ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ภูแสงจันทร์

    ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ ๕ คำขอร้องของแม่

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 679
      2
      13 พ.ย. 60

     

    คำขอร้องของแม่

     

     

     

     

     

    ใกล้ถึงวันเปิดพินัยกรรมของแสงจันทร์เข้ามาทุกที แม้ภูริชจะไม่รู้ว่าทำไมมารดาถึงอยากให้เขาจัดการเรื่องนี้ก่อนจะถึงวันนั้น แต่ชายหนุ่มก็ตั้งใจจะทำตามโดยไม่มีข้อแม้ ดังนั้นเขาจึงแจ้งการตัดสินใจให้ปิ่นมณีรับทราบพร้อมขออนุญาตจัดการด้วยตัวเอง

     

    ถ้าภูคิดดีแล้วป้าก็ไม่มีอะไรขัดข้องจ้ะ ว่าแต่ภูจะจัดการยังไง บอกป้าได้มั้ยเอ่ย

     

    น้ำเสียงร่าเริงของคนปลายสายบ่งบอกว่าไม่แปลกใจกับการตัดสินใจของเขา

     

    ผมปล่อยให้อินกลับกรุงเทพฯ ไม่ได้ครับ อีกไม่กี่วันจะถึงกำหนดเปิดพินัยกรรมของแม่แล้ว ป้าปิ่นเองก็ได้อ่านจดหมาย คงจะรู้ว่าแม่ต้องการให้ผมจัดการเรื่องนี้ก่อนถึงวันนั้น ชายหนุ่มเลือกบอกไปตามตรง แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้เขาสบายใจขึ้นสักเท่าไร

     

    ต้องรวบรัดอย่างนั้นเลยเหรอภู น้ำเสียงของผู้สูงวัยดูจะไม่ค่อยเห็นด้วยนัก ยายอินเป็นคนมีเหตุผลนะ ถ้าภูพูดกับน้องตรงๆ ป้าคิดว่าแกอาจจะเข้าใจ

     

    เขาถอนใจ คิดใคร่ครวญดีแล้วก่อนจะตัดสินใจแบบนี้ แม้ป้าปิ่นจะยืนยันว่าอินทุภาเป็นคนมีเหตุผล แต่ในกรณีนี้เหตุผลที่เธอต้อง ตกลงคืออะไร เขาตอบไม่ได้ และไม่คิดว่าหญิงสาวจะตอบได้เหมือนกัน

     

    ป้าปิ่นคิดว่าอินจะตกลงง่ายๆ แค่เพียงผมบอกว่าแม่ขอให้ผมทำแบบนี้ก่อนที่ท่านจะเสียอย่างนั้นเหรอครับ ถ้าเหตุผลของผมคือทำตามคำขอร้องของแม่ แล้วอินล่ะครับ เหตุผลที่เธอต้องตกลงคืออะไร

     

    เขาได้ยินเสียงอีกฝ่ายถอนใจ ก่อนจะยกธงขาวยอมแพ้

     

    ก็ได้ภู เอาอย่างที่ภูบอกก็ได้ แต่ภูช่วยรับปากป้าอย่างหนึ่งได้ไหม

     

    แม้จะเครียดแต่ภูริชก็อดขันกับการต่อรองด้วยน้ำเสียงอุบอิบนั่นไม่ได้ อันที่จริงเขาไม่กล้าปฏิเสธคำขอร้องของเธออยู่แล้ว แต่ป้าปิ่นก็เป็นแบบนี้ แม้จะเป็นสาวใหญ่ผู้มาดมั่น เฉียบขาดในทุกการตัดสินใจ และใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า แต่เธอก็มักจะแคร์ความรู้สึกของคนใกล้ตัวเสมอ

     

    ว่ามาเถอะครับ ป้าปิ่นขออะไร ผมก็ให้ได้อยู่แล้ว ป้าปิ่นก็เหมือนแม่อีกคนของผม ผมคิดแบบนั้นเสมอ

     

    งั้นภูช่วยรับปากป้าได้ไหมว่าจะอดทนกับยายอินให้มาก วันหน้าวันหลังเกิดอะไรขึ้น ภูต้องไม่ลืมว่าน้องเป็นคนที่ไม่รู้อะไรเลย หากน้องอาละวาดหรือหาเรื่องภูบ้าง ภูต้องพยายามเข้าใจน้องนะจ๊ะ

     

    “ผมนึกว่าป้าปิ่นเพิ่งบอกว่าอินเป็นคนมีเหตุผลซะอีกนะครับ” ชายหนุ่มเย้าอย่างนึกขัน

     

    “ก็แหม...บางทีเวลาขาดสติ คนเราก็ควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยจะได้ไม่ใช่เหรอ แต่ป้ารับรองนะว่าอินไม่ใช่ผู้หญิงงี่เง่าแน่ๆ ถ้าภูไม่หาเรื่องใส่ตัวก่อน”

     

    เขาอมยิ้ม ผมไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง แต่ผมจะดูแลอินให้เหมือนกับที่แม่และป้าปิ่นคอยดูแลผมมาตลอด ป้าปิ่นเชื่อใจผมได้ครับ

     

    ป้าไว้ใจภู ถึงงั้นก็ยังอดเป็นห่วงทั้งสองคนไม่ได้ แต่ก็เอาเถอะ ตามใจภูแล้วกัน ได้เรื่องยังไงก็โทร. บอกป้าหน่อยละกันนะจ๊ะ

     

    ขอบคุณที่ไว้ใจผมนะครับ ผมสัญญาว่าจะไม่ทำให้ป้าปิ่นกับแม่ที่อยู่บนสวรรค์ต้องผิดหวัง

     

    ชายหนุ่มให้คำมั่นก่อนวางสาย ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องทำแบบนี้อยู่แล้ว มันอาจกะทันหันเกินไป แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว

     

     

     

    อินทุภาถ่ายรูปตะวันลับเหลี่ยมเขาอยู่ที่มุมกาแฟสุดโปรดของเธอ ถ่ายพลางเช็กรูปไปด้วยเพราะอยากได้ภาพที่สวยสุดไว้สะสม แต่เมื่อยกกล้องขึ้นอีกครั้งกลับมีนายแบบโผล่เข้ามากลางเฟรม รูปร่างสูงเพรียวแข็งแรงนั้นช่างเข้ากับเชิ้ตลายทางสีฟ้าขาวจนอดสงสัยไม่ได้ว่าเป็นเสื้อจากแบรนด์ไหน นายแบบใส่แล้วดูดีขนาดนี้ เสื้อคงขายดิบขายดีจนผลิตไม่ทัน  

     

    เขาอมยิ้มน้อยๆ และมองตรงมาเหมือนตั้งใจจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของเธอ แม้มองสบตาภูริชผ่านเลนส์กล้อง เธอยังรู้สึกถึงพลังจากนัยน์ตาคมได้ชัดเจนและมันก็ทำให้จังหวะหัวใจเต้นแปลกไป ยิ่งเมื่อเขาเดินใกล้เข้ามา เธอก็ยิ่งวางตัวไม่ถูก

     

    ขอพี่นั่งด้วยคนได้ไหม

     

    หญิงสาวรีบตั้งสติ ลดกล้องในมือลงและเก็บใส่กระเป๋า ดึงความเป็นตัวของตัวเองกลับมา ตอบขำๆ ว่า “รีสอร์ตของพี่ภูนี่คะ จะนั่งตรงไหนทำไมต้องมาขออินด้วย”

     

    “อ้าว เลยหยุดถ่ายรูปซะแล้ว พี่มากวนอินรึเปล่า” เขาพูดเหมือนรู้สึกผิด แต่รอยยิ้มนุ่มนวลติดริมฝีปากและดวงตาพราวนั้นให้ความรู้สึกตรงกันข้าม

     

    “ถามแบบนี้ถ้าอินบอกว่ากวน พี่ภูจะปล่อยให้อินอยู่คนเดียวไหมคะ” เธอเย้ากลับ

     

    ภูริชหัวเราะน้อยๆ ไม่ตอบเพราะมันชัดเจนอยู่แล้วว่า ไม่

     

    “อินชอบถ่ายรูปเหรอ หรือเป็นช่างภาพ?” เขาชวนคุยเรื่องอื่น

     

    หญิงสาวหลุบตามองกล้องดิจิทัลในกระเป๋าที่ห้อยคอตัวเองแล้วหัวเราะ “ช่างภาพตัวจริงเขาไม่พกกล้องคุณภาพพื้นๆ แบบนี้หรอกค่ะ อินชอบถ่ายภาพเรื่อยเปื่อย เก็บไว้ดูเล่นมากกว่า”

     

    “ขอพี่ดูหน่อยได้ไหม อินถ่ายอะไรไว้บ้าง”

     

    เขายื่นมือมาหา เธอจึงส่งกล้องให้ชายหนุ่มโดยดี เพราะภาพที่ถ่ายเล่นทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความลับอะไร

     

    ภูริชกดดูรูปไปเรื่อยๆ พบว่าอินทุภาถ่ายรูปพระอาทิตย์ทั้งตอนขึ้นจากขอบฟ้าและยามตกดินไว้เยอะมาก

     

    ชอบพระอาทิตย์เหรอ ถ่ายเก็บไว้เยอะเชียว

     

    หญิงสาวหันไปมองตะวันลับเหลี่ยมเขาพร้อมรอยยิ้มบางๆ ค่ะ

     

    ทำไมอินถึงชอบพระอาทิตย์ล่ะ ชายหนุ่มชวนคุยพลางเอียงคอมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเธออย่างเพลิดเพลิน

     

    อินทุภาไม่ได้จัดอยู่ในประเภทสาวสวยสะดุดตาตั้งแต่แรกเห็น หากใบหน้าอ่อนเยาว์และเครื่องหน้าจิ้มลิ้มนั้นก็ชวนมองไม่น้อย

     

    พระอาทิตย์เป็นสัญญาณของการเริ่มต้น สัญลักษณ์ของชีวิต มองแล้วรู้สึกมีพลังค่ะ แต่เวลาตกดินแบบนี้กลับให้ความรู้สึกอบอุ่น โรแมนติกไปอีกแบบ แปลกนะคะ สิ่งเดียวกันแค่มองต่างเวลาก็ให้ความรู้สึกที่แตกต่างได้

     

    เธอไม่ได้ละสายตาจากดาวฤกษ์ที่เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะจักรวาล รอยยิ้มและน้ำเสียงเชื่อมั่นทำให้คนฟังเชื่อสนิทใจว่าคนพูดรู้สึกตามนั้นจริงๆ

     

    อินมองโลกในแง่ดี เขาเหลือบมองภาพเดียวกับเธอ หากต่างความรู้สึกโดยสิ้นเชิง

     

    ใช่...มีแต่คนที่มองโลกในแง่ดีและไม่เคยพานพบกับความโหดร้ายของการมีชีวิตอยู่บนโลกกว้างใหญ่ใบนี้เท่านั้น ที่จะรู้สึกอบอุ่นได้เมื่อมองพระอาทิตย์ตกดิน อินทุภาแตกต่างจากเขามาก หากไม่จำเป็นเขาจะไม่มองภาพนี้ด้วยซ้ำ

     

    หญิงสาวมุ่นคิ้ว ละสายตาจากภาพตรงหน้า หันมามองเขาอย่างสนใจ ทำไมพี่ภูคิดแบบนั้นคะ

     

    ชายหนุ่มตื่นจากภวังค์ หันไปสบตาเธอ บางทีเขาอาจเผลอบอกอะไรมากไป อาจเพราะดวงตาใสแจ๋วคู่นั้นทำให้เขารู้สึกว่าเธอพร้อมจะเข้าอกเข้าใจและรับฟังทุกเรื่อง

     

    ภูริชเพิ่งสังเกต ดวงตาของอินทุภาให้ความรู้สึกอบอุ่น ละม้ายดวงตาของคนที่เขาคุ้นเคยมาเนิ่นนาน ดวงตาของแม่แสงจันทร์ 

     

    แปลก...มีหลายสิ่งเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้ที่ทำให้เขานึกถึงแม่  

     

    ชายหนุ่มรีบปัดความรู้สึกนั้นแล้วฝืนยิ้ม ก็อินบรรยายความรู้สึกเวลามองพระอาทิตย์ตกดินแล้วทำให้พี่อยากมองมันใหม่อีกครั้งน่ะสิ นี่ถ้าไม่ใช่ศิลปินก็คงพูดแบบนี้ไม่ได้หรอก

     

    เธอหัวเราะด้วยเสียงที่ชวนฟัง อินชอบวาดรูป ชอบถ่ายรูป ชอบการออกแบบ ชอบธรรมชาติ ชอบงานศิลปะ แต่อินไม่ใช่ศิลปินค่ะ

     

    งั้นพี่ทายว่าอินเป็นนักออกแบบ เขาว่ายิ้มๆ

     

    ใช่...เขาต้องทายถูกอยู่แล้วเพราะป้าของเธอเป็นคนบอกเอง

     

    อินทุภาเอียงคอน้อยๆ มองชายหนุ่มด้วยแววตาจับผิด พี่ภูแอบถามป้าปิ่นรึเปล่าคะ

     

    เขาหัวเราะกลบเกลื่อน พี่ทายถูกละสิ

     

    เรื่องอะไรที่เขาต้องยอมรับ!

     

    เธอยิ้มแล้วอวดอย่างภาคภูมิใจ อินเป็นนักออกแบบภูมิทัศน์ค่ะ ออกแบบด้วยแล้วก็ลงมือจัดสวนเองด้วย  

     

    ตัวเล็กๆ อย่างอินนี่เหรอที่ลงมือจัดสวนเอง

     

    เขามองเธออย่างนึกทึ่ง รูปร่างบอบบางและผิวพรรณขาวผ่องของอินทุภาไม่บ่งบอกเลยว่าจะต้องทำงานภาคสนามด้วย

     

    แน่นอนสิคะ เธอพยักหน้ายืนยัน

     

    ชายหนุ่มอมยิ้ม แต่ก็เหมาะกับอินดีนะ”

     

    ว่าแล้วก็ก้มมองนาฬิกาข้อมือ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาเธอ

     

    “เย็นแล้ว กินข้าวเป็นเพื่อนพี่หน่อยสิ วันนี้มัวแต่ยุ่งกับงานเอกสาร พี่ยังไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เที่ยง”

     

    เป็นการชวนที่ทำให้หญิงสาวหมดสิทธิ์ปฏิเสธ

     

    “ที่นี่นะคะ จะมืดแล้ว ถ้าเข้าเมืองพี่ภูต้องหิ้วท้องรออีกนาน”

     

    เขาพยักหน้ายิ้มๆ และโบกมือเรียกพนักงานมารับออร์เดอร์ คราวนี้สั่งอาหารชุดเดียวกับเมื่อวาน แต่กำชับว่าขอรสกลางๆ เพราะอินทุภากินรสจัดไม่ได้

     

    เธอกล่าวขอบคุณในความเอาใจใส่ของเขา  ระหว่างรออาหารมาเสิร์ฟ ชายหนุ่มยังชวนคุยอย่างไม่รู้สึกเบื่อหน่าย

     

    “ถ้าอินไม่ได้เป็นนักออกแบบล่ะ อยากทำอย่างอื่นบ้างไหม

     

    หญิงสาวนึกอยู่ครู่หนึ่งก็หัวเราะเบาๆ ไกด์ค่ะ อินชอบท่องเที่ยว ถ้าได้ทำงานไปด้วยเที่ยวไปด้วยแบบนั้น ไม่แน่ว่าอาจจะลืมงานออกแบบไปเลยก็ได้ แล้วพี่ภูล่ะคะ ชอบงานที่ทำอยู่ตอนนี้รึเปล่า 

     

    เขาถอนใจ แต่ท่าทีดูผ่อนคลาย ไม่รู้สิ พี่รู้แค่ว่าต้องดูแลที่นี่แทน...แม่

     

    ตอนท้ายคำพูดสะดุดเล็กน้อย แต่ในที่สุดเขาก็จบประโยคลงได้และหวังว่าคนฟังจะไม่ทันเอะใจ

     

    พี่ภูตอบไม่ตรงคำถาม

     

    เธอย่นจมูก แต่ไม่ได้เซ้าซี้ต่ออย่างที่เขานึกกลัว

     

    พี่ภูรู้จักป้าปิ่นมานานแค่ไหนแล้วคะ

     

    ชายหนุ่มเลิกคิ้ว แปลกใจกับการเปลี่ยนหัวข้อสนทนากะทันหัน แอบสงสัยว่าเธออ่านใจคนรอบข้างได้หรือเปล่า เพราะเขาไม่อยากคุยเรื่องนั้นต่อจริงๆ รอยยิ้มของอินทุภาสดใส เขารู้สึกผ่อนคลายและยิ้มตอบเพื่อส่งคำขอบคุณผ่านดวงตา

     

    อาหารทยอยมาเสิร์ฟทีละจาน เขาชวนให้เธอเริ่มกินมื้อเย็นอย่างไม่รีบร้อนและคุยกันไปด้วย

     

    นานเกือบเท่าอายุของพี่เลยละ ป้าปิ่นเป็นเพื่อนรักของแม่และมาเที่ยวที่นี่ทุกปี แปลกนะที่เราเพิ่งได้เจอกัน

     

    นั่นสิคะ ป้าปิ่นหนีมาเที่ยวที่นี่ทุกปี แต่ไม่เคยพาอินมาด้วยเลย ทำไมก็ไม่รู้สิ

     

    เขานิ่งไปสักพัก ก่อนถามอย่างลังเล อินเชื่อเรื่องพรหมลิขิตไหม

     

    เธอนิ่วหน้า ไม่รู้สิคะ ครูของอินสอนให้เชื่อในสิ่งที่พิสูจน์ได้ เรื่องพรหมลิขิตอะไรเนี่ย อินยังไม่เคยพิสูจน์ซะด้วย ขอตอบว่าไม่เชื่อก็แล้วกัน

     

    ว่าแล้วก็หัวเราะ ดูไม่เดือดร้อนว่าความเห็นนั้นจะตรงกับความคิดของเขาหรือไม่ พูดในสิ่งที่ตัวเองคิดและเชื่อ แม้จะขัดแย้งกับความคิดเห็นของคู่สนทนา

     

    ชายหนุ่มสรุปว่าอินทุภาเป็นผู้หญิงที่ตรงไปตรงมาและไม่นิยมพูดจาเอาใจใคร

     

    ตอนแรกพี่ก็ไม่เชื่อ แต่ตอนนี้เริ่มไม่แน่ใจแล้ว

     

    ภูริชมองสบตาเธอราวกับจะบอกให้รู้ว่าความเชื่อมั่นนี้มีที่มาที่ไป 

     

    อินทุภารู้สึกว่าจังหวะหัวใจเต้นแปลกไปอีกแล้ว แต่ครู่ต่อมาชายหนุ่มก็ชวนเปลี่ยนเรื่องอีก

     

    อินชอบที่นี่ไหม 

     

    เธอกะพริบตา ทำความเข้าใจกับคำถามก่อนพยักหน้า ค่ะ คงจะดีถ้าได้ใช้ชีวิตอยู่ในที่ที่เหมือนกับรีสอร์ตภูแสงจันทร์ ที่นี่สวยมากเลยนะคะ ใกล้ชิดธรรมชาติ กลมกลืนและลงตัว

     

    ถ้าอินชอบก็อยู่ที่นี่สิ

     

    หญิงสาวเผลอจ้องตาเขาแล้วก็มีอันต้องพูดอะไรไม่ออก นัยน์ตาคู่คมดูจริงจัง ไม่มีแววล้อเล่นเลย

     

    พี่พูดจริงนะ ไม่ได้ล้อเล่น ถ้าอินสงสัยเรื่องนั้น ชายหนุ่มย้ำอย่างหนักแน่น

     

    แล้วพี่ภูจะให้อินมาทำอะไรที่นี่ล่ะคะ อีกอย่างเราเพิ่งเจอกันแท้ๆ พี่ภูยังไม่รู้จักอินดีด้วยซ้ำ กล้าชวนมาอยู่นี่เลยเหรอ ถึงอินจะเป็นหลานป้าปิ่นก็เหอะ ว่าแล้วก็หัวเราะ ตักไข่เจียวกุ้งสับเข้าปากแก้เก้อ เขาจึงไม่ได้เห็นแววตาของเธอว่ามีความหวั่นไหวซ่อนอยู่มากเพียงใด

     

    แปลกแต่ปฏิเสธไม่ได้ เพียงไม่กี่วันที่เจอกัน ภูริชดึงความรู้สึกหลากหลายที่เธอไม่เคยรู้จักออกมาจากตัวเธอเอง ไม่เคยมีใครทำให้เธอรู้สึกได้แบบนี้...    

     

    อีกหน่อยเราจะรู้จักกันมากขึ้น เขาพูดราวกับจะให้คำมั่น

     

    เธอเงยหน้าขึ้นสบตาชายหนุ่มเพราะน้ำเสียงที่หนักแน่นนั้น นัยน์ตาคู่คมเปี่ยมด้วยความจริงจังและราวกับจะเชิญชวนให้เธอตอบรับอยู่เนืองๆ

     

    ทั้งคู่สบตากันเนิ่นนานแล้วเขาก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบลงก่อน

     

    พี่จริงจังกับเรื่องนี้นะอิน ลองคิดดูได้ไหม

     

    จังหวะที่เหมือนจะครอบคลุมไปด้วยความเงียบงันก็ถูกพนักงานประจำห้องอาหารทำลายลง

     

    ขอโทษครับคุณภู ได้เวลาปิดห้องอาหารแล้ว คุณภูต้องการอะไรเพิ่มรึเปล่าครับ

     

    อินทุภารีบก้มมองนาฬิกาข้อมือทันทีแล้วก็มีสีหน้าตกใจ แต่เขาไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นเพราะรู้อยู่แล้วว่าห้องอาหารของภูแสงจันทร์เปิดปิดกี่โมง

     

    สี่ทุ่มตรงแล้ว แม้แต่ภูริชเองยังตกใจ สงสัยว่าตัวเองนั่งคุยกับคนเพิ่งรู้จักได้นานเป็นชั่วโมง และลืมแม้กระทั่งเวลาแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

     

    อินอยากได้อะไรเพิ่มไหม เขาถาม

     

    เธอส่ายหน้า ไม่ค่ะ งั้นอินกลับห้องพักก่อนดีกว่า

     

    ปิดได้เลย ขอบใจนะ ชายหนุ่มหันไปบอกพนักงานของตัวเอง แล้วจึงหันมาที่เธออีกที พี่เดินไปส่งนะ  

     

    ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณมาก แต่อินไปเองได้

     

    ให้พี่ไปส่งดีกว่า เผื่อมีคนร้ายบุกเข้ามา คราวนี้พี่จะจับให้ได้คาหนังคาเขาเลย เขาบอกยิ้มๆ แล้วเดินนำไปก่อน

     

    หญิงสาวได้แต่กัดริมฝีปาก หน้าแดงเรื่อ ไม่ได้ตอบโต้อะไรเพราะขายหน้าในความเปิ่นของตัวเอง

     

    ดูเถอะ จนป่านนี้เขายังเอามาล้อเลียนเธอไม่เลิก

     

     

     

    เช้าวันศุกร์ภูริชพบอินทุภานั่งจิบกาแฟที่มุมเดิมพร้อมเปิดดูคู่มือท่องเที่ยวจังหวัดเชียงรายอย่างตั้งอกตั้งใจ เขาต้องรีบทำคะแนนเพราะเหลือเวลาอีกไม่กี่วันแล้ว ชายหนุ่มอ้อมมายืนด้านหลังจึงเห็นว่าหญิงสาวเปิดหน้าเกี่ยวกับดอยตุงค้างอยู่ เขาถือวิสาสะแย่งคู่มือมาจากคนตัวเล็ก

     

    “เอ๊ะ!” อินทุภาอุทานพลางขมวดคิ้วไม่พอใจ แต่เมื่อหันไปมองหัวขโมยก็พบว่าเป็นผู้ชายที่เธอเริ่มคุ้นหน้าคุ้นตาและแอบรู้สึกคุ้นเคยกับเขาอย่างรวดเร็วจนไม่น่าเชื่อ

     

    “เคยได้ยินเหมือนกันว่าถ้ามาเชียงรายแต่ไม่ได้ไปดอยตุงก็เหมือนมาไม่ถึงเชียงราย อินอยากไปไหม” เขาอมยิ้ม ไม่รู้ไม่ชี้กับการกระทำของตัวเอง

     

    ถามแบบนี้จะพาอินไปมั้ยล่ะ

     

    ชายหนุ่มส่งหนังสือคืนให้เจ้าของ ได้สิ พี่ขับรถให้

     

    พี่ภูไม่ต้องทำงานหรือไงคะ หญิงสาวแปลกใจ เพราะเมื่อวานเขาเพิ่งบอกว่ายุ่งกับงานเอกสารจนไม่ได้กินมื้อเที่ยง แล้ววันนี้จะเกเรงานได้หรือ 

     

    อินไม่รู้เหรอ เจ้าของรีสอร์ตเขาไม่นั่งทำงานกับโต๊ะทั้งวันกันหรอก

     

    อินเป็นนักออกแบบค่ะ ไม่ใช่เจ้าของรีสอร์ต พี่ภูคงจะลืมไปแล้ว เธอแกล้งประชดแต่ไม่จริงจังอะไร 

     

    พี่จำทุกเรื่องที่คุยกับอินได้ และไม่ลืมคำถามที่ฝากไว้ด้วยเขายืนยันเสียงหนักพร้อมจ้องตาหญิงสาวอย่างเปิดเผย

     

    อะไรบางอย่างในดวงตาเขาราวกับจะขอร้องให้เธอตอบรับ และอะไรบางอย่างในตัวเธอก็เตือนว่าถ้าอยากไปกับเขาก็รีบตกลงเสีย เธอคงไม่ได้ขึ้นมาเชียงรายอีกนาน และเมื่อถึงตอนนั้นผู้ชายคนเดิมนี้ก็อาจไม่ชวนเธอเป็นครั้งที่สอง หากปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอย เธออาจจะสูญเสียมันไปตลอดกาล

     

    โอเคค่ะ  

     

    ชายหนุ่มพยักหน้า ตกลงวันนี้เราไปดอยตุงกัน พี่ขับรถให้อินนั่งสบายๆ แต่อินต้องเลี้ยงข้าวนะ

     

    ก็ได้ อินแฟร์ๆ อยู่แล้ว 

     

    เธอย่นจมูกพลางเบ้ปากยิ้มๆ แต่ดูไม่ขัดตา ไหนจะท่าไหวไหล่กวนๆ นั่นอีก ดูยังไงก็หมั่นไส้ไม่ลง

     

    ภูริชอมยิ้ม การทำตามคำขอร้องของแม่กลายเป็นความเพลิดเพลินที่เขาไม่อยากปฏิเสธ นั่นก็เพราะรอยยิ้มสดใสของอินทุภา

     

     

     

    ดอกไม้เมืองหนาวที่บานสะพรั่งอวดสีสันละลานตาทั่วสวนแม่ฟ้าหลวง มอบความสดชื่นและสบายใจให้กับผู้มาเยือนมากกว่าที่ภูริชคาดหวัง นั่นอาจเพราะเขาไม่ได้มาเที่ยวและปล่อยวางภาระหน้าที่ต่างๆ ไว้เบื้องหลังนานมากแล้ว หรือบางทีอาจเป็นเพราะเพื่อนร่วมทางก็ได้

     

    อินทุภาเป็นคนตรงไปตรงมา คุยสนุก ไม่จู้จี้จุกจิกเหมือนผู้หญิงบางคนที่เขารู้จัก คุยกันได้แทบทุกเรื่อง บางทีชายหนุ่มก็ได้ข้อคิดใหม่ๆ ด้วย เขาอดทึ่งในตัวเธอไม่ได้ ที่สำคัญรอยยิ้มของอินทุภาเบ่งบานสดใสราวกับดอกไม้ขยายกลีบ ชวนมองไม่น้อยไปกว่าดอกไม้ในสวนที่กำลังเที่ยวชมกันอยู่นี้เลย

     

    อินยิ้มอะไร เขาถามเมื่อเห็นเธออมยิ้มแล้วลอบมองมาเงียบๆ

     

    อินกำลังคิดว่าทำไมเราถึงเพิ่งเจอกันเอาตอนนี้

     

    คนฟังอดยิ้มไม่ได้ เห็นมั้ยล่ะ อินอยากอยู่ที่นี่แล้วสิ

     

    ใช่ค่ะ แต่ไม่ใช่เพราะพี่ภูหรอกนะ อย่าหลงตัวเองไป เธอว่ายิ้มๆ

     

    พี่รู้น่า ว่าแต่อินอายุเท่าไหร่นะ คุยกันตั้งนานพี่ยังไม่รู้เลยเขาถามด้วยความสงสัย

     

    ปิ่นมณีบอกว่าพออินทุภาเรียนจบก็ทำงานหาประสบการณ์ที่อังกฤษอีกสองปีค่อยกลับเมืองไทย เขาจึงแอบทายว่าเธอไม่น่าจะมีอายุเกินยี่สิบสามปี ความจริงเขาว่าเธอดูเด็กกว่านั้นด้วย แต่เมื่อได้ข้อมูลชัดเจนขนาดนี้หากทายตัวเลขที่น้อยกว่านั้นต้องผิดแน่

     

    ยี่สิบสามค่ะ แล้วพี่ภูล่ะ

     

    ชายหนุ่มอมยิ้ม ไม่บอกหรอก

     

    เธอทำแก้มป่อง ขี้โกงนี่นา

     

    บ่นแล้วก็ทำหน้าง้ำ แต่แล้วก็หัวเราะอย่างขบขันระคนขุ่นเคืองคนขี้โกงที่มาหลอกถามอายุกันดื้อๆ นั่นทำให้ชายหนุ่มพลอยหัวเราะไปกับเธอด้วย

     

    อินว่าไปดูต้นไม้ทางโน้นดีกว่าค่ะ อินอยากซื้อไปฝากป้าปิ่นกับเพื่อนร่วมงานที่กรุงเทพฯ

     

    หญิงสาวลากคนตัวสูงกว่าไปดูต้นไม้ในกระถาง ซึ่งวางขายเป็นของที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยว และเขาก็ยอมเดินตามต้อยๆ โดยไม่มีเกี่ยงงอน

     

     

     

    กว่าทั้งคู่จะกลับถึงภูแสงจันทร์ก็ปาเข้าไปเกือบสี่ทุ่ม ภูริชอาสาอุ้มกระถางต้นไม้มาส่งให้ถึงหน้าเรือนที่พัก เพราะบริเวณนี้รถเข้ามาไม่ได้ 

     

    วันนี้สนุกมากเลยค่ะ ขอบคุณพี่ภูนะคะที่ตะลอนไปกับอินทั้งวัน ถ้าไม่ได้พี่ภู อินคงไม่ได้ของฝากถูกใจกลับไปด้วยแบบนี้หรอก ว่าพลางวาดมือไปยังกระถางต้นไม้ที่กว้านซื้อมาในวันนี้

     

    รอยยิ้มของชายหนุ่มเจื่อนลง เธอคงไม่รู้ว่าของกำนัลพวกนี้จะไปไม่ถึงมือคนรับ เพราะเขาตั้งใจว่าจะไม่ให้อินทุภากลับกรุงเทพฯ จนกว่าจะได้ทำตามคำขอร้องของมารดาเรียบร้อยเสียก่อน แต่เขาก็กลบเกลื่อนความรู้สึกละอายใจด้วยน้ำเสียงร่าเริง

     

    พี่เต็มใจ ไม่ได้เที่ยวแบบนี้นานแล้ว พรุ่งนี้อินจะไปไหนรึเปล่า บอกมาสิ เดี๋ยวพี่ขับรถให้

     

    เธอยิ้มกว้าง บอกด้วยน้ำเสียงเกรงอกเกรงใจที่ไม่ค่อยน่าเชื่อถือนัก วัดร่องขุ่นค่ะ ถ้าพี่ภูไม่ลำบาก

     

    ชายหนุ่มอมยิ้ม สองสามวันนี้เขารู้สึกว่าตัวเองยิ้มบ่อยกว่าทั้งชีวิตที่ผ่านมาเสียอีก

     

    นึกอยู่แล้วว่าต้องเป็นที่นี่ ไม่มีปัญหา งั้นคืนนี้...หลับฝันดีนะ  

     

    ค่ะ เธอตอบแล้วขอตัวเข้าเรือนพักไปทันทีพร้อมความรู้สึกกระชุ่มกระชวยหัวใจอย่างไม่เคยเป็น

     

    ภูริชมองประตูที่ปิดลง รอยยิ้มสดใสที่ติดอยู่บนใบหน้าชวนมองทำให้เขารู้สึกดี ดีมากเสียจนคิดว่าคืนนี้คงจะหลับฝันดีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

     

    วันนี้พวกเขาไปเที่ยวด้วยกันอย่างสบายใจ พูดคุยกันเหมือนคนคุ้นเคย คล้ายเพื่อนเก่าได้หวนกลับมาพบกันอีกคราว แนวโน้มในการพัฒนาความสัมพันธ์น่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ

     

    อินทุภาไม่ใช่คน ซับซ้อน เธอตรงไปตรงมาแต่ก็รู้กาลเทศะ ไม่ตรงจนกลายเป็นขวานผ่าซาก หรือตรงจนดูไร้มารยาท นั่นทำให้เขาไม่ต้องเหนื่อยมากนักในการทำความรู้จักกับเธอ และเขาคิดว่าหญิงสาวเองก็รับไมตรีที่เขาหยิบยื่นให้ด้วยความเต็มใจ

     

    ทุกอย่างดูเหมือนจะลงตัว ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่ในส่วนลึกแล้วเขากลับรู้สึก กลัว

     

    กลัวว่าจะทำให้อินทุภาผิดหวังในตัวเขา...

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×