวรุ่นพี่ก็ได้ยินเข้าหรอก” ลู่หานจุ๊ปากพลางใช้อีกมือปิดปากเพื่อนไว้ หันกลับไปมองคนตัวสูงทั้งสองที่ยืนมองอยู่ไกลๆ อย่างระแวดระวัง “ถ้าเราไม่บอกว่าเป็นแฟน ป่านนี้เซฮุนได้โดนแฟนตัวอัดเละไปแล้ว”

                “แสดงว่าตัวโกหกงั้นเหรอ?”

                “ก็มันจำเป็นนี่ ดูไม่ออกรึไงว่าแฟนตัวน่ะขี้หึงขนาดไหน” คนตัวเล็กบู้ปากใส่เพื่อนรัก ถึงจะเจอมาแล้วกับตัวว่าคริสน่ะเกรี้ยวกราดได้เพียงไหน แต่หลังจากเรื่องวุ่นวายที่ผ่านมา อี้ชิงก็ไม่นึกชอบใจกับการสร้างเรื่องโกหกนัก

                “แล้วนี่เตี๊ยมกันกับโอเซฮุนด้วยหรือเปล่า?” ลู่หานสั่นหน้า

                “ไม่อ่ะ เราตกใจที่เห็นรุ่นพี่ปรี่เข้าใส่น้องแบบนั้นก็เลยพูดออกไป คิดอะไรไม่ทันแล้วนี่นา” หวังว่าเซฮุนจะรู้กัน ปล่อยเอาไว้สองคนแบบนั้น คงไม่เผลอหลุดปากเฉลยไปให้รุ่นพี่ยิ่งของขึ้นหรอกนะ ลู่หานหันกลับไปมองแล้วต้องยิ้มแห้งเมื่อเห็นว่าเซฮุนแอบยกมือขึ้นมาโบกให้ นั่นคงเป็นสัญญาณว่าไม่ต้องกังวลสินะ

                แม้ไม่เห็นด้วยกับการปั้นเรื่องซ้ำๆ แต่อี้ชิงก็จนใจ เขาเองก็เคยแก้ปัญหาด้วยความคิดตื้นๆ เหมือนกัน จะตำหนิแต่เพื่อนฝ่ายเดียวคงไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องที่เขากุไว้แต่แรก ก็คงไม่ต้องมีเรื่องโกหกตามมาเป็นทอดๆ แบบนี้หรอก

                “ว่าแต่ตัวเถอะ ที่บอกว่าตกลงเป็นแฟนกับรุ่นพี่เขาแล้วน่ะ จริงใช่ป่ะ?” จู่ๆ ลู่หานก็ฉวยโอกาสซักไซ้จนอี้ชิงเปลี่ยนอารมณ์แทบไม่ทัน เมื่อคืนที่พูดไปแบบนั้นก็เพราะอยากแกล้งให้เพื่อนกระวนกระวายใจเล่น แต่ถ้าจะบอกว่าโกหกก็คงไม่ถูกนัก เพราะตั้งแต่วันที่ถูกคริสรวบรัดเอาฝ่ายเดียว อี้ชิงก็ยังไม่เคยได้ปฏิเสธอย่างจริงจัง อาจเพราะสถานการณ์ระหว่างเขาทั้งคู่แทบไม่มีอะไรเปลี่ยน ถ้าไม่นับรวมเรื่องที่คริสมีข้ออ้างให้หงุดหงิดบ่อยขึ้น ไหนจะคำพูดคำจาที่เปิดเผยเสียจนทำให้ใจสั่นอยู่บ่อยๆ แต่อี้ชิงกลับพบว่าตัวเองไม่ได้รู้สึกอึดอัดใจอะไร จนตอนนี้ก็เริ่มไม่มั่นใจแล้วเหมือนกัน หากเขาปล่อยให้มันเลยตามเลยไปอย่างนี้เรื่อยๆ จะกลายเป็นว่าตัวเองยอมรับกลายๆ ไปเลยหรือเปล่าก็ไม่รู้

                “ก็ ไม่รู้สิ”

                “ยังจะไม่รู้อะไรอีก? หึงออกนอกหน้าขนาดนั้น ตอนนี้ต่อให้บอกใครต่อใครว่าไม่ใช่แฟนกันจริงๆ ก็คงไม่มีคนเชื่อแล้วแหละ” คราวนี้จางอี้ชิงถอนหายใจหนัก หันมองกลุ่มรุ่นน้องที่ยังรวมตัวกันอยู่ที่ริมสนามไม่ไกล ที่เสียงดังกันเมื่อครู่ ทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องคงได้ยินกันหมด ไม่นานเรื่องซุบซิบคงได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งมหาวิทยาลัยแน่ คิดแล้วก็อยากจะแทรกแผ่นดินหนีหน้าผู้คนไปเสียเดี๋ยวนั้น  

                “ไม่รู้แล้ว เราไปเรียนก่อนล่ะ”

                “เดี๋ยวสิ จะไปไหน” แค่อี้ชิงหันหลังลู่หานก็คว้าแขนหมับ จับตัวเพื่อนหมุนไปในทิศทางที่มีสองหนุ่มยืนรออยู่แล้วดันหลังเบาๆ “แฟนตัวรออยู่ทางโน้นโน่น”

     

                โอเซฮุนยิ้มกว้างต้อนรับที่คนตัวเล็กทั้งสองเดินกลับมาหา ทันทีที่ลู่หานมาหยุดอยู่ตรงหน้า รุ่นน้องก็ถอยไปยืนซ้อนหลัง โน้มใบหน้าลงกระซิบถามเบาๆ

                “คุยกันเรียบร้อยแล้วใช่ไหมครับ?”

                “ก็ อืม” เพียงเท่านั้นเซฮุนก็ยิ้มกว้าง หันไปค้อมศีรษะน้อยๆ ให้รุ่นพี่คนดัง

                “ขอโทษที่ทำให้เข้าใจผิดนะครับ” และคริสก็เพยิดหน้ารับอย่างมีฟอร์ม

                “ฉันเองก็หัวเสียไปหน่อย”

                “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเข้าใจ ถ้ามีใครมายุ่งกับแฟน ผมก็คงขึ้นเหมือนกัน” อกอุ่นๆ ที่แนบชิดไปกับแผ่นหลังนั้นทำให้ลู่หานต้องหันมอง และเซฮุนก็โน้มใบหน้าลงมาเพียงเพื่อจะส่งยิ้มให้ รุ่นน้องแสดงตัวได้แนบเนียนจนลู่หานใจเต้นแรงไปหมด ทั้งรอยยิ้มและดวงตายิบหยี พอมองจากตรงนี้แล้วก็... ให้ตาย! ไม่เคยรู้สึกว่าเซฮุนจะตัวสูงกว่ามากมายเท่าวันนี้เลย!

                “เอ่อ เอาเป็นว่าปรับความเข้าใจกันดีแล้ว งั้นเรา... ขอตัวก่อนนะฮะ” คริสไม่ติดใจเมื่อคนทั้งสองร่ำลา แม้ว่าท่าทีเก้อกระดากของลู่หานตอนที่เซฮุนเกาะแขนนั้นจะดูขัดตานัก แต่คริสไม่ให้ความสนใจกับมันเท่าใบหน้าปั้นปึงของคนที่ยังอยู่ตรงหน้า

                “ก็บอกแล้วว่าบังเอิญ” อี้ชิงบ่นเสียงเบา แต่เพียงเท่านั้นก็ทำให้หน้าดุๆ เผยรอยยิ้มได้ อาการบุ้ยปากไม่กล้าสบตาแสดงว่ายังมีเรื่องที่ปิดบัง แต่คริสจะทำใจกว้างปล่อยผ่านไป อย่างน้อยก็แค่วันนี้

                “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ให้คนอื่นจับมือถือแขน ฉันก็ไม่ชอบใจอยู่ดี”

                “แต่ว่าเซฮุนเขาเป็น...”

                “ไม่ว่าใคร ต้องให้ย้ำอีกไหมว่าหวงแค่ไหน” คริสกอดอกแล้วจ้องตาอย่างจริงจัง คำบางคำนั้นทำให้ใจเต้นแรงจนอี้ชิงเถียงต่อไม่ถูก ได้แต่เม้มริมฝีปากแล้วหลบตาเอาดื้อๆ แต่สองแก้มที่แดงปลั่งนั้นทำให้คนที่ได้มองไม่อาจปล่อยไปง่ายๆ

                “มาสิ จะไปส่งที่คณะ” ไม่ชวนเปล่า มือใหญ่ยังยื่นมาหมายให้จับ และแน่นอนว่าอี้ชิงไม่ได้ว่าง่ายขนาดนั้น คริสถึงได้จิ๊ปาก กวักมืออย่างเร่งรัด ซ้ำยังสำทับด้วยน้ำเสียงดุเมื่อเห็นว่ามือเล็กถูกดึงไปซ่อนไว้ข้างหลัง “อย่าดื้อ ฉันยังอารมณ์ไม่ดีอยู่นะ”

                เพิ่งจะพูดจาให้ใจเต้นไม่หาย ไม่ทันไรก็มาดุกันแล้ว ถ้าไม่ยอมตามใจ ก็ไม่รู้คนเอาแต่ใจจะสำแดงอิทธิฤทธิ์อะไรอีก มองมือใหญ่สลับกับสายตาดุๆ แล้วก็นึกระแวงจนต้องกลืนริมฝีปาก แต่เพราะไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์อุกอาจต่อหน้าผู้คนเยอะแยะ มือเล็กจึงค่อยยื่นออกไปให้อีกฝ่ายจับไว้มั่น เพียงเท่านั้นก็ดูเหมือนคริสจะพอใจ รอยยิ้มเหนือมุมปากนั้นบอกชัด

                อี้ชิงออกเดินตามเมื่อคริสเริ่มนำ แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เดินจูงมือกัน แต่ก็ใช่ว่าจะชินเสียจนไม่รู้สึกขัดเขินอะไร ใจดวงน้อยยังคงเต้นแรง ยิ่งพอคิดว่าสถานะของเราในตอนนี้ไม่เหมือนกับก่อนหน้า คริสไม่จำเป็นต้องทำเพื่อตบตาใคร แค่อยากทำตามใจตัวเอง อี้ชิงก็เริ่มจะรู้สึกแปลกๆ และก่อนที่จะต้องยอมรับว่าตัวเองเริ่มจะ... เขินจนทำตัวไม่ถูก อี้ชิงจึงต้องหาเรื่องชวนคุยไม่ให้บรรยากาศระหว่างทางเงียบเกินไปนัก

                “คือ เรื่องกระเป๋าเงินน่ะ ขอโทษนะ ฉันลืมจริงๆ เมื่อเช้ารีบมากไปหน่อย”

                “ไม่เป็นไร แต่มื้อกลางวันกับมื้อเย็น นายเลี้ยงฉันด้วยแล้วกัน”

                “ก็ได้ แต่อย่ากินของแพงนักนะ”

                “อาหารอิตาลีถือว่าแพงไหม?” อี้ชิงชะงักจนคนที่เดินข้างๆ ต้องหยุดตาม คริสยิ้มรอเมื่อนึกรู้ถึงตาคู่ใสที่เบิกกว้าง กับปากอิ่มบู้ยามที่คนตัวเล็กเถียงอย่างจริงจัง

                “ไม่ได้นะ นั่นมันแพงเกินไป!

                “แต่เมื่อวันก่อนนายบอกว่าอยากกินลาซานญ่าที่ใส่ชีสเยอะๆ นี่”

                “ก็ ก็ใช่ แต่ว่าวันนี้ไม่อยาก เอาไว้กินวันหลังแล้วกัน” บอกแล้วเชิดหน้าน้อยๆ แต่เสียงหัวเราะของคนรู้ทันบอกให้รู้ว่าตัวเองโกหกได้ไม่เนียนเท่าไหร่ อี้ชิงได้แต่กัดปากทำหน้าง้ำแทบจะตลอดทางที่เดินไปด้วยกัน

                สรุปแล้วมื้อกลางวันของทั้งคู่ก็คือไก่ทอดร้านดังในราคาพนักงาน ส่วนมื้อเย็นก็ราเมงเจ้าอร่อยร้านใกล้ๆ หอพักเก่าของอี้ชิงนั่นแหละ ราคาสบายกระเป๋าแต่เจ้าตัวก็ยังบ่นอุบเพราะคริสกินจุกว่าที่คาด เบอร์เกอร์หนึ่งชุดแล้วยังไก่ทอดชิ้นใหญ่ ราเมงก็จัดชามใหญ่พิเศษไปอีก ทั้งที่ปกติก็ไม่เห็นจะกินเยอะเท่าไหร่ แบบนี้ตั้งใจถล่มกันชัดๆ!

                กลับถึงห้องพักแล้วอี้ชิงก็ขอตัวเข้าห้องในทันที กระเป๋าเป้ถูกเหวี่ยงลงบนเตียงก่อน แล้วเจ้าของจึงค่อยทิ้งตัวลงไปนอนแผ่หราตาม อี้ชิงพ่นลมหายใจยาวเหยียดไล่ความเหนื่อยล้าที่เผชิญมาทั้งวัน ยิ่งมองพุงเป้ที่วันนี้โตกว่าทุกวันแล้วก็ต้องเบ้ปาก เมื่อคืนแทบไม่ได้นอน คืนนี้ก็คงไม่ต่าง เพราะรายงานที่ดองไว้เป็นอาทิตย์จะถึงกำหนดส่งในอีกสองวัน เขาต้องรีบอ่านหนังสือสองเล่มโตแล้วไฮไลท์ข้อมูลที่สำคัญให้ได้มากที่สุดในคืนนี้ แล้วพรุ่งนี้ค่อยโดดเรียนช่วงบ่ายไปใช้คอมพิวเตอร์ห้องสมุดเพื่อพิมพ์งาน แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว ให้ตายเถอะ ทำไมพักนี้ถึงได้ติดสบายจนขี้เกียจนักไม่รู้ ต้องมาลำบากเอาตอนหลังเนี่ยแหละ ถอนใจอีกครั้งแล้วก็ดันร่างตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง ไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้ก็ควรจะเริ่มลงมือ โชคดีที่เมื่อวานซื้อขนมมาตุนไว้ ดึกๆ หิวก็คงไม่ต้องออกไปหาอะไรกินให้เสียเวลา

                ครั้นเมื่อวาดสายตามองถุงขนมซึ่งถูกทิ้งไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือตั้งแต่เมื่อคืนแล้วก็นึกขึ้นได้ ก่อนที่จะเริ่มทำอะไร เขาควรจัดการเรื่องที่ยังค้างคาให้เสร็จสิ้นเสียก่อน ไม่อย่างนั้นจะลืมไปอีก อี้ชิงจึงลุกขึ้นจากเตียงเพื่อไปหยิบของที่อยู่ในนั้นก่อนจะออกจากห้องไปในทันที

                “นี่นาย นอนหรือยัง?” เคาะประตูห้องสองสามครั้งแล้วรอฟัง พอไม่ได้ยินเสียงตอบก็ลองเคาะเรียกใหม่ ตอนนี้ยังไม่ดึกเลย คริสไม่น่าเข้านอนเร็วนัก “นี่ ฉันเอากระเป๋าเงินมาให้นะ”

                “เข้ามาสิ ประตูไม่ได้ล็อค” ลองหมุนลูกบิดดูก็รู้ว่าจริง เมื่อเจ้าของห้องอนุญาตแล้วจะรออะไร อี้ชิงจึงผลักประตูเข้าไปอย่างไม่ลังเล แต่พอกวาดตามองไปจนรอบห้องแล้วก็ต้องแปลกใจที่ไม่เห็นคริสอยู่ในนั้น หรือเขาควรกลับออกไปรอที่หน้าประตูดี อี้ชิงกำลังคิดจะเปลี่ยนใจ ก็พอดีกับที่ร่างสูงใหญ่โผล่พ้นออกมาจากฉากกั้นส่วนที่คาดว่าน่าจะเป็นห้องน้ำ

                อี้ชิงชะงักงันทั้งที่เผลอลืมปิดปาก มองเรือนร่างสมส่วนซึ่งท่อนบนนั้นเปลือยเปล่า หยดน้ำที่เกาะพราวตั้งแต่เส้นผมจนถึงเนื้อกายเหนือขอบผ้าขนหนูที่พันทบเพียงหมิ่นเหม่นั้นบอกให้รู้ว่าเจ้าของห้องเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ กระนั้นคริสก็หาได้สะท้านต่อสายตาที่จ้องงัน คนมองเสียอีกที่เก้อกระดากจนทำตัวไม่ถูก มือไม้อ่อนเสียจนแทบไม่มีแรงจะจับลูกบิดประตูด้วยซ้ำ

                “ว.. ไว้ฉันมาใหม่”

                “เดี๋ยวนายก็ลืมอีก” ก็จริง อี้ชิงที่หันหลังแล้วได้แต่จิ๊ปาก ไม่คืนตอนนี้จะได้คืนอีกทีตอนไหน แม้สถานการณ์จะชวนให้นึกถึงอุบัติเหตุในห้องน้ำในวันนั้นมากก็จริง แต่อี้ชิงก็ไม่อยากเสี่ยงที่จะต้องเลี้ยงข้าวคนตัวโตไปอีกวัน ไหนๆ เข้ามาแล้วก็คืนของให้จบๆ ไปเลยดีกว่า

                “งั้นก็ เอาไปเลย” ยื่นมือไปข้างหลังเพียงเพื่อจะส่งของให้ โดยไม่คิดจะหันกลับไปมองเจ้าของห้องด้วยซ้ำ อี้ชิงหาได้รู้ว่าเจ้าของร่างที่ทำให้เขาใจสั่นนั้นกำลังเข้ามาใกล้... จนเกินไป

                “จะไม่เข้ามาก่อนรึไง” เสียงกระซิบนั้นพร้อมกับแรงผ่อนที่มือเมื่อกระเป๋าเงินถูกรับไป อี้ชิงรีบชักมือกลับในทันที

                “ฉ.. ฉันไปก่อนล่ะ”

                “เดี๋ยวสิ” แต่เพียงแค่หมุนลูกบิดยังไม่ทันจะได้ออกแรงดึงด้วยซ้ำ มือใหญ่ซึ่งไวกว่าก็ยื่นผ่านใบหน้ามาดันบานประตูไว้ไม่ยอมให้มันเปิด “ทำไมรีบนักล่ะ”

                จางอี้ชิงเม้มริมฝีปากเมื่อลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดที่ใบหู หยดน้ำที่ซึมผ่านเสื้อด้านหลังบอกให้รู้ว่าเจ้าของห้องไม่ได้พยายามรักษาระยะห่างนัก นั่นทำให้ร่างเล็กเริ่มเกร็งสั่น มือไม้อ่อนจนแทบจะจับลูกบิดประตูไว้ไม่ไหว

                “ฉัน... ต้องทำรายงาน”

                “หืม? ว่าอะไรนะ?” เกิดจะมาหูตึงอะไรเอาตอนนี้ อี้ชิงนึกอยากจะหันไปตะโกนใส่หน้าให้ได้ยินชัดๆ  แต่ก็เกรงว่าคนตัวใหญ่จะตกใจจนทำผ้าผ่อนหลุด เดือดร้อนคนมองไปอีก จึงจำต้องนิ่งไว้ กระนั้นเมื่อมือใหญ่แตะลงที่แขนเบาๆ เขาก็ยังสะดุ้ง “หันมาคุยกันดีๆ สิ”

                แม้ใจอยากขัด แต่เมื่อคริสหาได้ใช้กำลังจนเกินไป คนตัวเล็กจึงยอมตามอย่างว่าง่าย ทว่าสิ่งแรกที่เห็นเมื่อหันหลังกลับคือแผงอกกว้างที่ยังชุ่มไปด้วยหยดน้ำพราว สายตาจึงรีบเบี่ยงหลบอย่างทันควัน ในใจนึกอยากเอ็ดคนตัวโตที่ไม่รู้จักหาเสื้อผ้าใส่ก่อนชวนคุยกันนัก

                “เขินอะไรกัน” มุมปากหยักยกยิ้มอย่างพึงใจเมื่อได้เห็นแก้มใสระเรื่อแดง อาการขวยเขินที่เจ้าตัวไม่รู้นั้นช่างน่าเอ็นดูในสายตาคนมองนัก

                “นาย... ไม่ได้ใส่เสื้อผ้า”

                “แต่นายเคยเห็นหมดแล้วนี่”

                “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ!” คนตัวเล็กจิ๊ปาก สายตาที่เหลือบมองแล้วก็เสหลบไป ทำให้เจ้าของแผ่นอกอดจะหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ มือหนึ่งยังค้ำบานประตูไว้มั่นราวกับกรงกั้นไม่ให้คนตัวเล็กหนีรอดไปไหน คริสฉวยโอกาสที่คนตัวเล็กไม่อาจปัดป้องโน้มใบหน้าเข้าหา กระซิบเสียงเบาให้เจ้าของแก้มใสยิ่งใจสั่น

                “เขินแบบนี้ น่ารักเกินไปแล้วนะ รู้ตัวไหม” ลมร้อนที่รินรดผิวแก้มแทบจะหลอมให้อี้ชิงละลายกลายเป็นเนื้อเดียวกับบานประตูเสียเดี๋ยวนั้น ระยะห่างไม่ได้มีเหลือมาก คริสก็ยังจะโถมตัวเข้าใส่ เสื้อที่ซับหยดน้ำจากตัวอีกฝ่ายจนเปียกชุ่มนั้นยังไม่ทำให้อี้ชิงตัวสั่นเท่ากับรอยชื้นเมื่อริมฝีปากอุ่นแนบลงที่ใบหูเพื่อกระซิบคำขอ “เขียวหวาน ฉันอยากจะ...”

                “ม.. ไม่ได้นะ!” คริสผงะไม่ใช่เพราะมือเล็กที่อกออกแรงดันขืน แต่เพราะเสียงสั่นที่ร้องปราม อี้ชิงหลับตาแน่นเหมือนกลัวกว่าทุกครั้ง “ฉ.. ฉันยังไม่พร้อม!”

                “อะไรนะ?”

                “ห.. ห้ามทำอะไรนะ ฉันยังไม่พร้อม!

                “คิดว่าฉันจะทำอะไร?”

                “ก็ ก็อะไรที่ต้องใช้ถุงยางนั่น”

                “อะไรนะ?”

                “ฉันเห็นนะ เมื่อวาน นายซื้อถุงยางอนามัยมาด้วย” คริสถอนตัวมาตั้งหลักแต่ยังไม่ถึงกับถอย หากเขาปล่อยมือจากประตู อี้ชิงได้ลนลานหนีออกไปทั้งที่ยังคุยกันไม่รู้เรื่องเป็นแน่

                “ถุงยางงั้นเหรอ?” อี้ชิงไม่พยักหน้า ไม่ยอมสบตาใดๆ ทั้งนั้น แต่อาการตัวสั่นไม่หายนี่บอกให้รู้ว่าไม่ได้พูดเล่น คริสครุ่นคิดอยู่ไม่นานก็พอจะนึกได้ หากอี้ชิงหมายถึงของที่เขาซื้อมาเมื่อวาน ชายหนุ่มก็พรูลมหายใจจนแทบจะหลุดขำ จับแขนเล็กแล้วเกลี้ยกล่อมแกมบังคับจนคนเป็นแฟนต้องยอมเดินตามมาที่เตียง ก่อนที่เขาจะเปิดลิ้นชักบนโต๊ะหัวเตียงแล้วหยิบของที่อยู่ในนั้นขึ้นมา “นี่ใช่หรือเปล่า?”

                อี้ชิงถอยหนีด้วยความระแวง แต่ก็ติดที่แรงรั้งซึ่งมีมากกว่า ในเมื่อคริสไม่ยอมปล่อยมือ อี้ชิงจะทำอะไรได้ นอกจากจำใจยอมมองเจ้ากล่องสีสวยทรงแบนนั้น

                “ดูดีๆ สิ นี่อะไร” สายตาที่เหลือบมองนั้นยังลังเล คริสจึงเพยิดหน้าย้ำให้ชั่งใจ ตาคู่ใสหรี่ลงก่อนจะค่อยเบิกกว้างเมื่อได้อ่านตัวหนังสือที่อยู่บนกล่องนั้น

                “หมากฝรั่ง... งั้นเหรอ?” คริสพยักหน้า ยอมส่งกล่องนั้นให้เมื่ออี้ชิงขอรับไปดูให้ชัดๆ พลิกหน้าพลิกหลังอ่านทุกตัวอักษรจนละเอียด กระนั้นคนตัวเล็กก็ยังไม่หายแคลงใจ “แล้ว แล้วครีมหลอดนั่นล่ะ?”

                ครีมหลอดไหนอีก คริสย่นคิ้วด้วยความสงสัย พอนึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานตัวเองซื้อของมาอีกอย่างก็ครางอ้อ หันไปดึงลิ้นชักให้เปิดกว้างขึ้นเพื่อให้เห็นของอีกอย่างที่อยู่ในนั้น

                “นี่ครีมนวดแก้ปวดเมื่อย ฉันรู้สึกปวดแขนมาตั้งแต่วันแข่งแล้ว ของเก่าหมดก็เลยเพิ่งซื้อใหม่ สงสัยอะไรอีกไหม?” มองกล่องหมากฝรั่งในมือสลับกับหลอดยาในลิ้นชัก สุดท้ายอี้ชิงก็ส่ายหน้าแล้วบุ้ยปาก ใครจะไปรู้ว่ากล่องมันจะเหมือนกันได้ขนาดนี้ “ตกลงว่าที่ทำตัวแปลกๆ ตั้งแต่เช้า เพราะเรื่องนี้งั้นเหรอ?”

                อี้ชิงไม่ตอบแต่ส่งกล่องหมากฝรั่งคืนให้ กระนั้นความคิดใดๆ ของคนที่ยังไม่รู้ประสาก็ดูจะอ่านได้ผ่านสีหน้าและท่าทางเสียหมด นั่นทำให้คริสหลุดขำ นี่คงคิดว่าเขาจะเตรียมเอาไว้ทำอะไรที่มากกว่าหอมแก้มสินะ

                “ขำอะไรนักหนาเล่า” พอถูกรู้ทันก็โวยวายตามเคย แต่ยิ่งโวยแก้มก็ยิ่งแดง ยิ่งน่าเอ็นดูเข้าไปใหญ่ คริสอดใจไม่ไหวถึงได้ยื่นมือไปดึงสองแก้มนิ่มด้วยมันเขี้ยวนัก

                “เป็นเด็กเป็นเล็กทำไมทะลึ่งนัก”

                “โอ๊ย เอ็บอ๊ะ!

                “เอ๊ะหรือว่า อยากให้ฉันทำแบบนั้นจริงๆ?” พอยื่นหน้าเข้าหา ตาคู่ใสก็เบิกกว้าง รีบดึงมือใหญ่ออกจากแก้มตัวเองเป็นพัลวัน

                “น.. นายน่ะสิทะลึ่ง! ปล่อยเลยนะ ฉันจะกลับห้องแล้ว!” เวลางอนยิ่งน่ามันเขี้ยวนัก แม้จะอยากแกล้งต่อแค่ไหน แต่คริสก็ยอมรามือโดยง่าย เขาปล่อยให้อี้ชิงตะบึงตะบอนออกจากห้องในขณะที่ตัวเองส่งเสียงหัวเราะตามหลัง กระทั่งบานประตูปิดลง ร่างสูงจึงพรูลมหายใจยาว ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงก่อนจะเหลียวมองลิ้นชักชั้นสองซึ่งไม่ได้ถูกเปิดออก มีของบางอย่างอยู่ในนั้น คริสซื้อมันมาตั้งแต่หลายวันก่อนแต่ไม่ได้ถูกหยิบมาใช้จนแทบจะลืม พออี้ชิงพูดขึ้นวันนี้ถึงนึกได้ คิดแล้วก็ถอนใจอีกครั้ง ยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองแล้วหัวเราะอย่างสิ้นหวัง

                ให้ตาย ตื่นตูมขนาดนี้คงไม่ได้ใช้ไปอีกนานแน่

     

                เช้าวันต่อมา อี้ชิงก็ตื่นสายเหมือนเคย พอดีดตัวเองขึ้นจากเตียงได้ก็วิ่งเข้าห้องน้ำและวิ่งกลับออกมาภายในเวลาไม่ถึงสองนาที ไม่ทันสังเกตุด้วยซ้ำมีใครนั่งไถมือถือรออยู่ที่โซฟาแดง กระทั่งแต่งตัวเสร็จแล้วกลับออกมาเจอคนที่ตื่นก่อนยืนกอดอกรออยู่หน้าห้องนั่นแหละ ถึงได้บู้ปากเป่าลมใส่

                “นายจะกดดันฉันทำไมเนี่ย คนที่มีเรียนเช้าและกำลังจะไปสายคือฉันนะ”

                “ก็รู้ไง ถึงได้มายืนรอใกล้ๆ ตรงนี้ เผื่อนายอยากได้คนช่วยแต่งตัว” คริสบอกแล้วยิ้มเล่น อี้ชิงเลยแยกเขี้ยวใส่ก่อนจะเอานิ้วจิ้มอก ดันให้คนที่ยืนขวางต้องถอยห่าง เปิดทางให้ตัวเองเดินนำไปก่อน แต่คนอดนอนก็เอาแต่หาวหวอดๆ ไปตลอดทางกระทั่งเข้าลิฟท์ มีเวลาประเดี๋ยวประด๋าวให้ยืนพิงผนังหลับก็ยังเอา คริสเห็นแล้วก็อดแหย่เล่นไม่ได้

                “อดนอนอีกแล้ว อย่าบอกนะว่าคิดแต่เรื่องแบบนั้นอยู่ทั้งคืนน่ะ” อี้ชิงยังลืมตาได้ แต่มีแรงแค่ตวัดมองอย่างเคืองๆ เท่านั้น

                “ฉันทำรายงานต่างหากล่ะ เพลียจะแย่อยู่แล้วเนี่ย เดี๋ยวบ่ายนี้ต้องโดดเรียนไปพิมพ์งานที่ห้องสมุดอีก คอมพ์จะว่างหรือเปล่าก็ไม่รู้”

                “แล้วทำไมต้องไปใช้คอมพิวเตอร์ที่นั่น?”

                “ไม่งั้นจะให้ไปใช้ที่ไหน ร้านอินเตอร์เน็ตข้างนอกชั่วโมงนึงก็แพงจะตาย ยืมจงแดก็คงไม่ได้ หมอนั่นต้องใช้ทำงาน”

                “ก็ยืมฉันสิ ฉันมีแล็ปท็อป”

                “ว่าไงนะ?”

                “ฉันมีแล็ปท็อป อยู่ในห้อง” คราวนี้อี้ชิงผงกหัวขึ้นมาทำหน้าเหวอ กระพริบตาปริบๆ มองคริสที่เลิกคิ้วใส่ พอแน่ใจว่าไม่ได้พูดเล่นก็โวยใหญ่

                “แล้วทำไมไม่บอกกันบ้าง”

                “ก็นายไม่ได้ถามนี่” อ้าปากจะเถียงแต่ไม่มีเหตุให้แก้ตัวได้ จริงที่อี้ชิงไม่เคยถาม ก็ไม่เคยเห็นคริสเอาออกมาใช้เลยซักครั้ง ใครจะไปทันคิดว่าคนรวยๆ ต้องมีของแบบนั้นกันทุกคน

                อี้ชิงรออยู่ที่ลานจอดรถครู่ใหญ่ระหว่างที่คริสกลับขึ้นไปเอาของบนห้อง ไม่นานคนตัวโตก็กลับลงมาพร้อมกับแล็ปท็อปในมือ ยื่นมันมาตรงหน้าคนเป็นแฟน

                “แบตเตอรี่ใช้งานได้แปดชั่วโมง ไม่ต้องชาร์จ” แบรนด์ดัง ซ้ำยังรุ่นล่าสุดแบบบางเฉียบ ขนาดพกพาได้ อี้ชิงเอียงคอมองสำรวจซ้ายขวาเพื่อประเมินราคาของมัน ก่อนจะค่อยๆ ยื่นสองมือออกไปหมายประคับประคองของมีราคาเป็นอย่างดี แต่ในทันทีคริสกลับชักมือกลับ

                “ฉันช่วย”

                “ไงนะ?”

                “เอาเป็นว่าฉันจะโดดเรียนช่วงบ่ายไปช่วยนายพิมพ์รายงานก็แล้วกัน”

                “เห้ยไม่ต้อง ขอยืมแล็ปท็อปก็พอ”

                “ที่ไหนดี? ห้องสมุดคนเยอะ งั้นไปห้องชมรมนายไหม?” บอกพลางเก็บแล็ปท็อปลงกระเป๋าตัวเองหน้าตาเฉย อี้ชิงได้แต่มองตาค้าง สุดจะยื้อแย่งอะไรได้

                “บอกว่าไม่ต้องไง ฉันทำเองได้”

                “งั้นกลางวันนี้โทรสั่งอาหารให้มาส่งดีกว่า จะได้ไม่เสียเวลาออกไปหาอะไรกินข้างนอก ดีไหม?”

                “ฟังฉันอยู่รึเปล่าเนี่ย?”

                “กินอะไรดี? ฟาสต์ฟู้ดง่ายๆ หรือร้านอาหารจากโรงแรม หรือจะอาหารอิตาลีที่นายอยากกินก็ได้นะ” พอสวมหมวกกันน็อคแล้ววาดขาขึ้นคร่อมรถ อี้ชิงก็ได้แต่จิ๊ปาก จะให้ยืมของแล้วยังท่ามากอีก ที่ทำหูทวนลมนี่คือจะเอาแต่ใจตัวเองให้ได้สินะ มัดมือชกกันขนาดนี้แล้วอี้ชิงจะทำอะไรได้ ได้แต่สวมหมวกกันน็อคแล้วปีนขึ้นไปนั่งซ้อนบนรถตาม

                “ตามใจนายเลยแล้วกัน”

     

    .

    .

    .

      

     

    ทู บี คอนตินิว...



    คนรอง: เป็นอิสุกอิใสเพิ่งหาย มันก็จะมึนๆ นิดนึง


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×