คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #33 : Chapter 29 : CAMP (2)
Chapter 29 -- Camp (2 )--
โครม!
คราม!
ตุบ!
ผลัวะ?!
คฤหาสน์หลังใหญ่ที่เคยเงียบสงบมาโดยตลอด บัดนี้กลับดังสนั่นหวั่นไหวไปด้วยเสียงอึกทึกครึกโครมที่ยิ่งฟังก็ยิ่งน่าฉงนสงสัยว่าไอ้คนบ้านนี้มันกำลังทำอะไรอยู่
แต่ใครจะไปรู้ดีเท่าคนในบ้าน ซึ่งเวลานี้กำลังยืนเหงื่อตกมองดูลูกชายคนเล็กของบ้านที่มองจากหน้าตาแล้วไม่รู้ว่าเป็นเพศชายหรือเพศหญิงกันแน่เก็บข้าวของยัดใส่กระเป๋าเดินทาง เตรียมตัวสำหรับการไปเข้าค่ายสามวันสองคืนที่จะเริ่มออกเดินทางในวันพรุ่งนี้ โดยที่ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกคันปากอยากเข้าไปถามเหลือเกินว่าจะไปเข้าค่ายหรือย้ายบ้านกันแน่
“ฟราน ลูกไม่ต้องเอาข้าวของไปเยอะขนาดนั้นก็ได้จ้ะ”
คุณนายหญิงแห่งตระกูลที่ร่ำรวยได้อีกนี้ซึ่งเป็นมารดาของสองพี่น้องผู้หน้าตาดีสุดกู่พูดด้วยน้ำเสียงละเหี่ยใจขึ้นมาในที่สุดหลังจากทนยืนมองมานาน
ร่างเล็กๆ ที่แทบจะเข้าไปมุดอยู่ในกองข้าวของที่สุมกันเป็นกองเบอเริ่มโผล่ศีรษะที่ปกคลุมไปด้วยเรือนผมสีเพลิงขึ้นมา ก่อนที่นัยน์ตากลมโตจะจ้องแป๋วไปที่ผู้เป็นมารดาอย่างชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเมินหน้าตาเฉยมุดกลับไปรื้อข้าวของต่อดังเดิม
การกระทำนั้นเล่นเอาคุณหญิงผู้สูงศักดิ์ต้องยกมือขึ้นมากุมขมับด้วยความอนาถจิตอย่างสุดซึ้ง ยิ่งดูก็ยิ่งชวนให้จิตใจห่อเหี่ยว หล่อนจึงรีบควงแขนสามีซึ่งแม้ว่าจะอายุปาไปเกือบเข้าเลขสี่แล้วแต่ก็ยังคงดูภูมิฐานและหล่อเหลาอยู่เหมือนเดิมพลางออกปากชักชวนให้ไปจัดการเอกสารกองโตในห้องทำงานต่อ คุณพ่อผู้แสนดีเจ้าของธุรกิจพันล้านไม่รอช้า รีบตบปากรับคำควงแขนภรรยาสุดที่รักเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
...ทิ้งไว้เพียงร่างของฟิวส์ผู้มีหน้าตาถอดแบบมาจากบิดาทุกประการให้ยืนเหงื่อตกมองภาพการรื้อข้าวของเบื้องหน้าต่อไปอย่างยากจะหาจุดสิ้นสุด
--Change! --
“ฟิวส์ สุดที่รักแกจะเข้าค่ายหรือย้ายบ้านกันแน่เนี่ย?”
เสียงเหน็บแหนมซึ่งมักจะมาเร็วกว่าเจ้าตัวดังแว่วมาให้ได้ยินแต่ไกล ไม่ต้องเดาให้เสียเวลาก็รู้ได้ในทันทีว่าบุคคลผู้นั้นคือใคร ฟิวส์หันใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยร่องรอยแห่งความละเหี่ยใจไปหาเพื่อนของตนอย่างรวดเร็ว
“ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกันนั่นแหละ”
ว่าพลางสมานสามัคคีส่งสายตาไปส่องขนาดกระเป๋าของฟรานอีกรอบหนึ่ง ซึ่งบัดนี้เจ้าของกระเป๋ากำลังยืนสนทนากับคาร์และคิริวอยู่อย่างสนุกสนาน
กระเป๋าของอีกสองคนที่เหลือก็มีขนาดใหญ่ทัดเทียมกับของฟราน แต่ก็ยังเป็นรองกระเป๋าของคนตัวเล็กที่ไม่เจียมตัวว่าจะหิ้วกระเป๋าที่ใหญ่กว่าตัวได้หรือไม่อยู่ดี
และที่สามารถแบกมาได้ตลอดรอดฝั่งจะเป็นเพราะอะไรไปได้ถ้าไม่ใช่เพราะมีสารถีไปรับมาถึงที่...
ไม่นานนักคุณครูระดับชั้นมัธยมปลายทั้งหลายก็แข่งกันตะเบ็งเสียงร้องเรียกให้นักเรียนแต่ล่ะชั้นไปเข้าแถวเป็นห้องๆ ให้เรียบร้อย คนน่ารักทั้งสามประจำมัธยมปลายปีที่ห้าเดินตัวปลิวนำไปก่อน ในขณะที่ชายหนุ่มทั้งสามคนแบกกระเป๋าเดินตามต้อยๆ เหนื่อยเสียจนแทบจะเป็นลม
รุ่นพี่ทั้งสามขอลาตาย ณ จุดนี้
--Change! --
ภายในห้องขนาดเล็กกะทัดรัดทว่าตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์หลากหลายชิ้นซึ่งมีราคาเหยียบแสนขึ้นไปทั้งนั้น บรรยากาศในห้องเต็มเปี่ยมไปด้วยความอึมครึมและแสนจะมืดมน โคมไฟระย้าที่แสนจะหรูหรายังคงอยู่ในสภาพเดิมคือ ‘OFF’ กระทั่งหน้าต่างบานเดียวของห้องก็ยังถูกผ้าม่านสีทึบปิดเอาไว้ นัยน์ตาคมกริบของชายผู้อาศัยอยู่ในห้องแห่งนี้ทอดมองตรงไปข้างหน้าอย่างเหม่อลอย
...ในที่สุดก็ถึงเวลาที่เขารอคอยมานานแสนนาน...
... ‘เวลา’ ที่เขาต้องใช้เวลาเกือบครึ่งชีวิตในการเตรียมการ...
... ‘เวลา’ แห่งการล้างแค้น!...
ชายวัยกลางคนในชุดสูทสีดำสนิทแค่นเสียงหัวเราะออกมาอย่างน่าขนลุก ห่างจากเก้าอี้ตัวหรูไปไม่ไกลนัก ปรากฏร่างของบุคคลนับสิบคนที่ถูกจับมัดแขนขาปิดปากไว้อย่างดีนอนสลบไสลอยู่แทบเท้าของเขา นัยน์ตาคมกริบที่แสนจะเย็นชาตวัดไปมองร่างเหล่านั้นอย่างเหยียดๆ ก่อนที่เขาจะพึมพำกับตนเองเสียงเบา
“ถึง เวลา แล้ว...”
น้ำเสียงเย็นยะเยือกที่แสนจะน่าหวาดผวาเล็ดรอดออกมาจากปากของชายในชุดสูทสีดำ นัยน์ตาคมดุจเหยี่ยวค่อยๆ หรี่ลงอย่างช้าๆ
“สิบสามมรณะ รับคำสั่ง!”
เพียงประโยคเดียวที่เอื้อนเอ่ยอย่างแผ่วเบา ร่างของชายชุดดำสิบสามคนทว่ากลับมีรัศมีที่น่าเกรงขามมากกว่าชายชุดดำที่มาส่งข่าวในตอนแรกหลายเท่าตัวก็โผล่พ้นออกมาจากเงามืดในทันที ชายวัยกลางคนแค่นยิ้มด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะออกคำสั่งแก่ ‘สิบสามมรณะ’ ด้วยน้ำเสียงที่แสนจะเหี้ยมเกรียม
“จงไปยังที่ตั้งแคมป์ของเด็กพวกนั้น แล้วฆ่าทายาทตระกูล แฟทัล (Fatal) ทั้งสองคนทิ้งซะ!”
“ขอรับ!”
ชายในชุดดำทั้งสิบสามคนตอบรับอย่างพร้อมเพรียง ก่อนที่จะจางหายไปในความมืดอีกครั้งหนึ่ง
--Change! --
“ถึง...สัก...ที!”
ท่ามกลางบรรยากาศที่แสนจะเงียบเหงาของทะเลสีฟ้าครามและผืนนภาอันกว้างไกลที่เต็มไปด้วยปุยเมฆสีขาวแลดูนุ่มนวลลอยละล่องเคลื่อนที่อย่างแช่มช้า แต่บรรยากาศดีๆ ทั้งหมดนั้นก็ถูกทำลายเสียย่อยยับไปโดยเสียงตะโกนก้องของคาร์ผู้ปวดหลังเนื่องจากต้องทนนั่งรถทัวร์มาเป็นเวลานานนับห้าชั่วโมง
ฟรานและคิริวที่ยืนอยู่ใกล้ๆ รีบยกมือขึ้นมาอุดหูอย่างรวดเร็ว ในขณะที่มือทั้งสองข้างของรุ่นพี่ทั้งสามคนเต็มไปด้วยกระเป๋าเดินทางจึงไม่สามารถยกมือขึ้นมากันเอาไว้ได้ เสียงดังทะลุปรอทของคาร์จึงกระแทกเข้าหูไปแบบเต็มร้อย เล่นเอาเกือบจะล้มทั้งยืนกันไปเลยทีเดียว
หลังจากที่ยืนจับเจ่ากันอยู่นานสองนาน ในที่สุดคณะครูร่วมสิบกว่าคนที่มาร่วมการเข้าค่ายกระชับมิตรระหว่างพี่น้องมัธยมปลายด้วยกันก็เดินลงมาจากรถทัวร์อีกคันหนึ่งที่มีแต่คณะครูและข้าวของที่ใช้ในกิจกรรมของการเข้าค่ายครั้งนี้เท่านั้น ก่อนที่จะพากันบอกให้นักเรียนทั้งหมดถือกระเป๋าเดินทางของตนไว้แล้วไปยืนรวมกันตามกลุ่มที่ได้จัดไว้เมื่อวันก่อน
สักครู่หนึ่งต่อมา คณะครูทั้งหลายก็กระจายตัวไปรับแถวของกลุ่มแต่ละกลุ่มตามที่ได้ตกลงกันเอาไว้ และพากันหิ้วข้าวของพะรุงพะรังทั้งหลายไปทิ้งไว้ที่ลานแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ กับทะเล ตัวลานเป็นทรงกลมมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก รอบด้านประชิดกำแพงมีม้านั่งวางเรียงรายอยู่ตามรูปทรงของมัน ซึ่งคุณครูได้บอกไว้ว่าจะใช้ที่แห่งนี้เป็น ‘ห้องประชุม’ หรือก็คือที่สำหรับเล่นกิจกรรมต่างๆ ของพวกเขานั่นเอง
หลังจากที่สลัดข้าวของต่างๆ ออกจากตัวได้เป็นที่สำเร็จแล้ว ครูทั้งหมดก็พานักเรียนไปนั่งตรงสนามหญ้าข้างๆ ลานทรงกลม จัดเรียงเป็นแถวตอนลึกนั่งตามกลุ่ม จากนั้นจึงอธิบายตารางเวลาทั้งหมดที่จะทำในวันนี้และกฎ กติกา ต่างๆ ที่กำหนดไว้สำหรับการเข้าค่าย
พล่ามกันไปราวๆ สองชั่วโมงกว่า ในที่สุดคณะครูก็ปล่อยให้นักเรียนที่ทำท่าจะหลับอยู่รอมร่อไปเดินกินลมชมวิวตามสถานที่ต่างๆ แถวๆ นี้กันตามสบาย เมื่อถึงเวลาที่กำหนดไว้ถึงจะใช้นกหวีดเป็นสัญญาณเรียกให้มารวมกันอีกรอบหนึ่ง
“เฮ้อ...พูดซะยาวสุดท้ายก็มีใจความสำคัญอยู่แค่ว่าเล่นกิจกรรมอะไรตอนไหน กินข้าวตอนไหน ตั้งเต็นท์นอนตอนไหน แค่นั้นเอง!”
อีกห้าชีวิตพยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วยกับแบล็คที่นานๆ จะพูดเรื่องมีสาระขึ้นมากับเขาบ้างสักครั้งหนึ่ง
ทั้งหกคนจับกลุ่มลงไปนั่งจับเจ่าอยู่บนพื้นสนามหญ้าได้ราวๆ สามสิบนาที สัญญาณนกหวีดก็ดังขึ้น นักเรียนทั้งหมดต่างรีบวิ่งไปนั่งประจำที่เป็นกลุ่มๆ เหมือนเดิม กิจกรรมต่างๆ ถูกดำเนินไปอย่างราบรื่น มีทั้งความโชคดีได้อีกกับความซวยบรมตามแต่ดวงของแต่ละคนและตามชนิดของเกม
บรรยากาศเฮฮานั้นเป็นไปอย่างสนุกสนานโดยที่ไม่มีใครล่วงรู้ถึงชายในชุดดำร่วมสิบสามคนที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดเลยแม้แต่น้อย
ทว่า ชายชุดดำทั้งสิบสามคนในนาม ‘สิบสามมรณะ’ กลับนิ่งเฉย ไร้ซึ่งการกระทำในเชิงปองร้ายใดๆ ทั้งสิ้น พวกเขาเพียงแต่ซุ่มเฝ้าสังเกตสถานการณ์อย่างเงียบสงบเท่านั้น
...แต่ใครจะไปรู้ว่าพวกเขาจะคิด ลงมือ ตามแผนการกันเมื่อไร...
To Be Continue
(หลังจากอ่านทวนผ่านๆ เสร็จแล้ว) ยังไงๆมันก็ดูเรียบๆ อยู่ดีอ่าค่ะ TT^TT ตอนนี้ไม่มีอารมณ์แต่งฟิคอย่างรุนแรง แต่กลัวว่าคนอ่านจะรอเก้อจึงดันทุรังแต่งไปแบบเก้ๆ กังๆ หากมันจืดชืดเกินไปก็ขออภัยด้วยนะคะ >~<
29/เม.ย./53 อัพ
4/มี.ค./55 Re-write
ความคิดเห็น