ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ซาตานลวงรัก

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 2

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5
      1
      13 พ.ย. 64

    เมื่อถึงเวลาอาหารเย็นคุณหญิงกานดาก็ให้ป้าน้อมขึ้นไปตามหลานชายลงมาทานอาหารเย็นที่ตั้งโต๊ะ เมื่ออัครวินท์เดินมาถึงโต๊ะทานอาหารก็เห็นคุณปู่กับคุณย่านั่งอยู่ที่โต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารที่ตัวเค้าชอบทั้งนั้น    โดยมีอาหารทะลในเมนูต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นต้มยำทะเล   ปูม้าตัวโตๆนึ่ง  ปลากระพงนึ่งมะนาวที่เห็นก็เรียกความหิวได้แล้ว หรือผัดฉ่าทะเลที่หอมเครื่องแกงที่ชวนกิน  นี้ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่คุณย่าย้ายมาอยู่ที่นี้เพราะว่าท่านชอบอาหารทะเลเหมือนที่อัครวิน์เองก็ชอบด้วยเหมือนกัน

     

    “โอ้โห คุณย่าครับมีแต่ของชอบอัครทั้งนั้นเลย  มีแ่คุณย่าที่รู้ใจอัครที่สุดเลย”    ฟังคำพูดหลานชายสุดที่รักก็ทำให้คุณหญิงกานดายิ้มได้อย่างมีความสุข

     

    “มานั่งลงกินข้าวได้แล้วตาอัคร เดี๋ยวย่าแกเค้าจะอิ่มความสุขเสียก่อน”    ฟังที่เจ้าหลานชายตัวดีที่พูดจนภรรยายิ้มกว้างก็อดหมั่นไส้ไม่ได้ถึงเเม้นในใจจะดีใจแต่อดที่จะแกล้งแหย่ภรรยาไม่ได้    ถึงแม้นจะแก่ขึ้นแต่สิงห์ก็ยังชอบความแสนงอนของภรรยา    นั้นไงหล่ะ   อาการมาแล้ว

     

    “คุณนี่ก็จริงๆเลย  อย่าสนใจปู่เลย  ทานข้าวกันตาอัครมีแต่ของชอบหลานทั้งนั้น  น้อมจ้ะตักข้าวเลย”

     

    นั้นแหละถึงได้ทานอาหารกันจริงๆสักที  บรรยากาศบนโต็ะอาหารเต็มไปด้วยความสุขและเสียพูดคุยถามไถ่ความเป็นไปของอัครวินท์ในช่วงปีที่ผ่านมาเป็นส่วนใหญ่   โดยผู้ถามจะเป็นคุณหญิงกานดาเป็นส่วนใหญ่ มีบ้างที่ผู้เป็นปู่จะพูดจากถามไถ่ถึงลูกชายและลูกสะใภ้บ้าง      เวลารับประทานอาหารเป็นช่วงเวลาที่สามารถพูดคุยกันและทั้งสองท่านก็ไม่เคร่งครัดเรื่องบนโต๊ะทานอาหารเพราะถือว่าเป็นช่วงเวลาที่คนในครอบครัวอยู่กันอย่างพร้อมหน้า

     

     

    เมื่อทานอาหารเย็นเสร็จ  อัครวินท์ก็ขอออกมาเดินที่ริมหาดเพราะตอนที่เป็นช่วงเวลาที่ดวงตะวันกำลังจะตกดินพอดี  บรรยากาศก็เหมาะกับการเดินเล่นเพื่อผ่อนคลายความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง     และเนื่องจากบริเวณนี้เป็นบ้านพักส่วนตัวหน้าหาดบริเวณนี้จึงไม่มีคนที่หาด   แตกต่างจากบริเวณอื่นเห็นได้จากห่างออกไปไม่ไกลก็มีกลุ่มคนเล่นน้ำทะเลกันอยู่ได้ยินเสียงพูดคุยคละเคล้าไปกับเสียงหัวเราะ   เดินไปสักพักก็เห็นเด็กหญิงคนหนึ่งวิ่งร้องไห้ตรงมาทางนี้  ดูเหมือนว่าจะเด็กที่เอาน้ำมาให้ตอนเค้ามาถึง

     

    “นี่น้องเป็นอะไรถึงวิ่งร้องไห้มาหล่ะ  หืม”  เมื่อได้ยินเสียงคนทักขึ้นมา  ก็ทำให้อิ่มเอมที่วิ่งร้องไห้มาหยุดชะงักและเงยหน้าขึ้นมองคนถาม   แต่ก็ยืนนิ่งอยู่

    “นี้พี่ถามเราอยู่นะ  ตกลงเป็นอะไรมา”   เมื่อได้ยินคำถามครั้งที่สองที่เจือมาด้วยความหงุดหงิด  จึงจำเป็นต้องตอบคำถามออกไปเพราะจำได้ว่าเป็นหลานชายคุณท่าน

    “เมื่อกี้ไปเล่นกับพจน์และเพื่อนมา   แล้วพจน์ก็มาผลักแล้วมาว่าหนูอิ่มโกง  แต่หนูอิ่มไม่ได้โกง  ก็เลยโมโห ฮือๆ” อ้อ  ตกลงว่าทะเลาะกับเพื่อนเลยวิ่งร้องไห้กลับมา  สมกับเป็นเด็กผู้หญิงจริงๆๆ

    “แล้วเธอโกงจริงไหม”

    “ หนูอิ่มไม่ได้โกง”   อ้อ  ยังมีแรงมาเถียง

    “ ถ้าไม่โกงก็ไม่เห็นจะต้องสนใจและร้องไห้เลย   ”   ได้ยินอย่างนั้นหนูอิ่มอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองคนพูดไม่ได้   ก็คนมันโมโหแล้วก็เจ็บมือด้วยนิ  แล้วทำไมร้องไห้ไม่ได้

    “ ก็หนูอิ่มเจ็บมือนิค่ะ  แถมโมโหด้วย  ปกติเล่นกันสองคนก็ดีกับหนูอิ่ม  พอมีเพื่อนคนอื่นก็ไม่สนใจแถมมาผลักจนหนูอิ่มล้มลงด้วย ”  พอพูดแล้วก็น้ำตาคลอขึ้นมาอีก  ในใจก็นึกว่าต่อไปจะไม่เล่นกับพจน์อีกแล้ว

    “ ไหนฉันดูมือหน่อย  อืม  ก็น่าจะเจ็บจิงนะ  ไปเข้าบ้านกันดีกว่าแล้วเช็ดน้ำตาด้วย  เดี๋ยวคุณย่าก็คิดว่าฉันแกล้งเด็กหรอก ”  พอพูดจบก็เดินหันหลังกลับเข้าไปในบ้าน   หนูอิ่มได้แต่เอามืออีกข้างเช็ดน้ำตาแล้ววิ่งตามไป  คนอะไรเดินเร็วๆจริง

    “ รอหนูอิ่มด้วยค่ะคุณ ”

    “ อย่าเรียกว่าคุณ  เรียกว่า  พี่อัคร  ไหนเรียกใหม่ ” 

    ค่ะ พี่อัคร พอได้ยินที่เด็กคนนั้นเรียกก็ทำให้อัครอดยิ้มไม่ได้ รอยยิ้มนั้นทำให้คนมองอย่างอิ่มเอมอดยิ้มตามไม่ได้   พอพี่เค้ายิ้มแล้วดูใจดีจังแถมยังหล่อด้วย

    “ แล้วเราหล่ะชื่ออะไรเหรอ”

    “ หนูชื่อ อิ่มเอมหรือเรียกว่าหนูอิ่มก็ได้ค่ะ ”

    “ งั้นพี่เรียกเราว่า  หนูอิ่มแล้วกันนะ  หนูอิ่ม

     

    ภาพตะวันที่กำลังตกดินที่มีแสงสะท้อนเป็นประกายบนท้องทะเลสีฟ้าดูระยิบระยับสวยงาม   แล้วภาพเงาด้านหลังของหนึ่งคนที่ตัวโตกว่ากำลังเดินนำอยู่ด้านหน้าแล้วตามด้วยร่างเล็กๆที่วิ่งตามอยู่ด้านหลังโดยมีฉากด้านหน้าเป็นบ้านหลังสีขาวที่ตั้งโดดเด่นโอบล้อมด้วยท้องฟ้าสีอมส้มของอาทิตย์ที่กำลังตกดิน  ช่างเป็นภาพที่ดูสวยงามแต่เราไม่อาจรู้ว่าความสวยงามที่เห็นจะยังคงอยู่จนถึงเมื่อไหร่และนานแค่ไหน

     

     

     

     

    นี้เป็นการพบกันของโชคชะตาหรือแค่คนที่มาพบกันเปรียบเหมือนฝันตื่นหนึ่งที่เราไม่อาจรู้ได้ว่าจะเป็นฝันดีหรือฝันร้าย  เวลาเท่านั้นที่เป็นเครื่องพิสูจน์

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×