ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Change! เปลี่ยนพี่ชายมาเป็นคนรัก (Yaoi)

    ลำดับตอนที่ #33 : Chapter 29 : CAMP (2)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.52K
      0
      4 มี.ค. 55


    Chapter 29 -- Camp
    (2 )--

     

     

     

    โครม!

     

    คราม!

     

    ตุบ!

     

    ผลัวะ?!

     

    คฤหาสน์หลังใหญ่ที่เคยเงียบสงบมาโดยตลอด บัดนี้กลับดังสนั่นหวั่นไหวไปด้วยเสียงอึกทึกครึกโครมที่ยิ่งฟังก็ยิ่งน่าฉงนสงสัยว่าไอ้คนบ้านนี้มันกำลังทำอะไรอยู่

     

    แต่ใครจะไปรู้ดีเท่าคนในบ้าน ซึ่งเวลานี้กำลังยืนเหงื่อตกมองดูลูกชายคนเล็กของบ้านที่มองจากหน้าตาแล้วไม่รู้ว่าเป็นเพศชายหรือเพศหญิงกันแน่เก็บข้าวของยัดใส่กระเป๋าเดินทาง เตรียมตัวสำหรับการไปเข้าค่ายสามวันสองคืนที่จะเริ่มออกเดินทางในวันพรุ่งนี้ โดยที่ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกคันปากอยากเข้าไปถามเหลือเกินว่าจะไปเข้าค่ายหรือย้ายบ้านกันแน่

     

    ฟราน ลูกไม่ต้องเอาข้าวของไปเยอะขนาดนั้นก็ได้จ้ะ

     

    คุณนายหญิงแห่งตระกูลที่ร่ำรวยได้อีกนี้ซึ่งเป็นมารดาของสองพี่น้องผู้หน้าตาดีสุดกู่พูดด้วยน้ำเสียงละเหี่ยใจขึ้นมาในที่สุดหลังจากทนยืนมองมานาน

     

    ร่างเล็กๆ ที่แทบจะเข้าไปมุดอยู่ในกองข้าวของที่สุมกันเป็นกองเบอเริ่มโผล่ศีรษะที่ปกคลุมไปด้วยเรือนผมสีเพลิงขึ้นมา ก่อนที่นัยน์ตากลมโตจะจ้องแป๋วไปที่ผู้เป็นมารดาอย่างชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเมินหน้าตาเฉยมุดกลับไปรื้อข้าวของต่อดังเดิม

     

    การกระทำนั้นเล่นเอาคุณหญิงผู้สูงศักดิ์ต้องยกมือขึ้นมากุมขมับด้วยความอนาถจิตอย่างสุดซึ้ง ยิ่งดูก็ยิ่งชวนให้จิตใจห่อเหี่ยว หล่อนจึงรีบควงแขนสามีซึ่งแม้ว่าจะอายุปาไปเกือบเข้าเลขสี่แล้วแต่ก็ยังคงดูภูมิฐานและหล่อเหลาอยู่เหมือนเดิมพลางออกปากชักชวนให้ไปจัดการเอกสารกองโตในห้องทำงานต่อ คุณพ่อผู้แสนดีเจ้าของธุรกิจพันล้านไม่รอช้า รีบตบปากรับคำควงแขนภรรยาสุดที่รักเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

     

    ...ทิ้งไว้เพียงร่างของฟิวส์ผู้มีหน้าตาถอดแบบมาจากบิดาทุกประการให้ยืนเหงื่อตกมองภาพการรื้อข้าวของเบื้องหน้าต่อไปอย่างยากจะหาจุดสิ้นสุด

     

     

    --Change! --

     

     

    ฟิวส์ สุดที่รักแกจะเข้าค่ายหรือย้ายบ้านกันแน่เนี่ย?”

     

    เสียงเหน็บแหนมซึ่งมักจะมาเร็วกว่าเจ้าตัวดังแว่วมาให้ได้ยินแต่ไกล ไม่ต้องเดาให้เสียเวลาก็รู้ได้ในทันทีว่าบุคคลผู้นั้นคือใคร ฟิวส์หันใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยร่องรอยแห่งความละเหี่ยใจไปหาเพื่อนของตนอย่างรวดเร็ว

     

    ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกันนั่นแหละ

     

    ว่าพลางสมานสามัคคีส่งสายตาไปส่องขนาดกระเป๋าของฟรานอีกรอบหนึ่ง ซึ่งบัดนี้เจ้าของกระเป๋ากำลังยืนสนทนากับคาร์และคิริวอยู่อย่างสนุกสนาน

     

    กระเป๋าของอีกสองคนที่เหลือก็มีขนาดใหญ่ทัดเทียมกับของฟราน แต่ก็ยังเป็นรองกระเป๋าของคนตัวเล็กที่ไม่เจียมตัวว่าจะหิ้วกระเป๋าที่ใหญ่กว่าตัวได้หรือไม่อยู่ดี

     

    และที่สามารถแบกมาได้ตลอดรอดฝั่งจะเป็นเพราะอะไรไปได้ถ้าไม่ใช่เพราะมีสารถีไปรับมาถึงที่...

     

    ไม่นานนักคุณครูระดับชั้นมัธยมปลายทั้งหลายก็แข่งกันตะเบ็งเสียงร้องเรียกให้นักเรียนแต่ล่ะชั้นไปเข้าแถวเป็นห้องๆ ให้เรียบร้อย คนน่ารักทั้งสามประจำมัธยมปลายปีที่ห้าเดินตัวปลิวนำไปก่อน ในขณะที่ชายหนุ่มทั้งสามคนแบกกระเป๋าเดินตามต้อยๆ เหนื่อยเสียจนแทบจะเป็นลม

     

    รุ่นพี่ทั้งสามขอลาตาย ณ จุดนี้

     

     

    --Change! --

     

     

    ภายในห้องขนาดเล็กกะทัดรัดทว่าตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์หลากหลายชิ้นซึ่งมีราคาเหยียบแสนขึ้นไปทั้งนั้น บรรยากาศในห้องเต็มเปี่ยมไปด้วยความอึมครึมและแสนจะมืดมน โคมไฟระย้าที่แสนจะหรูหรายังคงอยู่ในสภาพเดิมคือ ‘OFF’ กระทั่งหน้าต่างบานเดียวของห้องก็ยังถูกผ้าม่านสีทึบปิดเอาไว้ นัยน์ตาคมกริบของชายผู้อาศัยอยู่ในห้องแห่งนี้ทอดมองตรงไปข้างหน้าอย่างเหม่อลอย

     

    ...ในที่สุดก็ถึงเวลาที่เขารอคอยมานานแสนนาน...

     

    ...เวลาที่เขาต้องใช้เวลาเกือบครึ่งชีวิตในการเตรียมการ...

     

    ...เวลาแห่งการล้างแค้น!...

     

    ชายวัยกลางคนในชุดสูทสีดำสนิทแค่นเสียงหัวเราะออกมาอย่างน่าขนลุก ห่างจากเก้าอี้ตัวหรูไปไม่ไกลนัก ปรากฏร่างของบุคคลนับสิบคนที่ถูกจับมัดแขนขาปิดปากไว้อย่างดีนอนสลบไสลอยู่แทบเท้าของเขา นัยน์ตาคมกริบที่แสนจะเย็นชาตวัดไปมองร่างเหล่านั้นอย่างเหยียดๆ ก่อนที่เขาจะพึมพำกับตนเองเสียงเบา

     

    ถึง เวลา แล้ว...

     

    น้ำเสียงเย็นยะเยือกที่แสนจะน่าหวาดผวาเล็ดรอดออกมาจากปากของชายในชุดสูทสีดำ นัยน์ตาคมดุจเหยี่ยวค่อยๆ หรี่ลงอย่างช้าๆ

     

    สิบสามมรณะ รับคำสั่ง!”

     

    เพียงประโยคเดียวที่เอื้อนเอ่ยอย่างแผ่วเบา ร่างของชายชุดดำสิบสามคนทว่ากลับมีรัศมีที่น่าเกรงขามมากกว่าชายชุดดำที่มาส่งข่าวในตอนแรกหลายเท่าตัวก็โผล่พ้นออกมาจากเงามืดในทันที ชายวัยกลางคนแค่นยิ้มด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะออกคำสั่งแก่ สิบสามมรณะด้วยน้ำเสียงที่แสนจะเหี้ยมเกรียม

     

    จงไปยังที่ตั้งแคมป์ของเด็กพวกนั้น แล้วฆ่าทายาทตระกูล แฟทัล (Fatal) ทั้งสองคนทิ้งซะ!”

     

    ขอรับ!”

     

    ชายในชุดดำทั้งสิบสามคนตอบรับอย่างพร้อมเพรียง ก่อนที่จะจางหายไปในความมืดอีกครั้งหนึ่ง

     

     

    --Change! --

     

     

    ถึง...สัก...ที!”

     

    ท่ามกลางบรรยากาศที่แสนจะเงียบเหงาของทะเลสีฟ้าครามและผืนนภาอันกว้างไกลที่เต็มไปด้วยปุยเมฆสีขาวแลดูนุ่มนวลลอยละล่องเคลื่อนที่อย่างแช่มช้า แต่บรรยากาศดีๆ ทั้งหมดนั้นก็ถูกทำลายเสียย่อยยับไปโดยเสียงตะโกนก้องของคาร์ผู้ปวดหลังเนื่องจากต้องทนนั่งรถทัวร์มาเป็นเวลานานนับห้าชั่วโมง

     

    ฟรานและคิริวที่ยืนอยู่ใกล้ๆ รีบยกมือขึ้นมาอุดหูอย่างรวดเร็ว ในขณะที่มือทั้งสองข้างของรุ่นพี่ทั้งสามคนเต็มไปด้วยกระเป๋าเดินทางจึงไม่สามารถยกมือขึ้นมากันเอาไว้ได้ เสียงดังทะลุปรอทของคาร์จึงกระแทกเข้าหูไปแบบเต็มร้อย เล่นเอาเกือบจะล้มทั้งยืนกันไปเลยทีเดียว

     

    หลังจากที่ยืนจับเจ่ากันอยู่นานสองนาน ในที่สุดคณะครูร่วมสิบกว่าคนที่มาร่วมการเข้าค่ายกระชับมิตรระหว่างพี่น้องมัธยมปลายด้วยกันก็เดินลงมาจากรถทัวร์อีกคันหนึ่งที่มีแต่คณะครูและข้าวของที่ใช้ในกิจกรรมของการเข้าค่ายครั้งนี้เท่านั้น ก่อนที่จะพากันบอกให้นักเรียนทั้งหมดถือกระเป๋าเดินทางของตนไว้แล้วไปยืนรวมกันตามกลุ่มที่ได้จัดไว้เมื่อวันก่อน

     

    สักครู่หนึ่งต่อมา คณะครูทั้งหลายก็กระจายตัวไปรับแถวของกลุ่มแต่ละกลุ่มตามที่ได้ตกลงกันเอาไว้ และพากันหิ้วข้าวของพะรุงพะรังทั้งหลายไปทิ้งไว้ที่ลานแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ กับทะเล ตัวลานเป็นทรงกลมมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก รอบด้านประชิดกำแพงมีม้านั่งวางเรียงรายอยู่ตามรูปทรงของมัน ซึ่งคุณครูได้บอกไว้ว่าจะใช้ที่แห่งนี้เป็น ห้องประชุมหรือก็คือที่สำหรับเล่นกิจกรรมต่างๆ ของพวกเขานั่นเอง

     

    หลังจากที่สลัดข้าวของต่างๆ ออกจากตัวได้เป็นที่สำเร็จแล้ว ครูทั้งหมดก็พานักเรียนไปนั่งตรงสนามหญ้าข้างๆ ลานทรงกลม จัดเรียงเป็นแถวตอนลึกนั่งตามกลุ่ม จากนั้นจึงอธิบายตารางเวลาทั้งหมดที่จะทำในวันนี้และกฎ กติกา ต่างๆ ที่กำหนดไว้สำหรับการเข้าค่าย

     

    พล่ามกันไปราวๆ สองชั่วโมงกว่า ในที่สุดคณะครูก็ปล่อยให้นักเรียนที่ทำท่าจะหลับอยู่รอมร่อไปเดินกินลมชมวิวตามสถานที่ต่างๆ แถวๆ นี้กันตามสบาย เมื่อถึงเวลาที่กำหนดไว้ถึงจะใช้นกหวีดเป็นสัญญาณเรียกให้มารวมกันอีกรอบหนึ่ง

     

    เฮ้อ...พูดซะยาวสุดท้ายก็มีใจความสำคัญอยู่แค่ว่าเล่นกิจกรรมอะไรตอนไหน กินข้าวตอนไหน ตั้งเต็นท์นอนตอนไหน แค่นั้นเอง!”

     

    อีกห้าชีวิตพยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วยกับแบล็คที่นานๆ จะพูดเรื่องมีสาระขึ้นมากับเขาบ้างสักครั้งหนึ่ง

     

    ทั้งหกคนจับกลุ่มลงไปนั่งจับเจ่าอยู่บนพื้นสนามหญ้าได้ราวๆ สามสิบนาที สัญญาณนกหวีดก็ดังขึ้น นักเรียนทั้งหมดต่างรีบวิ่งไปนั่งประจำที่เป็นกลุ่มๆ เหมือนเดิม กิจกรรมต่างๆ ถูกดำเนินไปอย่างราบรื่น มีทั้งความโชคดีได้อีกกับความซวยบรมตามแต่ดวงของแต่ละคนและตามชนิดของเกม

     

    บรรยากาศเฮฮานั้นเป็นไปอย่างสนุกสนานโดยที่ไม่มีใครล่วงรู้ถึงชายในชุดดำร่วมสิบสามคนที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดเลยแม้แต่น้อย

     

    ทว่า ชายชุดดำทั้งสิบสามคนในนาม สิบสามมรณะกลับนิ่งเฉย ไร้ซึ่งการกระทำในเชิงปองร้ายใดๆ ทั้งสิ้น พวกเขาเพียงแต่ซุ่มเฝ้าสังเกตสถานการณ์อย่างเงียบสงบเท่านั้น

     

    ...แต่ใครจะไปรู้ว่าพวกเขาจะคิด ลงมือ ตามแผนการกันเมื่อไร...

     

    To Be Continue

     

     

    (หลังจากอ่านทวนผ่านๆ เสร็จแล้ว) ยังไงๆมันก็ดูเรียบๆ อยู่ดีอ่าค่ะ TT^TT ตอนนี้ไม่มีอารมณ์แต่งฟิคอย่างรุนแรง แต่กลัวว่าคนอ่านจะรอเก้อจึงดันทุรังแต่งไปแบบเก้ๆ กังๆ หากมันจืดชืดเกินไปก็ขออภัยด้วยนะคะ >~<

     

    29/เม.ย./53 อัพ

    4/มี.ค./55 Re-write



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×