ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    No Limit คู่หูต่างขั่ว รั่วกำลังสอง

    ลำดับตอนที่ #29 : บทที่สิบสาม อีกครั้ง...และอีกครั้ง[100%]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 178
      0
      30 ส.ค. 56

     

    บทที่สิบสาม

    อีกครั้ง...และอีกครั้ง

                    ร่างของท่านพี่ยังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียงในห้องพักห้องใหม่แม้จะเป็นเวลารุ่งสร่างของวันใหม่แล้วก็ตาม ใบหน้าที่ซีดเซียวในทีแรกเริ่มขึ้นสีมาบ้างเล็กน้อยจากการช่วยเหลือของเรย์ ฝั่งนั้นเองก็หลับไปแล้วด้วยอาการอ่อนเพลีย ส่วนอีกสองคนที่เหลือก็ออกไปข้างนอกเพื่อหาซื้อยาและสมุนไพร แปลว่าในตอนนี้มีเพียงข้าคนเดียวที่ยังมีสติอยู่

                    ข้ายกมือขึ้นจับแหวนทียังห้อยอยู่บนสร้อยที่ชำรุอยู่อย่างใจลอย สมองพลันคิดถึงนัยน์ตาคู่นั้นที่ได้พบเมื่อคืน ภาวนาให้ตัวข้าคิดไปเองคนเดียวที่เถอะว่ามันใช่...อลาวจะมาทำร้ายท่านพี่ทำไม เขาไม่มีวันทำอย่างนั้นแน่ๆ ถ้าเขายังเป็นเขาอยู่

    “ถ้าพบกันคราวหน้า อย่าเข้าใกล้ข้าฟราน...ขอร้อง ข้าไม่อยากทำร้ายเจ้า”

                    นี่น่ะหรือสาเหตุที่เจ้าเอ่ยเตือนข้าแบบนั้นอลาว เจ้ารู้งั้นเหรอว่าเจ้าจะทำอะไรลงไป?

    “ฟราน...”

                    เสียงแหบพล่าเรียกให้ข้าฟื้นกลับมาจากวังวนความคิด ท่านพี่ค่อยๆประคองตัวเองขึ้นมาอย่างยากลำบาก นัยน์ตาสีฟ้าทอดมองข้าอย่างเป็นห่วง...ในเวลานี้ท่านควรจะห่วงตัวเองมากกว่าไม่ใช่หรือไร?

    “เจ้ารู้สึกใช่ไหม?”

                    ข้าชะงักก่อนเบนหน้าหนีไม่ตอบคำถามท่านพี่ ฝ่ามือที่ติดเย็นเล็กน้อยแตะลงบนหลังมือของข้าเหมือนจะบอกเป็นนัยๆว่าท่านพี่เองก็รู้ว่าใครคือคนที่ทำร้ายเขา

    “ถึงจะเป็นอลาวแต่นั่นก็ไม่ใช่อลาว”

                    อาเร๊ะ??? นี่ท่านพูดอะไรของท่านอีกเนี่ย ปรัชญาชีวิตที่เข้าใจยากหรือไง?

    “เจ้ารู้ใช่ไหมว่าอลาวดี้ไม่มีทางทำอะไรแบบนี้ ไม่ว่ากับข้าหรือกับใคร”

                    ข้าพยักหน้ารับ ท่านพี่ผ่อนลมหายใจด้วยใบหน้าเรียบเฉยเหมือนเคย ก่อนท่านจะถอนฝ่ามือนั่นออกจากหลังมือข้าแล้วนำมันไปประสานไว้กับมืออีกข้างของตัวเอง

    “ตอนที่หลับ ข้ากลับไปหาท่านพ่อมาและเจอกับท่านปู่”

    “หา??”

                    ข้าร้องเสียงหลง ใบหน้านั้นเบนกลับมาหาข้าอีกครั้งพลางพยักหน้าบอกว่าข้าเองไม่ได้หูฝาดไปที่ได้ยินเขาพูดแบบนั้น

    “ข้ากลับไปบอกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นที่นี่กับท่านพ่อมาด้วยร่างจิต...ในความฝันของท่านน่ะ ท่านพ่อเองก็ดูวิตกไม่น้อยตอนข้าเล่า...แล้วจู่ๆท่านปู่ก็โพล่เข้ามา พร้อมกับการบ่นไร้สาระที่ข้าพอจะจับใจความได้ว่าเหตุการณ์ต่างๆมันเกี่ยวเนื่องกีบเรื่องของเจ้าในอดีตกาลและคนที่พอจะรู้อะไรๆก็คือท่านปู่อลังซ์”

    “เรื่องนั้นข้ารู้แล้ว”

    “????”

                    ข้ายกมือขึ้นเสยผมด้วยเองอย่างอธิบายไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะบอกกับท่านพี่ยังไงดีเรื่องนี้ ทั้งๆที่ตัวเองก็รู้มาโดยตลอดว่าอะไรเป็นอะไรแต่กลับไม่บอกใครสักคน...นั่นสิทำไมข้าไม่บอก

    “ข้าฝันถึงอดีตช่วงที่เป็นบลังซ์มาพักหนึ่งแล้วตั้งแต่มาถึงที่นี่ แล้วจิตวิญญาณในแหวนนี่ก็บอกกับข้าว่าเรื่องราวทั้งหมดมันเชื่อมโยงกับการกระทำให้อดีตของข้าและคนที่รู้อะไรๆมันก็คือ...ท่านปู่อลังซ์นั่นแหละ ข้าขอโทษท่านพี่ที่ข้าไม่ทันบอก เพราะมันโน่นนี่นั่น ท่านก็อย่าทำหน้าแบบนั้นสิขอรับ”

                    ท่านพี่หรี่นัยน์ตาลงเหมือนกึ่งๆจะพิจารณาอะไรบางอย่าง ก่อนจะร้องเหอะออกมาอย่างไม่มีเสียง

    “หมายความว่าที่เจ้าต้องออกมาวิ่งตามอลาวแบบนี้เพราะชาติที่แล้ว”

    “ก็ประมาณนั้น...ตอนที่อลาวยังเป็นนัวร์ และข้ายังเป็นบลังซ์ เหมือนัวร์จะวิ่งตามข้าด้วยเหตุผลบางอย่างและอยากได้บางสิ่ง ซึ่งตอนนี้ข้าเองก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าไอ้ที่นัวร์ต้องการมันคืออะไร”

    “มิตรภาพ”

    “หา?”

    “ที่นัวร์ต้องการจากบลังซ์มีเพียงมิตรภาพ นัวร์ต้องการมิตรภาพจากบลังซ์ที่ไม่ได้เคยรู้จักมัน ดังนั้นเขาจึงมอบมิตรภาพนั้นให้แก่บลังซ์ก่อนโดนทที่บลังซ์ไม่ทันรู้สึกตัว แล้วมิตรภาพนั้นก็ก่อเป็นความผูกพันธ์โดนที่บลังซ์ไม่รู้ตัว มารู้ตัวเอาก็ตอนสงครามใกล้เริ่ม...ตอนที่นัวร์หายตัวไปและไปเข้าฝั่งกับฝั่งนรก ในตอนนั้นบลังซ์คิดว่าตนเองถูกนัวร์ทรยศและความคิดแบบนั้นทำให้บลังซ์รู้ตัวว่าตนเองได้มิตรภาพมาจากบลังซ์ จารึกกล่าวเอาไว้แบบนั้น”

                    ข้าเลิกคิ้วสูงไม่เข้าใจที่ท่านพี่พูดสักนิด มารู้ตัวตอนที่นัวร์อยู่ฝ่ายนั้น?? มาเห็นค่าตอนหายไปงั้นหรือ??

    “เจ้ารู้ไหมข้อจำกัดของคำว่าทรยศคืออะไร?”

    “ขอพรรค์นั้นมันมีด้วยหรือ?”

                    ท่านพี่คลี่ยิ้มอบอุ่นอย่างที่ข้าแทบจะนับจำนวนที่เห็นได้ออกมา

    “ข้าจำกัดของคำว่าทรยศคือมันไม่เคยมาจากศัตตรู”

                    โอ้ว...ลึกซึ้ง ตอนนี้ข้าเข้าใจแจ่มแจ้งเลยที่เดียว ที่บลังซ์รู้ตัวว่าได้รับมิตรภาพจากนัวร์และนัวร์ได้รับมิตรภาพจากเขาเพราะรู้สึกถึงคำว่าทรยศสินะ

    “แต่นัวร์ไม่ได้ทรยศบลังซ์นะท่านพี่...เขาโดนบังคับด้วยจากทางนรกและทางเรา”

    “ทางเรา??”

                    ข้าพยักหน้ารับเพื่อยืนยันว่าข้าพูดจริงไม่ได้มีผิดเพี้ยน

    “ตระกูลของนัวร์เคยเป็นเทวทูตของสวรรค์”

                    ข้าหันไปมองเจ้าของเสียงที่แย่งบทข้าไป ร่างสง่าเดินช้าๆอย่างเหนื่อยอ่อนมาทางข้าและท่านพี่

    “เรย์...เจ้าหายดีแล้วงั้นหรือ?”

                    ท่านพี่ทักคนที่แทรกเข้ามากลางบทสนทนาของพวกเราสองพี่น้อง

    “ก็ไม่ได้หายดีอะไรหรอก แต่ไม่รู้ว่าตัวอะไรมันมาคุยเงาะแงะๆอยู่ข้าก็เลยนอนไม่หลับ โปรดท่านเข้าใจ”ว่าจบมันก็โคงตัวคำนับซะสวยก่อนจะเดินมานั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียงอีกฝั่ง

    “ดูหน้าตาแล้วคงยังไม่รู้กันสินะขอรับ เรื่องที่นัวร์เป็นทายาทของอดีตเทวทูตสวรรค์”

    “เรื่องพรรค์นั้นจะไปรู้ได้ยังไงกันเล่า ที่ข้ารู้ก็มีเพียงเรื่องที่ครอบครัวของนัวร์โดนไล่ลงมาจากสวรรค์ก็เท่านั้นเอง จากแหวนนี่"

                    ก๊อกๆๆๆๆ

                    เสียงเคาะประตูรัวขัดจังหวะพวกข้าที่กำลังเครียดๆ ข้าหันไปมองทางประตูห้องท่านพี่เหมือนว่ามันจะมองทะลุไปเห็นประตูหน้าห้องที่ได้อย่างนั้นแหละ

    “เดี๋ยวข้าไปเปิดเอง ไม่อยากรบกวนคนเจ็บ”

                    ข้ารับอาสาติดแนวบ่นเล็กน้อยก่อนจะเดินเฉื่อยๆไปทางประตู แน่นอนว่าคนที่มาเคาะต้องไม่ใช่ซีโร่หรือเดม่อนแน่ๆ เป็นพวกนั้นจะเข้ามาโดยไม่เคาะเลยเพราะพวกเขามีกุญแจและที่สำคัญกว่า...ประตูมันไม่ได้ล๊อก

    “หื้อ???”

                    ข้างร้องเสียงสูงในลำคอเมื่อเปิดมาพบพนักงานหนุ่มรูปร่างหน้าตาดียืนยิ้มแป้นอยู่หน้าห้อง เฮ้ๆ พวกข้าเป็นผู้ชายนะ ถ้าจะส่งปีศาจมาบริการเพื่อเอาใจเรื่องเมื่อวานก็ขอสาวๆ สวยๆ อกบึ้มๆเหอะน่า มาแบบนี้เทวดามันเซ็งจิตนะเฮ้ย

    “ท่านฟรานสินะขอรับ”

    “อือ มีอะไรงั้นหรอ?”

                    มันยังคงยิ้มเผล่จนหน้าเอารองเท้ายัดหน้าเสียนี่ประไร คนมันหมั่นไส้คนหล่อนี่หว่า

    “ข้ามีของขวัญมาให้ขอรับ”

    “ขอขวัญ???”

    “ขอรับ”

                    มันนิ่ง ข้านิ่ง....

    “เฮ้ย!!!!!

                    ข้าร้องเสียงหลงกระโดดตีลังกากลับหลังมาสามตลบเข้าไปในห้องเมื่อจู่ๆร่างนั้นก็ซัดดาบแสงเข้าใส่เฉย ข้าย่อตัวลงก่อนจะพุ่งเข้าใส่ ถึงจะยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรแต่ขอสู้ไว้ก่อนเหอะ!! ข้าง้างหมัดเล็งเข้าที่ใบหน้าที่น่าหมั่นไส้นั่น(แค้นส่วนตัว)แต่มันกลับรับได้ทุกหมัด ก่อนจะเป็นฝ่ายข้าเองที่โดนต่อยที่ท้องซะตัวงอ นัยน์ตาสีแดงโรจน์หรี่มองที่ข้าอย่างหยันๆก่อนมันจะล้วงบึกกระดาษอะไรสักอย่างในเสื้อออกมา

    “อืม...ฟรานงั้นหรอ ค่าหัวร้อยล้าน...อุบ๊ะ ฝีมือแค่นี้ท่านเมลลาเวียร์ตั้งค่าหัวซะสูงเชียวนะ ก็ดีเหมือนกัน เคี้ยวง่ายๆ ย่อยคล่องๆ ดูเหมือนจะมีอีกสองตัวอยู่ในนี้สินะ...เรย์สี่สิบล้านกับเฟรนด์แปดสิบล้าน...จะเยอะไปไหน แค่ตัวร้อยล้านนี่ก็ อุ๊ก!!!

    “อย่ามาบังอาจ...เรียกชื่อพี่ข้าห้วนๆ...จะโดนไม่ใช่น้อย”

                    หมัดแกร่งๆของข้าสวนเข้าที่ท้องของมันขณะที่มันกำลังร่ายความคิดไร้สาระนั่น มันไอแค่กๆสามสี่ทีก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาแล้วต้องเบิกตาโพลงเมื่อไม่เห็นข้าอยู่ตรงนั้น

    “เจ้าน่ะ...รู้จักเทพแห่งความตายของมนุษย์หรือเปล่าล่ะ?”

                    ได้ผล...มันเงยหน้าขึ้นมองข้าที่ลอยอยู่เหนือหัวของมันอย่างฉับพลัน ดวงตาสีแดงสดดูสั่นระริกขึ้นมาทันที เมื่อไอ้ตัวเคี้ยวง่ายๆย่อยคล่องๆของมันอย่างข้า ดูท่าว่าจะเคี้ยวไม่ง่ายย่อยไม่คล่องเท่าไหร่ ข้าเรียกสามง่ามสุดที่รักที่ห่างหายจากการจับมันมานานออกมา แสงสีขาวทอเต็มห้องเรียกให้พวกท่านพี่ออกมาดู

    “เรย์...เจ้าพาท่านพี่หนีออกจากที่นี่ก่อน แล้วหาทางติดต่อกับพวกเดม่อนให้หาที่หลบด้วย ข้ากลัวว่าที่นี่คงไม่ปลอดภัยกับพวกเราอีกต่อไป”ว่าจบข้าก็โยนบึก”ใบค่าหัว”ที่ฉกได้มาจากเจ้างั่งเมื่อครู่มาให้กับเรย์ มันก้มเก็บขึ้นมาดูพักเดียวเมื่อครบทุกใบมันก็เผยยิ้มให้กับใบปลิวนั่นด้วยรอยยิ้มสยองๆ เอาเลยๆช่วยพูดคำพูดแรงๆสักทีให้เจ็บกระดองใจหน่อยสิ

    “ทำไมรูปข้ามันถึงได้ขี้เหร่แบบนี้นะ”

    “.......”

                    โบ๊ก!!!

                    โฮมรัน!!!!

    “เจ้าบ้า  นี่มันใช่เวลามาห่วงรูปตัวเองไหมเนี่ยห๊ะ??? ถ้ามีเวลาว่างมากพอจะพิจารณาก็ช่วยพาท่านพี่หนีไปทีเถอะ”ข้าบ่นอย่างเหนื่อยจิต ไอ้ปลาไหลเรืองแสงนี่

    “ฟราน....”

                    ข้างเบี่ยงสายตามาจากศัตตรูตรงหน้าที่ดูจะหลงใหลรูปกายสองคนนั้นอยู่มาหาท่านพี่

    “ข้าว่ารูปในใบประกาศจับนี่มันก็ถูกแล้วนะ...”

    “ท่านก็ด้วย ถ้ามีเวลามากพอจะพิจารณาว่าควรไม่ควรท่านช่วยหนีไปทีเถอะน่า”ข้ายกมือขึ้นลูบใบหน้าตัวเองอย่างเซ็งตก อะไรของคนพวกนี้กัน ป่วนจิตข้าตลอดสิน่า

    “ท่านฟราน....”

    “อะไรอีก??”ข้าเปิดมือที่ยกปิดหน้าขึ้นเพื่อเหล่มองคนเรียก

    “ท่านไม่รู้สึกหรอว่าตัวท่านใจเย็นลง...หรืออีกนัยท่านกลับมาใจเย็นเหมือนเดิม ไม่รู้สึก...ถึงอะไรที่เปลี่ยนไปบ้างหรอ?”

                    ข้าเลิกคิ้วอ่างไม่เข้าใจในสิ่งที่สิญญาณศักดิ์สิทธิ์พูดก่อนจะส่ายหัวประมาณว่าไม่รู้ดิให้มันไป ร่างนั้นถอนหายใจก่อนจะฉุดมือท่านพี่ออกข้างนอกไปโดนพุ่งชนกระจกหน้าต่างไป...อะไรจะบ้าดีเดือดขนาดนั้น... และเหมือนเสียงกระจกจะเรียกให้สติของเจ้านักล่าค่าหัวกลับคืนมา มันหันมามองข้าคงงงๆก่อนจะชักมีดดาบออกจากเอว

    “เข้ามาเลย!!!

    “ไม่ ข้าให้เกียตริเจ้าเริ่มก่อน

                    เหมือนมารยาทของข้าจะไปกระตุกเส้นประสานของมัน ใบหน้าหล่อๆดูดีนั่นกระตุกยิกๆๆ เห็นแล้วจี้เส้นดีชะมัด มันพุ่งเข้ามาหมายจะปักเศษเหล็กที่อยู่ในมือไว้ที่ท้องข้าห๊ะ???อะไรนะมีคนตะโกนบอกว่านั่นคือมีดงั้นเหรอ? จะอะไรก็ช่าง แต่เสียใจเมื่อชั่วโมงบินมันต่างกัน...มือสมัครเล่นอย่าคิดมาเทียบชั้นกับมืออาชีพ

                    กร๊อบ!

    “อ๊ากกกกกกกกกกกกกก”

                    เสียงแหกปากร้องลั่นห้อง เมื่อข้าเอี้ยวตัวหลบพร้อมทั้งจับ หัก แล้วบิดแขนนั้น มีดในมือล่วงตุบ เฉี่ยวปลายเท้าข้าไปนิดเดียว...ตายๆๆๆ ถ้ามันปักโดนเท้าข้า ข้าเองคงเสียชื่อแย่ สู่กับปีศาจได้อย่างทัดเทียมไม่เปื้อนแม้แต่ฝุ่นแต่กลับได้แผลจากมีดที่คู่ต่อสู้ทำหล่น ทุเรศหูชะมัด= =

    “ปีศาจผู้โง่เขลาเอ๋ย...รู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังต่อกรกับผู้ใด?”

    “นักโทษชั้นต่ำ”

                    ฆ่าแม่มเลยดีไหม.....

    “หึ ช่างโง่เขลานักปีศาจเอ๋ย พระเจ้า(พ่อข้า)กล่วเอาไว้ ผู้ที่ไม่รู้ถึงสิ่งที่ตนกำลังเผชิญจะไม่มีวันชนะในสิ่งที่กำลังเผชิญ ขอนรกจงคุ้มครองเจ้า อาเมน”

    “มัวแต่พูดพล่ามอะไรอยู่ได้! เจ้าเป็นบาทหลวงตกกระป๋องหรือไงกัน! ว่ะฮ่า อุ่ว่ะฮ่าๆๆๆๆๆ”

                    บาทหลวงลัทธิไหนขอให้นรกคุ้มครองเจ้ากัน?? ดูท่าจะโง่เกินเยียวยาควรบูรณะสมองใหม่...ไม่สิ บูรณะทั้งตัวเลยก็แล้วกัน

    “ก็เกือบใช่ล่ะนะ ข้าเกือบจะเหมือนบาทหลวงเพียงแต่ข้าสูงกว่านั้นนิด....”

                    ข้าหายตัวมาด้านหลังของมันอย่างว่องไวดุจสายลม มันชะงักค้างหยุดเสียงหัวเราะเน่าๆลงไปเสียฉับพลัน

    “ผิดแต่ข้า...เป็นเทวบุตรแห่งความตาย”

                    ร่ายบทเท่ห์ๆจบข้าก็เสียบสามง่ามเข้ากับท้องของมันดังฉึก ใครว่าเทวดาฆ่าสิ่งมีชีวิตไม่ได้ เว้นข้าไว้คนหนึ่งล่ะ เพราะข้าเป็นเทพแห่งความตายนี่อีกทั้งยังเป็น...รองหัวหน้าหน่วยยมทูตที่หนึ่งในการปกครองของเจ้าชายอลาวอีก...ข้ามีสิทธิ์ ร่างนั้นถูกข้าสลัดออกจากสามง่ามไปชนหน้าต่างและทะลุกระจกลงด้านล่าง...คล้องจองแหะ ข้าชะโงกหน้าออกไปดูอย่างไม่กลัวใครรู้ว่านั่นเป็นฝีมือข้าเพราะยังไงก็มีชื่อในใบประกาศจับอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องกลัว ร่างนั้นตะเกียดตะกายร้องขอความช่วยเหลือกับปีศาจต่างๆที่ผ่านไปมา ข้านึกแล้วว่าแค่นั้นมันต้องไม่เป็นอะไร

    “หยุดอย่าขยับ!! เจ้าถูกจับในข้อหาทำร้ายร่างกายนักล่าฆ่าหัวของทางการ!!!

    “หื้ม?”ข้าร้องคางในลำคอก่อนจะส่งจิตรับจิตสื่อสารที่ส่งมา ไม่คิดแม้แต่จะสนใจเหล่าทหารราชองค์รักษ์ที่กำลังชี้อาวุธมาที่ข้าสักนิด

    “มีอะไรเดม่อน...ข้าจัดการทางนี้เสร็จแล้วพวกเจ้าอยู่ที่ไนหกันน่ะ เดี๋ยวข้าตามไป”

    “ท่านฟราน...รีบมาเถอะขอรับ...บางที..ท่านอาจไม่อยากเห็น...เพียงแต่...”

                    ข้าเลิกคิ้วให้กับคำพูดที่ดูสับสนและงุนงงแปลกๆของเดม่อน ก่อนจะโบกมือเป็นคลื่นลมไล่ทหารที่กำลังดาหน้าเข้ามาให้พ้นหูพ้นตา

    “อะไรของเจ้า เอาเป็นว่าเดี๋ยวข้าไปหาก็แล้วกันนะ รออยู่ตรงนั้นนั่นแหละ”ข้าว่ายิ้มๆก่อนจะสลายตัวเป็นหมอกไปอย่างทันที ทิ้งไว้เพียงความประหลาดใจและความเละเทะในห้องแห่งนี้เท่านั้น

     

    “อะไรของเจ้ากันเดม่อน พูดก็พูด...”

                    บึก!!

                    ยังไม่ทันที่ข้าจะกล่าวคำพูดทักทายบ่นเดม่อนให้เสร็จสับทันทีที่หายตัวมาถึง ช้าก็โดนใครบางคนชนจนตัวเองเซเอง ก่อนจะมองให้ชัดๆว่าคนในอ้อมแขนข้าคือ...ซีโร่..ที่เต็มไปด้วยบาดแผลและคราบเลือด ดวงตาสีสวยหรี่ลงเหมือนจะหลับ พอหันไปมองด้านหลังพบเดม่อนที่ทรุดอยู่กับพื้น เลยไปด้านหลังข้าก็พบกับเรย์ที่ยืนกลางแขนข้างเดียวบังท่านพี่ที่ทรุดลงไปเช่นเดียวกับเดม่อน

    “ท่ะ...ท่านฟราน ท่านไม่ควรมาที่นี่ หนีไปเถอะขอรับ”

                    น้ำเสียงแหบพล่าเอ่ยบอกกับข้าอย่างเป็นห่วงเป็นใยเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ทั้งในตอนที่ข้าหกล้ม ทั้งตอนที่ข้าร้องไห้ ทั้งตอนที่เสียสิ่งที่รักไป คนที่คอยอยู่ข้างข้าก็คือซีโร่ แล้วใครกัน..ใครกันที่บังอาจมาทำร้ายพี่ชายอีกคนของข้า!!!

                    ดวงตาสีฟ้าสวยปิดสนิทลงพร้อทมเสียงลมหายใจแผ่วๆ ข้าลุกขึ้นผยุงร่างของซีโร่ไปให้กับเดม่อนก่อนจะหันมาหมายจะมองให้เห็นหน้าของปีศาจที่มันทำร้ายซีโร่ แต่มันกลับขี้ขลาด ระเบิดพลังใส่พื้นดินให้ฝุ่นคลุ้ง แต่เรื่องแค่นั่นมันไม่เคยหยุดความตั้งใจของข้าได้

    “ฟราน...อย่าไป”

    “ท่านพี่...”ข้าหยุดนิ่งก้มหน้าลงกลับพื้น ไม่แม้จะหันไปมองคนอื่นๆ

    “ถ้าเจ้าไป...เจ้าจะต้องเจ็บปวด อย่าทำร้ายตัวเองเลย น้องข้า”

    “แล้วเท่านี้ข้ายังเจ็บปวดไม่พออีกงั้นหรือ ช่วยคนที่เปรียบเสมือนพี่ชายก็ไม่ได้ ปกป้องพี่ชายตัวเองก็ไม่ได้ ปกป้องไม่ได้...แม้แต่สิ่งสำคัญของตัวเองแบบนั้น มันจะไม่เจ็บปวดกว่างั้นหรือถ้าข้าไม่ทำอะไรเลย?”

                    ข้ากล่าวเสียงเรียบ ปกติบทนี้มันควรจะร้องไห้ออกมาสินะ...ไม่ร้องดีกว่ามั้ง

    “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น”

                    ข้าฟังท่านพี่จบประโยคนั้นก็กระโจนไล่ตามร่างของปีศาจที่ห่างไกลข้าอยู่ไม่มากด้วยความเร็วที่ทัดเทียมกัน พอเข้าสู่เขตป่ารอบตัวมันก็มืดมิดลงเสียอย่างนั้น แต่ช่างประไร ความมืดไม่เคยทำอะไรข้าได้อยู่แล้ว เสียงฝีเท้าของข้าและคู่กรณีดังกังวานไปทั่งผืนป่าใหญ่ ดวงตาสีแดงที่เรืองรองทำให้ง่ายต่อการที่ข้าจะค้นหามัน ข้าขยับยิ้มเหี้ยมก่อนจะซัดมีดสั้นที่ขโมยท่านพ่อมาก่อนออกเดินทางเข้าใส่มัน มันกระโดดหลบได้อย่างรวดเร็วจนน่าชื่นชม แต่ช้าไปนิดว่ะพวก

                    พลั่ก!!!

                    แม้อาวุธระยะกลางอย่างมีดสั้นบินจะไม่โดนตัวมันแต่กับเท้างามๆของข้าซึ่งจัดเป็นอาวุธระยะประชิดกลับได้ผล ฝ่าเท้าที่งดงามประทับเข้าที่หน้าอกของร่างนั้นเต็มๆ พอมาถึงจุดนี้ถึงได้มั่นใจว่าร่างนี้มันไม่ใช่ผู้หญิงแน่ ข้าจะได้สู่ถนัดๆหน่อย ไม่ชอบรังแกผู้หญิง มันเสียภาพพจน์รู้เปล่า-3-

                    ร่างนั้นถึงแม้จะโดนถีบล่วงจากต้นไม้ไปแล้ว แต่เรื่องการเอาตัวรอดนับว่ายอดเยี่ยม มันพลิกตัวกลับกลางอากาศก่อนจะคว้าเอากิ่งไม้กิ่งหนึ่งแล้วหมุนตัวขึ้นมาอยู่บนกิ่งไม้กิ่งนั้นได้ มันอยู่ในทานั่งลิงทะโมน ถึงเพราะมืดเลยเห็นแค่เงารางๆไม่เห็นใบหน้าแต่มันก็พอจะบอกได้ด้วยความรู้สึกว่ามันกำลังแสยะยิ้มอยู่ น่าหมั่นไส้ดีแท้ เส้นผมสี(คราดว่า)ดำยาวพลิ้วไสวน้อยไปกับสายลมที่พัดผ่านมา

    “เอาเลยไหมล่ะ ท่านปีศาจหนุ่ม”

                    มันไม่ตอบรับคำถามแต่พุ่งเข้าใส่แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย มีกลองมีฆ้องวง อ๊ะ!เกินงั้นเหรอ ช่างมันก่อน ข้าเอี้ยวตัวหลบเรียวขาที่เตะผ่านตัวข้าไปนิดนึงก่อนจะเบี่ยงตัวก้มลงไปนั่งท่าลิงทะโมนแล้วดึงเอาขาของปีศาจตนนั้นมา มันเสียหลักลงไปห้อยหัวต่องแต่งๆก่อนที่จะสะบัดหลุดออกไป อ้าวเฮ้ย!!ในมือข้านี่มัน...รองเท้า ปีศาจใส่รองเท้า แต่มันก็ไม่แปลกนี่เน๊อะ?? มันหมุนตัวสามตลบก่อนลงไปยืนอยู่กับพื้นแล้วถอดเอารองเท้าอีกข้างออกและปาทิ้ง ทำไมไม่มาเอาอีกข้างที่ข้าไปใส่ให้มันดีล่ะเนี่ย

                    ข้ากระโดดลงจากต้นไม้พร้อมปารองเท้ามันทิ้ง นิ้วเรียวของมันยกขึ้นมากระดิกดิ๊กๆเป็นหมายเหตุว่ากำลังเรียกข้าเข้าไปสู้ด้วย พูดไม่ได้หรือไงกัน??? ข้าคิดว่าสู้ในป่าแบบนี้การใช้อาวุธอย่างสามง่ามมันจะเกะกะไปนิดเลยไม่ได้เรียกสามง่ามออกมา ใช่เพียงแค่มีดสั้นที่ขโมยท่านพ่อมาก็เท่านั้น ร่างนั้นดูไม่หยี่ระ มองจากเงาน่าจะกลางกงเล็บออกมาแล้วล่ะมั้ง ก็ปีศาจนี่เนาะ ข้ายืนดูเชิงอยู่พักใหญ่ก่อนจะพุ่งเข้าใส่มัน มีดสั้นตวัดฉับกะเอาส่วนใดส่วนหนึ่งเป็นพอ แต่มันเบี่ยงตัวหลบได้อย่างง่ายดาย แต่คิดว่าข้าคิดแผนไว้แค่นั้นงั้นหรือ??? คิดผิด!

                    ระหว่างที่หลบถ้าไม่โจมตีเพิ่มแขนมักจะกลางออกห่างตัวเล็กน้อยข้าอาศัยจังหวะนั้นจับแขนมันแล้วยกขึ้นทุ่มเลย ตัวเบาแท้...มันเป็นผู้ชายแน่หรอวะ?? แต่ดูเหมือนฝ่ายที่คิดแผนเอาไว้จะไม่ได้มีแต่ข้าแค่ฝ่ายเดียว ทันทีทีช้าจับมันทุ่มแน่นอนว่ามันต้องอยู่ในสภาพนอนหงายแต่มันใช้มืออีกข้างยันไว้ก่อนตัวจะถึงพื้นแล้วส่งตัวขึ้นถีบหน้าข้า ข้าจึงจำต้องปล่อยมือพร้อมเอี้ยวตีวหลบขาคู่นั้นไปด้วย มันเลยเอามือยันพื้นทั้งสองข้างแล้วตีลังกากลับมายืนตัวตรงอีกหน...ร้ายนี่หว่า

                    ข้าพุ่งเข้าใส่มันอีกรอบ มันตั้งท่าเตรียมตัวรับมีดสั้นเต็มที่แต่ขอบอก...ฟรานไม่ชอบอะไรจำเจ แทนที่จะกระโดดถีบยอดหน้าหรือเอามีดเสียบพุงข้ากลับ...ไถลนอนไปกลับพื้นรอดใต้หว่าข้ามันก่อนจะพลิกกลับตัวด้วยความรวดเร็วกลับมายืนอีกครั้งก่อนจะยกข้าขึ้นตวัดเต็มเข้าที่ชายโครงมันไปเต็มแรง ถึงแม้จะยกมือขึ้นกันไว้ได้แต่แน่นอนว่ากระดูกแขนอาจจะร้าว แรงขามันน้อยๆเสียเมื่อไหร่กันเล่า

    “ยอมให้ข้าซ้อมให้หนำใจดีๆดีกว่านะ แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไป”

                    มันเพียงยกมือกุมแขนตัวเองแล้วแสยะยิ้มก็เท่านั้น ไม่พูด...นี่หยิ่งหรอเนี่ย???? ยังไม่ทันจะหายสงสัยว่าหยิ่งหรืออะไรมันก็พุ่งใส่ข้าก่อน ดูเหมือนแขนขวาที่ยกขึ้นกันจะเดี้ยงไม่เป็นท่ามันเลยยกแขนซ้ายขึ้นมาพุ่งเข้าซัดหน้าข้าแต่เหมือนเพราะไม่ถนัดล่ะมั้งมันถึงได้ค่อนข้างช้ากว่าแขนข้างขวานิดหนึ่งข้าเลยยกมือขึ้นรับได้สบายๆ แต่เหมือนนั่นจะเป็นแผนล่ะมั้ง มันกระโดดขึ้นทั้งๆที่มือยังอยู่ที่ข้าพร้อมกับถีบขาคู่ใส่ที่ท้องข้าแต่ด้วยประสาทสัมผัสอันไวยิ่งข้าก็เลยจับขาทั้งสองไว้ได้ทันท่วงทีแต่ดูท่าจะมีมือไม่พอ...รับได้แค่ขาข้างเดียวอ่ะ ตามสัญชาตญาณข้าเลยปล่อยมือที่แขนมันมาจับขาเอาไว้แทนเสียนี่ มันที่มีสภาพห้อยหัวเลยตั๊นหมัดเข้ากับเท้าข้าเต็มๆ

                    ถือว่าฝีมืออีกฝ่ายไม่ใช่จะขยี้ได้ง่ายๆเลยจริงๆ อยากจะรู้นักเชียวว่ามันป็นใคร??? แต่ก่อนหน้านั้นข้าคงต้องขอรักษาเท้าตัวเองก่อนได้ไหม?? เจ็บสุดๆ แรงช้างเหมือนกันนี่หว่า ขายกขาขึ้นมาเพื่อกุมเท้าตัวเองแล้วกระโดดเหย้งๆ อูย...เจ็บ

    “เฮ้ย!!!! ขี้โกงเด่!!

                    มันอาศัยจังหวะที่ข้ากำลังถามไถ่สารทุกข์เท้าตัวเอง ย่อตัวลงพร้อมวาดขาเตะเข้ากับขาข้า ได้~ เล่นแบบนี้ใช่ไหม?? ข้ายอมล้มไปตามแรงเตะจากขาของมันก่อนจะใช่มือยันพื้นไว้เพื่อทรงตัวและ...หมุน!!! ข้าใช้มือเคลื่อนไหวตัวให้หมุนเป็นพายุพร้อมกลางขาออกเล็กน้อยมันเลยกลายเป็นพายุลูกเตะ(จริงๆ)ไปได้เสียนี่ แล้วอาศัยจังหวะที่มันกำลังหาทางรับมือกับพายุลูกเตะยันตัวกระโดดขึ้นกลับตัวกลางอากาศพร้อมทั้งหยึดเกาะกิ่งไม้ที่ใกล้ตัว

                    ตื้บแม่ม~

                    ข้าถีบเข้ากับท้องของมันเต็มๆก่อนจะจับไหล่มันแล้วกลายเป็นฝ่ายคร่อมมัน ร่างที่ข้าถีบลงไปนอนกับพื้นขัดขืนเอาเรื่อง โชคดีที่มันใส่เสื้อแขนยาวข้าเลยเอามีดสั้นที่ติดตัวอยู่ขึงแขนเสื้อมันไว้กับพื้นดินก่อนจะปักอีกอันเฉี่ยวหูมันไปหน่อยๆแล้วก้มลงกระซิบข้างหู...ท่ามันล่อแหลมแปลกๆ

    “เจ้า-เป็น-ใคร??”

                    ข้าถามเน้นย้ำทุกคำ หวังว่ามันจะเข้าใจภาษาของข้าเพราะดูแล้วปีศาจก็คุยภาษาเดียวกับเราๆ แต่แทนที่จะได้คำตอบกลับมามีพึยงเสียงหัวเราะในลำคอดังหึออกมาก็เท่านั้น...มันกำลังทำข้าโมโหอย่างมาก!! ข้าคว้าหมับบีบเข้ากับใบหน้าของร่างนั้นอย่างไม่ปราณีแต่แล้วกลับต้องค่อยๆคลายมือออกเมืองกิ่งไม้ด้านบนโดนลมพัดเอนไปทำให้แสงอาทิตย์ส่องเข้ามาเพียงชั่วครู่ แม้จะครู่เดียวก็จริงแต่มันก็มากพอทีจะทำให้ขาเห็นว่าคนที่ตัวเองกำลังบีบหน้าอยู่มันเป็นใคร

    “อลาวดี้....”

    “เหอะ....ใครๆต่างก็เรียกข้าแบบนั้น ไม่รู้ว่าชื่อนี้มันดีตรงไหน”

                    น้ำเสียงทุ้มนุ้มกล่าวราบเรียบติดหยิ่งผยอง ไม่ผิดแน่นี่มันเสียงของอลาวแน่นอน ข้าปล่อยมือออกจากใบหน้านั้นท่ามกลางความงุนงงของเจ้าของร่าง มองพิจารณาทั้งโครงหน้าและนัยน์ตา แม้เส้นผมนั่นมันจะยาวเร็วเกินไปกว่าที่ควร แม้ทั้งกลิ่นไอ ทั้งแววตาที่หยิ่งผยอง มันจะไม่ใช่ แต่อลาวก็นยังคืออลาว.... ข้าไม่อาจจะสะกดกลั้นความโหยหาได้แม้ว่าร่างตรงหน้าอาจจะไม่มีสติคงเดิมเป็นของตัวเองก็ตาม ข้าก้มลงสวมกอดร่างนั้นอย่างลืมตัว ทั้งดีใจที่ได้พบและเสียใจที่อีกฝ่ายไม่เหมือนเดิม แต่เพราะความรู้สึกเหล่านั้นมันจะบดบังความคิดที่ต้องระวังตัวออกไปเสียหมด

                    ร่างนั้นพลิกกลับขึ้นมาเป็นฝ่ายคร่อมข้าแทน เสียงแขนเสื้อฉีกขาดเรียกข้าให้คืนสติ พลาดแล้ว....

    “เป็นอะไรไป...เจ้าลูกมนุษย์ อยู่ดีๆมาสวมกอดข้าทำไมกัน”

                    ลูกมนุษย์??? อย่าบอกว่าร่างตรงหน้าจำข้าไม่ได้...ไม่สิเมื่อครู่ที่เขาพูด เขาจำไม่ได้แม้แต่ชื่อตัวเองด้วยซ้ำ!

    “น่าเสียดาย ทั้งที่เจ้ามันน่าสนุกแท้ๆเพียงแต่...ข้ากำลังหิว ขอรับเลือดเจ้าไปแล้วกัน”

                    น้ำเสียงหยิ่งผยองติดสนุกเอ่ยกับข้า แต่แทนที่ข้าจะดิ้นรนเพื่อเอาตัวข้ากลับอยู่ ในใจคิดเพียงว่าเพราะอีกฝ่ายคืออลาว แค่เท่านั้นข้าก็ไม่กล้าลงมืออะไร แบบนี้สินะท่านพี่ถึงห้ามไม่ให้ข้ามาเพราะรู้ว่าข้าไม่กล้าจะลงมือทำอะไรถ้ารู้ว่าเป็นอลาว และไม่อยากให้ข้าต้องมารับรู้ว่าคนทีตัวเองวิ่งตามมา จำแม้แต่ชื่อข้าไม่ได้...

    “ถ้าพบกันคราวหน้า อย่าเข้าใกล้ข้าฟราน...ขอร้อง ข้าไม่อยากทำร้ายเจ้า”

                    อลาวเผยอปากออกเผยให้เห็นคมเขี้ยวสีขาวงาช้างในปาก หึอลาวก็ยังเป็นอลาว ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็สง่างามไม่เปลี่ยน….

                    ฉึก!

    “อึก!!

                    เจ็บ...คมเขี้ยวสีขาวฝังลงกับต้นคอข้าโดนที่ข้าไม่ต่อต้านสักนิด คิดในแง่ดีนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่อลาวกัดคอข้าสักหน่อย แม้มันจะคนละเหตุผลก็เหอะ ข้ารับรู้ได้ถึงเลือดในกายที่ถูกสังเคาระห์ขึ้นมาจากกายหยาบกำลังถูกสูบไปพร้อมๆกับจิตวิญญาณบางส่วนก่อนการส่งถ่ายเลือดนั้นจะหยุดลง คมเขี้ยวถูกถอนออกอย่างน่าประหลาดใจ ใบหน้าที่คุ้นเคยค่อยๆเงยขึ้นมาพร้อมๆกับแววตาที่เปลี่ยนไป

    “ฟราน....”

     

                    ข้ารับรู้ได้ถึงบางอย่างที่กำลังไหลเข้ามาในปากของข้า เลือด?? นี่มันกลิ่นเลือด เลือดอุ่นๆทะทักเข้ามาไม่หยุดหย่อน ข้าลืมตาโพลงด้วยความตกใจแต่แล้วกลับได้พบกับกลิ่นทีคุ้นเคย...กลิ่นวนิลา??  แม้จะมืดพอควรแต่ข้าก็มองเห็นเส้นผมสีขาวพิสุทที่อยู่ห่างใบหน้าข้าไม่ถึงคืบ ข้าค่อยๆพยุงตัวขึ้นภาวนาให้กลิ่นที่ได้รับมันผิดเพี้ยนทีเถอะน่า แต่เหมือนจมูกข้ายังดีเกินไป ดวงหน้าที่คุ้นเคยลอยเด่นอยู่ในสายตาข้า ใบหน้านั้นยังคงประดับยิ้มไม่จางหาย

    “ฟราน....”ข้าร้องเรียกเจ้าของใบหน้าด้วยความอดกลั้นก่อนปล่อยน้ำตาออกมาอย่างทนไม่ไหว

                    ทำไมต้องเป็นข้า...ที่ทำร้ายเจ้าอีกแล้ว

                    แล้วทำไมเจ้า...ยังให้อภัยข้าเสมอเล่า!!!

    “อย่าร้องไห้สิอลาว น้ำตามันไม่เหมาะกับใบหน้าเจ้าเลยสักนิดนะ”

                    ผ่ามืออุ่นๆยกขึ้นลูบใบหน้าข้า ในแววตาที่อบอุ่นสะท้อนให้เห็นตัวข้าที่เปลี่ยนไป เส้นผมสีดำสนิทยาวถึงกลางหลังกับเขี้ยวแหลมๆสีงาช้างที่มุมปากทั้งสองข้าง ไม่จริงน่านี่มันเกิดอะไรกับข้า???

    “หยุดร้องไห้ได้แล้ว ข้าจำได้ว่าเจ้าไม่ใช่คนขี้แงสักหน่อย ดูสิ....”

                    ฝ่ามือที่กำลังปาดน้ำตาให้ข้าลดลงมาข้างตัวในช่วงเวลาที่ข้ากำลังจะจับมันเอาไว้ เปลือกตาบางปิดลงซ่อนดวงตาสีม่วงไว้ภายใน

    “ฟระ...ฟราน...”

    “ฟรานนนนนนนนนนนนนนนนนน”

     

                    ร่างสูงรีบเร่งเดินอย่างว่องไปให้ถึงห้องของตนโดยฉับพลันเมื่อมีทหารเดินมาส่งข่าวว่าราชาสวรรค์จะติดต่อมาหาเขาเพื่อส่งข่าว อลันก็เร่งรีบออกมาจากการประชุมทั้งๆที่ยังประชุมไม่เสร็จเสียด้วยซ้ำ สองเท้าเร่งรีบทำความเร็วเข้าห้อง เดินผ่านทหารด้วยความเร็วสูงสุดจนเหล่าทหารทำความเคารพกันไม่ทันเลยทีเดียว

    “ท่านพ่อ”

                    อลัวซ์กล่าวเรียกชื่อผู้เป็นพ่อทันทีที่เห็นอีกฝ่ายเดินเข้ามาถึง ทางด้านหน้าเป็นกระจกที่สะท้อนให้เห็นเงาผู้ติดต่อทั้งสามคน คือราชาสวรรค์ เจ้าชายสวรรค์ลำดับสอง และเจ้าชายนรกลำดับสองที่ขึ้นไปช่วยงานด้านบน

    “ได้ข่าวอะไรมาบ้างฟีเนอร์??”

                    ร่างสูงเอ่ยถามอย่างร้อนใจ ในใจได้แต่เป็นห่วงลูกชายคนสุดท้องรวมถึงคนอื่นๆที่ออกไปตามหาลูกชายเขาด้วย

    “ก่อนอื่นเอาเรื่องนี้ก่อนก็แล้วกัน เมื่อวาน...เฟรนด์ติดต่อข้ามาทางจิต ในความฝัน แล้วพ่อข้าก็โพล่ออกมาด้วย”

    “ท่านลุง???”

                    อลันทวนคำก่อนจะหันไปมองหน้าลูกชายคนโตเหมือนจะให้ยืนยันว่าได้ยินถูกต้อง

    “ใช่ พ่อข้านั่นแหละเขามาบอกว่าเรื่องราวทั้งหมดคนที่รู้ดีที่สุดตอนนี้คือท่านอา หรือก็พ่อของเจ้านั่นแหละ ข้าเลยอยากรู้ว่าตอนนี้พ่อเจ้าอยู่ที่ไหน?”

                    อลันเมื่อได้ยินคำถามก็ยกมือขึ้นลูบคางอย่างใช้ความคิด

    “ท่านพี่...ท่านน่าจะรู้ไม่ใช่หรอ ท่านติดต่อกับท่านปู่นี่”อเล็กซ์เอ่ยทักพี่ชายคนโต่ที่นั่งจิบชาอยู่ข้างๆพ่อตัวเอง

    “จะว่าติดต่อน่ะมันก็ใช่...เพียงแต่นั่นมันก่อนที่อลาวจะหายไป ตอนนั้นท่านปู่บอกว่าจะไปเที่ยวต่างโลก”

    “ต่างโลก? ไม่ใช่ว่าปู่ของเจ้าไปเที่ยวแดนปีศาจแล้วหรือ?? บางทีเขาอาจจะอยากไปเยี่ยมบ้านเกิดของลูกสะใภ้บ้างก็ได้ อ่า...ช่างเป็นพ่อตาที่ดีอะไรเช่นนี้นะ”ฟรานเริ่มการบรรยายไร้สาระของเขาแล้ว

    “แม้มันจะเยอะแยะจนน่ารำคาญนะฟราน แต่ก็มีโอกาสที่ท่าปู่จะอยู่ที่แดนปีศาจนะขอรับท่านพ่อ”

                    อเล็กซ์ที่ได้ผลักหัวฟรานไปหน่อยหันมาบอกกับบิดาของตนที่คิดไม่ตก

    “ก็อาจจใช่ ท่านพ่อมีความสารถไปไหนมาไหนได้ทุกที่ไม่เว้น แต่เขาไม่น่าจะไปคนเดียว...เข้าต้องลากท่านลุงไปด้วยสิ ฟีเนอร์ท่านแน่ใจนะว่าพ่อท่านไม่ได้ไปกับพ่อข้าด้วยน่ะ??”

    “เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้ เขามาบอกแค่คนที่รู้เรื่องราว ต้นสายปลายเหตุคือพ่อเจ้าเท่านั้น เจ้าก็รู้พ่อข้าเขาอินดี้จะตายไป”

                    อลันถอนหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย มันมีข้อมูลให่มาที่พอจะช่วยอะไรๆได้บ้างแต่ทำไมมองๆแล้มันดูไร้ประโยคและงี่เง่าสิ้นดีล่ะ? ราชานรกได้แต่คิดแสงสัยพลางยกชาขึ้นจิบเพื่อคลายเครียด

    “เรื่องพ่อข้าพ่อเจ้าไปฮันนีมูนกันที่ไหนช่างมันเถอะ ตอนนี้อลาวเป็นยัไงบาง พวกฟรานตามหากันไปถึงไหยแล้ว??”

    “ฮันนิมูน?? เรื่องนั้นช่างมันก่อน เอ่อ...ก่อนจะฟังเจ้าช่วยทำใจก่อนได้ไหมอลัน?”

                    ราชารนรกขมวดคิ้วเป็นเชิงตั้งคำถาม

    “มีอะไรงั้นหรือท่านลุง ทำไมดูสีหน้าท่านเคร่งเครียดแบบนั้น เกิดอะไรขึ้นกับอลาวกัน??”อลัวซ์เองก็ดูท่าจะเก็บความสงสัยที่เกิดจากการจับสีหน้าของราชาสวรรค์ไม่ไหว

    “ข้าบอกไปแล้วอย่าเพิ่งโวยวายไปเสียล่ะ”

    “อะไร? ข้าหวังว่าท่านคงไม่ได้พามุกตลกฝืดๆเล่นให้ข้าปวดหัวในยามคับขันนะ ฟีเนอร์”

    “อลาวกลายเป็นปีศาจไปแล้ว”

    “ว่ายังไงนะ??”

                    อลันเบิกตาโพลงไม่คิดว่าจู่ๆอีกฝ่ายจะบอกออกมาแบบไม่ทันตั้งตัว

    “ข้าก็ไม่รู้รายละเอียดมากนักเพราะเฟรนด์เองก็ไม่รู้ แต่เขาถูกลูกเจ้าที่ถูกทำให้เป็นปีศาจทำร้ายเข้า”

    “อลัวซ์...”

    “ขอรับท่านพ่อ??”

    “ถ้าหากข้าจะให้เจ้าอยู่ดูแลที่นี่สักระยะได้ไหม??”

    “ท่านหมายถึง...”

    “เฮ้...อะ..อลัน เจ้าใจเย็นๆก่อนนะ”ฟีเนอร์ที่เห็นท่าไม่ดีรีบเข้าช่วยอีกแรง ต่อให้ไม่ได้นั่งอยู่ตรงหน้าแต่ความรู้สึกนี้เขาจำมันได้...อลันกำลังโกธรและโกธรมากเสียด้วย

    “ดูเหมือนข้าจะปล่อยให้พวกเข้าเล่นมาเกินไปจนไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร สิ่งไหนควรเก็บไว้บนหิ้งสูงส่งและสิ่งไหนไม่ควรแตะต้อง สงสัยข้าจะต้องกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดเมียรักพร้อมๆกับนำของฝากไปฝากคุณพี่เขยสักหน่อย”

                    ใบหน้าอบอุ่นยังคงประดับรอยยิ้มเอาไว้แต่บทที่สิบสาม

    อีกครั้ง...และอีกครั้ง

                    ร่างของท่านพี่ยังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียงในห้องพักห้องใหม่แม้จะเป็นเวลารุ่งสร่างของวันใหม่แล้วก็ตาม ใบหน้าที่ซีดเซียวในทีแรกเริ่มขึ้นสีมาบ้างเล็กน้อยจากการช่วยเหลือของเรย์ ฝั่งนั้นเองก็หลับไปแล้วด้วยอาการอ่อนเพลีย ส่วนอีกสองคนที่เหลือก็ออกไปข้างนอกเพื่อหาซื้อยาและสมุนไพร แปลว่าในตอนนี้มีเพียงข้าคนเดียวที่ยังมีสติอยู่

                    ข้ายกมือขึ้นจับแหวนทียังห้อยอยู่บนสร้อยที่ชำรุอยู่อย่างใจลอย สมองพลันคิดถึงนัยน์ตาคู่นั้นที่ได้พบเมื่อคืน ภาวนาให้ตัวข้าคิดไปเองคนเดียวที่เถอะว่ามันใช่...อลาวจะมาทำร้ายท่านพี่ทำไม เขาไม่มีวันทำอย่างนั้นแน่ๆ ถ้าเขายังเป็นเขาอยู่

    “ถ้าพบกันคราวหน้า อย่าเข้าใกล้ข้าฟราน...ขอร้อง ข้าไม่อยากทำร้ายเจ้า”

                    นี่น่ะหรือสาเหตุที่เจ้าเอ่ยเตือนข้าแบบนั้นอลาว เจ้ารู้งั้นเหรอว่าเจ้าจะทำอะไรลงไป?

    “ฟราน...”

                    เสียงแหบพล่าเรียกให้ข้าฟื้นกลับมาจากวังวนความคิด ท่านพี่ค่อยๆประคองตัวเองขึ้นมาอย่างยากลำบาก นัยน์ตาสีฟ้าทอดมองข้าอย่างเป็นห่วง...ในเวลานี้ท่านควรจะห่วงตัวเองมากกว่าไม่ใช่หรือไร?

    “เจ้ารู้สึกใช่ไหม?”

                    ข้าชะงักก่อนเบนหน้าหนีไม่ตอบคำถามท่านพี่ ฝ่ามือที่ติดเย็นเล็กน้อยแตะลงบนหลังมือของข้าเหมือนจะบอกเป็นนัยๆว่าท่านพี่เองก็รู้ว่าใครคือคนที่ทำร้ายเขา

    “ถึงจะเป็นอลาวแต่นั่นก็ไม่ใช่อลาว”

                    อาเร๊ะ??? นี่ท่านพูดอะไรของท่านอีกเนี่ย ปรัชญาชีวิตที่เข้าใจยากหรือไง?

    “เจ้ารู้ใช่ไหมว่าอลาวดี้ไม่มีทางทำอะไรแบบนี้ ไม่ว่ากับข้าหรือกับใคร”

                    ข้าพยักหน้ารับ ท่านพี่ผ่อนลมหายใจด้วยใบหน้าเรียบเฉยเหมือนเคย ก่อนท่านจะถอนฝ่ามือนั่นออกจากหลังมือข้าแล้วนำมันไปประสานไว้กับมืออีกข้างของตัวเอง

    “ตอนที่หลับ ข้ากลับไปหาท่านพ่อมาและเจอกับท่านปู่”

    “หา??”

                    ข้าร้องเสียงหลง ใบหน้านั้นเบนกลับมาหาข้าอีกครั้งพลางพยักหน้าบอกว่าข้าเองไม่ได้หูฝาดไปที่ได้ยินเขาพูดแบบนั้น

    “ข้ากลับไปบอกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นที่นี่กับท่านพ่อมาด้วยร่างจิต...ในความฝันของท่านน่ะ ท่านพ่อเองก็ดูวิตกไม่น้อยตอนข้าเล่า...แล้วจู่ๆท่านปู่ก็โพล่เข้ามา พร้อมกับการบ่นไร้สาระที่ข้าพอจะจับใจความได้ว่าเหตุการณ์ต่างๆมันเกี่ยวเนื่องกีบเรื่องของเจ้าในอดีตกาลและคนที่พอจะรู้อะไรๆก็คือท่านปู่อลังซ์”

    “เรื่องนั้นข้ารู้แล้ว”

    “????”

                    ข้ายกมือขึ้นเสยผมด้วยเองอย่างอธิบายไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะบอกกับท่านพี่ยังไงดีเรื่องนี้ ทั้งๆที่ตัวเองก็รู้มาโดยตลอดว่าอะไรเป็นอะไรแต่กลับไม่บอกใครสักคน...นั่นสิทำไมข้าไม่บอก

    “ข้าฝันถึงอดีตช่วงที่เป็นบลังซ์มาพักหนึ่งแล้วตั้งแต่มาถึงที่นี่ แล้วจิตวิญญาณในแหวนนี่ก็บอกกับข้าว่าเรื่องราวทั้งหมดมันเชื่อมโยงกับการกระทำให้อดีตของข้าและคนที่รู้อะไรๆมันก็คือ...ท่านปู่อลังซ์นั่นแหละ ข้าขอโทษท่านพี่ที่ข้าไม่ทันบอก เพราะมันโน่นนี่นั่น ท่านก็อย่าทำหน้าแบบนั้นสิขอรับ”

                    ท่านพี่หรี่นัยน์ตาลงเหมือนกึ่งๆจะพิจารณาอะไรบางอย่าง ก่อนจะร้องเหอะออกมาอย่างไม่มีเสียง

    “หมายความว่าที่เจ้าต้องออกมาวิ่งตามอลาวแบบนี้เพราะชาติที่แล้ว”

    “ก็ประมาณนั้น...ตอนที่อลาวยังเป็นนัวร์ และข้ายังเป็นบลังซ์ เหมือนัวร์จะวิ่งตามข้าด้วยเหตุผลบางอย่างและอยากได้บางสิ่ง ซึ่งตอนนี้ข้าเองก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าไอ้ที่นัวร์ต้องการมันคืออะไร”

    “มิตรภาพ”

    “หา?”

    “ที่นัวร์ต้องการจากบลังซ์มีเพียงมิตรภาพ นัวร์ต้องการมิตรภาพจากบลังซ์ที่ไม่ได้เคยรู้จักมัน ดังนั้นเขาจึงมอบมิตรภาพนั้นให้แก่บลังซ์ก่อนโดนทที่บลังซ์ไม่ทันรู้สึกตัว แล้วมิตรภาพนั้นก็ก่อเป็นความผูกพันธ์โดนที่บลังซ์ไม่รู้ตัว มารู้ตัวเอาก็ตอนสงครามใกล้เริ่ม...ตอนที่นัวร์หายตัวไปและไปเข้าฝั่งกับฝั่งนรก ในตอนนั้นบลังซ์คิดว่าตนเองถูกนัวร์ทรยศและความคิดแบบนั้นทำให้บลังซ์รู้ตัวว่าตนเองได้มิตรภาพมาจากบลังซ์ จารึกกล่าวเอาไว้แบบนั้น”

                    ข้าเลิกคิ้วสูงไม่เข้าใจที่ท่านพี่พูดสักนิด มารู้ตัวตอนที่นัวร์อยู่ฝ่ายนั้น?? มาเห็นค่าตอนหายไปงั้นหรือ??

    “เจ้ารู้ไหมข้อจำกัดของคำว่าทรยศคืออะไร?”

    “ขอพรรค์นั้นมันมีด้วยหรือ?”

                    ท่านพี่คลี่ยิ้มอบอุ่นอย่างที่ข้าแทบจะนับจำนวนที่เห็นได้ออกมา

    “ข้าจำกัดของคำว่าทรยศคือมันไม่เคยมาจากศัตตรู”

                    โอ้ว...ลึกซึ้ง ตอนนี้ข้าเข้าใจแจ่มแจ้งเลยที่เดียว ที่บลังซ์รู้ตัวว่าได้รับมิตรภาพจากนัวร์และนัวร์ได้รับมิตรภาพจากเขาเพราะรู้สึกถึงคำว่าทรยศสินะ

    “แต่นัวร์ไม่ได้ทรยศบลังซ์นะท่านพี่...เขาโดนบังคับด้วยจากทางนรกและทางเรา”

    “ทางเรา??”

                    ข้าพยักหน้ารับเพื่อยืนยันว่าข้าพูดจริงไม่ได้มีผิดเพี้ยน

    “ตระกูลของนัวร์เคยเป็นเทวทูตของสวรรค์”

                    ข้าหันไปมองเจ้าของเสียงที่แย่งบทข้าไป ร่างสง่าเดินช้าๆอย่างเหนื่อยอ่อนมาทางข้าและท่านพี่

    “เรย์...เจ้าหายดีแล้วงั้นหรือ?”

                    ท่านพี่ทักคนที่แทรกเข้ามากลางบทสนทนาของพวกเราสองพี่น้อง

    “ก็ไม่ได้หายดีอะไรหรอก แต่ไม่รู้ว่าตัวอะไรมันมาคุยเงาะแงะๆอยู่ข้าก็เลยนอนไม่หลับ โปรดท่านเข้าใจ”ว่าจบมันก็โคงตัวคำนับซะสวยก่อนจะเดินมานั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียงอีกฝั่ง

    “ดูหน้าตาแล้วคงยังไม่รู้กันสินะขอรับ เรื่องที่นัวร์เป็นทายาทของอดีตเทวทูตสวรรค์”

    “เรื่องพรรค์นั้นจะไปรู้ได้ยังไงกันเล่า ที่ข้ารู้ก็มีเพียงเรื่องที่ครอบครัวของนัวร์โดนไล่ลงมาจากสวรรค์ก็เท่านั้นเอง จากแหวนนี่"

                    ก๊อกๆๆๆๆ

                    เสียงเคาะประตูรัวขัดจังหวะพวกข้าที่กำลังเครียดๆ ข้าหันไปมองทางประตูห้องท่านพี่เหมือนว่ามันจะมองทะลุไปเห็นประตูหน้าห้องที่ได้อย่างนั้นแหละ

    “เดี๋ยวข้าไปเปิดเอง ไม่อยากรบกวนคนเจ็บ”

                    ข้ารับอาสาติดแนวบ่นเล็กน้อยก่อนจะเดินเฉื่อยๆไปทางประตู แน่นอนว่าคนที่มาเคาะต้องไม่ใช่ซีโร่หรือเดม่อนแน่ๆ เป็นพวกนั้นจะเข้ามาโดยไม่เคาะเลยเพราะพวกเขามีกุญแจและที่สำคัญกว่า...ประตูมันไม่ได้ล๊อก

    “หื้อ???”

                    ข้างร้องเสียงสูงในลำคอเมื่อเปิดมาพบพนักงานหนุ่มรูปร่างหน้าตาดียืนยิ้มแป้นอยู่หน้าห้อง เฮ้ๆ พวกข้าเป็นผู้ชายนะ ถ้าจะส่งปีศาจมาบริการเพื่อเอาใจเรื่องเมื่อวานก็ขอสาวๆ สวยๆ อกบึ้มๆเหอะน่า มาแบบนี้เทวดามันเซ็งจิตนะเฮ้ย

    “ท่านฟรานสินะขอรับ”

    “อือ มีอะไรงั้นหรอ?”

                    มันยังคงยิ้มเผล่จนหน้าเอารองเท้ายัดหน้าเสียนี่ประไร คนมันหมั่นไส้คนหล่อนี่หว่า

    “ข้ามีของขวัญมาให้ขอรับ”

    “ขอขวัญ???”

    “ขอรับ”

                    มันนิ่ง ข้านิ่ง....

    “เฮ้ย!!!!!

                    ข้าร้องเสียงหลงกระโดดตีลังกากลับหลังมาสามตลบเข้าไปในห้องเมื่อจู่ๆร่างนั้นก็ซัดดาบแสงเข้าใส่เฉย ข้าย่อตัวลงก่อนจะพุ่งเข้าใส่ ถึงจะยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรแต่ขอสู้ไว้ก่อนเหอะ!! ข้าง้างหมัดเล็งเข้าที่ใบหน้าที่น่าหมั่นไส้นั่น(แค้นส่วนตัว)แต่มันกลับรับได้ทุกหมัด ก่อนจะเป็นฝ่ายข้าเองที่โดนต่อยที่ท้องซะตัวงอ นัยน์ตาสีแดงโรจน์หรี่มองที่ข้าอย่างหยันๆก่อนมันจะล้วงบึกกระดาษอะไรสักอย่างในเสื้อออกมา

    “อืม...ฟรานงั้นหรอ ค่าหัวร้อยล้าน...อุบ๊ะ ฝีมือแค่นี้ท่านเมลลาเวียร์ตั้งค่าหัวซะสูงเชียวนะ ก็ดีเหมือนกัน เคี้ยวง่ายๆ ย่อยคล่องๆ ดูเหมือนจะมีอีกสองตัวอยู่ในนี้สินะ...เรย์สี่สิบล้านกับเฟรนด์แปดสิบล้าน...จะเยอะไปไหน แค่ตัวร้อยล้านนี่ก็ อุ๊ก!!!

    “อย่ามาบังอาจ...เรียกชื่อพี่ข้าห้วนๆ...จะโดนไม่ใช่น้อย”

                    หมัดแกร่งๆของข้าสวนเข้าที่ท้องของมันขณะที่มันกำลังร่ายความคิดไร้สาระนั่น มันไอแค่กๆสามสี่ทีก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาแล้วต้องเบิกตาโพลงเมื่อไม่เห็นข้าอยู่ตรงนั้น

    “เจ้าน่ะ...รู้จักเทพแห่งความตายของมนุษย์หรือเปล่าล่ะ?”

                    ได้ผล...มันเงยหน้าขึ้นมองข้าที่ลอยอยู่เหนือหัวของมันอย่างฉับพลัน ดวงตาสีแดงสดดูสั่นระริกขึ้นมาทันที เมื่อไอ้ตัวเคี้ยวง่ายๆย่อยคล่องๆของมันอย่างข้า ดูท่าว่าจะเคี้ยวไม่ง่ายย่อยไม่คล่องเท่าไหร่ ข้าเรียกสามง่ามสุดที่รักที่ห่างหายจากการจับมันมานานออกมา แสงสีขาวทอเต็มห้องเรียกให้พวกท่านพี่ออกมาดู

    “เรย์...เจ้าพาท่านพี่หนีออกจากที่นี่ก่อน แล้วหาทางติดต่อกับพวกเดม่อนให้หาที่หลบด้วย ข้ากลัวว่าที่นี่คงไม่ปลอดภัยกับพวกเราอีกต่อไป”ว่าจบข้าก็โยนบึก”ใบค่าหัว”ที่ฉกได้มาจากเจ้างั่งเมื่อครู่มาให้กับเรย์ มันก้มเก็บขึ้นมาดูพักเดียวเมื่อครบทุกใบมันก็เผยยิ้มให้กับใบปลิวนั่นด้วยรอยยิ้มสยองๆ เอาเลยๆช่วยพูดคำพูดแรงๆสักทีให้เจ็บกระดองใจหน่อยสิ

    “ทำไมรูปข้ามันถึงได้ขี้เหร่แบบนี้นะ”

    “.......”

                    โบ๊ก!!!

                    โฮมรัน!!!!

    “เจ้าบ้า  นี่มันใช่เวลามาห่วงรูปตัวเองไหมเนี่ยห๊ะ??? ถ้ามีเวลาว่างมากพอจะพิจารณาก็ช่วยพาท่านพี่หนีไปทีเถอะ”ข้าบ่นอย่างเหนื่อยจิต ไอ้ปลาไหลเรืองแสงนี่

    “ฟราน....”

                    ข้างเบี่ยงสายตามาจากศัตตรูตรงหน้าที่ดูจะหลงใหลรูปกายสองคนนั้นอยู่มาหาท่านพี่

    “ข้าว่ารูปในใบประกาศจับนี่มันก็ถูกแล้วนะ...”

    “ท่านก็ด้วย ถ้ามีเวลามากพอจะพิจารณาว่าควรไม่ควรท่านช่วยหนีไปทีเถอะน่า”ข้ายกมือขึ้นลูบใบหน้าตัวเองอย่างเซ็งตก อะไรของคนพวกนี้กัน ป่วนจิตข้าตลอดสิน่า

    “ท่านฟราน....”

    “อะไรอีก??”ข้าเปิดมือที่ยกปิดหน้าขึ้นเพื่อเหล่มองคนเรียก

    “ท่านไม่รู้สึกหรอว่าตัวท่านใจเย็นลง...หรืออีกนัยท่านกลับมาใจเย็นเหมือนเดิม ไม่รู้สึก...ถึงอะไรที่เปลี่ยนไปบ้างหรอ?”

                    ข้าเลิกคิ้วอ่างไม่เข้าใจในสิ่งที่สิญญาณศักดิ์สิทธิ์พูดก่อนจะส่ายหัวประมาณว่าไม่รู้ดิให้มันไป ร่างนั้นถอนหายใจก่อนจะฉุดมือท่านพี่ออกข้างนอกไปโดนพุ่งชนกระจกหน้าต่างไป...อะไรจะบ้าดีเดือดขนาดนั้น... และเหมือนเสียงกระจกจะเรียกให้สติของเจ้านักล่าค่าหัวกลับคืนมา มันหันมามองข้าคงงงๆก่อนจะชักมีดดาบออกจากเอว

    “เข้ามาเลย!!!

    “ไม่ ข้าให้เกียตริเจ้าเริ่มก่อน

                    เหมือนมารยาทของข้าจะไปกระตุกเส้นประสานของมัน ใบหน้าหล่อๆดูดีนั่นกระตุกยิกๆๆ เห็นแล้วจี้เส้นดีชะมัด มันพุ่งเข้ามาหมายจะปักเศษเหล็กที่อยู่ในมือไว้ที่ท้องข้าห๊ะ???อะไรนะมีคนตะโกนบอกว่านั่นคือมีดงั้นเหรอ? จะอะไรก็ช่าง แต่เสียใจเมื่อชั่วโมงบินมันต่างกัน...มือสมัครเล่นอย่าคิดมาเทียบชั้นกับมืออาชีพ

                    กร๊อบ!

    “อ๊ากกกกกกกกกกกกกก”

                    เสียงแหกปากร้องลั่นห้อง เมื่อข้าเอี้ยวตัวหลบพร้อมทั้งจับ หัก แล้วบิดแขนนั้น มีดในมือล่วงตุบ เฉี่ยวปลายเท้าข้าไปนิดเดียว...ตายๆๆๆ ถ้ามันปักโดนเท้าข้า ข้าเองคงเสียชื่อแย่ สู่กับปีศาจได้อย่างทัดเทียมไม่เปื้อนแม้แต่ฝุ่นแต่กลับได้แผลจากมีดที่คู่ต่อสู้ทำหล่น ทุเรศหูชะมัด= =

    “ปีศาจผู้โง่เขลาเอ๋ย...รู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังต่อกรกับผู้ใด?”

    “นักโทษชั้นต่ำ”

                    ฆ่าแม่มเลยดีไหม.....

    “หึ ช่างโง่เขลานักปีศาจเอ๋ย พระเจ้า(พ่อข้า)กล่วเอาไว้ ผู้ที่ไม่รู้ถึงสิ่งที่ตนกำลังเผชิญจะไม่มีวันชนะในสิ่งที่กำลังเผชิญ ขอนรกจงคุ้มครองเจ้า อาเมน”

    “มัวแต่พูดพล่ามอะไรอยู่ได้! เจ้าเป็นบาทหลวงตกกระป๋องหรือไงกัน! ว่ะฮ่า อุ่ว่ะฮ่าๆๆๆๆๆ”

                    บาทหลวงลัทธิไหนขอให้นรกคุ้มครองเจ้ากัน?? ดูท่าจะโง่เกินเยียวยาควรบูรณะสมองใหม่...ไม่สิ บูรณะทั้งตัวเลยก็แล้วกัน

    “ก็เกือบใช่ล่ะนะ ข้าเกือบจะเหมือนบาทหลวงเพียงแต่ข้าสูงกว่านั้นนิด....”

                    ข้าหายตัวมาด้านหลังของมันอย่างว่องไวดุจสายลม มันชะงักค้างหยุดเสียงหัวเราะเน่าๆลงไปเสียฉับพลัน

    “ผิดแต่ข้า...เป็นเทวบุตรแห่งความตาย”

                    ร่ายบทเท่ห์ๆจบข้าก็เสียบสามง่ามเข้ากับท้องของมันดังฉึก ใครว่าเทวดาฆ่าสิ่งมีชีวิตไม่ได้ เว้นข้าไว้คนหนึ่งล่ะ เพราะข้าเป็นเทพแห่งความตายนี่อีกทั้งยังเป็น...รองหัวหน้าหน่วยยมทูตที่หนึ่งในการปกครองของเจ้าชายอลาวอีก...ข้ามีสิทธิ์ ร่างนั้นถูกข้าสลัดออกจากสามง่ามไปชนหน้าต่างและทะลุกระจกลงด้านล่าง...คล้องจองแหะ ข้าชะโงกหน้าออกไปดูอย่างไม่กลัวใครรู้ว่านั่นเป็นฝีมือข้าเพราะยังไงก็มีชื่อในใบประกาศจับอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องกลัว ร่างนั้นตะเกียดตะกายร้องขอความช่วยเหลือกับปีศาจต่างๆที่ผ่านไปมา ข้านึกแล้วว่าแค่นั้นมันต้องไม่เป็นอะไร

    “หยุดอย่าขยับ!! เจ้าถูกจับในข้อหาทำร้ายร่างกายนักล่าฆ่าหัวของทางการ!!!

    “หื้ม?”ข้าร้องคางในลำคอก่อนจะส่งจิตรับจิตสื่อสารที่ส่งมา ไม่คิดแม้แต่จะสนใจเหล่าทหารราชองค์รักษ์ที่กำลังชี้อาวุธมาที่ข้าสักนิด

    “มีอะไรเดม่อน...ข้าจัดการทางนี้เสร็จแล้วพวกเจ้าอยู่ที่ไนหกันน่ะ เดี๋ยวข้าตามไป”

    “ท่านฟราน...รีบมาเถอะขอรับ...บางที..ท่านอาจไม่อยากเห็น...เพียงแต่...”

                    ข้าเลิกคิ้วให้กับคำพูดที่ดูสับสนและงุนงงแปลกๆของเดม่อน ก่อนจะโบกมือเป็นคลื่นลมไล่ทหารที่กำลังดาหน้าเข้ามาให้พ้นหูพ้นตา

    “อะไรของเจ้า เอาเป็นว่าเดี๋ยวข้าไปหาก็แล้วกันนะ รออยู่ตรงนั้นนั่นแหละ”ข้าว่ายิ้มๆก่อนจะสลายตัวเป็นหมอกไปอย่างทันที ทิ้งไว้เพียงความประหลาดใจและความเละเทะในห้องแห่งนี้เท่านั้น

     

    “อะไรของเจ้ากันเดม่อน พูดก็พูด...”

                    บึก!!

                    ยังไม่ทันที่ข้าจะกล่าวคำพูดทักทายบ่นเดม่อนให้เสร็จสับทันทีที่หายตัวมาถึง ช้าก็โดนใครบางคนชนจนตัวเองเซเอง ก่อนจะมองให้ชัดๆว่าคนในอ้อมแขนข้าคือ...ซีโร่..ที่เต็มไปด้วยบาดแผลและคราบเลือด ดวงตาสีสวยหรี่ลงเหมือนจะหลับ พอหันไปมองด้านหลังพบเดม่อนที่ทรุดอยู่กับพื้น เลยไปด้านหลังข้าก็พบกับเรย์ที่ยืนกลางแขนข้างเดียวบังท่านพี่ที่ทรุดลงไปเช่นเดียวกับเดม่อน

    “ท่ะ...ท่านฟราน ท่านไม่ควรมาที่นี่ หนีไปเถอะขอรับ”

                    น้ำเสียงแหบพล่าเอ่ยบอกกับข้าอย่างเป็นห่วงเป็นใยเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ทั้งในตอนที่ข้าหกล้ม ทั้งตอนที่ข้าร้องไห้ ทั้งตอนที่เสียสิ่งที่รักไป คนที่คอยอยู่ข้างข้าก็คือซีโร่ แล้วใครกัน..ใครกันที่บังอาจมาทำร้ายพี่ชายอีกคนของข้า!!!

                    ดวงตาสีฟ้าสวยปิดสนิทลงพร้อทมเสียงลมหายใจแผ่วๆ ข้าลุกขึ้นผยุงร่างของซีโร่ไปให้กับเดม่อนก่อนจะหันมาหมายจะมองให้เห็นหน้าของปีศาจที่มันทำร้ายซีโร่ แต่มันกลับขี้ขลาด ระเบิดพลังใส่พื้นดินให้ฝุ่นคลุ้ง แต่เรื่องแค่นั่นมันไม่เคยหยุดความตั้งใจของข้าได้

    “ฟราน...อย่าไป”

    “ท่านพี่...”ข้าหยุดนิ่งก้มหน้าลงกลับพื้น ไม่แม้จะหันไปมองคนอื่นๆ

    “ถ้าเจ้าไป...เจ้าจะต้องเจ็บปวด อย่าทำร้ายตัวเองเลย น้องข้า”

    “แล้วเท่านี้ข้ายังเจ็บปวดไม่พออีกงั้นหรือ ช่วยคนที่เปรียบเสมือนพี่ชายก็ไม่ได้ ปกป้องพี่ชายตัวเองก็ไม่ได้ ปกป้องไม่ได้...แม้แต่สิ่งสำคัญของตัวเองแบบนั้น มันจะไม่เจ็บปวดกว่างั้นหรือถ้าข้าไม่ทำอะไรเลย?”

                    ข้ากล่าวเสียงเรียบ ปกติบทนี้มันควรจะร้องไห้ออกมาสินะ...ไม่ร้องดีกว่ามั้ง

    “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น”

                    ข้าฟังท่านพี่จบประโยคนั้นก็กระโจนไล่ตามร่างของปีศาจที่ห่างไกลข้าอยู่ไม่มากด้วยความเร็วที่ทัดเทียมกัน พอเข้าสู่เขตป่ารอบตัวมันก็มืดมิดลงเสียอย่างนั้น แต่ช่างประไร ความมืดไม่เคยทำอะไรข้าได้อยู่แล้ว เสียงฝีเท้าของข้าและคู่กรณีดังกังวานไปทั่งผืนป่าใหญ่ ดวงตาสีแดงที่เรืองรองทำให้ง่ายต่อการที่ข้าจะค้นหามัน ข้าขยับยิ้มเหี้ยมก่อนจะซัดมีดสั้นที่ขโมยท่านพ่อมาก่อนออกเดินทางเข้าใส่มัน มันกระโดดหลบได้อย่างรวดเร็วจนน่าชื่นชม แต่ช้าไปนิดว่ะพวก

                    พลั่ก!!!

                    แม้อาวุธระยะกลางอย่างมีดสั้นบินจะไม่โดนตัวมันแต่กับเท้างามๆของข้าซึ่งจัดเป็นอาวุธระยะประชิดกลับได้ผล ฝ่าเท้าที่งดงามประทับเข้าที่หน้าอกของร่างนั้นเต็มๆ พอมาถึงจุดนี้ถึงได้มั่นใจว่าร่างนี้มันไม่ใช่ผู้หญิงแน่ ข้าจะได้สู่ถนัดๆหน่อย ไม่ชอบรังแกผู้หญิง มันเสียภาพพจน์รู้เปล่า-3-

                    ร่างนั้นถึงแม้จะโดนถีบล่วงจากต้นไม้ไปแล้ว แต่เรื่องการเอาตัวรอดนับว่ายอดเยี่ยม มันพลิกตัวกลับกลางอากาศก่อนจะคว้าเอากิ่งไม้กิ่งหนึ่งแล้วหมุนตัวขึ้นมาอยู่บนกิ่งไม้กิ่งนั้นได้ มันอยู่ในทานั่งลิงทะโมน ถึงเพราะมืดเลยเห็นแค่เงารางๆไม่เห็นใบหน้าแต่มันก็พอจะบอกได้ด้วยความรู้สึกว่ามันกำลังแสยะยิ้มอยู่ น่าหมั่นไส้ดีแท้ เส้นผมสี(คราดว่า)ดำยาวพลิ้วไสวน้อยไปกับสายลมที่พัดผ่านมา

    “เอาเลยไหมล่ะ ท่านปีศาจหนุ่ม”

                    มันไม่ตอบรับคำถามแต่พุ่งเข้าใส่แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย มีกลองมีฆ้องวง อ๊ะ!เกินงั้นเหรอ ช่างมันก่อน ข้าเอี้ยวตัวหลบเรียวขาที่เตะผ่านตัวข้าไปนิดนึงก่อนจะเบี่ยงตัวก้มลงไปนั่งท่าลิงทะโมนแล้วดึงเอาขาของปีศาจตนนั้นมา มันเสียหลักลงไปห้อยหัวต่องแต่งๆก่อนที่จะสะบัดหลุดออกไป อ้าวเฮ้ย!!ในมือข้านี่มัน...รองเท้า ปีศาจใส่รองเท้า แต่มันก็ไม่แปลกนี่เน๊อะ?? มันหมุนตัวสามตลบก่อนลงไปยืนอยู่กับพื้นแล้วถอดเอารองเท้าอีกข้างออกและปาทิ้ง ทำไมไม่มาเอาอีกข้างที่ข้าไปใส่ให้มันดีล่ะเนี่ย

                    ข้ากระโดดลงจากต้นไม้พร้อมปารองเท้ามันทิ้ง นิ้วเรียวของมันยกขึ้นมากระดิกดิ๊กๆเป็นหมายเหตุว่ากำลังเรียกข้าเข้าไปสู้ด้วย พูดไม่ได้หรือไงกัน??? ข้าคิดว่าสู้ในป่าแบบนี้การใช้อาวุธอย่างสามง่ามมันจะเกะกะไปนิดเลยไม่ได้เรียกสามง่ามออกมา ใช่เพียงแค่มีดสั้นที่ขโมยท่านพ่อมาก็เท่านั้น ร่างนั้นดูไม่หยี่ระ มองจากเงาน่าจะกลางกงเล็บออกมาแล้วล่ะมั้ง ก็ปีศาจนี่เนาะ ข้ายืนดูเชิงอยู่พักใหญ่ก่อนจะพุ่งเข้าใส่มัน มีดสั้นตวัดฉับกะเอาส่วนใดส่วนหนึ่งเป็นพอ แต่มันเบี่ยงตัวหลบได้อย่างง่ายดาย แต่คิดว่าข้าคิดแผนไว้แค่นั้นงั้นหรือ??? คิดผิด!

                    ระหว่างที่หลบถ้าไม่โจมตีเพิ่มแขนมักจะกลางออกห่างตัวเล็กน้อยข้าอาศัยจังหวะนั้นจับแขนมันแล้วยกขึ้นทุ่มเลย ตัวเบาแท้...มันเป็นผู้ชายแน่หรอวะ?? แต่ดูเหมือนฝ่ายที่คิดแผนเอาไว้จะไม่ได้มีแต่ข้าแค่ฝ่ายเดียว ทันทีทีช้าจับมันทุ่มแน่นอนว่ามันต้องอยู่ในสภาพนอนหงายแต่มันใช้มืออีกข้างยันไว้ก่อนตัวจะถึงพื้นแล้วส่งตัวขึ้นถีบหน้าข้า ข้าจึงจำต้องปล่อยมือพร้อมเอี้ยวตีวหลบขาคู่นั้นไปด้วย มันเลยเอามือยันพื้นทั้งสองข้างแล้วตีลังกากลับมายืนตัวตรงอีกหน...ร้ายนี่หว่า

                    ข้าพุ่งเข้าใส่มันอีกรอบ มันตั้งท่าเตรียมตัวรับมีดสั้นเต็มที่แต่ขอบอก...ฟรานไม่ชอบอะไรจำเจ แทนที่จะกระโดดถีบยอดหน้าหรือเอามีดเสียบพุงข้ากลับ...ไถลนอนไปกลับพื้นรอดใต้หว่าข้ามันก่อนจะพลิกกลับตัวด้วยความรวดเร็วกลับมายืนอีกครั้งก่อนจะยกข้าขึ้นตวัดเต็มเข้าที่ชายโครงมันไปเต็มแรง ถึงแม้จะยกมือขึ้นกันไว้ได้แต่แน่นอนว่ากระดูกแขนอาจจะร้าว แรงขามันน้อยๆเสียเมื่อไหร่กันเล่า

    “ยอมให้ข้าซ้อมให้หนำใจดีๆดีกว่านะ แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไป”

                    มันเพียงยกมือกุมแขนตัวเองแล้วแสยะยิ้มก็เท่านั้น ไม่พูด...นี่หยิ่งหรอเนี่ย???? ยังไม่ทันจะหายสงสัยว่าหยิ่งหรืออะไรมันก็พุ่งใส่ข้าก่อน ดูเหมือนแขนขวาที่ยกขึ้นกันจะเดี้ยงไม่เป็นท่ามันเลยยกแขนซ้ายขึ้นมาพุ่งเข้าซัดหน้าข้าแต่เหมือนเพราะไม่ถนัดล่ะมั้งมันถึงได้ค่อนข้างช้ากว่าแขนข้างขวานิดหนึ่งข้าเลยยกมือขึ้นรับได้สบายๆ แต่เหมือนนั่นจะเป็นแผนล่ะมั้ง มันกระโดดขึ้นทั้งๆที่มือยังอยู่ที่ข้าพร้อมกับถีบขาคู่ใส่ที่ท้องข้าแต่ด้วยประสาทสัมผัสอันไวยิ่งข้าก็เลยจับขาทั้งสองไว้ได้ทันท่วงทีแต่ดูท่าจะมีมือไม่พอ...รับได้แค่ขาข้างเดียวอ่ะ ตามสัญชาตญาณข้าเลยปล่อยมือที่แขนมันมาจับขาเอาไว้แทนเสียนี่ มันที่มีสภาพห้อยหัวเลยตั๊นหมัดเข้ากับเท้าข้าเต็มๆ

                    ถือว่าฝีมืออีกฝ่ายไม่ใช่จะขยี้ได้ง่ายๆเลยจริงๆ อยากจะรู้นักเชียวว่ามันป็นใคร??? แต่ก่อนหน้านั้นข้าคงต้องขอรักษาเท้าตัวเองก่อนได้ไหม?? เจ็บสุดๆ แรงช้างเหมือนกันนี่หว่า ขายกขาขึ้นมาเพื่อกุมเท้าตัวเองแล้วกระโดดเหย้งๆ อูย...เจ็บ

    “เฮ้ย!!!! ขี้โกงเด่!!

                    มันอาศัยจังหวะที่ข้ากำลังถามไถ่สารทุกข์เท้าตัวเอง ย่อตัวลงพร้อมวาดขาเตะเข้ากับขาข้า ได้~ เล่นแบบนี้ใช่ไหม?? ข้ายอมล้มไปตามแรงเตะจากขาของมันก่อนจะใช่มือยันพื้นไว้เพื่อทรงตัวและ...หมุน!!! ข้าใช้มือเคลื่อนไหวตัวให้หมุนเป็นพายุพร้อมกลางขาออกเล็กน้อยมันเลยกลายเป็นพายุลูกเตะ(จริงๆ)ไปได้เสียนี่ แล้วอาศัยจังหวะที่มันกำลังหาทางรับมือกับพายุลูกเตะยันตัวกระโดดขึ้นกลับตัวกลางอากาศพร้อมทั้งหยึดเกาะกิ่งไม้ที่ใกล้ตัว

                    ตื้บแม่ม~

                    ข้าถีบเข้ากับท้องของมันเต็มๆก่อนจะจับไหล่มันแล้วกลายเป็นฝ่ายคร่อมมัน ร่างที่ข้าถีบลงไปนอนกับพื้นขัดขืนเอาเรื่อง โชคดีที่มันใส่เสื้อแขนยาวข้าเลยเอามีดสั้นที่ติดตัวอยู่ขึงแขนเสื้อมันไว้กับพื้นดินก่อนจะปักอีกอันเฉี่ยวหูมันไปหน่อยๆแล้วก้มลงกระซิบข้างหู...ท่ามันล่อแหลมแปลกๆ

    “เจ้า-เป็น-ใคร??”

                    ข้าถามเน้นย้ำทุกคำ หวังว่ามันจะเข้าใจภาษาของข้าเพราะดูแล้วปีศาจก็คุยภาษาเดียวกับเราๆ แต่แทนที่จะได้คำตอบกลับมามีพึยงเสียงหัวเราะในลำคอดังหึออกมาก็เท่านั้น...มันกำลังทำข้าโมโหอย่างมาก!! ข้าคว้าหมับบีบเข้ากับใบหน้าของร่างนั้นอย่างไม่ปราณีแต่แล้วกลับต้องค่อยๆคลายมือออกเมืองกิ่งไม้ด้านบนโดนลมพัดเอนไปทำให้แสงอาทิตย์ส่องเข้ามาเพียงชั่วครู่ แม้จะครู่เดียวก็จริงแต่มันก็มากพอทีจะทำให้ขาเห็นว่าคนที่ตัวเองกำลังบีบหน้าอยู่มันเป็นใคร

    “อลาวดี้....”

    “เหอะ....ใครๆต่างก็เรียกข้าแบบนั้น ไม่รู้ว่าชื่อนี้มันดีตรงไหน”

                    น้ำเสียงทุ้มนุ้มกล่าวราบเรียบติดหยิ่งผยอง ไม่ผิดแน่นี่มันเสียงของอลาวแน่นอน ข้าปล่อยมือออกจากใบหน้านั้นท่ามกลางความงุนงงของเจ้าของร่าง มองพิจารณาทั้งโครงหน้าและนัยน์ตา แม้เส้นผมนั่นมันจะยาวเร็วเกินไปกว่าที่ควร แม้ทั้งกลิ่นไอ ทั้งแววตาที่หยิ่งผยอง มันจะไม่ใช่ แต่อลาวก็นยังคืออลาว.... ข้าไม่อาจจะสะกดกลั้นความโหยหาได้แม้ว่าร่างตรงหน้าอาจจะไม่มีสติคงเดิมเป็นของตัวเองก็ตาม ข้าก้มลงสวมกอดร่างนั้นอย่างลืมตัว ทั้งดีใจที่ได้พบและเสียใจที่อีกฝ่ายไม่เหมือนเดิม แต่เพราะความรู้สึกเหล่านั้นมันจะบดบังความคิดที่ต้องระวังตัวออกไปเสียหมด

                    ร่างนั้นพลิกกลับขึ้นมาเป็นฝ่ายคร่อมข้าแทน เสียงแขนเสื้อฉีกขาดเรียกข้าให้คืนสติ พลาดแล้ว....

    “เป็นอะไรไป...เจ้าลูกมนุษย์ อยู่ดีๆมาสวมกอดข้าทำไมกัน”

                    ลูกมนุษย์??? อย่าบอกว่าร่างตรงหน้าจำข้าไม่ได้...ไม่สิเมื่อครู่ที่เขาพูด เขาจำไม่ได้แม้แต่ชื่อตัวเองด้วยซ้ำ!

    “น่าเสียดาย ทั้งที่เจ้ามันน่าสนุกแท้ๆเพียงแต่...ข้ากำลังหิว ขอรับเลือดเจ้าไปแล้วกัน”

                    น้ำเสียงหยิ่งผยองติดสนุกเอ่ยกับข้า แต่แทนที่ข้าจะดิ้นรนเพื่อเอาตัวข้ากลับอยู่ ในใจคิดเพียงว่าเพราะอีกฝ่ายคืออลาว แค่เท่านั้นข้าก็ไม่กล้าลงมืออะไร แบบนี้สินะท่านพี่ถึงห้ามไม่ให้ข้ามาเพราะรู้ว่าข้าไม่กล้าจะลงมือทำอะไรถ้ารู้ว่าเป็นอลาว และไม่อยากให้ข้าต้องมารับรู้ว่าคนทีตัวเองวิ่งตามมา จำแม้แต่ชื่อข้าไม่ได้...

    “ถ้าพบกันคราวหน้า อย่าเข้าใกล้ข้าฟราน...ขอร้อง ข้าไม่อยากทำร้ายเจ้า”

                    อลาวเผยอปากออกเผยให้เห็นคมเขี้ยวสีขาวงาช้างในปาก หึอลาวก็ยังเป็นอลาว ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็สง่างามไม่เปลี่ยน….

                    ฉึก!

    “อึก!!

                    เจ็บ...คมเขี้ยวสีขาวฝังลงกับต้นคอข้าโดนที่ข้าไม่ต่อต้านสักนิด คิดในแง่ดีนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่อลาวกัดคอข้าสักหน่อย แม้มันจะคนละเหตุผลก็เหอะ ข้ารับรู้ได้ถึงเลือดในกายที่ถูกสังเคาระห์ขึ้นมาจากกายหยาบกำลังถูกสูบไปพร้อมๆกับจิตวิญญาณบางส่วนก่อนการส่งถ่ายเลือดนั้นจะหยุดลง คมเขี้ยวถูกถอนออกอย่างน่าประหลาดใจ ใบหน้าที่คุ้นเคยค่อยๆเงยขึ้นมาพร้อมๆกับแววตาที่เปลี่ยนไป

    “ฟราน....”

     

                    ข้ารับรู้ได้ถึงบางอย่างที่กำลังไหลเข้ามาในปากของข้า เลือด?? นี่มันกลิ่นเลือด เลือดอุ่นๆทะทักเข้ามาไม่หยุดหย่อน ข้าลืมตาโพลงด้วยความตกใจแต่แล้วกลับได้พบกับกลิ่นทีคุ้นเคย...กลิ่นวนิลา??  แม้จะมืดพอควรแต่ข้าก็มองเห็นเส้นผมสีขาวพิสุทที่อยู่ห่างใบหน้าข้าไม่ถึงคืบ ข้าค่อยๆพยุงตัวขึ้นภาวนาให้กลิ่นที่ได้รับมันผิดเพี้ยนทีเถอะน่า แต่เหมือนจมูกข้ายังดีเกินไป ดวงหน้าที่คุ้นเคยลอยเด่นอยู่ในสายตาข้า ใบหน้านั้นยังคงประดับยิ้มไม่จางหาย

    “ฟราน....”ข้าร้องเรียกเจ้าของใบหน้าด้วยความอดกลั้นก่อนปล่อยน้ำตาออกมาอย่างทนไม่ไหว

                    ทำไมต้องเป็นข้า...ที่ทำร้ายเจ้าอีกแล้ว

                    แล้วทำไมเจ้า...ยังให้อภัยข้าเสมอเล่า!!!

    “อย่าร้องไห้สิอลาว น้ำตามันไม่เหมาะกับใบหน้าเจ้าเลยสักนิดนะ”

                    ผ่ามืออุ่นๆยกขึ้นลูบใบหน้าข้า ในแววตาที่อบอุ่นสะท้อนให้เห็นตัวข้าที่เปลี่ยนไป เส้นผมสีดำสนิทยาวถึงกลางหลังกับเขี้ยวแหลมๆสีงาช้างที่มุมปากทั้งสองข้าง ไม่จริงน่านี่มันเกิดอะไรกับข้า???

    “หยุดร้องไห้ได้แล้ว ข้าจำได้ว่าเจ้าไม่ใช่คนขี้แงสักหน่อย ดูสิ....”

                    ฝ่ามือที่กำลังปาดน้ำตาให้ข้าลดลงมาข้างตัวในช่วงเวลาที่ข้ากำลังจะจับมันเอาไว้ เปลือกตาบางปิดลงซ่อนดวงตาสีม่วงไว้ภายใน

    “ฟระ...ฟราน...”

    “ฟรานนนนนนนนนนนนนนนนนน”

     

                    ร่างสูงรีบเร่งเดินอย่างว่องไปให้ถึงห้องของตนโดยฉับพลันเมื่อมีทหารเดินมาส่งข่าวว่าราชาสวรรค์จะติดต่อมาหาเขาเพื่อส่งข่าว อลันก็เร่งรีบออกมาจากการประชุมทั้งๆที่ยังประชุมไม่เสร็จเสียด้วยซ้ำ สองเท้าเร่งรีบทำความเร็วเข้าห้อง เดินผ่านทหารด้วยความเร็วสูงสุดจนเหล่าทหารทำความเคารพกันไม่ทันเลยทีเดียว

    “ท่านพ่อ”

                    อลัวซ์กล่าวเรียกชื่อผู้เป็นพ่อทันทีที่เห็นอีกฝ่ายเดินเข้ามาถึง ทางด้านหน้าเป็นกระจกที่สะท้อนให้เห็นเงาผู้ติดต่อทั้งสามคน คือราชาสวรรค์ เจ้าชายสวรรค์ลำดับสอง และเจ้าชายนรกลำดับสองที่ขึ้นไปช่วยงานด้านบน

    “ได้ข่าวอะไรมาบ้างฟีเนอร์??”

                    ร่างสูงเอ่ยถามอย่างร้อนใจ ในใจได้แต่เป็นห่วงลูกชายคนสุดท้องรวมถึงคนอื่นๆที่ออกไปตามหาลูกชายเขาด้วย

    “ก่อนอื่นเอาเรื่องนี้ก่อนก็แล้วกัน เมื่อวาน...เฟรนด์ติดต่อข้ามาทางจิต ในความฝัน แล้วพ่อข้าก็โพล่ออกมาด้วย”

    “ท่านลุง???”

                    อลันทวนคำก่อนจะหันไปมองหน้าลูกชายคนโตเหมือนจะให้ยืนยันว่าได้ยินถูกต้อง

    “ใช่ พ่อข้านั่นแหละเขามาบอกว่าเรื่องราวทั้งหมดคนที่รู้ดีที่สุดตอนนี้คือท่านอา หรือก็พ่อของเจ้านั่นแหละ ข้าเลยอยากรู้ว่าตอนนี้พ่อเจ้าอยู่ที่ไหน?”

                    อลันเมื่อได้ยินคำถามก็ยกมือขึ้นลูบคางอย่างใช้ความคิด

    “ท่านพี่...ท่านน่าจะรู้ไม่ใช่หรอ ท่านติดต่อกับท่านปู่นี่”อเล็กซ์เอ่ยทักพี่ชายคนโต่ที่นั่งจิบชาอยู่ข้างๆพ่อตัวเอง

    “จะว่าติดต่อน่ะมันก็ใช่...เพียงแต่นั่นมันก่อนที่อลาวจะหายไป ตอนนั้นท่านปู่บอกว่าจะไปเที่ยวต่างโลก”

    “ต่างโลก? ไม่ใช่ว่าปู่ของเจ้าไปเที่ยวแดนปีศาจแล้วหรือ?? บางทีเขาอาจจะอยากไปเยี่ยมบ้านเกิดของลูกสะใภ้บ้างก็ได้ อ่า...ช่างเป็นพ่อตาที่ดีอะไรเช่นนี้นะ”ฟรานเริ่มการบรรยายไร้สาระของเขาแล้ว

    “แม้มันจะเยอะแยะจนน่ารำคาญนะฟราน แต่ก็มีโอกาสที่ท่าปู่จะอยู่ที่แดนปีศาจนะขอรับท่านพ่อ”

                    อเล็กซ์ที่ได้ผลักหัวฟรานไปหน่อยหันมาบอกกับบิดาของตนที่คิดไม่ตก

    “ก็อาจจใช่ ท่านพ่อมีความสารถไปไหนมาไหนได้ทุกที่ไม่เว้น แต่เขาไม่น่าจะไปคนเดียว...เข้าต้องลากท่านลุงไปด้วยสิ ฟีเนอร์ท่านแน่ใจนะว่าพ่อท่านไม่ได้ไปกับพ่อข้าด้วยน่ะ??”

    “เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้ เขามาบอกแค่คนที่รู้เรื่องราว ต้นสายปลายเหตุคือพ่อเจ้าเท่านั้น เจ้าก็รู้พ่อข้าเขาอินดี้จะตายไป”

                    อลันถอนหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย มันมีข้อมูลให่มาที่พอจะช่วยอะไรๆได้บ้างแต่ทำไมมองๆแล้มันดูไร้ประโยคและงี่เง่าสิ้นดีล่ะ? ราชานรกได้แต่คิดแสงสัยพลางยกชาขึ้นจิบเพื่อคลายเครียด

    “เรื่องพ่อข้าพ่อเจ้าไปฮันนีมูนกันที่ไหนช่างมันเถอะ ตอนนี้อลาวเป็นยัไงบาง พวกฟรานตามหากันไปถึงไหยแล้ว??”

    “ฮันนิมูน?? เรื่องนั้นช่างมันก่อน เอ่อ...ก่อนจะฟังเจ้าช่วยทำใจก่อนได้ไหมอลัน?”

                    ราชารนรกขมวดคิ้วเป็นเชิงตั้งคำถาม

    “มีอะไรงั้นหรือท่านลุง ทำไมดูสีหน้าท่านเคร่งเครียดแบบนั้น เกิดอะไรขึ้นกับอลาวกัน??”อลัวซ์เองก็ดูท่าจะเก็บความสงสัยที่เกิดจากการจับสีหน้าของราชาสวรรค์ไม่ไหว

    “ข้าบอกไปแล้วอย่าเพิ่งโวยวายไปเสียล่ะ”

    “อะไร? ข้าหวังว่าท่านคงไม่ได้พามุกตลกฝืดๆเล่นให้ข้าปวดหัวในยามคับขันนะ ฟีเนอร์”

    “อลาวกลายเป็นปีศาจไปแล้ว”

    “ว่ายังไงนะ??”

                    อลันเบิกตาโพลงไม่คิดว่าจู่ๆอีกฝ่ายจะบอกออกมาแบบไม่ทันตั้งตัว

    “ข้าก็ไม่รู้รายละเอียดมากนักเพราะเฟรนด์เองก็ไม่รู้ แต่เขาถูกลูกเจ้าที่ถูกทำให้เป็นปีศาจทำร้ายเข้า”

    “อลัวซ์...”

    “ขอรับท่านพ่อ??”

    “ถ้าหากข้าจะให้เจ้าอยู่ดูแลที่นี่สักระยะได้ไหม??”

    “ท่านหมายถึง...”

    “เฮ้...อะ..อลัน เจ้าใจเย็นๆก่อนนะ”ฟีเนอร์ที่เห็นท่าไม่ดีรีบเข้าช่วยอีกแรง ต่อให้ไม่ได้นั่งอยู่ตรงหน้าแต่ความรู้สึกนี้เขาจำมันได้...อลันกำลังโกธรและโกธรมากเสียด้วย

    “ดูเหมือนข้าจะปล่อยให้พวกเข้าเล่นมาเกินไปจนไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร สิ่งไหนควรเก็บไว้บนหิ้งสูงส่งและสิ่งไหนไม่ควรแตะต้อง สงสัยข้าจะต้องกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดเมียรักพร้อมๆกับนำของฝากไปฝากคุณพี่เขยสักหน่อย”

                    ใบหน้าอบอุ่นยังคงประดับรอยยิ้มเอาไว้แต่นั่น..กลับทำให้ฟีเนอร์รับรู้ถึงภัยร้ายที่จะมาเยือนแดนปีศาจในไม่ช้านี่

                    เพล้ง!

                    แก้วชาในมอของอลันแตกออกเป็นเสี่ยงๆรูปข้าวหลามตัดพอดีเท่ากันทุกชิ้น นัยน์ตาสีแดงวาวโรจน์ชนิดที่เห็นได้ยาก

    “ได้เวลา ชำแระปีศาจแล้วล่ะมั้ง”นั่น..กลับทำให้ฟีเนอร์รับรู้ถึงภัยร้ายที่จะมาเยือนแดนปีศาจในไม่ช้านี่

                    เพล้ง!

                    แก้วชาในมอของอลันแตกออกเป็นเสี่ยงๆรูปข้าวหลามตัดพอดีเท่ากันทุกชิ้น นัยน์ตาสีแดงวาวโรจน์ชนิดที่เห็นได้ยาก

    “ได้เวลา ชำแระปีศาจแล้วล่ะมั้ง”
    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++TBC.++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×