ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fic reborn (Yaoi)

    ลำดับตอนที่ #66 : คอร์สสะใภ้วองโกเล่ (3)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.07K
      9
      7 ก.พ. 58

    สายหมอก

     

    “ไม่ทำโว้ย”ประโยคของฮิคารุกับนาโอยะเป็นสัญญาณที่ทำให้พวกเขาออกวิ่ง หลบหนีจากผีคุณปู่ทั้งหลาย โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะหนีพ้น ถึงลางสังหรณ์ของเขาจะบอกว่า เป็นไปแทบไม่ได้เลยก็เถอะ

     

    วิ่งมาได้สักพัก โทโมกิ ก็หยุดพักเหนื่อย เขาเอามือท้าวกับต้นไม้ต้นที่อยู่ใกล้ที่สุด อันที่จริง เขาก็วิ่งได้เร็วพอสมควรนะ แต่นั่น มันต้องวอร์มร่างกายให้ดีก่อน เพราะปกติเขาจะอ่านหนังสืออย่างเดียว จะออกกำลังที เลยค่อนข้างวุ่นวาย ไม่เหมือนฮิคารุกับนาโอยะที่พร้อมกระโจนเข้าหาเรื่องได้เสมอ

     

    “เฮ้อ..”เขาถอนหายใจเมื่อลมหายใจเริ่มกลับเป็นปกติ มองไปรอบๆอย่างสำรวจตรวจตรา

     

    “ดูท่า ทำยังไงก็หนีไม่พ้นสินะ ซวยจริงๆเลยเรา”โทโมกิพูดกับตัวเอง

     

    “อุตสารู้อีกนะครับ ว่าทำยังไงก็หนีไม่พ้น”สายหมอกสีครามปรากฏขึ้นมา พร้อมกับร่างเดม่อน

     

    “ไม่รู้ก็โง่น่ะสิ กลางคืนกลางป่าแบบนี้ ลมมันจะต้องแรง แต่นี่อะไร ไม่มีสักสายแถมเงียบกริบเหมือนป่าช้าอีกต่างหาก ดูยังไงก็ต้องมีคนควบคุมแหง”

     

    “คุณนี่ฉลาดจริงๆนะครับ”เดม่อนชม

     

    “ขอบคุณ”โทโมกิรับคำ

     

    “แต่ยังไม่เจ้าเล่ห์พอ”เดม่อนว่าต่อ

     

    “อยากได้ความเจ้าเล่ห์ ก็ไปเอากับหลานคุณสิ อย่ามาเอากับผม”โทโมกิว่ากลับ

     

    “แหม ผมไม่ค่อยอยากยุ่งกับเขาเท่าไรน่ะ ถึงแกล้งหลานตัวเองจะสนุกก็เถอะ”เดม่อนตอบ ถึงประโยคหลังเหมือนจะพูดกับตัวเองก็เถอะ

     

    “.......”

     

    “มีอะไรรึครับ”เดม่อนถาม เมื่อเจอโทโมกิจ้องหน้าเขา

     

    “มีธุระอะไร คงไม่ใช่แค่มาวิ่งตามเฉยๆใช่มั้ย”

     

    “ก็นะ ก็จ๊อตโต้เขาไหว้วานมาน่ะ”

     

    “คงไม่ใช่คอร์สสะใภ้นั่นหรอกนะ”โทโมกิถาม

     

    “คุณนี่ฉลาดจริงๆนะครับ”เดม่อนชมอีกครั้ง

     

    โทโมกิถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย  มือเท้าเอวอย่างยอมแพ้

     

    “เพื่อนผมตอบไปแล้วนะ”

     

    “หืม”

     

    “ไม่ไป!!”โทโมกิตอบ แล้วขว้างอะไรบางอย่างใส่เดม่อน

     

    ตูม!!!

     

    แรงลมจากระเบิดทำมือของเขา เข้าปะทะใบหน้า แล้วโทโมกิก็ตั้งท่าวิ่งหนีต่อทันที

     

    “ใจร้ายจังนะคร้าบ คุณมีอาวุธเป็นของแบบนี้เหรอ เล่นเอาตกใจหมด”

     

    โทโมกิถึงกับชะงัก เมื่อโดนคว้ามือทั้งข้างหนึ่งไว้ หันหลังไปดูก็เจอเจ้าผีปู่สายหมอก ในสภาพไร้รอยขีดข่วน

     

    “เอ้ย..ปล่อยนะ”ร่างเล็กกว่า พยายามดิ้นหนีให้หลุด

     

    “ไม่ต้องดิ้นขนาดนั้น ก็ได้น่า ผมแค่อยากตรวจสอบอะไรสักหน่อย”เดม่อนว่า

     

    “ตรวจสอบ?”โทโมกิทวน

     

    “.........”คนตรงหน้าไม่ตอบ

     

    เงียบไปสักพัก เดม่อนก็ถาม

     

    “ระเบิดนั่น เป็นแบบทำเองใช่มั้ยครับ”

     

    “....ใช่...ทำไม”

     

    “คุณคิดว่าของแบบนั้น จะช่วยให้คุณรอดจากศัตรูเหรอครับ”เดม่อนถามอีก

     

    “ศัตรูสำหรับชั้นตอนนี้ มีแค่นายกับหลานนายนั่นแหละ”โทโมกิตอบ

     

    “เหรอครับ แต่พูดถึงสามีแบบนั้น มันไม่ดีมั้งครับ”

     

    “ใครเป็นสามีกัน”โทโมกิสวนทันที

     

    “อ้าว ทำไมจะไม่ใช่ คุณโดนหลานผมกดแล้วไม่ใช่เหรอ”เดม่อนถามพร้อมสีหน้าเจ้าเล่ห์

     

    “.....”ตอนนี้คนฟังเกิดอาการ ใบ้กิน เถียงไม่ออก พร้อมกับมีอาการช็อกเล็กน้อย แถมด้วยใบหน้าที่เริ่มแดงเรื่อ

     

    “นี่ไงหลักฐาน”ว่าจบ เดม่อนก็ชี้ให้ดูรอยแดงๆที่มุคุโร่ทำไว้เมื่อคืนนี้

     

    ....

     

    ....โดนปลดกระดุมตอนไหนฟะ...

     

    “ท่าทางหลานผม จะถูกใจคุณเอามากๆ อาวุธแบบนี้ คงช่วยให้หนีตลอดรอดฝั่งไม่ได้หรอกนะครับ”เดม่อนบอก

     

    คนฟังคิ้วกระตุกเล็กน้อย มือเอื้อมเข้าไปในถุงผ้าที่ติดมา

     

    “แต่ผมว่า ผมมีมากพอ....พอที่จะช่วยให้ผมเอาตัวรอดนะ”ว่าจบโทโมกิ ก็เขวี้ยงหลอดทดลองแก้วขนาดเล็กลงกับพื้น กับหลอดที่มีขนาดเล็กที่สุดใส่แขนเดม่อน

     

    บรึ้ม บรึ้ม บรึ้ม บรึ้ม

     

    อานุภาพของระเบิดขนาดเล็กมีมากพอ ทำให้โทโมกิสามารถดิ้นหลุดออกมาจากเดม่อนได้ จึงรีบหลบเข้ากับเงามืดของต้นไม้ โดยอาศัยการหลบจากฝุ่นควัน

     

    “โอย เอางี้เลยเหรอ ดูเหมือนระเบิดทำมือนั่น จะมีหลายขนาดแหะ”เดม่อนพูดกับตัวเอง เมื่อควันจางหายหมดแล้ว ส่วนคนแอบดูสถานการณ์ก็แทบช็อก

     

    .....ไม่มีแผลเลยสักนิดเรอะ ที่โดนเข้าไปถึงจะเป็นขนาดเล็กสุดแต่ก็ไม่น่าจะไม่มีแผลนะ.....

     

    ......

     

    .....ลืมไป ที่อยู่ตรงหน้ามันผี(ดีๆ)นี่หว่า จะมีแผลได้ไง (ถึงจะดูเหมือนคนจริงๆก้อเหอะ) แล้วจะทำไงเนี่ย ท่าทางงานนี้จะรอดยากแฮะ.....

     

    เมื่อเดม่อน เห็นว่าโทโมกิไม่มีที่ท่าว่าจะเคลื่อนไหว เลยเอ่ยปากคุย

     

    “นิ่งซะขนาดนี้ น่าจะรู้แล้วสินะครับ ว่าของแบบนี้ใช้กับผมไม่ได้หรอกนะครับ เพราะผมไม่ได้มีตัวตนอยู่ในโลกใบนี้แล้ว”

     

    .....รู้แล้วว่าเป็นผี ไม่ต้องย้ำนัก ก้อได้ แค่นี้ก็ตันแล้ว ปกติเคยเจอแต่มีเรื่องกะคนนี่ เจอกับผีแบบนี้ก็หมดมุกสิครับ....

     

    “แต่น่าจะได้ผลกับหลานผมนะครับ แบบว่า พอจะสร้างแผลเล็กๆน้อยๆกับเขาได้”

     

     .....ปีศาจทั้งคู่นี่หว่า....

     

    “น่าๆ อย่าหลบซ่อนเลย ผมขี้เกียจหาน่ะ มาคุยกันก่อนดีกว่า”

     

    โทโมกิยังคงเงียบดูสถานการณ์

     

    “ดูท่าแล้ว หลานผมจะถูกใจคุณไม่น้อย ผมยังไม่อยากทำร้ายจิตใจเขาตอนนี้น่ะครับ รับรองเลยว่าผมไม่ทำอันตรายคุณหรอก แต่ท่าคุณยังไม่คิดจะออกมาหรือตอบผมล่ะก็ ผมอาจจะเปลี่ยนใจ แล้วฆ่าคุณทิ้งซะที่นี้เลย”ประโยคสุดท้ายนั่น มาพร้อมกับรังสีมืดที่แผ่เวียนรอบตัว 

     

    สำหรับคนที่กำลังรอดูสถานการณ์อยู่นั่น ก็แทบร้องไห้เอาดื้อๆ

     

    .....นั่นดูท่าจะอันตรายนะ จะฆ่าทิ้งจริงๆสินะ....เอาฟะ เอาไงเอากัน.....

     

    “แค่คุยแน่นะ”โทโมกิถามออกไป

     

    “แน่นอนครับ”เดม่อนยิ้มทันทีที่อีกฝ่ายถามออกมา

     

    รังสีรอบตัวนั่นหายไปแล้ว ทำให้โทโมกิออกมาจากที่ซ่อน

     

    “แล้วจะคุยอะไรล่ะ”

     

    “มานั่งนี่สิครับ”เดม่อนกวักมือเรียก ส่วนตัวเองก็นั่งลงพิงต้นไม้ใกล้ๆ

     

    อีกคนตามมาอย่างว่าง่ายแต่นั่งทิ้งระยะห่าง 3 เมตร

     

    “ไกลไปมั้ยครับ”เดม่อนถาม

     

    “เอาตรงนี้แหละ”โทโมกิยืนยัน

     

    “เอางั้นก็ได้ ผมเห็นแก่ที่คุณเป็นคนฉลาด ไหวพริบดี การวิเคราะห์คำนวณหรือก็โอเค ก็เลยยอมคุย ถ้าลองเป็นคนอื่นดูสิ ผมฆ่าทิ้งตั้งแต่ที่เห็นแล้ว”เดม่อนเอ่ย

     

    “ห้ามแตะเพื่อนๆของชั้นนะ”โทโมกิสวนทันควัน

     

    “ครับๆ เพราะยังไง เพื่อนๆของคุณก็คงหนีวองโกเล่คนอื่นๆไม่พ้นหรอก ทำใจได้เลย”

     

    “.....”ร่างบางเงียบไป เพราะคิดว่า ที่คุณปู่พูดคงเป็นความจริง ขนาดเขาเองยังไม่รอด คนอื่นก็น่าจะไม่รอดเหมือนกัน เถียงไปก็เปล่าประโยชน์

     

    “ผมจะถือว่าคุณเป็นคนของวองโกเล่ไปแล้วสัก...45 เปอเซนต์แล้วกัน”เดม่อนคำนวณ

     

    .....เอ่อ ตกเป็นภรรยาของหลานคุณแล้ว เป็นแค่ 45 เปอเซ็นต์เองเหรอ.....

     

    “ส่วนที่เหลือนั่นก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของคุณ ถ้าทำไม่ได้ ผมก็เห็นที คงต้องขัดขวางสุดฤทธิ์เหมือนกัน”เดม่อนตอบส่วนที่เหลือให้อย่างรู้ทัน

     

    “ทำไม่ได้?ทำอะไรล่ะ?”อีกคนถามออกไป

     

    “อันที่จริงด้วยความสามารถของสายหมอกอย่างพวกเราเนี่ย การที่จะหาคนที่เหมาะสมที่มีฝีมือใกล้เคียงมาอยู่ด้วยกันเนี่ย มันหาได้ยากมาก ผมเลยลดระดับมาเหลือแค่คนที่ยอมรับได้ก็พอ”

     

    “ความสามารถสายหมอก อย่าบอกนะว่าคือการสร้างภาพลวงตาทั้งหลายนั่นน่ะ”โทโมกิถามหลังจากคิดอยู่ชั่วครู่

     

    “ถูกต้องครับ”

     

    “งั้นทำไม่ได้หรอกครับ ของแบบนั้น ผมเป็นคนธรรมดานะ”โทโมกิพูดทันที

     

    “ผมก็คิดไว้แบบนั้น แต่ผมจะช่วยทำให้คุณใช้ไฟดับเครื่องชนได้ล่ะกัน”เดม่อนพูด

     

    “อะไรนะ ไฟดับอะไร?”

     

    “ไฟดับเครื่องชนครับ”เดม่อนตอบ ซึ่งคำตอบนั่นทำเอาโทโมกิคิดหนัก มันคืออะไร ไม่ยักเคยได้ยินแหะ

     

    “หรือจะเป็นของที่พวกมาเฟีย พวกโลกมืดชอบใช้”โทโมกิถามอีกครั้ง เมื่อประเมินสถานการณ์เสร็จ ยังไงกลุ่มคนที่เขายุ่งเกี่ยวด้วยตอนนี้ก็มาเฟียทั้งนั้นนี่หว่า

     

    “คุณนี่เก่งอย่างที่หวังจริงๆ งั้นผมสอนให้แบบพิเศษล่ะกัน”เดม่อนยิ้มให้

     

    “สอนอะไร”

     

    แทนคำตอบ เดม่อนที่นั่งพิงต้นไม้อยู่ก็หายตัวไป แล้วมาปรากฏอีกที ที่ด้านหลังของโทโมกิ พร้อมกับจับมือทั้งสองข้างไว้ด้วย

     

    “ทำอะไรน่ะ ปล่อยนะ”อีกคนที่ยังตามเหตุการณ์ไม่ค่อยทันเท่าไร ก็สะบัดตัวหนีตามสัญชาตญาณ แต่ก็ไม่ทันซะแล้ว เดม่อนล็อกตัว คนตัวเล็กกว่าไว้อย่างแน่นหนา

     

    “อย่าดิ้นสิครับ แล้วตั้งใจดูให้ดี ผมจะสอนวิธีใช้ไฟดับเครื่องชนให้”เดม่อนดึงมือของโมโมกิขึ้นมาระดับอก

     

    ก่อนที่จะปรากฏเปลวไฟสีครามขึ้นมา แสงของเปลวไฟ สะท้อนผ่านแว่นของเขา

     

    “ไม่ร้อนใช่มั้ยครับ”เดม่อนถาม เมื่อเห็นอีกคนนิ่งไป

     

    “..อะ.อือ”โทโมกิ เขายังไม่หายอึ้งเท่าไร มีไฟปรากฏขึ้นได้ไง

     

    “โอเคครับ แล้วใช้ความรู้สึกประคองไว้นะครับ นึกภาพให้ไฟยังคงลุกโชนอยู่แบบนี้”เดม่อนว่า พลางปล่อยมือออก

     

    ซึ่งโทโมกิก็ยอมเชื่อฟังที่พูดแต่โดยดี เผื่อเอาไว้ใช้ประโยชน์ได้ ทำเป็นยังไงก็ดีกว่า

     

    เมื่อเห็นว่าไฟในมือร่างบางยังไม่ดับ เมื่อเขาออกห่างมาสักพักแล้ว ก็พยักหน้าอย่างพอใจ

     

    “งั้นขั้นตอนต่อไป ผมจะปล่อยคุณไป เมื่อคุณสร้างสิ่งของได้สำเร็จ”

     

    “สร้างของ”เขาทวน

     

    “อืม..ระเบิดทำมือสินะ..งั้นลองสร้างหลอดทดลองดูก่อนล่ะกัน”เดม่อนบอก พร้อมกับจับมืออีกครั้ง

     

    “นึกภาพสิ เอาให้มีรายละเอียดมากที่สุดนะ จะได้สร้างได้ง่าย”

     

    “อือ”โทโมกิตอบ เขาทำสมาธิให้นิ่งที่สุด แล้วนึกภาพหลอดแก้วทดลอง ที่เขาใช่อยู่บ่อยๆ

     

    ไฟสีฟ้าครามลุกโชนกว่าเดิม ก่อนที่จะเริ่มม้วนตัว เข้าหากัน พลันไฟนั้นก็เปลี่ยนสภาพไปเป็นหลอดแก้วทดลองขนาดยาวประมาณ 10 เซ็นได้

     

    “โอเคครับ คราวนี้ลองอีกทีครับ”เดม่อนพูด พร้อมกับปล่อยมืออีกครั้ง

     

    คราวนี้โทโมกิสร้างหลอดทดลองจากเปลวไฟ ได้ 2 อัน สร้างความพอใจให้กับเดม่อนมาก

     

    “สร้างอย่างอื่นได้มั้ย”โทโมกิหันมาถาม

     

    “ลองดูสิครับ”

     

    อีกคนพยายามตั้งสมาธิให้นิ่งที่สุด และสุดท้ายบนฝ่ามือก็ปรากฏ แผ่นตะกั่วสองสามแผ่นเล็กๆ

     

    “ดีมากครับ แค่นี้คุณก็ผ่านแล้วล่ะครับ ว่าแต่แผ่นตะกั่วเอามาทำอะไรน่ะครับ”เดม่อนถามพลางลุกขึ้นยืน

     

    “ก็เอามาทำแบบนี้ไง”โทโมกิตอบด้วยการสร้างหลอดทดลองขึ้นมาใหม่ แถมในหลอดยังมีของเหลวอะไรอีกไม่รู้ แล้วใส่แผ่นตะกั่วที่สร้างขึ้นไว้ลงไป ปิดฝาหลอด เขย่าๆแล้วโยนไปบริเวณข้างๆเดม่อน

     

    ตูม!!

     

    “เอ่อ เอามาทำระเบิดรึครับ”เดม่อนมองคำตอบ บริเวณที่โยนหลอดทดลองไป ยังมีควันหลงเหลืออยู่

     

    “ขอบคุณนะครับ ทุนเวลาถือของเยอะเลย”โทโมกิยิ้มหวานให้

     

    เดม่อนยิ้มตอบ แล้วหายตัวไปอีก

     

    “ผมสอนให้ ก็ต้องมีค่าสอนนะครับ”เดม่อนโพล่มาด้านหลังโทโมกิอีกครั้ง คราวนี้ฉวยโอกาสรวบตัวอีกคนเข้ามากอดด้วย

     

    “ปล่อยนะ”โทโมกิพยายามดิ้น ในมือปรากฏไฟสีฟ้าคราม

     

    “อ้อ อย่าคิดเอาไฟของคุณมาสู้กับผมนะครับ คุณชนะผมไม่ได้หรอก”เดม่อนตอบ แล้วฝากรอยจูบไว้ที่คอร่างบางก่อนจะผละตัวออก

     

    “แล้วผมจะรอหลานผมโวยวายนะครับ เขาช่างโวยวายมากกว่าที่คิด คงเป็นห่วงน่าดู แค่คิดก็สนุกแล้วล่ะครับ”แล้วเดม่อนก็หายตัวไปอีกครั้ง

     

    คราวนี้โทโมกิรู้ได้ว่า เดม่อนคงไม่อยู่แล้ว จึงทิ้งตัวลงนั่งอย่างหมดแรง มือถูตรงรอยที่เดม่อนทำไว้

     

    แหงะ ทำตรงที่มันเด่นน่าดู หมอนั้นต้องเห็นแหง โอย ซวยจริงๆ

     

    แต่ว่า...เขาเป็นห่วงเราจริงๆน่ะเหรอ...คิดจบหน้าก็พลันแดงเรื่อขึ้นมา เลยต้องสะบัดหัวไล่ความคิดนั่น ก่อนจะลุกขึ้นกลับคฤหาสน์ไป

     
    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

    อัศนี

     

    เมื่อฟังคำประกาศของพี่นาโอยะกับพี่ฮิคารุ จบแล้ว ผมกับพวกพี่ๆก็เผ่นแนบคนละทิศคนละทางทันที แต่ผมก็มีลางเห่าหอน เอ้ย ลางสังหรณ์ ว่าจะมีคนตามมาแฮะ

     

    แล้วความคิดผมก็ถูกเป๊ะ  คุณผีคุณปู่ทวดนั่น มาโพล่ดักหน้าผมซะแล้ว

     

    ผมจึงหยุดชะงัก แล้วเปลี่ยนมาวิ่งอีกเส้นทันที

     

    “เฮ้ย เดี๋ยว ใจเย็น ชั้นขี้เกียจตามแล้วนา แค่อยากคุยด้วยนิดหน่อยเอง เลิกหนีเหอะ ขี้เกียจ”แรมโพตะโกนบอกก่อน ทำให้ยูกิชะงัก

     

    .....คุณปู่คนนี้...เต็มป่ะเนี่ย...มาตามหายังไง...ขอร้องให้หยุดดื้อๆงี้เลยเหรอ....

     

    แรมโพที่เห็นยูกิหยุดวิ่งแล้ว แต่ก็ยังทิ้งระยะห่างไว้ไกลพอสมควร ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย เขาขี้เกียจอ่ะ อยากนั่งอยู่เฉยๆ แต่คำขอของจีอ๊อตโต้ ทำก็ได้ฟะ

     

    “ใจเย็นน่า อย่าเพิ่งหนีเลยนะ ชั้นมาขอคุยจริงๆ”แรมโพว่า แล้วกวักมือเรียกยูกิเข้ามาใกล้ๆ พร้อมกับตนที่นั่งลงกับพื้น

     

    ยูกิมองอย่างชั่งใจสักแปป ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้แรมโพ

     

    “แล้วจะคุยเรื่องอะไรครับ”ยูกิถาม

     

    “สะใภ้วองโกเล่”

     

    ซึ่งคำตอบนั่น ก็ทำให้ยูกิบอกกับแรมโพอย่างรวดเร็วว่า

     

    “งั้นผมลาก่อนล่ะ”

     

    “เอ้ย เดี๋ยวๆๆๆ ล้อเล่นๆ ใจเย็นๆนะ”แรมโพรีบเรียกไว้ก่อนที่ยูกิจะหายไปอีกรอบ

     

    “ล้อเล่น??

     

    “จ้า ที่อยากถามก็แค่ไม่กี่ข้อหรอก ช่วยอยู่กับชั้นหน่อยนา”แรมโพยกมือยอมแพ้

     

    ยูกิมองหน้าอีกคน สุดท้ายก็ตกลง นั่งลงไม่ไกลจากแรมโพมากนัก

     

    “แล้วจะถามอะไร”ยูกิถาม

     

    “เด็กวัวนั่น..”

     

    “เด็กวัว???”ยูกิทวน

     

    “อ้อ แรมโบ้น่ะ”แรมโพนึกขึ้นมาได้ เพราะทุกทีเขาเรียกแรมโบ้ว่าเด็กวัวน่ะนะ หรือเรียกว่าเด็กบ้าดีนะ แต่ยังไงก็เด็กนั่นแหละ

     

    “แรมโบ้ทำไมเหรอ”

     

    “ชอบแรมโบ้มากเลยเหรอ”แรมโพถาม พร้อมกับจ้องหน้ายูกิ

     

    “อึก”เลือดไหลสูบฉีดเข้าที่ใบหน้าทันที ที่ได้ยินคำถาม พร้อมกับอาการช็อกเล็กน้อยถึงปานกลาง

     

    “ทะ ทำไม..ถาม.อะ.อะ..ไร.เนี่ย”ยูกิถามอย่างตะกุกตะกัก

     

    “อ้าว ไม่จริงเหรอ แต่ชั้นดูยังไง เธอก็ดูท่าจะชอบเขามากนี่นา ตอนที่เธอถามตอนที่อยู่รวมกัน ก็ไม่เห็นทีท่ารังเกียจอะไรเลยนิ แถมเธอดูจะโวยวายน้อยที่สุดซะด้วยซ้ำ”แรมโพร่ายยาว

     

    “นะ นั่นมัน”

     

    “แต่เธอโวยวายแค่เรื่องอายุน้อยกว่าเจ้านั่นนี่นะ ไม่เห็นต้องคิดมากเลย ปีสองปีเอง แถมเจ้านั่นก็สูงนี่นา”แรมโพยังไม่เลิกร่าย

     

    “เรื่องนั้น”ยูกิที่ยังเถียงไม่ออก พูดได้แค่นั้น

     

    “แต่สำหรับตอนนี้ ก็นับว่าดีถมถืดล่ะนะ ดีนะ ที่โตมาแล้วคุยกันรู้เรื่องน่ะ ถ้ายังเป็นแบบเดิมอีก ให้ตายก็ต้องโยนออกนอกคฤหาสน์ให้ได้”ยังร่ายไม่จบ

     

    “เป็นแบบเดิม?? โตมาคุยรู้เรื่อง??”ยูกิถามกลับ ตอนนี้อาการงง แทรกเข้ามาแทนความอายซะแล้ว(ร่ายยาวมากเกิน จนหายช็อกแล้ว)

     

    “อ้อ ไม่มีอะไรหรอก พอดีว่าเคยเจอตอนยังไม่โตน่ะ เป็นแค่เด็กบ้า พูดจาไม่รู้เรื่องน่ะ”แรมโพบอกปัด จะเล่าเรื่องบาซูก้าทศวรรษก็กระไรอยู่

     

    ยูกิยังงงๆกับคำถามนั้น แต่ไม่ได้ถามต่อ เพราะแรมโพถามแทรกก่อน

     

    “แล้วสรุปชอบแรมโบ้ใช่มะ”

     

    “ยังวนถามกลับมาเรื่องเดิมอีกนะ”ยูกิสวนกลับ

     

    “ไม่ตอบก็ตามใจ แต่ถ้าเธออยากจะอยู่กับหมอนั้นล่ะก็ เธอต้องใช้ไฟดับเครื่องชนให้ได้ก่อนนะ”

     

    “ไฟดับเครื่องชนเหรอ??แล้วมันคืออะไรอ่ะ”ยูกิถาม

     

    “มันก็คือไฟน่ะสิ มันจำเป็นสำหรับวองโกเล่น่ะ”

     

    “ขยายความหน่อยไม่ได้เหรอ”ยูกิถามอย่าปลงตก อธิบายมาอย่างนั้น ใครจะเข้าใจ

     

    “อ้า..ยุ่งยากแฮะ...ไปขอร้องให้คนอื่นสอนได้มั้ยเนี่ย วุ่นวายจริง”แรมโพบ่นกับตัวเอง แล้วล้มตัวลงนอนกับพื้น ทำให้ยูกิมองอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะถอนหายใจอย่างเซ็งๆเมื่อเจออาการของคนที่อยู่มานานกว่า

     

    “น่าเบื่อๆๆๆขี้เกียจๆๆๆๆง่า”แรมโพลงไปนอนกลิ้งแถมอาการชักดิ้นชักงอเล็กๆ

     

    ...หมด..คำบรรยาย....และ...หมดความน่าเชื่อถือ...ความน่าเกรงขาม..สำหรับคนๆนี้....(ทำหลานหมดศรัทธาซะแล้ว)

     

    “งั้นก็อธิบายให้จบเร็วๆสิครับ จะได้ไปนอน รึไปไหนของคุณปู่”ยูกิกล่อม เขาเริ่มสนใจไอ้ไฟที่ว่าแล้ว ถ้าเขาใช้ได้ก็จะอยู่กับแรมโบ้ได้สินะ

     

    แรมโพหยุดอาการทุกอย่าง มองไปยูกิที่เขยิบเข้ามาอยู่ใกล้ตัว

     

    “ชอบมากขนาดนั้นเชียว”แรมโพยังไม่เลิกถาม

     

    คราวนี้ไม่มีเสียงใด หลุดรอดออกมาทั้งนั้น มีแค่อาการหน้าแดง ที่คนอายุน้อยกว่า พยายามซ่อนไว้เท่านั้น

     

    “เอาเถอะ จ๊อตโต้ขอร้องทั้งที เอาก็เอา”แรมโพลุกขึ้นยืน

     

    “อัลโกบาเลโน่นั่น ให้อาวุธมาแล้วใช่มั้ย เอาออกมาสิ”

     

    ยูกิที่นิ่งเงียบไปแล้ว เงยมองหน้าคุณปู่อย่างเซ็งๆเปลี่ยนอารมณ์เร็วจิบ

     

    ร่างเล็กถอนหายใจ แล้วลุกขึ้นยืนตาม พร้อมกับดึงมีด อาวุธของตนออกมา

     

    “หืม..มีดสั้นคู่รึ”แรมโพมอง

     

      “แล้วไงต่อครับ”ยูกิถาม

     

    “ผมขี้เกียจอธิบาย แสดงให้ดูเลยล่ะกัน”แรมโพว่าพลางถอยหลัง กะจะถอยไปตั้งหลัก แต่ล้มลงกับพื้นเมื่อสะดุดเข้ากับรากไม้เต็มๆ

     

    โครม!!!

     

    “คุณปู่ เป็นไรเปล่า”ยูกิถามเสียงไม่มั่นใจ เมื่อกี้เขาได้ยินเสียงล้มลงแรงเหมือนกัน

     

    “อึก...”แรมโพเงียบไป ก่อนที่ยูกิจะเริ่มรู้สึกลางไม่ดี แล้วเริ่มถอยห่างออกไป

     

    ซึ่งนั่นก็เป็นการตัดสินใจที่ถูก เพราะสายฟ้าแปลกๆสีเขียว กระจายอยู่รอบบริเวณที่แรมโพล้มอยู่

     

    “อะไรเนี่ย”ยูกิร้องอย่างตกใจ แต่ก็ยังถอยหลังอยู่ ไม่งั้นอาจโดนเอาก็ได้ แล้วถ้าโดนเข้า ดูท่าจะเจ็บน่ะนั้น

     

    ดูท่าสายฟ้าคงยังไม่ยอมสงบง่ายๆแน่ แต่ทำไมมันแปลกจัง สายฟ้า กระแสไฟ มีสีเขียวเนี่ยนะ หรือนี่จะเป็นไฟดับเครื่องชนที่ว่า

     

    “คุณปู่ คุณปู่เป็นอะไรมั้ย”ยูกิพยายามตะโดนถาม แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับมาเลย

     

    ด้วยความที่กลัวคุณปู่จะเป็นอะไรไป ยูกิจึงตัดสินใจ จะเข้าไปดูแรมโพ

     

    ยูกิคิดว่า เขาน่าจะพอหลบสายฟ้าที่ปล่อยอยู่นั่นได้ เอาแค่พอไปให้ถึงใกล้ๆพูดกันรู้เรื่องก้อพอ

     

    ยูกิพยายามมองสายฟ้าที่อยู่รอบตัวแรมโพอย่างระมัดระวังที่สุด เดินเข้าใกล้ช้าๆ หลบสายฟ้าที่พุ่งออกมาเป็นสายอย่างระวังที่สุด

     

    จนระยะเข้าใกล้เหลือประมาณ 5 เมตร

     

    ยูกิมองเห็นสายฟ้าสายหนึ่งตรงมาที่เขา จึงเบี่ยงตัวหลบ แต่ก็เจอสายฟ้าอีกสายพุ่งเข้ามาใส่ต่อทันที ด้วยสัญชาตญาณจึงยกมืดสั้นของตน มากันสายฟ้านั้นไว้

     

    เปรียะ เปรียะ เปรียะ เปรียะ

     

    ยูกิลืมขึ้นมามอง เพราะการกันสายฟ้าเมื่อกี้ ทำให้เขาถอยหลังมา 3-4 ก้าว แต่พอสำรวจดูตน ก็ไม่มีแผลอะไร มีดสั้นก็ไม่เป็นไรด้วย ดูท่าแล้ว มีดนี่ น่าจะพอกันสายฟ้าได้ละนะ

     

    ยูกิถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาน่าจะเข้าไปคุยกับแรมโพได้

     

    ร่างเล็กจึงตรงเข้าหา แรมโพอีกครั้ง พยายามหลบ สายฟ้าที่พุ่งออกมา ส่วนสายที่หลบไม่ได้ก็ใช้มีดสั้นคู่กันเอาไว้

     

    “คุณปู่ คุณปู่”ยูกิพยายามเรียก เมื่อระยะทางใกล้ประมาณ 3 เมตร แต่คนที่ล้มลงนอนอยู่ก็ไม่มีปฎิกิริยาอะไร

     

    “คุณปู่...”เสียงของยูกิขาดหายไป เมื่อสายฟ้ารอบตัวแรมโพ กลับเงียบสงบลง

     

    ยูกิมองดูรอบๆแต่ก็ไม่มีอะไร จึงเดินเข้าไปใกล้อย่างคนไม่ค่อยคิดอะไร แต่ก็ต้องถอยหลังออกมาอีกครั้ง เมื่อสายฟ้าที่หยุดไป พุ่งตรงเข้ามาหาเขาอีกสายหนึ่ง คราวนี้มีขนาดใหญ่กว่าเดิมอีก

     

    ยูกิที่ดูท่าคงหลบไม่พ้น จึงไขว้มีดสั้นทั้งสองไว้ รับสายฟ้าที่เข้ามาหา

     

    เปรี้ยง !!!

     

    สะเก็ดสายฟ้ากระจายออกไปจนเต็มบริเวณ ดังเปรียะๆ จนแทบไม่ได้ยินเสียงอื่น สายฟ้าที่พุ่งมานี่ แรงมากพอที่ยูกิจะปัดไม่ได้ แถมยังไม่ยอมสลายไป ส่งผลให้ยูกิเริ่มเสียทรงตัว ก้าวถอยหลังไปหน่อย

     

    “ถ้าคุณปัดสายฟ้านั่นไปไม่ได้ แปลว่าคุณไม่มีคุณสมบัติ  และคุณก็คงตายแน่นอน”เสียงของแรมโพ ทำให้ยูกิเหลือบสายตามองดู

     

    แรมโพลุกขึ้นมานั่งแล้ว และกำลังมองตรงมาที่เขา ที่มือของเขา มีสายฟ้าพุ่งออกมาไม่หยุด รวมตัวเป็นจุดเดียวซึ่งก็คือสายฟ้าที่ยูกิกำลังรับอยู่

     

    “อึก...”เมื่อได้ยินดังนั้น ยูกิจึงทุ่มแรงที่เหลืออยู่ทั้งหมดพยายามที่จะปัดสายฟ้านั้นให้ได้

     

    ....ถ้าปัดไม่ได้ ถ้าปล่อยไว้อย่างนี้ เราคงไม่รอด...แต่เรา..ไม่ยอมหรอก..เรายังอยากอยู่ต่อไป.อยากเล่น...อยากสนุกกับทุกคน..พี่ยูคิ..พี่ๆคนอื่น...รวมทั้ง.........แรมโบ้ด้วย.....

     

    พลันมีดสั้นนั้นก็เกิดสายฟ้าสีเขียวขึ้นมาอีกสาย ราวกับเป็นเกราะป้องกันการโจมตีจากแรมโพ

     

    ยูกิที่เห็นดังนั้น จึงยิ้มกับตัวเอง กำลังที่เหลือทั้งหมดทุ่มให้กับมีดสั้นที่ใช้ป้องกันตัว สะบัดปลายมีดออก แล้วสายฟ้าของแรมโพก็หายไป พร้อมกับสายฟ้าที่เกิดจากมีดสั้นของเขาด้วย

     

    เปรียะ !!

     

    “หายไปแล้ว”ยูกิมอง ก่อนที่จะล้มตัวลงกับพื้น นอนกลิ้งอย่างหมดแรง

     

    “เหนื่อยชะมัดเลย”ยูกิบ่นพร้อมกับมีอาการหอบ

     

    “ก็ถือว่าผ่านนะ ตอนนี้เธอพอจะใช้ไฟได้แล้วล่ะ”แรมโพเดินลงมานั่งข้างยูกิที่นอนแผ่อยู่

     

    “ผ่าน..”ยูกิทวน

     

    “อือ พอใช้ได้นะ เท่านี้เธอก็มีสิทธิมากพอที่อยู่กับแรมโบ้ได้บ้างแล้วล่ะ”แรมโพตอบ ซึ่งคำตอบนั้นก็ทำให้ยูกิยิ้มออก

     

    “หืม ยิ้มเชียวนะ พอบอกว่าจะได้อยู่กับเด็กนั่นน่ะ แต่ก็เอาเถอะ อย่าลืมสัมผัสเมื่อกี้ล่ะกัน ชั้นจะคอยอยู่ข้างเธอ จนกว่าเธอจะใช้ไฟได้ชำนาญ”แรมโพว่าพลางลุกขึ้น

     

    “งั้นชั้นไปล่ะ เธอนอนนิ่งๆสักแปป เดี๋ยวก็ขยับได้เองล่ะ”แรมโพบอก

     

    “ครับ”ยูกิรับคำ แล้วหลับตาลงพักเหนื่อย

     

    “อ้อ ลืมบอกไปอย่าง...แรมโบ้น่ะถึงจะขี้แยไปบ้าง แต่ก็เป็นสุภาพบุรุษพอ เพราะฉะนั้น เขาคงไม่ชอบเวลาเธอมีน้ำตาหรอกมั้ง”แรมโพทิ้งท้ายไว้

     

    “หา..น้ำตา.”ยูกิพูดอย่างไม่เข้าใจ แต่เขาก็พอรู้อยู่อย่างล่ะ น้ำตาน่ะใช้ได้ผลกับคนหลายคน แต่นั่นคงไม่ใช่กับพวกพี่ๆเขาแน่ เพราะรู้นิสัยกันดี แต่กับพวกนั้น อย่าว่าแต่แรมโบ้เลย พวกนั้นต้องแพ้ทางน้ำตากันทุกคนแหงๆ

     

    คิดได้ดังนั้น ยูกิก็หัวเราะคนเดียว พักอีกครู่ แล้วเดินทางกลับคฤหาสน์

     - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

    เมฆา

     

    ฮิคารุวิ่งหลบมาได้นานพอสมควรแล้ว มองซ้ายมองขวาอย่างระวังตัว เมื่อไม่เห็นใครก็โล่งอก

     

    อีกไม่เกิน 300 เมตร เขาก็น่าจะถึงคฤหาสน์แล้ว ถ้าเจอคนอื่นก็เตรียมตัวให้พร้อมดีกว่า เผื่อต้องไปช่วยใคร

     

    แต่ความคิดนั้นก็ต้องเป็นอันตกไปเมื่อเจอเสียงพิฆาต

     

    “เมื่อไรพวกคุณจะเลิกก่อเรื่องให้ผมน่ะ”เสียงเย็นชาดังขึ้นจากทางด้านหลัง ทำเอาฮิคารุชะงักแล้วหันไปมองทันที

     

    .....อย่าใช่ผีคุณปู่เลยนะ...ฮิคารุขอกับตัวเอง แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อคนที่ยืนอยู่คือ อลาวดี้

     

    “ผมไปก่อเรื่องเมื่อไร”ฮิคารุถาม เขาไม่ค่อยอยากมองหน้าคุณปู่เท่าไรเลย ให้ตายสิหน้าเหมือนกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคู่หมั้นเขาไม่มีผิด ต่างกันแค่สีผมเองมั้ง

     

    “พวกคุณแต่ละคนน่ะ ก่อเรื่องได้ทุกที่ทุกเวลาอยู่แล้วล่ะ”อลาวดี้ตอบ

     

    “งั้นก็ขอโทษล่ะกัน”ฮิคารุพูดแบบเสียไม่ได้

     

    “แต่ผมไม่ยกโทษให้ ผมจะจับคุณไป”อลาวดี้พูดพลางเอามือล้วงกุญแจมืออกมา

     

    อาวุธที่ฮิคารุเห็นทำเอาเขา ถอยหลังไปหลายก้าวเลย

     

    ...เอ่อ..ที่บอกว่าจะจับเนี่ย จับใส่กุญแจมือเรอะ..

     

    ไม่พูดไปมากกว่านั้น อลาวดี้วิ่งเข้าหาฮิคารุ กุญแจมือเตรียมล็อกข้อมือนั้นไว้ แต่ก็เป็นอันต้องหลุดไปจากมืออลาวดี้ เมื่อฮิคารุใช้แส้ อาวุธของตน ปัดทิ้งไปได้ก่อนที่จะถึงมือเขา

     

    “อาวุธน่าสนใจดีนี่ แรงดีอีกต่างหาก ดีดกุญแจมือผมหลุดได้เลยนะ”อลาวดี้ชม

     

    “ขอบคุณ ถ้างั้นคุณคงจับผมได้ยากหน่อยนะ”ฮิคารุแสยะยิ้ม

     

    “คุณคิดว่างั้นเหรอ”อลาวดี้พูด ทำให้ฮิคารุเริ่มสังเกต กุญแจมือ...มันเป็นสี่อันตั้งแต่เมื่อไร แล้วที่เขาปัดทิ้งล่ะ

     

    “งั้นก็หวังว่าคุณจะปัดเจ้าพวกนี้ออกหมดนะ”ในระหว่างที่อลาวดี้พูด ฮิคารุก็แทบช็อก ไอ้กุญแจมือนั่น มันมีหกอันได้ไง

     

    แต่เวลาตกใจก็ไม่มีแล้ว เมื่ออลาวดี้ตรงเข้าใกล้ฮิคารุ แล้วเหวี่ยงกุญแจมือนั้นหมายจับกุมเด็กหนุ่มตรงหน้า

     

    ฮิคารุตวัดแส้ของตน วาดอยู่กลางอากาศ ปัดกุญแจมือนั้นจนร่วงทุกอัน เมื่อปลอดภัยแล้วจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก ไม่โดน รอดตัวไป

     

    “ฮี่ ฮี่ ชั้นปัดได้หมดแล้ว ดูท่าจะไม่เก่งอย่างปากนะ”ฮิคารุหันไปกัดคุณปู่

     

    “อ้าว หาย..หายไปไหน.”ฮิคารุมองซ้ายมองขวา แต่ก็ไม่เจออีกคน จนหมุนตัวดูรอบๆแล้วก็ไม่เห็นแม้แต่เงา

     

    แต่ดูประสาทสัมผัสของเขาที่ฝึกร่วมกับนาโอยะมา พอจะบ่งบอกได้ว่า คนๆนั้น คงอยู่ไม่ไกลเท่าไร เพราะฉะนั้นรีบจรลีให้ไว ท่าจะเวิรค์กว่า

     

     ฮิคารุสำรวจความปลอดภัยเป็นรอบสุดท้าย แล้วจึงออกวิ่งไปทางคฤหาสน์ แต่วิ่งได้ไม่กี่ก้าว ประกายไฟสีแปลกตาก็พุ่งเข้ามาใกล้ จนทำให้เขาต้องถอยหลัง เพื่อหลบไฟที่ตรงมาใส่เขาทันที

     

    บริเวณตรงหน้าฮิคารุ ปรากฏเป็นกองไฟย่อมเล็กๆ 4-5 ย่อม ลุกโชนอยู่กับพื้น

     

    “ไฟ..สีม่วง??”ฮิคารุมองอย่างไม่เชื่อสายตา เป็นไฟน่ะยังพอรับได้ แต่สีม่วง สีม่วงเนี่ยนะ ผิดธรรมชาติไปหน่อยม้างงงงง

     

    แกร๊ก!!

     

    เสียงที่จู่ๆก็ดังขึ้น ในระหว่างที่ยังช็อกไม่หาย สร้างความช็อกให้อย่างเพิ่มพูนขึ้นอีก

     

    “จับได้แล้ว”เสียงทุ้มพูดอยู่ข้างๆหู ทำเอาฮิคารุสะดุ้ง แต่ก็ไม่สามารถ ถอยห่างไปไหนเพราะ เสียงที่ได้ยินตอนแรก คือ เสียงกุญแจมือ ที่ล็อกเข้ากับข้อมือข้างนึงของเขาเอง

     

    “นี่จับใส่กุญแจมือจริงเหรอเนี่ย ใจร้ายไปหน่อยม้าง”ฮิคารุครางอย่างหัวเสีย ประมาทมากเกินไปแฮะ

     

    “นายไม่มีสิทธิบ่นนะ ไปกันได้แล้ว”อลาวดี้บอก พลางดึงกุญแจมืออีกข้าง ให้ฮิคารุเดินตามเขามา

     

    “ไปไหน??”

     

    “............”

     

    “ไปไหนเล่า บอกกันหน่อยสิ”ฮิคารุเริ่มโวยวาย

     

    “..........”

     

    “ผีคุณปู่บ้า แค่บอกปลายทางก็ไม่ได้”ฮิคารุบ่นอุบอิบคนเดียว เพราะดูท่าโวยวายไป คงเสียแรงเปล่า

     

    “พานายไปเข้าคอร์สสะใภ้วองโกเล่”อลาวดี้ตอบกลับมา

     

    ......ไอ้ผีปู่บ้า...ตะโกนถามล่ะ.ไม่ตอบ...พออุบอิบหน่อยนี่..ตอบเชียวนะ....ประเภทเดียวกับหลานแหงเลย เสียงธรรมดาปลุกไม่ตื่น.แต่เสียงเบาหวิวนี่ตื่นเชียว...แต่.เดี๋ยวก่อน..ไปเข้าคอร์สสะใภ้เรอะ.....

     

    “ไปเข้าคอร์สเรอะ”ฮิคารุเดินขึ้นมาเกาะแขนอลาวดี้ทันที

     

    “นายนี่ความรู้สึกช้าเป็นบ้า”อลาวดี้มองฮิคารุอย่างเซ็งๆ กว่าอีกคนจะถาม ทิ้งช่วงตั้งเกือบนาที

     

    “ชั้นไม่เข้านะ คอร์สไรนั่น”ฮิคารุเขย่าแขนอลาวดี้ เขาเมินตรงส่วนที่โดนกัดเมื่อกี้

     

    “ถ้าไม่อยากเข้า นายก็ต้องหนีให้หลุดจากกุญแจมือนี่ก่อน”อลาวดี้หันมาบอก

     

    “แค่หลุดจากนี่ ก็พอใช่มะ”ฮิคารุถามซ้ำ

     

    “ใช่”ในระหว่างที่ตอบ อลาวดี้ก็ย้ายกุญแจ ที่เหลืออยู่อีกข้าง มาคล้องข้อมืออีกข้างที่ว่างอยู่

     

    “เฮ้ย”

     

    “ดื้นให้หลุดล่ะ”ปู่เมฆาอวยพร ก่อนจะเดินไปนั่งพิงต้นไม้มองหลานตัวเองพยายามดิ้นให้หลุดจากกุญแจมือ

     

    ...................

     

    หลังจากที่พยายามแกะด้วยกำลังอยู่สักพัก ก็ไม่มีวี่แววว่าจะแกะได้เลย เลยนั่งลงกับพื้น

     

    “ยอมแพ้แล้วเรอะ”อลาวดี้ถาม เมื่อเห็นฮิคารุลงนั่งกับพื้น หอบแฮ่กๆ

     

    “ยังเฟ้ย แค่ขอพัก”

     

    “แค่กำลังน่ะ แกะนั่นไม่ได้หรอกนะ ต้องใช้ไฟด้วย”

     

    “แล้วทำไม ไม่บอกก่อนล่ะ”ฮิคารุโวยใส่

     

    “แค่อยากรู้ว่าจะอวดเก่งได้อีกนานแค่ไหน”

     

    ฮิคารุปลงตกแทบจะทันที คนๆนี้ ไม่ค่อยพูดก้อจริง แต่ทั้งการกระทำและคำพูดนี่ เจ็บชะมัด

     

    “ไฟเหรอ หมายถึงไอ้ไฟแปลกๆสีม่วงนั่นน่ะเหรอ??”ฮิคารุถาม ตอนนี้ขันติไว้ก่อน คงจะปลอดภัยมากกว่า

     

    “ใช่”

     

    “แล้วมันใช้ยังไงล่ะ”

     

    “อาวุธ เอาออกมาวางสิ”

     

    ฮิคารุมองหน้างงๆ แต่ก็ดึงแส้ออกมา วางลงกับพื้น

     

    อลาวดี้มองที่แส้เส้นนั้น นิ้วเรียวแตะลงบนเส้น ก่อนที่จะปรากฏไฟสีม่วงจางๆ ไล่ไปตั้งแต่ด้ามจับถึงปลายแส้ แล้วหายไป

     

    “ทำอะไรน่ะ”ฮิคารุที่มองอย่างไม่เข้าใจถาม

     

    “ที่นี้ก็ลองใช้มันสิ ตั้งใจให้ดีว่าจะทำลายกุญแจมือ”อลาวดี้ไม่ตอบ แต่บอกอย่างอื่นแทน(ปู่เมฆาใจดีจังแฮะ : ข้าว)

     

    ฮิคารุหยิบแส้ขึ้นมาคลายขด แล้วพันสายเข้ากับสายโซ่กุญแจมือ เกร็งกำลังแขนให้มากที่สุด แล้วตวัดออก

     

    เคร้ง !!

     

    สายโซ่กุญแจมือถูกทำลายไป กุญแจมือ ตกลงพื้น สลายหายไป

     

    “เยส แค่นี้ชั้นก็ไม่ต้องเข้าคอร์สสะใภ้แล้วสินะ”ฮิคารุหันไปถาม แต่อลาวดี้ไม่ตอบ เดินเข้ามาใกล้ แล้วล็อกกุญแจมือเพิ่มอีกอัน

     

    “เฮ้ย ทำงี้ได้ไงอ่ะ ชั้นทำลายจนหลุดได้แล้วนะ”ฮิคารุโวยวาย

     

    “ก็เมื่อชั้นช่วย เงื่อนไขก็ต้องปรับเปลี่ยนหน่อยสิ”อลาวดี้ตอบหน้าตาย ซึ่งฮิคารุก็เถียงไม่ได้ซะด้วย

     

    “งั้นทำลายใหม่ก็ได้”ฮิคารุบอกอย่างไม่พอใจ และเตรียมทำสมาธิเพื่อทำลายกุญแจมือใหม่ ก็ต้องอ้าปากค้างอีกรอบ

     

    ......ไอ้กุญแจบ้านี่...เพิ่มเป็นห้าอันตั้งแต่เมื่อไร....

     

    “ใครบอกว่าชั้นจะใส่อันเดียว ชั้นใส่เพิ่มให้”อลาวดี้มอง แล้วตอบคำถามให้

     

    “เชอะ”ฮิคารุมองอย่างไม่พอใจ พลางเดินหนีออกไปด้วย เดี๋ยวโดนใส่เพิ่มอีก แต่เดินได้สองสามก้าว ก็มีอันต้องล้มโครม เมื่อมองหาสาเหตุก็พบว่า ที่เท้าตนนั้น มีกุญแจมือไม่ต่ำกว่า 5 ล็อกอยู่

     

    “คุณปู่”ฮิคารุกดเสียงต่ำเรียก แต่อลาวดี้ก็ไม่สนเดินไปนั่งที่เดิม

     

    “ชั้นให้เวลา 5 นาที ถ้าไม่หลุดทั้งหมด ก็กลับไปกับชั้นได้เลย”อลาวดี้กำหนดเวลาเฉยเลย

     

    “5 นาที  ใครจะทำได้”

     

    “ผ่านไป 20 วิแล้ว”

     

    ฮิคารุแทบจะฆ่าอีกฝ่ายให้ตายคามือ แต่ตอนนี้คงไม่ใช่เวลา เขาพยายามลุกขึ้นยืน แล้วรวบแรงและสมาธิให้ได้มากที่สุด เพื่อที่จะเร่งเวลาในการทำลาย

     

    เมื่อเห็นว่ากุญแจตรงข้อมือโดนทำลายไป 4 อันแล้ว อลาวดี้ก็เอ่ยปากถามฮิคารุที่ยืนอยู่ไม่ไกล

     

    “ชอบฮิบาริ เคียวยะเหรอ”

     

    “อึก....อะ..เอาอะไรมาพูด..”ฮิคารุล้มลงกองกับพื้นทันที ที่โดนถามจบ ใบหน้าแดงเถือกจนถึงใบหู

     

    อลาวดี้มอง ออกอาการซะขนาดนี้ คงชอบมากแหง

     

    “ก็ดูท่าเจ้านั่น จะหวงนายมาก เลยคิดว่านายคงตกลงเป็นแฟนกันแล้วไงล่ะ”

     

    “ใครจะเป็นหะ ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ แล้วผู้ชายด้วยกันเนี่ยนะ”

     

    “หืม...งั้นเหรอ ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่นา หมอนั่นเจอชั้นทีไร จะฆ่าทิ้งทุกที ยิ่งพอได้แตะนายด้วยแล้ว อาการกับรังสีอำมหิตหนักกว่าเดิมเท่าตัวทุกที”คำพูดแต่ละคำนั้น ทำเอาหน้าฮิคารุร้อนผ่าวหนักกว่าเดิมอีก

     

    “ผู้ชายทั้งคู่เนี่ยนะ”ฮิคารุยังไม่ยอมแพ้

     

    “คิดมาก ไม่มีอะไรที่วองโกเล่ทำไม่ได้หรอกน่า แม้แต่เรื่องแบบนี้ก็เถอะ ให้ตายสิ คิดมาก งี่เง่าพอๆกับเจ้าม้าพยศเลยแฮะ”

     

    “ม้าพยศ?? ใครเหรอ”ฮิคารุถาม ชื่อใหม่ อาการอยากรู้เริ่มกำเริบ

     

    “เหลืออีก 2 นาที”อลาวดี้ย้ำ

     

    “เอ้ย!!”ฮิคารุร้องเสียงหลง

     

    จึงเลิกสนใจอลาวดี้ทันที แต่ตอนนี้เขากำลังมีปัญหาอยู่ เพราะสายแส้ของเขา มันยาวไม่มากพอ ที่จะรัดตรงส่วนที่ล็อกกับเท้า

     

     “โธ่เว้ย”ฮิคารุสบถอย่างหัวเสีย

     

    “เหลืออีก 50 วิ”

     

    ....เว้ย...อีผีปู่บ้า ยังมาย้ำกันอีก....

     

    ถึงจะต้อนกันจนเกือบสุดทาง แต่ฮิคารุก็ยังไม่ยอมแพ้ มือเรียวนั้นกำด้ามแส้อย่างไม่ยอมแพ้ พยายามรัดให้สายโซ่ให้ได้ทีเดียวทั้งหมด ไม่งั้นเวลาคงไม่พอ

     

    ผลจากความไม่ยอมแพ้ เมื่อเวลาเหลือไม่ถึง 30 วิ ไฟดับเครื่องชนสีม่วง ก็ติดบนแส้ ไล่ต้องแต่ด้ามจนถึงปลาย

     

    ข้อมือตวัดสายแส้รัดกับสายโซ่ คราวนี้มันรัดได้ทั้งหมด แส้มีความยาวเพิ่มมากขึ้นจนรัดได้ทั้งหมด

     

    ฮิคารุออกแรง ใช้ไฟทำลายกุญแจมือ ทีเดียวได้ทั้งหมด

     

    “เฮ้อ...”ฮิคารุมองแล้วถอนหายใจ ที่ทันเวลาพอดี แล้วนอนแผ่ลงกับพื้น

     

    “ทันเวลาพอดีอย่างเชียดฉิว”อลาวดี้ลุกขึ้นมามองฮิคารุที่นอนแผ่อยู่

     

    “ผ่านแล้ว....ใช่มะ”

     

    “ผ่าน..แค่นี้เธอก็มีคุณสมบัติที่จะอยู่ในวองโกเล่แล้ว”

     

    “หะ..ใครจะอยู่เล่า”

     

    “เอาเถอะๆ ชั้นไปล่ะ”แล้วอลาวดี้ก็เดินจากไป แต่ก็เดินกลับมาทิ้งท้าย

     

    “รางวัลแถมท้าย ฮิบาริ เคียวยะน่ะ ไม่ชอบดอกซากุระ”

     

    “หา”ยังไม่ทันได้ถามต่อ อลาวดี้ก็หายไปซะแล้ว

     

    ฮิคารุที่นอนพักอยู่ ก็คิดอย่างไม่เข้าใจ

     

    .....ไม่ชอบดอกซากุระเนี่ยนะ..ของสวยๆแบบนั้นเนี่ยนะ...

     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
    ครบแล้วนะ 7 คู่
     
    ข้าวยังมีชีวิตมาอัพนะ อย่าเพิ่งหายไปเลยคนอ่าน รักคนอ่านทุกคนนะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×