ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [MarkBam] 궁 (Goong) Palace #แบมแบมป่วนวัง

    ลำดับตอนที่ #7 : Chapter 6

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.19K
      21
      23 ก.พ. 60


     



    Chapter 6


     

     

     

    ภายในร้านอาหารญี่ปุ่นขนาดกลางที่ออกแบบตามสไตล์ของร้านอาหารใช้โทนสีอ่อนขาวและน้ำตาลอ่อน ร้านนี้แทคยอนเป็นคนเลือกเพราะเขาเบื่ออาหารจีนและเกาหลีมากๆ นิชคุณก็ไม่ได้ขัดอะไร ทั้งสองคนเลือกโต๊ะด้านในก่อนจะสั่งเมนูที่ต้องการของตัวเอง

     

    "ตกลงคุณทำอะไรกับกระจก"

    "ใจร้อนจังเลยนะครับ เรื่องกระจกเราควรพูดคุยระหว่างมื้ออาหาร ก่อนมื้ออาหารนี้ เราควรทำความรู้จักกันให้มากกว่านี้ซะหน่อยดีไหมครับ"

    "ผมชื่อนิชคุณ เป็นเจ้าหน้าที่ประสานงานและดูแลวัตถุโบราณระหว่างเกาหลีและต่างประเทศ"

    "อายุเท่าไหร่ บ้านอยู่ไหน ชอบสีแดงหรือสีฟ้า ชอบดื่มเอสเปรสโซ่หรือคาปูชิโน่ ชอบกินไข่แดงดิบหรือสุก แล้วที่สำคัญ มีแฟนหรือยังครับ"

    นิชคุณจ้องผู้ชายตรงหน้าอีกครั้ง คำถามที่ถามมานั้นไม่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับกระจกและเรื่องราวที่เขาอยากจะรู้เท่าไหร่เลยนะ เจ้าหน้าที่หน้าขาวถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะตอบคำถามของคู่สนทนาทั้งหมด เขาแค่คิดว่าไม่น่าจะเสียหายอะไรกับคำตอบที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องทั่วๆ ไป

    จากนั้นก็นั่งฟังแทคยอนเล่าประวัติตัวเองรวมทั้งเรื่องชอบนั่นไม่ชอบนี่ให้ฟัง เขาก็แค่ฟังผ่านๆ ไม่ได้สนใจอะไร แล้วยิ่งตอนนี้พนักงานกำลังวางจานอาหารตรงหน้ายิ่งไม่ได้สนใจคำพูดมากมายจากปากของแทคยอนอีกเลย เมื่ออาหารที่สั่งได้มาครบแล้ว ทั้งสองก็ค่อยๆ กิน โดยที่นิชคุณไม่ลืมให้เล่าเรื่องตำนานและความลับของกระจกบานนั้นให้ฟัง

    กระจกที่ถูกออกแบบมาพร้อมกันสองบาน โดยทำการสร้างขึ้นพร้อมๆ กันจากช่างฝีมือดีที่สุดทั้งหมด 42 คน แบ่งกันทำงานโดยใช้เวลาถึง 240 วันกว่ากระจกจะแล้วเสร็จ ฐานที่รองรับรวมทั้งกรอบกระจกแต่ละบานนั้นทำจากไม้เนื้อดีที่มีส่วนประกอบถึง 95 ชิ้น กระจกทำจากเนื้อแก้วทรายละเอียดที่ดีสุดทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า และตกแต่งกรอบด้วยเพชรพลอยมากถึง 9793 ชิ้นด้วยกัน ความแตกต่างจะอยู่ที่รูปสลักด้านบนตรงกลาง บานนึงจะเป็นรูปมังกรยาวพาด อีกบานจะเป็นรูปหงส์สยายปีก

    แท้ที่จริงแล้วกระจกทั้งสองบานนั้นถูกสร้างมาตั้งแต่สมัยราชวงค์เซี่ย โดยสร้างไว้สองบานเพื่อเป็นของหมั้นหมายและคู่กันสำหรับฮ่องเต้และฮองเฮา ฮ่องเต้ผู้สร้างกระจกทั้งสองบานนี้คือ พระเจ้าเจี๋ย มีนิสัยโหดร้าย ไร้คุณธรรม เป็นที่เกลียดชังของประชาราษฎร์ หากแต่ก็มั่นคงในรักต่อฮองเฮาเพียงคนเดียว ท่านรู้ว่าจะมีสงครามและเพื่อเป็นการปกป้องหญิงอันเป็นที่รัก จึงได้ส่งตัวไปหลบซ่อนอยู่อีกเมืองโดยมีองครักษ์คนสนิทตามไปดูแลพร้อมเหล่าข้ารับใช้จำนวนหนึ่ง ข้าวของเครื่องใช้สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ รวมทั้งกระจกบานนี้ที่เป็นสัญลักษณ์ของความรักที่มีต่อนาง

    เมื่อศึกสงครามจบ พระเจ้าเจี๋ยพ่ายแพ้ แต่ก็หนีตายมาได้และรีบไปหาหญิงอันเป็นที่รัก หากแต่เมื่อมาถึงกลับเห็นว่าองครักษ์ที่ไว้ใจที่สุดเหมือนพี่เหมือนน้องกับฮองเฮาแอบลอบคบกัน ยิ่งเมื่อเห็นภาพบาดตาจากการสะท้อนเงาของกระจก ทำให้ควบคุมตนเองไม่ได้ ฆ่าชายโฉดหญิงชั่วทั้งคู่ เมื่อทั้งสองคนตายแล้ว เขามองเงาตัวเองสะท้อนในกระจกที่เป็นดั่งเครื่องรางของความรักตัวเอง เมื่อไร้หญิงอันเป็นที่รักแล้วก็ไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ทำไม จึงตัดเอ็นแขนขาตัวเองเอง และปล่อยให้เลือดไหลจนหมด ก่อนสิ้นลมหายใจ ตั้งจิตอธิษฐานเหมือนเป็นคำสาปไว้ที่กระจกและแน่นอนว่ามันส่งผลถึงอีกบานด้วย

    โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นนั้น สร้างความหวาดกลัวให้กับผู้คนในเมืองนั้น เพราะเลือดนองกระจายไปทั่ว เจ้าหน้าที่ของรัฐตอนนั้นสืบจนรู้ว่าคนตายทั้งหมดคือใครและนำข้าวของเครื่องใช้คืนสู่วัง เพราะทั้งหมดคือของวังหลวง รวมทั้งกระจกที่รับพลังความแค้นของฮ่องเต้ที่มั่นคงในรักต่อฮองเฮาของตัวเอง รวมทั้งองครักษ์ที่ไว้ใจ แต่กลับถูกหักหลังจากทั้งคู่ ความเจ็บปวดแสนสาหัสแปรเปลี่ยนพลังลี้ลับที่ไม่มีใครล่วงรู้ได้

    หลังจากนั้นในสมัยราชวงค์ฉิน ก็ได้มีการรวบรวมของฮ่องเต้หลายยุคหลายสมัยและกระจกทั้งสองบานนี้ก็กลับมาอยู่คู่กันอีกครั้งกับคำบอกเล่าที่เหลือเพียงว่า เป็นกระจกสำหรับฮ่องเต้ที่จะมอบให้กับฮองเฮา ทุกอย่างเหมือนจะเป็นปกติ จนกระทั่งถึงสมัยราชวงศ์ฮั่น ฮ่องเต้ผู้ที่มั่นคงในรักกลับต้องพบกับเหตุการณ์เหมือนพระเจ้าเจี๋ย แต่ครั้งนี้เหมือนกระจกจะแสดงพลังงานของมันออกมาทำให้ ฮองเฮาและชายชู้ ผูกคอตายคู่กันต่อหน้ากระจก แต่ทุกคนคิดว่าคือการฆ่าตัวตาย

    ตำนานความลี้ลับยังไม่หมด เมื่อกระจกคู่นี้ถูกส่งต่อไปยังฮ่องเต้องค์ต่อๆ ไป จนกระทั่งถึงราชวงค์ถัง พระสนมเอกหยางเหม่ยแห่งวังหลวงผู้ที่มีญาณพิเศษรับรู็ถึงพลังของกระจกบานนี้ ได้ขอร้องต่อฮ่องเต้ให้เก็บกระจกนี้ไว้ในท้องพระคลังและไม่ให้เอาออกมาใช้อีก

    ช่วงท้ายของราชวงค์ชิงก่อนมีการล่มสลายของราชวงค์ และที่จะถูกแยกออกเป็นประเทศไต้หวันนั้น กระจกบานนี้ได้ถูกนำไปใช้เป็นเครื่องราชบรรณาการสำหรับการหมั้นขององค์ชายที่หลบหนีสงครามกับเจ้าหญิงจากเกาหลีในสมัยโชซอน นั่นทำให้กระจกบานหนึ่งอยู่ที่เกาหลี ส่วนอีกบานตอนนี้อยู่ที่ไต้หวันและเมื่อหกเดือนก่อน ทางการไต้หวันแจ้งว่าพบรอยร้าวบนกระจกเช่นกัน

    "เท่ากับว่ากระจกนี้มีอาถรรพณ์" นิชคุณที่ตอนนี้หยิบถ้วยชามาจิบเอ่ยถามหลังจากที่นั่งฟังเรื่องราวในอดีตของกระจกที่อยู่ในความดูแลของตัวเอง

    "มันมีมากกว่านั้นอีก" แทคยอนคีบซูชิปลาดิบชิ้นสุดท้ายเข้าปาก ก่อนจะเคี้ยวแล้วยกน้ำชาขึ้นจิบตาม ก่อนจะขำเบาๆ เมื่อเห็นคนตรงหน้าบ่นว่า ทำไมถึงไม่มีในหนังสือเรียนหรือบันทึกต่างๆ มันจะมีได้ยังไง ไม่งั้นเขาจะเรียกว่าตำนานความลับได้ยังไง เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้ากำลังจ้องเพื่อให้เขาเล่าต่อก็ยกยิ้มก่อนจะยกมือเรียกพนักงานมาสั่งขนมหวานเพิ่ม โดยไม่ลืมถามนิชคุณด้วย

    แทคยอนกำลังเล่าประวัติของตัวเองอีกครั้ง โดยครั้งนี้ได้เล่าถึงเพื่อนสนิทของตัวเองชื่อ หมิงฟง เป็นนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องสมัยใหม่ ที่ได้เงินจากหน่วยงานลับๆ ของจีน กำลังทดลองสร้างไทม์แมชชีนย้อนเวลา นิชคุณรับฟังแบบงงๆ ว่าแล้วมันเกี่ยวอะไรกับกระจก ยังไม่ทันจะถามออกไปพนักงานก็เข้ามาเสิร์ฟขนมหวานเสียก่อน แทคยอนตาโตร้องว้าวเมื่อเป็นขนมหวานตรงหน้าก่อนจะเริ่มตักเข้าปากพร้อมกับเล่าให้ฟังต่อ

    คืนหนึ่งในหน้าร้อนเมื่อสองปีก่อน หมิงฟงเพื่อนของแทคยอนได้ฝัน เป็นฝันที่แสนประหลาด ฝันว่าตัวเองยืนอยู่ระหว่างกระจกสองบานที่ออกแบบตกแต่งเหมือนกัน ภาพสะท้อนของกระจกทั้งสองบานไม่ใช่ตัวเพื่อนเขา หากแต่เป็นภาพเหตุการณ์ในอดีต เหมือนภาพทีวีฉายหนังย้อนยุคให้ดูตั้งแต่ต้นจนจบ ที่น่าตกใจคือ ชายคนที่กำลังพลอดรักกับหญิงบนเตียงหน้าเหมือนเพื่อนเขา จนคิดว่าเป็นคนเดียวกัน และมันคงจะดีถ้าหมิงฟงไม่ฝันแบบนี้ทุกคืน แต่กลับฝันถึงเหตุการณ์นั้นซ้ำไปซ้ำมาทุกคืนนานถึงสองเดือน จนในที่สุดก็ทนไม่ไหวแล้วโทรหาเขาเพื่อเล่าความฝันให้ฟัง

    แทคยอนเล่าประวัติคร่าวๆ ของกระจก หลังจากที่เพื่อนเขาอธิบายลักษณะของกระจกให้ฟัง และพาหมิงฟงมาดูของจริงที่พิพิธภัณฑ์ในไต้หวัน เรื่องประหลาดเกิดขึ้นอีก เมื่อด็อกเตอร์หมิงฟงคนนี้เห็นเงาสะท้อนในกระจกของจริงเหมือนที่เห็นในความฝัน คืนนั้นเพื่อนแทคยอนฝันอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้ตัวเขากำลังนั่งคุกเข่าต่อหน้าใครสักคนเขามองไม่เห็นหน้า เสียงทุ้มดังเอ่ยเล่าเรื่องราวความผูกพันธ์ของพวกเขาทั้งสองคนถูกถ่ายทอดออกมาจากคนเบื้องหน้า น้ำเสียงตัดพ้อถึงความไว้เนื้อเชื่อใจที่มีให้ หากแต่สุดท้ายก็โดนหักหลัง

    "เพื่อนคุณ คือ องครักษ์กลับชาติมาเกิด?" นิชคุณกำลังสรุปความถามย้ำอีกครั้ง แทคยอนพยักหน้า ตอนแรกเขาก็ไม่อยากจะเชื่อเรื่องชาติภพพวกนี้เท่าไร แต่เหตุการณ์แปลกๆ ที่เกิดขึ้นและนิสัยของเพื่อนแล้ว ทำให้เขาต้องเชื่อและคอยช่วยเหลือ

    เพื่อนเขาไม่ใช่คนที่จะโกหกหรือแต่งเรื่องราวเก่ง ไม่เคยเรียนประวัติศาสตร์จีน แต่ก็อธิบายลักษณะพิเศษที่กระจกมีได้มันแปลก และหากตัวเองเป็นต้นเหตุที่ทำให้ฮ่องเต้เจี๋ยกลายเป็นวิญญาณอาถรรพณ์อยู่ในกระจกมาหลายร้อยปีแบบนี้ก็อยากจะช่วยปลดปล่อยวิญญาณจะได้เลิกทรมานเสียที ทิ้งท้ายในฝันคืนนั้นว่าจะช่วยเหลือ คืนต่อๆ มาหมิงฟงก็ไม่ฝันถึงกระจกอีกเลย

    หลังจากกลับจากไต้หวันเพียงสองวัน หมิงฟงก็สร้างเครื่องย้อนเวลาได้สำเร็จ ในคราแรกเขาจะเอาตัวเองย้อนไปเอง แต่มาคิดอีกทีคนที่รู้เรื่องเทคนิคต่างๆ ได้ดีก็คือเขา เขาเลยต้องหาคนมาทดลองย้อนเวลาแทน หมิงฟงไม่กล้าให้ใครมาเสี่ยงเพราะไม่มีอะไรการันตีได้เลยว่าจะย้อนได้ไหม และจะย้อนไปตามที่กำหนดหรือไม่ เย็นวันนึงขณะที่เขากำลังเดินเล่นในสวนก็เจอชายแก่คนหนึ่งเดินมาชน และพูดจาแปลกๆ กับเขาว่า "ต้องช่วยเหลือคู่แท้สองคู่ ถึงจะหลุดพ้น" พอเขาหันกลับไปอีกทีก็ไม่พบชายคนนั้นแล้ว

    ผ่านไปหลายวันหมิงฟงยังคงหาคนมาทดลองย้อนเวลาไม่ได้และคำพูดของชายแก่คนนั้นก็ยังคงหลอนอยู่ในหัวตลอดเวลา วันหนึ่งเขาได้เข้าไปในห้องสมุดเพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับกระจกบานนั้นเพิ่มเติมและเขาก็ได้พบกับนักศึกษาประวัติศาสตร์จีนชื่อแจ็คสัน

    แจ็คสันกำลังหาข้อมูลเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เกาหลีสมัยโชซอนและเป็นช่วงที่กระจกบานหนึ่งถูกนำไปเป็นเครื่องบรรณาการงานหมั้นพอดี หมิงฟงบอกว่าเขาสนใจกระจกคู่นั้น แจ็คสันแชร์ข้อมูลมากมายเกี่ยวกับประวัติและความลับของกระจกจากที่ได้ฟังมาจากคุณยายของเขาให้หมิงฟงฟัง

    ส่วนตัวแจ็คสันเองนั้นเขาเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของสองประเทศมากมาย และเขารู้สึกสงสารบุคคลในประวัติศาสตร์คนหนึ่ง หากย้อนเวลาได้ เขาอยากจะกลับไปช่วยคนๆ นั้น หมิงฟงรู้สึกเหมือนทุกอย่างเป็นใจให้เขา เขาเลยบอกเรื่องเครื่องย้อนเวลาให้ฟังและแจ็คสันก็ยอมตกลงที่จะเป็นหนูทดลองย้อนเวลาให้ โดยเขาขอย้อนไปยังช่วงสมัยโชซอน และไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อเพราะแจ็คสันสามารถย้อนกลับไปได้สำเร็จ

    "แสดงว่าตอนนี้แจ็คสันกำลังอยู่ในสมัยโชซอน?"

    "ถูกต้องแล้วครับ"

    "เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมากๆ แล้วตอนนี้สามารถติดต่อกับเขาได้ไหม"

    "นั่นกำลังเป็นปัญหาและคือสิ่งที่คุณเห็นผมไปยุ่งกับกระจก"

    "ยังไง"

    "ในช่วงแรกสามารถติดต่อกันได้ แต่เมื่ออาทิตย์ก่อน จู่ๆ สัญญาณก็ดับไป ผมเอาตัวติดสัญญาณไปไว้ที่กระจกอีกครั้ง ผมหวังว่าคุณจะไม่รายงานเรื่องนี้ให้หัวหน้าผมทราบนะครับ"

    นิชคุณพยักหน้าเข้าใจ และสัญญาว่าจะช่วยเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ ทั้งสองพูดคุยกันอีกสักพักถึงกำหนดการณ์ของการตรวจสอบกระจก ก่อนที่นิชคุณจะไปส่งแทคยอนที่คอนโด จากนั้นนิชคุณก็ไปโรงพยาบาลเพื่อเยี่ยมน้องชายของตัวเอง

     

    * (ชื่อสมัยราชวงค์จีนเป็นชื่อจริง แต่ชื่อของฮ่องเต้ สนม และเรื่องราวประวัติที่อยู่ในหน้านี้เป็นเพียงการสมมุติขึ้นเท่านั้น )

     

     









     

    "เจ้าเป็นผู้หญิงจริงๆ ใช่ไหม"

    องค์ชายต้วนกำลังจ้องมองใบหน้าหวานที่ตอนนี้ซีดขาวเพราะความตกใจ ไม่รู้ว่าสาเหตุจากการที่ตกลงมาหรือคำถามจากเขา

    "กะ... ก็เป็นเจ้าหญิงน่ะสิ" แบมแบมทำใจกล้าตอบกลับไป ถ้าเขายืนยันว่าเขาเป็นเจ้าหญิงก็ต้องเชื่อเขาสิ คนถามคำถามหรี่ตาเหมือนจะไม่เชื่อ แต่แบมแบมจ้องหน้ากลับ แม้จะรู้สึกว่าแปลกๆ แต่องค์ชายก็เลือกที่จะตอบไปว่า

    "เห็นซนแบบนี้ เหมือนเด็กผู้ชาย แต่ถ้าเป็นผู้ชายก็น่ารักดีนะ"

    "แล้วเป็นผู้หญิงไม่น่ารักหรือไง"

    "ก็ดี" ตาคมมองแล้วก็ตอบออกไป แบมแบมโล่งอกความยังไม่แตก ที่องค์ชายยังไม่รู้ความจริง เขาคิดว่าเขาไม่ควรอยู่นานเกินไปให้องค์ชายสงสัยหรือถามอะไรมาอีกอาจจะแย่ก็ได้ รีบไปหาซูจีดีกว่า จึงเอ่ยลา หากแต่เดินไปก้าวเดียว ก็ร้องโอดโอยออกมา รองเท้าเล่นงานเขาเข้าให้แล้ว

    "เท้าเจ้าเป็นอะไร"

    "เอ่อ.. ไม่เป็นอะไร เฮ้ยยย" แบมตกใจชักเท้ากลับทันทีเพราะองค์ชายก้มลงไปจะจับเท้าเขา

    "ข้าขอดูหน่อย"

    "ไม่เป็นอะไรมาก เฮ้ยยยย" แบมต้องร้องออกมาอีกครั้งเพราะองค์ชายลุกขึ้นยืนแล้วอุ้มเขาขึ้นในท่าเจ้าสาว แขนเล็กรีบโอบคอไว้เพราะตกใจและกลัวตก แขนแกร่งยกพาร่างบางออกเดินไปยังตำหนักของเขา

    "ทำไมเจ้าถึงดื้อนัก"

    "ไม่ดื้อ"

    "ชอบเถียงข้าด้วย"

    "ไม่ได้เถียงซะหน่อย ก็เราไม่ได้เป็นอะไร ปล่อยเราลงนะ" แบมแบมยังคงเถียงและบอกให้ปล่อยไปตลอดทาง

     

    เมื่อถึงตำหนักองค์ชายค่อยๆ วางเจ้าหญิงไว้ที่เก้าอี้รับแขก พร้อมกับหันไปสั่งทหารคนสนิทให้เอาน้ำอุ่นมาให้ ระหว่างที่รอองค์ชายก็คุกเข่าลงนั่งตรงหน้าคู่หมั้นตัวเองก่อนจะเอื้อมมือมาจะจับขา แต่แบมแบมชักเท้าหนี ทำให้ใบหน้าคมเงยขึ้นมาสบตาด้วย สายตาดุๆ ถูกส่งมาสื่อว่า อย่าดื้อ แล้วก้มลงไปค่อยๆ ถอดรองเท้าออกให้

    "ทำไมถึงแดงแบบนี้ เจ็บมากไหม" น้ำเสียงอบอุ่นห่วงใยเอ่ยถามออกมาหลังจากที่เห็นสภาพเท้าทั้งสองข้าง

    "ใส่รองเท้าพิธีหมั้นแล้วเดิน มันคับก็เลยเป็นแบบนี้ เจ็บนิดหน่อย เดี๋ยวมันก็หาย"

    "ทำไมช่างทำรองเท้าถึงไม่รู้ขนาดเท้าของเจ้า"

    "เอ่อ... อากาศหนาวเท้าเราคงจะขยาย" ไม่รู้ว่าไอสไตน์เคยบอกไว้หรือเปล่า แต่แบมแบมมั่วไว้ก่อน องค์ชายไม่ได้พูดอะไรต่อ คนรับใช้ก็ยกอ่างน้ำเล็กๆ เข้ามาพอดี องค์ชายจับเท้าของแบมแบมให้วางลงในอ่างน้ำนั้น ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดมือตัวเอง แล้วลุกขึ้นนั่งข้าง ความอุ่นของน้ำทำให้แบมแบมรู้สึกสบาย  เหมือนมาสปาเท้ายังไงยังงั้น

    "ดื่มนี้สิ ผสมสมุนไพรช่วยบรรเทาอาการเจ็บได้"

    "นาย เอ้ย องค์ชายเป็นหมอหรอ"

    "ข้าแค่สนใจตำราหมอนิดหน่อย ข้าต้องศึกษาเรื่องการปกครองมากกว่า" แบมแบมพยักหน้าเข้าใจ เพราะเป็นถึงองค์ชายก็คงต้องเรียนรู้ด้านการปกครองมากกว่า

    "ท่านจะทำอะไรน่ะ" แบมแบมร้องออกมาเมื่อเห็นองค์ชายลงไปนั่งคุกเข่าแล้วกำลังจะจับเท้าเขาอีกครั้ง องค์ชายไม่สนใจเสียงทักท้วงของเจ้าหญิงตัวปลอมเลย องค์ชายต้วนหยิบขวดยาเทผงสีเหลืองลงไปในอ่างที่แช่เท้าของแบมแบมอยู่ จากนั้นเอามือกวนวนๆ ผงสีเหลืองกระจายตัวออกผสมกับน้ำทำให้น้ำในอ่างตอนนี้มีสีเหลืองอ่อนๆ แล้วค่อยๆ วางเท้าเขาลงในอ่างน้ำอีกครั้ง แบมแบมมองการกระทำที่แสนจะอ่อนโยนและทะนุถนอมนั้นรู้สึกใจหวั่นๆ ยังไงก็ไม่รู้ ทั้งๆ ที่ความจริงองค์ชายไม่จำเป็นต้องเป็นคนทำเองก็ได้ หรือเพราะเขาเป็นคู่หมั้นล่ะมั้งถึงทำขนาดนี้ ไม่ปล่อยให้ตัวเองสงสัยอยู่นาน

    "ทำไมท่านต้องทำขนาดนี้ด้วย ให้สาวใช้สักคนมาทำก็ได้" แต่เขาคิดผิด เขาไม่น่าถามเลยจริงๆ ถ้าคำตอบจะเป็นแบบนี้






    "ข้าไม่อยากให้ใครโดนตัวเจ้า นอกจากข้า"







    "..."










    "ข้าหวง"

     















    #แบมแบมป่วนวัง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×