ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [KrisLay] เขียวหวานน่ารัก~♡

    ลำดับตอนที่ #32 : เขียวหวานน่ารัก ~ 32 ~

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.77K
      229
      10 ก.ค. 62


    [Fic] เขียวหวานน่ารัก~

    ตอนที่ 32

    Fiction by 2nd Admin 

    .

    .

    .

     

                “ใช้นิ้วจิ้มเอาทีละตัวแบบนี้เมื่อไหร่จะเสร็จ”

                “ก็ฉันไม่ถนัดพิมพ์ภาษาอังกฤษนี่นา”

                “ก็บอกแล้วไงว่าฉันเร็วกว่า มานี่ พิมพ์ให้”

                “แต่นี่มันรายงานฉันนะ นายพิมพ์แล้วฉันจะทำอะไรล่ะ”

                “ก็อ่านไปสิ ฉันจะพิมพ์ตามที่นายอ่าน”

                “ไม่เอาอ่ะ เดี๋ยวออกเสียงไม่ถูกนายก็ดุเอาอีก”

                “งั้นก็อยู่เฉยๆ ฉันทำเอง”

                “เผด็จการชะมัด”

                คิมจงแดลอบสังเกตุการณ์สองผู้มาเยือนห้องชมรมของเขาอย่างเงียบเชียบ ไม่แม้แต่จะเงยหน้าจากจอคอมพิวเตอร์ขึ้นมามองตรงๆ ด้วยซ้ำ ทำเป็นสนใจงานตรวจต้นฉบับข่าวตรงหน้าแต่อาศัยแอบมองลอดแว่นเอา สองอาทิตย์แล้วที่อี้ชิงไมได้แวะมาที่ห้องชมรมเลย วันนี้เข้ามาขอใช้ห้อง แถมยังพารุ่นพี่ที่เป็นแฟนกำมะลอเข้ามาด้วยอีก ถึงจะชอบทำงานเงียบๆ แต่จงแดก็ไม่ขัดหากว่าสมาชิกจะมาขอใช้ห้องเพื่อทำรายงาน จอแจนิดหน่อยแต่ก็พอทน แต่ที่ทำให้หนุ่มแว่นต้องมีอันเสียสมาธิก็เพราะพฤติกรรมของทั้งสองคนนี่แหละ ความสนิทสนมที่มากขึ้นกว่าครั้งสุดท้ายที่เจอกัน อาจเป็นได้ว่าเพราะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาตลอดหลายสัปดาห์ แต่ที่แปลกคืออี้ชิงดูจะเอาแต่ใจมากขึ้น เหมือนมีคนคอยตามใจ ในขณะที่รุ่นพี่กลับดูเหมือนจะซอฟท์ลง จากที่เคยเงียบขรึม หน้าดุเหมือนไม่สบอารมณ์อยู่ตลอดเวลา ตอนนี้กลับกลายเป็นว่ายิ้มง่ายขึ้น ดูสายตาที่มองอี้ชิงที่นั่งบ่นอยู่ข้างๆ สิ แทนที่จะรำคาญ กลับเหมือนจะเอ็นดูเสียอย่างนั้น นี่ถ้าจงแดไม่รู้มาก่อนว่าเป็นแค่เรื่องโกหก คงคิดว่าสองคนนี้เป็นแฟนกันจริงๆ ไปแล้วแน่ๆ

                กว่าชั่วโมงที่เสียงถกเถียงกันของคู่รักกำมะลอเงียบไป จงแดจึงมีสมาธิทำงานของตัวเองเต็มที่ กระทั่งเสร็จเรียบร้อยดีแล้วถึงได้ละสายตาจากหน้าจอ เอนหลังพิงพนักแล้วเหยียดแขนยาวเพื่อยืดเส้นยืดสาย ครั้นชำเลืองตามองรุ่นพี่ที่นั่งอยู่อีกฟากของโต๊ะก็เห็นว่ากำลังทำแบบเดียวกัน และเหมือนรู้ว่ามีสายตาที่กำลังจับจ้อง ถึงได้บังเอิญมองตอบมา

                “โทษทีนะ รบกวนนายหรือเปล่า?” เป็นประโยคแรกที่คนดังทักทายหนุ่มแว่นตั้งแต่ที่เข้ามาในห้อง การเริ่มต้นบทสนทนาโดยไม่ทันตั้งตัวทำให้คิมจงแดอดประหม่าไม่ได้ เขายืดตัวขึ้นนั่งตรงแหนวตอนที่ส่ายหน้าตอบ

                “ไม่เป็นไรเลยครับรุ่นพี่ ตามสบายเลย” รุ่นพี่คนดังก็ยิ้มรับ ละสายตาจากเขาแล้วเหลียวมองแฟนปลอมๆ ที่ฟุบหน้านิ่งไปกับโต๊ะตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

                “อ้าวนั่น หลับไปแล้วหรือครับ ถึงว่าล่ะ เงียบเชียว”

                “ปล่อยเขาเถอะ เมื่อคืนนอนดึก คงจะเพลีย” จงแดเห็นรอยยิ้มบางเหนือริมฝีปากหยักนั้น ได้ยินเสียงจ๊อบแจ๊บของคนละเมอเคี้ยวน้ำลาย นิ้วเรียวก็เลื่อนไปเกลี่ยปอยผมที่ระคายข้างแก้มให้อย่างเบามือ ทุกการกระทำช่างอ่อนโยนและเป็นธรรมชาติจนประธานชมรมนึกอยากจะหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายเก็บไว้ หากได้ลงภาพหวานๆ ของคู่รักคนดังแบบเอ็กคลูซีฟขนาดนี้ คงสร้างกระแสให้เวบเพจของชมรมได้ไม่น้อยเลย จะว่าไป อี้ชิงไปทำอีท่าไหน เสือยิ้มยากถึงได้กลายเป็นเสือใจดีอย่างนี้ไปได้นะ

                “เอ่อ ขอโทษนะครับรุ่นพี่ คือว่า หมอนี่สร้างปัญหาให้หรือเปล่า?”

                “อี้ชิงน่ะหรือ ไม่นี่ เรามีความสุขกันดี”

                “ง.. งั้นหรือครับ?” ดูเหมือนจะถามผิดจังหวะไปหน่อย ใช้สรรพนามเสียจงแดรู้สึกเป็นส่วนเกินไปเลย เขายิ้มแหะแล้วยกมือขึ้นเกาท้ายทอยแก้เก้อ ก่อนจะคิดได้ว่าไม่ควรอยู่เป็นก้างให้นานนัก ปิดคอมพิวเตอร์เลยจะดีกว่า “เอ่อ ผมเสร็จงานแล้ว ขอตัวกลับก่อน เชิญรุ่นพี่ใช้ห้องตามสบายเลยนะครับ”

     

                จงแดกลับไปแล้ว คริสยังนั่งอยู่ที่เดิม รัวนิ้วกับแป้นพิมพ์ขณะที่สายตามองไล่ตัวอักษรในหนังสือทีละบรรทัด พอรู้สึกล้าก็หันไปมองคนที่ฟุบหลับอยู่ข้างๆ ที ไม่คิดจะปลุกให้มาช่วยแม้อยากได้ยินเสียงบ่นง้องแง้งเป็นเพื่อนแค่ไหน คนตัวเล็กคงเป็นกังวลเรื่องรายงาน ขนาดหลับยังได้ยินเสียงละเมอเบาๆ พอเห็นคิ้วบางขมวดเข้าหากัน คริสก็แตะปลายนิ้วนวดให้อย่างเบามือ เขายิ้มเพียงแค่ได้มองภาพตรงหน้า อี้ชิงไม่ว่าเวลาไหนก็น่าเอ็นดูในสายตาคนเป็นแฟนนัก

     

                น่ารัก... กว่าที่เคยได้เห็นแค่ในรูปถ่ายตั้งหลายเท่า

     

                คริสยังนั่งทำงานคนเดียวเงียบๆ ต่ออีกเป็นชั่วโมง อันที่จริงมันก็ไม่ได้ยากนัก เพราะข้อมูลเกือบทุกอย่างมีอยู่ในอินเตอร์เน็ต ก่อนหน้านี้อี้ชิงคงไม่สะดวกจึงต้องหาเอาจากในหนังสือ คริสแค่เสิร์ชหาบทความประเภทเดียวกันแล้วคัดลอกเอามาวาง เร็วกว่าพิมพ์เอาเองทั้งหมดตั้งเยอะ นี่หากว่าปล่อยให้คนซื่อบื้อทำเอง ป่านนี้คงยังเสร็จไม่ถึงครึ่งเลยกระมัง

                พลิกหนังสือหน้าสุดท้ายเห็นว่าไม่มีที่ไฮไลท์แล้วคริสก็พรูลมหายใจยาว เหยียดแขนขึ้นยืดเส้นยืดสายเมื่องานเสร็จสิ้น คนข้างกายก็คงหลับสบายจนเต็มอิ่มถึงได้เริ่มขยับและผงกหัวขึ้นมาอย่างงัวเงีย

                “อือ กี่โมงแล้วเนี่ย”

                “สี่โมงกว่าแล้ว เช็ดน้ำลายด้วย” ใช้หลังมือปาดป้ายทั้งปากทั้งแก้มเป็นพัลวัน พอตาสว่างก็นึกขึ้นได้ว่ายังมีเรื่องที่ต้องกังวลมากกว่าคราบน้ำลายที่เลอะแก้มนั่น

                “รายงานล่ะ?

                “เสร็จแล้ว ยังไม่ได้ตรวจทานนะ คิดว่านายคงต้องส่งดราฟท์ให้อาจารย์รีวิวก่อน เลยยังไม่ได้... สั่งพิมพ์” ว่าพลางหันหน้าจอแล็ปท็อปให้เจ้าของรายงานเห็น แต่ยังเร็วไม่ทันคนใจร้อนที่ขยับเบียดเข้ามาจนแทบจะซ้อนตัก ตัวเกยอกหัวชนจมูกอยู่นี่ยังไม่รู้ตัว

                “นายทำคนเดียวหมดนี่เลย?”

                “ก็นายบอกว่ากำหนดส่งพรุ่งนี้ รอให้ตื่นขึ้นมาใช้นิ้วจิ้มคงไม่ทัน” ไล่สายตาอ่านรายงานคร่าวๆ เห็นว่าเสร็จแล้วจริงๆ ก็อดจะทึ่งไม่ได้ อี้ชิงหลับไปนานแค่ไหน คริสถึงได้พิมพ์รายงานที่ควรต้องใช้เวลาครึ่งวันเสร็จเหมือนเสกได้แบบนี้ แค่เผลอคิดไปว่าตัวเองโชคดีที่มีแฟนเก่ง หัวใจก็เต้นแรงขึ้นมาเสียอย่างนั้น

                “ขอบใจนะ” จังหวะเงยหน้านั้นเองที่เพิ่งรู้ตัว เมื่อไรผมเหนือหน้าผากถูกปลายจมูกโด่งสัมผัสแผ่วเบา ทว่าเจ้าของใบหน้าคมคายที่อยู่ใกล้กันเพียงคืบยังไม่คิดจะถอยห่าง สบตากันได้ไม่นานก็กลายเป็นอี้ชิงที่ต้องถอยกลับมานั่งใจเต้นแรงอยู่ในที่ของตัว

                เมื่ออี้ชิงเงียบคริสก็เงียบ บรรยากาศในห้องก็เลยเงียบไปหมด แต่ก็ได้เพียงไม่นาน เสียงถอนหายใจยาวดึงความสนใจให้อี้ชิงต้องเหลือบมองอีกครั้ง เห็นคริสกำลังใช้กำปั้นทุบไหล่ตัวเองปั้กๆ พลางบ่นเปรย

                “ปวดแขนชะมัด” น่าจะแผลเก่าจากตอนแข่งยังไม่หาย นั่งอยู่หน้าแล็ปท็อปสองสามชั่วโมงอาจทำให้อาการกำเริบขึ้นมาอีก หากอี้ชิงไม่ใส่ใจก็ดูจะใจร้ายเกินทน คนตัวเล็กกัดปากอย่างชั่งใจจนสุดท้ายก็ลุกขึ้น

                “ฉัน... นวดให้ ปวดตรงไหน”

                “ตรงนี้” พอคริสชี้จุด มือเล็กก็ค่อยยื่นออกไป บีบนวดแถวๆ สะบักไหล่ให้เบาๆ

                “ดีขึ้นไหม?”

                “แรงอีกนิด”

                “พอรึยัง?”

                “เกือบละ แต่เหมือนยังขาดอะไรไป”

                “อะไร?” คริสไม่ตอบแต่จับข้อมือเล็กไว้ข้างหนึ่ง ก่อนจะออกแรงดึงจนอี้ชิงหน้าคะมำ

                “อ๊ะ อื้อ!

     

                ฟอดดด!

     

                “หื้มมม”

                “...!”

                “กำลังใจไง ตอนนี้ชื่นใจขึ้นเยอะเลย” เสียงกระซิบนั้นไม่ไกลจากผิวแก้มที่เพิ่งถูกทั้งจมูกโด่งและริมฝีปากอุ่นฉวยโอกาสไปนัก กำลังใจสำคัญนิ่งงันอยู่เป็นครู่กว่าจะรู้ว่าควรถอยมาตั้งหลัก หัวใจเต้นแรงราวกับจะหลุดออกมานอกอกเสียให้ได้ กระนั้นอี้ชิงยังแปลกใจที่ตัวเองไม่เผลอโวยออกไปซักคำ

                บรรยากาศในห้องกลับมาเงียบอีกครั้ง แต่คราวนี้ต่างไป อี้ชิงนั่งนิ่งทั้งที่ใจเต้นกระหน่ำ ผิวแก้มยังร้อนผ่าว ตาคู่ใสมองสบดวงตาอีกคู่ที่จ้องมาไม่วาง คริสยังคงยิ้ม ในขณะที่อี้ชิงสับสนนัก คนตัวเล็กแยกไม่ออกว่าคริสแค่แหย่เล่นหรือจริงจัง แต่การหอมแก้มแล้วเอ่ยคำหวานเหมือนว่าเขาเป็นคนสำคัญนั้นทำให้อี้ชิงรู้สึกตัวเบาเหมือนจะลอยได้ เผลอไผลจนลืมโกรธทั้งที่ถูกเอาเปรียบ คริสมักเป็นแบบนี้ ขี้เก๊ก เอาแต่ใจ แต่ก็ชอบทำให้อี้ชิงใจเต้นแรงอยู่เรื่อยเลย

                “หิวหรือยัง?” อย่างเช่นตอนนี้ที่มือใหญ่เอื้อมมาลูบผมเขาเบาๆ แม้จะรู้สึกว่างเปล่าราวกับในท้องนั้นเบาโหวง แต่อี้ชิงก็ยังพยักหน้าเหมือนเป็นกิริยาอัตโนมัติ มือหนึ่งยกขึ้นลูบแก้มตนเหมือนคนไม่รู้ตัว สีหน้าสับสนของตนนั้นน่าเอ็นดูเพียงไหน อี้ชิงหาได้รู้ แต่แม้จะมองเพลินเพียงไร คริสยังพับหน้าจอแล็ปท็อปลงแล้วตัดใจลุกขึ้น “ถ้าอย่างนั้นก็กลับกันเถอะ เดี๋ยวแวะไปกินลาซานญ่าด้วยดีไหม?”

                มองมือใหญ่ที่ยื่นมาแล้วเงยหน้าขึ้นสบตาเจ้าของมือนั้น ริมฝีปากอิ่มขบเม้มกันด้วยลังเล หาใช่เพราะไม่เคยคุ้นกับมืออุ่น แต่เพราะความสงสัยในใจ แถวนี้ไม่มีใครอื่นอีก คริสจะแกล้งทำดีกับเขาเพื่อตบตาใครไปทำไม ไหนจะเรื่องช่วยทำรายงาน อันที่จริงคริสก็ทำเรื่องที่ไม่จำเป็นในหลายๆ ครั้ง ถึงจะเคยรับปากว่าจะดูแลแฟนปลอมๆ คนนี้เป็นอย่างดี แต่บางทีอี้ชิงก็ยังคิดว่ามัน... มากเกินไป

     

                ที่ลู่หานเคยพูดไว้นั้นอาจจริง อี้ชิงคิดช้าถึงเพิ่งมาสงสัยเอาตอนนี้ และคงซื่อเกินกว่าจะรู้ ว่าหากถามสิ่งที่สงสัยในใจออกไป คำตอบของคริสคงเปลี่ยนความรู้สึกของตนไปตลอดกาล

     

                “นาย... ทำไมถึง ดีกับฉันนัก คือ ไม่ได้หมายถึงเรื่องรายงานนะ แต่... ทุกๆ เรื่อง” ทุกๆ อย่าง คริสทำดีจนอี้ชิงเริ่มจะเคยตัว และเขากลัวว่ามันจะเป็นแค่เรื่องเรื่องจอมปลอมเช่นเดียวกับสถานะตน

                คริสยิ้มยามเลื่อนมือขึ้นลูบแก้มนิ่มแผ่วเบา นิ้วเรียวเกลี่ยริมฝีปากนุ่มด้วยความปรารถนา น่าเสียดายที่เจ้าของดวงตาคู่ใสไม่เคยรับรู้ถึงความนัยที่ถูกซ่อน แต่นั่นอาจเป็นการดี อย่างน้อยก็ในเวลานี้ที่คริสไม่อยากให้คนตัวเล็กต้องถอยห่าง หากได้รู้ว่าในใจเขาอยากทำมากกว่าสิ่งที่จะทำนัก

                “เพราะนายเป็นแฟนฉัน บอกแล้วไง ตราบเท่าที่เราเป็นแฟนกัน ฉันจะดูแลนายอย่างดี”

                “แต่ แต่ฉันยังไม่...”

                “ชู่วว...” คือเสียงสุดท้ายที่อี้ชิงได้ฟัง ก่อนที่ทั้งห้องจะเงียบอีกครั้งเมื่อริมฝีปากอุ่นเข้ามาแทนเรียวนิ้วที่ละไป

                เพราะครั้งแรกคริสวู่วามจนคนตัวเล็กอาจนึกกลัว คราวนี้เขาจึงใจเย็นนัก มือหนึ่งกอบประคองแก้มนิ่มอย่างอ่อนโยน กลีบปากนุ่มหยุ่นขบเม้มแผ่วเบากระทั่งร่างเล็กคลายสั่น อีกมือจึงเลื่อนขึ้นโอบรอบเอวเล็กไว้ รั้งสองกายให้ใกล้ชิดกระทั่งได้ยินเสียงหัวใจกันและกัน จูบผิวเผินเพียงละเลียดลองรสหวานทั่วกลีบปากอิ่มอยู่เนิ่นนาน กระทั่งคนไม่ประสาเริ่มเผลอไผล เปิดทางให้คริสป้อนความหวานที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า

                ลิ้นเล็กยังหลบเร้นเมื่อถูกคริสไล่ต้อนหมายพัวพัน ทว่าเพียงเสียงครางครึมที่ทั้งขู่ทั้งอ้อนขอ อี้ชิงก็โอนอ่อนแต่โดยง่าย ยอมให้อีกฝ่ายป้อนความหอมหวานอย่างที่ไม่เคยรู้ว่ามีจริง ทั้งร่างเล็กร้อนผ่าวราวกับไม่ใช่ตัวตน ลมหายใจถูกแลกเปลี่ยนไปจนสิ้น เสียงหัวใจใต้แผ่นอกเต้นแข่งกันดังเพียงไหน แต่ในหัวของอี้ชิงกลับว่างเปล่า ราวกับว่าจูบเดียวมีอำนาจนำพาร่างกายให้อ่อนไหว รุนแรงจนละลายหัวใจให้ล่องลอยไร้สติ อี้ชิงหลงอยู่ในบ่วงอันหอมหวาน กระทั่งไม่ทันฟังเมื่อเสียงทุ้มกระซิบแผ่ว เขาลืมตาขึ้นช้าๆ เพียงเพื่อมองสบดวงตาคนที่เอ่ยคำนั้น ทว่าไม่อาจตอบรับคำใดได้ มีเวลาให้สับสนเพียงไม่ถึงอึดใจ ริมฝีปากก็อุ่นบดเบียดเข้ามาอีกครั้ง และคราวนี้คงเนิ่นนานกระทั่งลบเลือนความคิดสุดท้ายของอี้ชิงไปจนสิ้นเป็นแน่

     

    .

    .

    .

     

                “...ชิง”

                “.....”

                “ชิงชิง”

                “.....”

                “นี่ จางอี้ชิง!”

                “ห.. ห๊ะ?! อะไรนะ?”

                “เหม่ออะไรอยู่ นี่ของโปรดตัวนะ” ลู่หานที่ยังเคี้ยวของกินเต็มปากชี้ตะเกียบไปที่ราเมงชามใหญ่ซึ่งอยู่ในมือเพื่อนรัก คุณป้าเจ้าของร้านอุตส่าห์เติมเครื่องให้เยอะมาก แบบพิเศษของพิเศษไปอีก เขาตาวาวตั้งแต่ตอนอยู่ที่ร้าน แต่ก็ยอมอดใจหิ้วกลับมากินที่หอพักตามที่เพื่อนรักขอ พอเทใส่ชามแล้วก็รีบสวาปามในทันที ขณะที่อี้ชิงซึ่งก่อนหน้านี้บ่นว่าหิวและชวนกินร้านนี้เองแท้ๆ กลับเอาแต่เขี่ยเส้นไปมา ไม่ยอมตักใส่ปากซักคำ ซ้ำยังดูเหม่อๆ เรียกตั้งหลายครั้งกว่าจะได้ยิน ผิดปกติจนอดให้แซวไม่ได้ “ไหนว่าหิวไง หรือว่ากินของแพงๆ จนเคยตัว ราเมงข้างทางก็เลยไม่ใช่ของโปรดแล้ว?”

                “ไม่ใช่อย่างนั้นซักหน่อย”

                “ล้อเล่นหรอกน่า” ไหล่ซ้ายเอนไปเล็กน้อยเมื่อถูกเพื่อนผลักหยอกๆ เส้นราเมงเริ่มจะอืดและหากว่าอี้ชิงไม่คีบใส่ปากไปบ้าง คงได้พองจนล้นชามเป็นแน่ “ว่าแต่ พอได้เป็นแฟนกันจริงๆ แล้วเป็นยังไงอ่ะ สวีทขึ้นกว่าเดิมป่ะ ได้จูบกันยัง?”

                “ฮึก! แค่กๆ”

                “อะไร? สำลักนี่คืนยังไง จูบแล้วหรือได้ทำมากกว่านั้น?”

                “เสี่ยวลู่!” เจ้าตัวแสบหัวเราะร่าในขณะที่อี้ชิงต้องวางชามลงกับโต๊ะเพื่อยกน้ำขึ้นดื่มไปอึกใหญ่ ก่อนจะรับกระดาษทิชชู่ที่เพื่อนส่งให้มาซับรอบริมฝีปากที่เปราะเปื้อนเพราะแรงสำลัก

                “โอเคๆ ไม่ล้อแล้วก็ได้ แค่นี้ก็ต้องเขินด้วย”

                ยังส่งค้อนไปแต่หาใช่เพราะเคือง แค่อยากกลบเกลื่อนอาการร้อนตัวเสียมากกว่า เพราะจนถึงตอนนี้ อี้ชิงก็ยังเอาแต่คิดถึงเรื่องที่เกิดในห้องชมรมเมื่อเย็นวานอยู่เลย แค่นึกถึงสัมผัสของริมฝีปากอุ่นก็เหมือนมีลมมาหมุนๆ อยู่ในท้อง หน้าร้อนตัวร้อนไปหมด ยิ่งอยู่ใกล้ก็ยิ่งทำอะไรไม่ถูกเลย แค่บังเอิญหันไปสบตายังทำเอาใจสั่นจนลมแทบจับ อุตส่าห์หาข้ออ้างขอมานอนค้างกับเพื่อนหมายมาพักจังหวะหัวใจ เพื่อนรักก็ดันมาถามจี้จุดเหมือนรู้ทันความคิดเสียอย่างนั้น

                “แต่จริงๆ นะ รุ่นพี่ดูเป็นคนดุๆ นิ่งๆ ก็จริง แต่ก็ดูตามใจตัวม้ากมาก เขาคงรักตัวมากแน่ๆ ว่าแต่ตัวเองเหอะ เคยบอกรักรุ่นพี่เขาไปซักคำหรือยัง?” ปากยังเคี้ยวตุ้ยๆ ตอนที่ถาม ลู่หานรู้ว่าเพื่อนตัวเองน่ะซื่อบื้อแค่ไหน แต่ไม่คิดว่าจะปากแข็งนัก ถึงได้ขัดใจตอนที่อี้ชิงสั่นหน้า

                “ทำไม... ต้องพูดด้วยล่ะ”

                “เอ๊า ก็ตัวรู้สึกยังไง ไม่คิดจะบอกรุ่นพี่เขาไปบ้าง?”

                “เราก็... ไม่ได้รู้สึกอะไรนี่”

                “แน่ใจ?” อาการเม้มปากแล้วหลบตา แต่ซ่อนแก้มแดงๆ ไม่พ้นนั่นขัดใจคนแมนๆ จนต้องจิ๊ปาก “นี่ไม่รู้ใจตัวเองจริงๆ หรือแค่ปากแข็งกันแน่เนี่ย?”

                ค่อนแขวะกันไม่พอ พออี้ชิงไม่ตอบ ยังเอานิ้วป้อมๆ มาจิ้มปากเล่นอีก คนตัวขาวนึกรำคาญจนต้องปัดออกแล้วมุ่ยหน้าใส่

                “สำคัญตรงไหน ถึงยังไงพอครบสองเดือนเขาก็ต้องไปอยู่ดี”

                “ก็เพราะเหลือเวลาน้อยแล้วน่ะสิ ถึงได้สำคัญ รุ่นพี่เขาดีขนาดนั้น เราไม่อยากให้ตัวมานั่งเสียใจทีหลังที่มัวแต่เล่นตัวจนเสียของดีไปนะ”

                “ไม่ได้เล่นตัวซักหน่อย”

                “งั้นจะลังเลทำไม สารภาพความในใจกับพี่เขาไปเลยสิ” อี้ชิงไม่ตอบแต่กลับหันหน้าหนี อาการแบบนี้ลู่หานก็สุดจะทน วางชามราเมงลงบนโต๊ะแล้วดึงขาขึ้นขัดกันไว้บนโซฟา ก่อนจะหันทั้งตัวเข้าหาเพื่อนรัก “หรือตัวไม่ได้คิดอะไรกับพี่เขาจริงๆ?” 

                   พอถูกคาดคั้นอี้ชิงก็ยิ่งเม้มปาก เกลียดคำถามที่ตอบยากแบบนี้นัก หากปฏิเสธว่าไม่รักไม่ชอบ ใยจึงยอมให้เขาจูบเอาได้ ทำไมต้องรู้สึกเขินอาย ทำไมต้องใจเต้นแรง อี้ชิงรู้ตัวเองหมดทุกอย่าง แต่หากว่าคริสไม่ได้เป็นเหมือนกัน หากว่าคำพูดที่เคยบอกกันนั้นเป็นแค่ความเผลอไผล หรือแค่อยากลองใจกันเล่า อี้ชิงจะรู้ได้อย่างไร

                “ตัวคิดว่าหมอนั่นจะ... ชอบเราจริงๆ งั้นเหรอ”

                “ยังต้องสงสัยอะไรอีก พี่เขาดีขนาดนั้น เทคแคร์ดูแลทุกเรื่อง ตามใจตัวทุกอย่าง เอาจริงๆ นะ ถ้าไม่คิดจะจริงจังด้วยจะทำดีขนาดนั้นไปทำไม ขนาดเราเป็นเพื่อนตัวแท้ๆ ยังทำให้ไม่ได้ขนาดนั้นเลย”

                “ก็... อาจเพราะเขาต้องใช้เราเพื่อหลอกคนอื่นไง”

                “คิดงั้นจริงๆ อ่ะ?” อี้ชิงไม่ได้พูดตรงตามใจ ลู่หานรู้ได้จากสีหน้าแหละแววตา เพื่อนของเขาไม่เคยมีความรัก จะเพราะไม่มั่นใจหรืออะไรก็ตาม แต่หากยิ่งไล่ต้อนก็รังแต่จะหาข้ออ้างไม่ยอมรับ เช่นนั้นลู่หานก็จนใจ “ตามใจตัวแล้วกัน”

                เจ้าตัวแสบพ่นลมอย่างสุดเซ็ง ถอยกลับมาหาชามราเมงของตัวเอง จับตะเกียบคีบเส้นขึ้นมาจ่อรอที่ปาก ไม่วายเขม่นตามองเพื่อนรักที่ยังเอาแต่ปิดปากเงียบ นึกหมั่นไส้จนต้องย่นจมูกใส่ เห็นอยู่ชัดๆ ว่ามีใจยังจะทำปากแข็ง นี่ขนาดชงอยู่ทุกวันยังไม่เห็นทีท่าว่าจะอ่อนลงบ้าง  คิดแล้วก็เหนื่อยใจแทนคนเป็นแฟนนัก

     

                รุ่นพี่จะต้องทำขนาดไหน อี้ชิงถึงจะรู้ใจตัวเองได้ซักทีนะ

     

    .

    .

    .

     

                “บอกแล้วไงว่าไม่ต้องมารับ”

                จางอี้ชิงขมวดคิ้วทันทีที่ได้เห็นภาพตรงหน้า ร่างสูงใหญ่ที่คุ้นตามายืนพิงรถมอเตอร์ไซค์รออยู่หน้าหอพักอย่างที่เคยทำ เมื่อวานเย็นก่อนที่จะแยกกันก็บอกแล้วว่าไม่เป็นไร ขึ้นรถเมล์ไปเรียนเองได้ เห็นพยักหน้านิ่งๆ ก็นึกว่าจะตามใจ ที่ไหนได้ เช้านี้พอลงบันไดหอพักมา เห็นหน้าหล่อๆ ก็ถึงกับชะงัก ใจเต้นแรงจนพาเอาสองเท้าเกือบจะก้าวพลาด อาจเพราะแว่นตากันแดดสีดำนั่น ที่ทำให้คนดังดูดีขึ้นหลายเท่าในเช้านี้ เล่นเอาบรรดานักศึกษาที่กำลังออกมาจากหอพักพากันมองจนเหลียวหลัง ไปเอาเรี่ยวแรงจากไหนมาหล่อนักก็ไม่รู้ ไม่เหนื่อยบ้างหรือไง

                อี้ชิงกัดปากอย่างที่ไม่รู้ตัวว่าเหมือนงอน กระทั่งคริสยิ้มมุมปาก เสียงทุ้มว่าอย่างไม่แคร์สายตาใครอื่นนัก

                “ทำยังไงได้ ตื่นเช้ามาแล้วไม่เห็นหน้าแฟนเป็นคนแรก ฉันไม่ชิน” อี้ชิงก็เหมือนกัน ไม่ชินกับอาการร้อนหน้าเหมือนขนมในเตาอบที่กำลังจะสุกอย่างตอนนี้ซักเท่าไหร่ ยิ่งต่อหน้าคนอื่นๆ แบบนี้ ได้ยินเสียงผิวปากแซวแว่วอยู่ไม่ไกลก็หลับหูหลับตาสั่นหน้า

                “ฉ.. ฉันไม่ไปด้วยนะ ต้องไปกับเพื่อน ใช่ไหมเสี่ยว...”

                “ครับ? น้องฮุนเหรอ รอแป๊บนึงนะ พี่กำลังไป” อี้ชิงถึงกับถลึงตาใส่เพื่อนรักที่บังเอิญต้องรับสายในเวลาเหมาะเจาะเหมือนเตี๊ยมกัน ซ้ำยังทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกได้ “แฟนโทรตามน่ะ เมื่อคืนบอกว่าจะไปรับ”

                “อะไรกัน ไม่เห็นบอกเลยว่ามีนัด”

                “เหรอ? เราคงลืมน่ะ ขอโทษที งั้นตัวไปกับรุ่นพี่ก็แล้วกัน”

                “ได้ไงอ่ะ!”

                “ซ้อนท้ายพี่เขาไปน่ะดีแล้ว ไม่ต้องขึ้นรถประจำทางให้ลำบาก งั้นผมฝากเพื่อนด้วยนะฮะ” คริสเพยิดรับหน้าตอนที่ลู่หานดันหลังเพื่อนตัวเล็กให้เข้าใกล้ ก่อนจะค้อมศีรษะแล้วรีบผละไป 

                “เห้ย เดี๋ยวสิ!” ว่องไวเสียจนอี้ชิงดึงตัวไว้ไม่ทัน ครั้นพอจะก้าวตามก็กลับถูกคว้าข้อมือรั้งไว้อีก คริสออกแรงไม่มากก็ดึงเอาตัวอี้ชิงเข้าไปจนใกล้ คนตัวเล็กก็จนใจจะขัดขืน อาจเพราะร่างสูงยังคงอิงสะโพกอยู่กับตัวรถ หน้าหล่อๆ จึงอยู่ใกล้ในระดับสายตา นั่นยังไม่พาให้ใจสั่นเท่าเมื่อคนตัวสูงโน้มใบหน้าเข้าหาตอนที่จับสองมือเล็กไว้

                “เมื่อคืนหลับสบายไหม?” เสียงที่ถามเบาลงแค่ไหนก็ไม่ทำให้หัวใจดวงเล็กเต้นช้าลงเลย อี้ชิงเม้มริมฝีปากยามจ้องตอบดวงตาคมภายใต้แว่นกันแดดนั้น ทว่ากลับหลบตาตอนที่ส่ายหน้า

                “...ไม่ค่อยเท่าไหร่”

                “ฉันก็เหมือนกัน คิดถึงแฟนจนนอนไม่หลับเลย”

                “ปกติก็... ไม่ได้นอนห้องเดียวกันซักหน่อย” ...ไม่ได้นอนด้วยกัน พอคิดว่าเกือบจะบอกไปแบบนั้นยังอดจะหน้าร้อนไม่ได้

                “อย่างน้อยก็ยังได้เห็นหน้าก่อนนอน เมื่อคืนโทรหา ให้เปิดกล้องก็ไม่ยอม” ยังไม่ชินกับเสียงนุ่มๆ ซักเท่าไหร่ คริสยังลากเสียงเหมือนจะอ้อนใส่อีก อาการหวิวไหวในใจทำเอาอี้ชิงตัวอ่อนจนแทบยืนไม่อยู่ ยังดีที่รู้ตัวว่าจะมาเป็นลมล้มพับเอาตอนนี้ไม่ได้ ในเมื่อลู่หานทิ้งไปแล้วก็คงไม่มีตัวช่วยอื่นอีก ขืนยืนอยู่ตรงนี้ต่อไป คริสคงจะทำหวานใส่อย่างไม่ยอมไว้ชีวิตเขาแน่ อี้ชิงถึงได้แบมือขอหมวกกันน็อค บอกเป็นนัยว่าควรต้องไปกันเสียที คริสเข้าใจจึงได้หันไปหยิบแต่กลับไม่ยอมส่งให้

                “ฉันใส่ให้” หากขัดขืนก็ดูจะเล่นตัวมากไป ถึงได้ยอมตามนั้น แค่ยืนนิ่งๆ คงไม่ยากเท่าไหร่ ไม่ได้เห็นแววตาภายใต้แว่นกันแดดนั้นชัดๆ อี้ชิงยังพอจะทำใจแข็งไหว แต่มือใหญที่อ้อยอิ่งอยู่กับสายรัดใต้คางนั้นทำให้อดนึกระแวงไม่ได้เลยจริงๆ ยิ่งได้เห็นรอยยิ้มเหนือมุมปากหยักนั้นด้วยแล้ว

                “อ.. อะไร?” ถามพลางเอียงแก้มหลบเมื่อมืออุ่นเลื่อนขึ้นสัมผัสผิวนุ่มแผ่วเบา

                “แก้มนายน่ะ” ทำไม? อี้ชิงหน้าเหวอด้วยความสงสัย ก่อนจะนึกขึ้นได้ตอนที่ตะปบสองมือกับสองแก้มตัวเอง เนื้อนิ่มๆ มันล้นจนแทบจะบีบเล่นได้ คนตัวใหญ่คงเห็นเป็นเรื่องตลกนัก  

                “ก็สายรัดมันแน่นนี่นา”

                “ไม่ต้องปลดออกหรอก” คริสจับสองมือเล็กไว้เมื่อเห็นว่ากำลังช่วยกันคลำหาที่ปรับสายรัดเป็นพัลวัน รอยยิ้มบนใบหน้านั้นอ่อนโยนเช่นเดียวกับแรงนิ้วที่บีบเนื้อแก้มนุ่มด้วยนึกเอ็นดูนัก อ่อนหวานเสียจนคนที่ยังมุ่ยหน้าอดจะกัดปากตัวเองไม่ได้

     

                “แบบนี้ก็น่ารักดีแล้ว”

     

    .

    .

    .

     

     

    ทู บี คอนตินิว...

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×