คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : ...โดดเรียนกันเถอะ...(2)ต่ออีกนิด ตัดตอนพลาดไปหน่อย
มินฮวานทอดฝีเท้าเดินเยื้องหลัง ซ่อนแววเศร้ามองดูคนสองคนหยอกล้อกันอย่างสนิทสนม เราจะทำอย่างไรดี แค่บอกรักอย่างนั้นเหรอ ไม่ใช่ซักหน่อย เราไม่ได้ต้องการแค่นี้
มินฮวานก็เป็นแค่คนคนหนึ่งที่มีความรัก ไม่ว่าความรักนั้นจะบริสุทธิ์ซักแค่ไหนแต่ว่าก็ยังหนีไม่พ้นความทุกข์ที่ไม่ได้เป็นเจ้าของ ไม่ได้ครอบครอง และที่แย่ที่สุด ไม่ได้รับความรักจากคนที่รัก แต่ต่อให้เจ็บกว่านี้อีกซักร้อยเท่าเขาก็มั่นใจว่าไม่สามารถหยุดรักได้ แล้วตรงไหนกันล่ะที่เป็นจุดสิ้นสุดของวงเวียนแห่งความปวดร้าวนี้
แม้พยายามบอกตัวเองให้คิดว่าแค่บอกความรู้สึกของตัวเองให้วอนบินรับรู้เท่านั้นก็พอ แต่แค่นั้นมันไม่พอ ไม่เคยพอ และไม่มีวันพอ จะทำอย่างไรสายตานั้นถึงจะหันมามองเราบ้างนะ
ต้องทำอย่างไร
แล้วตัวเรานั้นเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ความสัมพันธ์ที่มีแต่ความสนุกสนานและความสุขในทุกๆวันนั้นหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ พี่จงฮุน พี่วอนบินแค่มองหน้ากันโดยไม่ยกเท้าเข้าถีบกันก็แทบจะทำไม่ได้ พี่แจจิน เป็นคนที่เขาได้คุยมากที่สุด แต่ลึกๆแล้วพี่คนคนนี้ก็ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของคนรอบข้ามากที่สุด จุดเริ่มต้นมันอยู่ที่ไหนกัน บางที มินฮวานแอบคิด ถ้าหาจุดเริ่มต้นของทุกอย่างพบเขาอาจจะแก้ไขมันและทุกอย่างก็จะกลับไปเป็นเหมือนเดิม
คืนวันแสนสุขที่มีทุกคนอยู่เคียงข้างไม่ใช่กระจัดกระจายไร้ความหมายเช่นทุกวันนี้
พี่ฮงกี เคยเป็นคนที่มินฮวานเชื่อใจมากที่สุด ทั้งเชื่อใจและเชื่อมั่นว่าพี่คนนี้ทำได้ทุกอย่าง แค่พี่กลับมาทุกทุกอย่างอาจจะเหมือนเดิม แต่มินฮวานกลับอดกังขาไม่ได้ จุดเริ่มต้นของรอยร้าวทั้งหมดนั้นเกิดจากพี่คนนี้หรือเปล่า
ลี ฮงกี
เพราะความสัมพันธ์ของเราทั้งหมดมันเริ่มจากพี่
โชคชะตาที่นำมาเราพบกันอย่างนั้นเหรอ ไม่ใช่หรอกเป็นพี่ต่างหาก เป็นพี่ที่นำเรามาพบกัน
“มินฮวาน” วอนบินหันกลับมาเรียกแม้หน้าจะบึ้งแต่ดวงตาเป็นประกายบ่งว่าอารมณ์ดี “วันนี้กลับด้วยกันอีกนะ ฮงกีแจจินจะมารับ แล้วเดี๋ยวพี่ไปส่งเราเอง”
มินฮวานยิ้มรับสดใส อย่างน้อยตอนนี้เราก็ได้อยุ่ด้วยกัน
ฮงกี จงฮุน ฉันพบนาย นายพบฉัน หรือเราพบกัน
“ฉันให้นายถามได้หนึ่งข้อ” เด็กชายวอนบินประกาศเสียงกร้าวกันเด็กชายตากลมที่นอนเล่นอยู่บนเตียง
“อะไรก็ได้อย่างนั้นเหรอ” ลีฮงกีถามอย่างกังขา คิ้วสวยๆจึงผูกกันแน่น
“ใช่อะไรก็ได้ที่อยู่ในหนังสือเล่มนี้ ถ้าฉันตอบไม่ได้ฉันถึงจะยอมพานายไปด้วย”
“จริงนะ” ดวงตาสวยเป็นประกายสดใสรับหนังสือมาเปิดดูทันที
“อื้ม พ่อสอนว่าลูกผู้ชายต้องไม่โกหกเพราะงั้นนายเชื่อใจฉันได้แน่นอน” วอนบินรับรองหนักแน่น
“ถามได้ทุกอย่างในเล่มจริงๆนะ” ฮงกีถามซ้ำ มองภาพในหนังสือกับตัวหนังสือยาวเหยียดติดกันเป็นแถบอย่างงุนงง หากเพียงครู่ดวงตาสวยก็เปล่งประกายเมื่อได้ความคิดดีๆ
“ก็บอกแล้วไงว่าได้ ทั้งหมดในเล่มนั้นน่ะฉันรู้หมดแล้ว ถามๆมาเหอะนายจะได้เลิกเซ้าซี้จะไปค่ายกับฉันซะที รำคาญจะแย่แล้ว”
บางครั้งคำพูดที่ไม่คิดอะไรของเด็กๆก็ทำร้ายกันและกันได้อย่างคิดไม่ถึง
ฮงกีเม้มปากนิดหนึ่ง “ถ้างั้นฉันอยากรู้ว่า กระดาษสีเคลือบมันอย่างนี้ทำยังไงเหรอ”
มือเล็กชูหนังสือขึ้นมาอย่างท้าทาย “ฉันชอบวาดรูประบายสีแต่ทำยังไงมันกไม่สวยอย่างนี้ ได้ยินมาว่ากระดาษทำมาจากเปลือกไม้ แต่ทำยังไงล่ะ นายบอกขั้นตอนการทำให้ฉันได้ไหมโอวอนบิน”
วอนบินอ้าปากค้าง อึ้งไปสามวินาทีก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นโกรธจัด “นายโกงนี่” เด็กชายบริภาษ
“ตรงไหนกัน” ฮงกีถามเสียงสูง หน้าซื่อ
“ฉันไม่อยากยุ่งกับนายแล้ว นายมันนิสัยไม่ดีอยากไปนักก็เชิญไปคนเดียวเลย” วอนบินกล่าวอย่างโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงเขาอุตส่าห์พยายามอ่านมาแทบเป็นแทบตาย นั่งท่องทั้งคืนแม้จะง่วงซักแค่ไหนก็ไม่ยอมนอนจนกว่าจะมั่นใจว่าเนื้อหาทั้งหมดนั้นเข้าไปอยู่ในหัวตัวเองหมดแล้ว แต่หมอนั่นกลับเล่นโกง อย่างนี้มันน่าโมโหนั้น
ฮงกีอ้าปากเหมือนจะรั้งเพื่อนไว้ เมื่อวอนบินยัดๆของทุกอย่างที่เอามาเล่นด้วยกันใส่เป้ของตัวพร้อมทั้งหนังสือเจ้าปัญหานั้นด้วย แต่ฮงกีก็ไม่ได้พูดออกมาจนหลังของเพื่อนลับบางประตูไปนั่นแหละ
“นายสัญญาแล้วไม่ใช่เหรอ” ฮงกีพึมพำเบา มองห้องนอนหรูหรากว้างใหญ่แล้วทำหน้าเศร้า ร่างเล็กมุดไปนอนใต้ผ้าห่ม ดวงหน้าหวานมุ่ยจัดกดลงกับหมอนนุ่มฟูหอมกรุ่นเพราะแม่คอยกำชับให้แม่บ้านเปลี่ยนให้เสมอแล้วปล่อยให้น้ำตาไหลมาช้าๆ
ฮงกีสะอื้นเบาๆ สัญญาแล้วไม่ใช่เหรอไง
ที่ประตูห้องที่เปิดทิ้งไว้มีสตรีสวยมากคนหนึ่งเดินมาหยุดมองดูร่างเล็กที่สั่นสะท้านในผ้าห่มแล้วถอนใจ
“เดี๋ยวจ๊ะวอนบิน รอป้าแป๊ป ป้ามีเรื่องจะคุยด้วย” เสียงหวานใสรั้งเด็กชายที่กำลังจ้ำเดินอย่างรวดเร็วไว้
วอนบินชะงักก่อนผ่อนฝีเท้าลงและหยุดในที่สุด คนที่เรียกเขาไว้เป็นหญิงสาวสวยสะพรั่งอย่างที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีลูกแล้ว แถมลูกยังเป็นเด็กนิสัยไม่ดีอีกต่างหาก วอนบินเสริมต่อในใจ คุณนายลียิ้มอ่อนหวานให้จากเชิงบันไดชั้นสองของบ้าน เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนนุ่มสลวยปล่อยทิ้งเคลียบ่า ดวงตากลมใสฉายแววใจดีอยู่เสมอ ดวงตาที่คล้ายกันเหลือเกินกับใครอีกคนที่เขาเพิ่งเผ่นแนบจากมา
“ครับ” วอนบินรับคำ ยืนเรียบร้อยแม้หน้าจะบึ้ง
สตรีผู้นั้นก้าวลงบันไดมาหาเขาช้าๆ ท่าเดินของเธอดูสง่างามอย่างคนตระกูลผู้ดีทุกระเบียดนิ้ว ถ้าเทียบว่าเป็นนกเธอคงได้เป็นหงส์สาสีขาวที่งดงามมากแน่ๆ วอนบินคิดอย่างชื่นชม เจ้าหญิงหงส์ขาวที่บินอย่างสง่างามในท้องฟ้าสีคราม อย่างฮงกีก็เป็นได้แค่นกกระจอกที่ขโมยของชาวบ้านเขานั้นแหละ ไม่รู้คุณนายลีเลี้ยงลูกยังไง
ถึงไม่ค่อยสมประกอบ
วอนบินแอบด่าคนที่ไม่ได้อยู่ด้วยไปอีกหลายคำ เจอกันครั้งหน้าฉันจะเรียกนายว่า นายนกกระจอก คอยดูสิ
ไม่สิ กับคนนิสัยไม่ดีอย่างนั้นไม่ต้องพบกันอีกเลยดีกว่า วอนบินตัดสินใจ อืม เขาจะไม่มาหาฮงกีที่บ้านอีกแล้ว
มือนิ่มเย็นมาแตะที่แก้มเขาเบาๆ ทำเอาวอนบินสะดุ้ง เงยหน้าขึ้นก็เห็นใบหน้างดงามสมบูรณ์แบบของแม่เด็กนกกระจอกในระยะใกล้ สวยมากจริงๆ วอนบินอดหน้าแดงไม่ได้
“หัดทำหน้าบึ้งแต่เด็กอย่างนี้ แก่ไปเธอต้องหน้าย่นมากๆแน่ๆเลย” เสียงหวานปรารภ
วอนบินหน้าหงิกกว่าเดิม ชัดเลยปากเสียอย่างนี้แม่ลูกกันไม่ผิดแน่
“ทำไมต้องมากๆด้วยล่ะครับ มากคำเดียวก็พอแล้ว” วอนบินว่า เขาไม่เคย ได้คุยกับคุณนายลีอย่างจริงจังมาก่อน เคยแต่ทักทายกันไม่กี่ครั้งเพราะเพิ่งเคยมาบ้านฮงกีไม่กี่ครั้ง แต่ด้วยบรรยากาศสบายๆรอบตัวผู้หญิงคนนี้ทำให้เขากล้าต่อปากต่อคำได้อย่างไม่ขัดเขิน
คุณนายลีหัวเราะเบาๆ “เถียงด้วยอ่ะ เด็กนิสัยไม่ดี”
“นั่นมันลูกคุณ”วอนบินเผลอสวน พูดแล้วค่อยนึกได้จึงยิ้มแหยๆเป็นเชิงของลุแก่โทษที่เสียมารยาท
หญิงสาวส่ายหน้าเส้นผมสีอ่อนละเอียดราวเส้นไหมพลิ้วไปมา คุณนายลีถอนหายใจใบหน้ามีรอยจริงจังมากขึ้น “เพราะอย่างนี้เหรอ วันนี้เธอถึงได้กลับไวนัก เพราะฮงกีทำนิสัยไม่ดีใส่เธอ”
วอนบินอึกอักไม่อยากตอบนัก เพราะอย่างนั้นจริงๆเหรอ
“เพราะฮงกีทำไม่ถูกใจเธอ เธอก็เลยโมโหเขาแล้วก็ทิ้งเขาไว้”
วอนบินมองหน้าสวยของเธอ เขาเห็นความทุกข์อยู่ในนั้น
“ฉันมั่นใจว่าลูกของฉันไม่ใช่เด็กนิสัยไม่ดี เขาไม่เคยทำให้ใครเสียใจ ไม่เคยทำให้ใครผิดหวัง ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับตัวเองและทำให้ตัวเองเจ็บปวดขนาดไหนเด็กคนนั้นก็อดทนได้ดีเสมอมา เพราะไม่อยากให้คนรอบข้างต้องเป็นกังวลไปกับตัวเอง แล้วเขานิสัยไม่ดีตรงไหนอย่างนั้นเหรอ ฉันไม่ได้อยากจะเรียกร้องให้เธอทำตามใจฮงกีทุกอย่าง คนตามใจน่ะฮงกีมีมากจนหาที่เก็บไม่ได้ สิ่งที่เขาต้องการก็แค่เพื่อน เพื่อนที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็จะอยู่เคียงข้าง เธอจะโกรธเขาก็ได้ แต่อย่าได้เกลียดเค้าเลยนะ ถือว่าฉันขอร้องก็ได้ ฉันสงสารลูก ไม่อยากเห็นเขาร้องไห้อย่างนั้น”
คุณนายลีหยุดไปนิดหนึ่งให้วอนบินคิด
“ฮงกีอาจจะขี้แกล้งไปบ้าง หรือเอาแต่ใจเป็นบางครั้ง แต่เขาก็น่ารักเธอไม่เห็นด้วยเหรอ” หญิงสาวถามยิ้มๆ
“เอ่อ ฮงกีร้องไห้เหรอครับ” วอนบินถาม ใบหน้าอ่อนเยาว์ฉายแววกังวลอย่างปิดไม่มิด ทั้งกังวล กระวนกระวายและท้ายที่สุดเสียใจ
หญิงสาวไม่ตอบคำ เพราะเธอรู้จักลูกของตัวเองดี ลูกชายตัวดีที่เกลียดที่สุดเวลาที่ตัวเองแสดงความอ่อนแอ เพราะอย่างนั้นเวลาฮงกีร้องไห้จึงมักแอบไปร้องไห้คนเดียว คราวนั้นก็เหมือนกัน เด็กนั่นหนีออกจากบ้านกว่าจะกลับก็เย็นค่ำคนที่บ้านตามหากันหัวใจแทบวาย พอกลับมาก็เป็นลมล้มไม่ได้สติอยู่ที่หน้าคฤหาสน์ ฟื้นขึ้นมาก็เลยถูกพ่อตีไปสามครั้ง พ่อที่ไม่เคยแม้แต่จะดุว่าให้ลูกคนนี้ต้องเสียใจ กลับยกไม้เรียวฟาดลูกไปถึงสามที เด็กตัวแค่นั้น เสียงไม้หวดกระทบเนื้อยังก้องสะท้อนใจคนเป็นแม่อยู่จนถึงทุกวันนี้
เด็กนั่นก็เหลือเกินไม้ร้องไห้ซักกะแอะทั้งยังกล่าวขอโทษเสียงเรียบก่อนเดินขึ้นไปนอน พ่อเองเสียอีกที่พอตีลูกเสร็จก็นั่งซึมน้ำตาเอ่อ ถ้าไม่ใช่เช้าวันถัดมาสาวใช้ที่มีหน้าที่ดูแลฮงกีกระวีกระวาดมาเคาะห้องเธอแต่เช้าเธอคงไม่รู้เรื่อง สาวใช้คนคนนั้นอายุประมาณสี่สิบกว่าๆเป็นคนเก่าแก่ที่อยู่ด้วยกันมานานรักฮงกีเหมือนลูกหลานในไส้ก็ไม่ปาน เมื่อวานตอนที่คุณผู้ชายบอกว่าจะตีคุณหนูก็มีเธอคนนี้นี่แหละออกตัวห้ามสุดชีวิต
วันนี้หญิงสาวต้องตื่นแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นมาฟังสาวใช้คนหนึ่งพูดไปร้องไห้ไปจนจับใจความไม่ได้ แต่ก่อนที่จะหงุดหงิดเธอก็เริ่มปะติดประต่อได้เรื่องได้จากคำว่า คุณหนูๆที่เอ่ยซ้ำไปซ้ำมา
เลิกคร่ำครวญแล้วพูดช้าหน่อยได้มั้ย เพราะเสียงตะโกนอย่างหัวเสียอย่างที่แทบไม่เคยมีให้เห็นจากคุณผู้หญิงของบ้านจึงปลุกเอาสามีของเธอตื่นขึ้นมาด้วย คุณหนูเจ้าค่ะ คุณหนูแกร้องไห้ไม่หยุดที่ถูกพ่อแกตีตั้งแต่เมื่อคืน อิฉันปลอบยังไงแกก็ไม่ฟัง เอาแต่ร้องไห้ท่าเดียว อิฉันทนไม่ไหวแล้วนะเจ้าคะคุณผู้หญิงช่วยไปดูแกหน่อยเถอะเจ้าค่ะ
แล้วหญิงก็ตวาดแว้ดทันทีที่ฟังเข้าใจด้วยห่วงลูกจับใจ แล้วทำไมเพิ่งมาบอกเอาตอนจะเช้าอย่างนี้
คุณหนูแกขอร้องไว้เจ้าค่ะ บอกว่าเดี๋ยวก็หยุดเอง อิฉันเลยไม่อยากทิ้งแกไว้แล้วมาตามคุณ
หญิงสาวเอามือทาบอกหันไปมองสามีที่เดินมาฟังข้างๆก็รีบดึงมือเร็วให้เดินตาม แต่ชายหนุ่มกลับช็อคค้างไปเรียบร้อยแล้วก่อนที่น้ำตาคนเป็นพ่อที่เป็นโรคติดลูกจะร่วงเผาะๆ กว่าจะลากสามีไปที่ห้องลูกได้เธอแทบจะออกงิ้ว พอไปถึงภาพที่เห็นกลับเลวร้ายยิ่งกว่า มันแย่เสียจนเธอรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรแข็งๆมาจุกอยู่ที่คอ พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว พาลโกรธชายหนุ่มผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีและเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด
เธอเพิ่งนึกได้เดี๋ยวนั้นเองว่าตั้งแต่โตมาเด็กคนนี้ไม่เคยร้องไห้เลยซักครั้ง ทั้งที่ต้องเข้าออกโรงพยาบาลอยู่เป็นประจำแต่ละครั้งใช่ว่าจะได้พบเจอเรื่องสนุกสนานมีสุข แต่เด็กคนคนนี้ก็ยิ้มแย้มทุกๆครั้ง ทุกๆครั้งที่พ่อหรือแม่ทำหน้าเป็นห่วง
ฮงกีที่เห็นในห้องนั้นไม่ใช่เด็กน้อยร่าเริงอย่างที่เธอรู้จัก แต่เป็นคนที่กำลังขวัญเสีย เรื่องที่อดทนมาตลอดกลายเป็นเรื่องที่ทนไม่ได้ เรื่องที่เก็บมาตลอดไหลทะลักราวสายน้ำ ทำไม ทำไม และทำไม เมื่อใดที่เริ่มคำนี้น้ำตามักจะพร่างพรูเสมอ
ร่างเล็กที่ร้องไห้อย่างปวดร้าวเมื่อหันมาเห็นเธอกับพ่อตัวเองก็กลั้นสะอื้นเสียจนตัวโยน กว่าหญิงสาวจะนึกอะไรออกพ่อเขาก็เดินเร็วๆเข้าไปรวบร่างลูกเข้ามากอดแน่นก่อนกระซิบปลอบเสียงเครือ จนแสงทองจับขอบฟ้าฮงกีถึงได้ผลอยหลับไป
นั่นสินะพวกเขาสองคนมีคำสัญญากันไว้เนิ่นนานตั้งแต่ฮงกียังอายุน้อยกว่านี้ ตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าลูกที่เกิดมานั้นจะไม่ได้มีชีวิตที่ราบรื่นเหมือนคนอื่นเขา พวกเขาสองคนก็มีคำสัญญาต่อกันว่าจะต้องทำให้เด็กคนนี้มีความสุขให้ได้ แม้ว่าเส้นทางที่เขาเดินไปจะเต็มไปด้วยหนามแหลมแต่ว่ามันจะต้องมีกุหลาบบานสะพรั่งตลอดเส้นทางนั้น
ตอนนี้ยาวโฮกจิงอ่ะ ๆ
ขอแยกตอนไปเรื่อยๆจนกว่าจะจบตอนแล้วกันนะคะ
แล้วก็ในส่วนของตอนนี้เราเอาตอนพิเศษที่ฮงกีกับจงฮุนพบกันครั้นแรกมารวมด้วยลองอ่านดูแล้วจะรู้ว่ากว่าจะรู้ว่าคู่นี้มันน่ารักกันมากๆเลย >.<
ขอบคุนที่เตือนนะคะเรื่องสัตว์เลี้ยง
เหอๆถ้าไม่ได้เข้าอีกสองวันมันต้องตายแหงแก๋แน่เลย ^^
PS. เราอัพฟิคชั่นเรื่องใหม่ ไม่เกี่ยวกับ F.T หรอกค่ะ แต่อยากให้ลองอ่านดูเป็น Fic ของเรื่อง code geass ตอนจบเรื่องนี้มันกวนใจเรามากเราก็เลยเขียน Fic ซะเลย ^^ ถ้าใครไม่รู้จัก หรือไม่เคยดูแนะนำว่าให้หามาดูซะ สนุกมากกกกกกกกกกกกกกก จิงๆนะ
“รู้มั้ยครับ” วอนบินเปรยขึ้นมาเรียกหญิงสาวให้หลุดจากภวังค์ความคิดในอดีตมายิ้มหวานอีกครั้ง “เมื่อวันก่อนที่ผมมาบ้านคุณ ผมเล่าให้ฮงกีฟังว่าที่โรงเรียนผมมีจัดให้ไปตั้งแคมป์กันที่น้ำตก ฮงกีโวยวายอยากไปมากๆแต่ทางโรงเรียนคงไม่อนุญาตให้คนนอกไปด้วย ผมก็เลยบอกเขาไปว่างั้นและผมจะกลับมาเล่าให้ฟังแทน ฮงกีก็เอาแต่โวยวายไม่ยอมท่าเดียว เขาว่าให้คนอื่นเล่าก็ไม่เหมือนกับไปเห็นด้วยตาตัวเองอยู่แล้ว แถมไม่แน่ว่าวอนบินจะจำทุกอย่างที่ไปเที่ยวมาได้ ผมก็เลยบอกว่าที่บ้านมีหนังสือแนะนำที่ที่เราจะไปแคมป์อยู่ ถ้าผมจำได้ทั้งเล่ม และฮงกีถามคำถามแล้วผมตอบได้ เขาจะต้องเลิกโวยวายและยอมอยู่บ้าน แต่ถ้าผมตอบไม่ได้ผมจะพยายามเอาฮงกีไปด้วย”
วอนบินเล่าไปก่อนจะเริ่มหัวเราะเบาๆแต่ดวงตาคมนั้นกลับเคร่งเครียด
“แล้วไงจ๊ะ” คุณนายลีถามพร้อมรอยยิ้มบางๆ เธอเดาได้แล้วว่าสุดท้ายเป็นอย่างไร คำถามที่ฮงกีตั้งถ้าเจ้าตัวไม่อยากให้ตอบได้ ลูกของเธอก็จะมีวิธีการทำให้มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ
“ผมใช้เวลาตั้งมากเพื่ออ่านและจำทั้งหมดเพื่อเล่าให้เขาฟัง แต่ฮงกีกลับถามว่ากระดาษผลิตอย่างไร ผมก็เลยโกรธและหนีออกมา แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ตอบไม่ได้จริงๆ และสัญญาต้องเป็นสัญญาจริงมั้ยครับ”
“ใช่จ๊ะ เธอเป็นเด็กดีมาก”
ดวงหน้าเล็กๆจริงจังนักเมื่อเอ่ยคำถามต่อ “คุณนายลีครับ ผมขออนุญาตพาฮงกีไปแคมป์ด้วยกันซักสามวันได้มั้ยครับ”
หญิงสาวถอนใจ และท้ายสุดเธอก็เอ่ยคำที่ทำให้ร่างวอนบินแทบจะถลาหายไปในทันใด
“ขึ้นบอกฮงกีก่อนเถอะ พอเธอลงมาแล้วเรามีเรื่องต้องคุยกันอีกเยอะทีเดียว ถ้าเธอจะเอาอย่างนั้นล่ะก็นะ”
...
ความคิดเห็น