littletree
ดู Blog ทั้งหมด

ก็วันวาเลนไทน์นี่เนอะ

เขียนโดย littletree

หวัดดีจ้า

ช่วงนี้กำลังจะทำวิจัย เลยต้องขนหนังสือมาอ่านเป็นตั้ง (ดีเฟนส์ศุกร์นี้ เหอๆ)

มีแต่ทฤษฎีวิจารณ์วรรณกรรมทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น โครงสร้างนิยม หลังโครงสร้างนิยม

โซซูร์ สเตราท์ ลากอง บาร์ตส์ ฟูโกต์ เดลิดา ชื่อที่คุ้นเคยทั้งนั้น อ่านแล้วคิดถึง อ.ธเนศ ขึ้นมาเลยทีเดียว 55+

โซซูร์ (เจ้าพ่อทฤษฎีโครงสร้างนิยม) บอกว่า ภาษาคือระบบของสัญญะ ประกอบด้วย

1) รูปสัญญะ (signifier) และ 2) ความหมายสัญญะ (signified)

ความสัมพันธ์ระหว่างรูปสัญญะและความหมายสัญญาถูกกำหนดโดยระบบภาษา ไม่ได้เป็นไปโดยธรรมชาติ

ตัวอย่างเช่นเสียงที่เปล่งว่า “ม้า” (รูปสัญญะ) กับ “ม้า” ในฐานะสัตว์สี่ขา (ความหมายสัญญะ) นั้น

ไม่มีส่วนสัมพันธ์กันแม้แต่นิดเดียว จนกว่าจะมาอยู่ในระบบ “ภาษาไทย”

ทีนี้โซซูร์ก็ว่าต่อไปว่า ภาษาคือระบบของความแตกต่าง

การที่รูปสัญญะแต่ละอันสามารถสื่อความหมายได้ก็เพราะมันแตกต่างจะอันอื่นๆ

เช่น “สีเขียว” ไม่เหมือน “สีเหลือง” “สีแดง” “สีฟ้า” ฯลฯ

(ถ้าเราเรียกสีทุกสีว่า “สีเขียว” ก็ไม่สามารถแยกแยะได้ว่า กำลังต้องการสื่อถึง “สี” ไหนกันแน่)

ในทำนองเดียวกัน รูปสัญญะที่แตกต่างกัน เช่น “ม้า” กับ “horse” ก็แสดงให้เห็นว่าเป็นคนละระบบภาษากัน

 

แนวคิดนี้ก็คล้ายๆ กับ แนวคิดเรื่อง “คู่ตรงข้าม” (binary opposition) ของ เลวี สเตราส์

ที่ชี้ให้เห็นว่าในเทพปกรณัมทุกเรื่องย่อมมีภาวะของคู่ตรงข้าม (เช่นความดีกับความชั่ว) อยู่

 

ฟังๆ ดูแล้ว นึกถึง เต๋า นะที่ว่าความหมายและค่าของสรรพสิ่งเกิดจากการเปรียบเทียบ

เรารู้ว่าอะไรคือสุข ก็ต่อเมื่อมีทุกข์ เรารู้ว่าอะไรคือยาว ก็ต่อเมื่อมีสั้น เรารู้ว่าอะไรคือความดี ก็ต่อเมื่อมีความเลว

(จะลากไปเชื่อมกับพุทธอีกก็ได้ว่าในเมื่อไม่มีอะไรอยู่ได้ด้วยตัวมันเอง ทุกอย่างก็เป็นอนัตตา 555+)

 

เพียงแต่พอผมอ่านถึงตรงที่บอกว่า “ภาษาคือระบบของความแตกต่าง”

ผมก็เลยนึกถึงเวลาเต็มเรียกผมว่า “อ้วน” ขึ้นมาตะหงิด

เวลาเต็มเรียกผมแบบหงุดหงิดก็... “(ไอ้)อ้วน”

เรียกแบบหมั่นไส้ก็... “(อี)อ้วน”

เรียกแบบปกติก็... “(เต้)อ้วน”

เรียกแบบเอ็นดูก็... “อ้วน”

“รูปสัญญะ” ที่เรียกว่า - อ้วน - จึงมี “ความหมายสัญญะ” เป็นได้ทั้ง คำด่า คำเตือน คำทักทาย คำเรียกแก้เขิน ฯลฯ

ขึ้นอยู่กับบริบทกับน้ำเสียงในตอนนั้น

 

พอนึกถึงเรื่องนี้ ผมเลยพาลนึกเลยเถิดไปว่า ไอ้ระบบที่แข็งทื่อ ไม่ยืดหยุ่นพรรค์นี้ คงมีแต่พวกผู้ชายล่ะมั้งที่คิดได้

เพราะกลไกการคิดของผู้หญิงนั้นซับซ้อนเกินกว่าจะจัดระบบได้

(คือเรื่องบางเรื่องมันก็เป็นปัจจัตตังอ่ะนะ (รู้ได้เฉพาะตน))

 

พูดถึงวันก่อนก็ไปร้องเกะกะพวกพี่ๆ ที่ทำรางวัลวรรณกรรมรามคำแหงมา

ไม่รู้ใครเปิดประเด็นว่า ผมเครียดเรื่องความรัก (ไม่รู้พวกพี่ๆ อาจารย์เขาไปคุยกันอีท่าไหนอ่ะนะ) ก็เลยซ้ำเติมกันใหญ่

(เลือกมาแต่เพลง “เสียมั้ย” “คนหลายใจ” “นิยามรัก” อะไรก็ไม่รู้ให้ตูร้องอยู่นั่นแหละ - โปรดสังเกตอายุเพลง...)

มีอยู่ตอนหนึ่งพวกพี่ๆ ก็พูดขึ้นมาว่า “เต้ยไม่ลองมองสาวคนอื่นดูบ้างล่ะ” (ประมาณว่า เด๋วพี่ๆ จัดห้ายยย)

ผมแทบจะปฏิเสธทันทีเลยว่า มะอาวอ่ะ สงสารสาวคนนั้น

เพราะผมนี่เป็นอะไรก็ไม่รู้ทำสาวเสียน้ำตาทุกคนเลย ก๊ากกก

 

สารภาพว่า นึกไม่ออกจริงๆ ว่าถ้าเจอผู้หญิงคนอื่นแล้ว เขาจะรับนิสัยของผมได้จริงๆ หรือเปล่า

ผมว่าที่เราสองคนต่างไม่เรียกร้องอะไรจากอีกฝ่ายมากมายมันก็บาลานซ์ดีอยู่แล้วอ่ะนะ

ถ้าเกิดผู้หญิงคนอื่นเข้ามาเจ้ากี้เจ้าการกับชีวิตผมแม้แต่นิดเดียว

ผมอาจจะเกิดรำคาญขึ้นมาก็ได้ (โดยเฉพาะถ้าไม่ได้ตกหลุมรักหัวปักหัวปำอยู่อ่ะนะ)

(ของเคสเต็มนี่คงสบายใจได้ เพราะดูท่าน้ำมันพรายจะยังไม่หมดฤทธิ์)

เพราะฉะนั้นให้เต็มรับเวรกรรมนี้ไปคนเดียวก็พอแล้ว อย่าให้สาวอื่นต้องเดือดร้อนอีกเลย เหอๆ

 

จะว่าไปในทางตรงกันข้ามกับที่พี่ๆ อาจารย์กำลังเป็นห่วงผม

พวกนักศึกษามันก็เข้าใจผิดนึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเต็มพัฒนา (ขั้นไหนไม่รู้ล่ะนะ)

ไปมหาลัย มีคนมาบอก “ยินดีด้วยค่ะ ได้เปิดตัวแล้วเหรอคะ” อะไรทำนองนี้

ผมก็ไม่รู้ว่าเปิดตัวอะไรของมัน สำหรับผมแล้ว ก่อนเต็มจะโพสต์รูปลงเฟส กะหลังโพสต์นี่

ความสัมพันธ์ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปตรงไหนหนิ... (ไม่ทาส – เจ้านาย ก็ สัตว์เลี้ยง – เจ้าของ)

หรือถึงจะพูดแบบพุทธว่าความสัมพันธ์มันเป็นอนิจจัง คือเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาแหละ

แต่ช่วงหลายสัปดาห์มานี้ผมก็ไม่เห็นว่ามันจะเปลี่ยนแปลงแบบมีนัยยะสำคัญอะไร

 

พูดมาถึงตรงนี้ก็อดพูดถึงความรักไม่ได้นะ ไหนๆ วันวาเลนไทน์ทั้งที

ดูเหมือนผมจะมีหน้าที่ทำให้เต็มคลื่นเหียนปีละครั้งสองครั้ง ตามงานเทศกาลนะ

(ส่งข้อความน้ำเน่าไปทีไร เต็มอ้วกกลับมาทุกที)

วันนี้ เข้าเฟสเห็นมีแต่คนโพสท์ข้อความเกี่ยวกับความรักเต็มไปหมด

ไอ้ผมก็เริ่มรู้สึกว่า เฮ้อ กรูไม่เข้าใจจริงๆ ว่าความรักคืออะไร

เพราะต่างคนก็ต่างมีนิยามรักของตัวเอง

หากจะพูดให้สวยหรูว่า “ความรักที่งดงามคือความรักที่บริสุทธิ์

ความรักที่รู้จักแต่การให้ เมื่อให้แล้วใจของเราก็จะเต็มเปี่ยม”

ถึงจะมีคนซาบซึ้งกับคำพูดนี้ แต่ผมสงสัยจริงๆ ว่าจะมีซักกี่คนที่ ใจได้สัมผัสกับความรักแบบนั้นจริงๆ

จากประสบการณ์ ผมว่าการวาดภาพภาวะความรู้สึกแบบใดก็ตามขึ้นในใจ ทั้งที่ใจตัวเองยังไม่รู้จักมันดีพอ

ภาวะความรู้สึกแบบนั้นมันก็ไม่เสถียรอยู่ดี

ประสบการณ์ความรักของผมไม่เคยเรียนรู้จากการสร้างความรู้สึกแบบนั้นขึ้นในจินตนาการ

แต่เกิดจากการตกหลุมรักและทุ่มเทความรักให้กับใครสักคนโดยไม่กลัวเจ็บ

แบบที่พี่นัทชอบพูดว่า “ของยังงี้มันต้องลงทะเบียนเรียนเองเว้ย”

ผมถึงรู้ว่ารักที่เห็นแก่ตัวเป็นยังไง และรักที่ไม่เห็นแก่ตัวเป็นยังไง

 

การได้รักเธอเป็นประสบการณ์ที่มาค่า เพราะมันเริ่มเปิดใจของผมให้สนใจและอยากรู้จักคนอื่นอย่างแท้จริง

ที่ผมสนิทกับแม่ และเข้าใจ “ภาษา” ของแม่มากขึ้น ช่างสังเกตและจดจำสิ่งที่แม่ชอบและไม่ชอบ

ก็มีพื้นฐานมาจาก การหัดสังเกตนิสัยของเธอก่อนเหมือนกัน

(เธอก็น่าจะรู้ว่า แต่ก่อนผมมีโลกส่วนตัวสูงขนาดไหน)

 

ตอนนี้ผมถึงพูดได้เต็มปากว่า การได้รักใครสักคน มันทำให้หัวใจผมเต็มเปี่ยม ยิ่งกว่าการถูกรัก

เพราะ ณ ขณะนี้ผมกำลังสัมผัสความรู้สึกที่ว่าอยู่

อันที่จริงผมก็ยังไม่รู้ไอ้ “ความรัก” ที่พูดจากปากนี่ มันคืออะไรกันแน่

แต่ผมพอจะแยกแยะได้ว่าความสุขที่เกิดจากการรักใครสักคนมันเหมือนน้ำใสๆ ที่ชโลมจิตใจให้สดชื่น แต่ไม่หวือหวา

ในขณะที่ความสุขจากการถูกรักมันเหมือนน้ำหวานที่มีรสชาติหวานหอม ชวนให้ใจเคลิบเคลิ้ม อยากเติมอีกไม่รู้จักพอ

น้ำใสๆ นั้นดื่มได้ทุกวัน ดื่มได้ตลอด และทำให้จิตใจเข็มแข็ง

น้ำหวานนั้น ดื่มมากไป จิตใจก็จะยิ่งปวกเปียก จะดื่มบ้างก็ได้ แต่ต้องดื่มอย่างมีสติ รู้เท่าทันกิเลสตนเอง

 

พูดตรงๆ ถ้าตอนนี้ผมต้องมองหาผู้หญิงสักคน ผมก็นึกไม่ออกว่าตัวเองชอบผู้หญิงแบบไหน

แต่ผมบอกได้ว่าผมชอบทุกอย่างที่เต็มเป็นอยู่ตอนนี้ เพราะทั้งหมดที่เต็มเป็นนั่นแหละ ที่ทำให้ผมเป็นผมในวันนี้

หากผมไม่ได้รักเต็มคนนี้ที่ทั้งดื้อ เจ้าชู้ เอาแต่ใจตัวเอง เดาใจยาก ขี้เกียจ ขี้หงุดหงิด ใจร้อน (พรรณาสามหน้าก็ไม่หมด 55+)

ผมก็คงไม่กลายมาเป็นผมคนนี้เช่นกัน...

 

ท้ายที่สุดนี้ ผมก็รู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่ได้เขียนถึงเธอ ได้จินตนาการว่าผมกำลังพร่ำรำพันเนื้อหาในจดหมายนี้

โดยมีเธอตั้งใจอ่านทีละบรรทัด ทีละอักษร ได้เดาสีหน้าของเธอขณะที่อ่านแต่ละประโยค แต่ละข้อความ

สำหรับผมแล้ว ต่อให้เราจะไม่ได้เจอหน้ากัน แต่แค่มีเธออยู่ในใจ ให้ผมได้รัก ให้ผมได้สื่อความรู้สึกที่เรียกว่า “รัก” นี้ออกไป

ชีวิตของผมก็เต็มเปี่ยมพอแล้ว

 

สุขสันต์วันวาเลนไทน์ครับ ^^

ความคิดเห็น

ยังไม่มีความคิดเห็น