คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #110 : Chapter 105 :: Faith (100%)
Chapter 105
Faith
อาการป่วยของคยองซูหายเป็นปลิดทิ้ง เหลือแต่อาการบาดเจ็บที่เริ่มดีขึ้นจนสามารถเดินเหินไปไหนมาไหนเองได้และนั่ง ๆ มอง ๆ คนอื่นทำนั่นทำนี่จนคิดได้ว่าควรทำอะไรสักอย่างบ้างแล้ว
เด็กหนุ่มไม่ได้มีความสามารถแค่วาดรูปอย่างเดียว อันที่จริงนอกจากคอยรองรับอารมณ์พวกแก๊งเดนตายนั่นแล้วโดคยองซูก็ยังทำได้อีกเยอะถ้าใจสั่งว่าต้องทำให้ได้ หลังจากปิดกั้นตัวเองมานานและพร้อมยอมรับความตาย ก็คิดได้ว่าการมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อตัวเองและคนอื่นมันก็คงดีกว่าการอยู่ตามลำพังเป็นไหน ๆ
คยองซูเหนื่อยแล้วที่จะขังตัวเองไว้กับความมืดในจิตใจ แม้ตอนนี้เขายังไม่กล้าเอ่ยปากขอโทษซีวอน อี้ชิง และจงแดที่ทำตัวงี่เง่าไว้เมื่อตอนนั้น แต่คยองซูสัญญาว่าสักวันเขาจะพูดมันออกไปอย่างสนิทใจได้โดยไม่มีความกังวลใด ๆ อีก
ตลอดสองอาทิตย์ที่ผ่านมาชานยอลกับซีวอนคือเสาหลักของกลุ่ม สองคนนั้นมักจะออกไปนั่งสูบบุหรี่ด้วยกันและอยู่คุยจนดึกดื่น มีเพียงแบคฮยอนเท่านั้นที่คยองซูรู้สึกว่าสามารถนั่งอยู่เงียบ ๆ ด้วยได้โดยไม่คิดว่าต้องพยายามพูดอะไรเพื่อรักษาน้ำใจ เพราะหมอนั่นไม่แสดงออกว่าการนั่งอยู่ข้าง ๆ กันคือความจำเป็นเพื่อไม่ให้เขารู้สึกตัวคนเดียว
คยองซูคิดถึงมินซอก เพื่อนคนหนึ่งที่สามารถเข้าใจกันได้แม้ไม่ต้องอธิบายว่าเรารู้สึกต่อกันยังไง
“นายคิดว่าตอนนี้คนกลุ่มนั้นจะเป็นยังไงบ้าง”
คำถามของคยองซูทำคนฟังต้องหยุดกึก แบคฮยอนหันไปมองคนข้างตัวที่นั่งนิ่งเงียบกับไดอารี่และสมุดในมือมานานนับชั่วโมง ขณะที่เขากำลังอ่านหนังสือคู่มือการเอาตัวรอดจากภัยพิบัติ
“พวกเขาอยู่ในที่ ๆ ปลอดภัยหรือเปล่า อยู่อย่างอด ๆ อยาก ๆ หรือว่ากินนอนอย่างสบาย เจอแหล่งเสบียงดี ๆ บ้างไหม ตอนนี้ทุกคนยังอยู่ครบหรือเปล่า มีใครพลาดถูกกัดจนต้องทิ้งไว้กลางทางไหม ฉันคิดเรื่องนี้มาตลอด”
ไม่บ่อยนักที่โดคยองซูจะเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาก่อน ซึ่งมันเป็นเรื่องดีที่ทำให้รู้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายกำลังเปิดใจให้เขา แบคฮยอนปล่อยให้อีกฝ่ายได้พูดเพื่อระบายความในใจ เขาอยากเป็นผู้ฟังที่ดีและอยากเป็นผู้ใหญ่ให้มากกว่านี้เพื่อที่จะได้เป็นฝ่ายดูแลทุกคนบ้าง
“ทุกคนต้องปลอดภัยแน่ ฉันเชื่อในฝีมือของพวกเขา แล้วก็เชื่อว่าจะไม่มีใครทิ้งใครไว้ข้างหลัง พวกเขาจะทำอย่างที่เคยเป็นมาตลอด” แบคฮยอนยิ้มขณะสบตากับคนข้าง ๆ ซึ่งฉายแววตาถึงความกังวลอย่างเก็บไม่มิด
“นายกำลังบอกให้ฉันสบายใจหรือกำลังบอกให้ตัวเองสบายใจล่ะบยอนแบคฮยอน”
“ทั้งสองอย่างเลย” เขายิ้ม “การเอาชนะความกลัวด้วยความเชื่ออาจดูเหมือนหลอกตัวเอง แต่มันจะทำให้เรามีกำลังใจนะ”
“ตอนนี้นายกำลังทำแบบนั้นอยู่สินะ”
“ใช่ เพราะฉันไม่อยากเป็นคนเดิมอีกแล้ว” คยองซูมองอีกคนที่กำลังเอาที่คั่นหนังสือสอดใส่จุดที่อ่านค้างไว้ ก่อนจะหันมาคุยกับเขาอย่างจริงจัง “ไม่อยากเป็นบยอนแบคฮยอนที่อ่อนแอ จมอยู่กับความเศร้าตลอดเวลา ฉันอยากเป็นคนที่พึ่งพาได้ อยากเป็นฝ่ายปกป้องคนอื่นบ้าง”
“ฉันรู้สึกไร้ค่าขึ้นมาทันทีเลยพอได้ยินนายพูดอย่างนี้”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะ ฉันไม่ได้หมายความในแง่ร้ายเลย ไม่เคยคิดที่จะหลอกว่านายด้วย” แบคฮยอนตาโต รีบปฏิเสธทันทีที่อีกฝ่ายเข้าใจผิด
“ที่นายพูดมาทั้งหมดก็คงมีแค่ซีวอนกับชานยอลที่จะไม่รู้สึกอะไร”
“หน้าฉันเหมือนคนที่จะพูดกระแนะกระแหนนายหรือไง ดูสิ” แบคฮยอนยื่นหน้าเข้าไปใกล้พร้อมเอาสองนิ้วชี้จิ้มแก้มตัวเอง เขาเห็นว่าคยองซูมองนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอามือดันหน้าเขาออกไป
“ขนลุก ที่ทำเมื่อกี้คงไม่ได้คิดว่าตัวเองน่ารักหรอกใช่ไหม”
“...มีคนเคยชอบฉันก็แล้วกัน” อย่างน้อยก็ลู่หานคนนึงแหละที่หลงผิดในช่วงเวลาหนึ่ง แต่เขาจะเอาหมอนั่นมาอ้างกับคยองซูเพราะกลัวถูกสบประมาทไม่ได้
“ถ้าไม่ตาบอดก็คงเป็นคนที่สิ้นหวังในความรักระยะสุดท้าย”
“บ้าแล้ว เขาชอบฉันมากจนนายจินตนาการไม่ออกเลยล่ะ” แบคฮยอนยังคงเถียง ยิ่งเห็นว่าอีกฝ่ายเบะปากไม่เชื่อเขาก็ยิ่งอยากพูดไร้สาระให้มากขึ้น อย่างน้อยตอนนี้บรรยากาศของเราก็เริ่มดีขึ้นบ้างแล้ว ขอโทษที่พาดพิงนะลู่หาน
“เหรอครับ คนนั้นเป็นใครกันนะ เล่าให้ผมฟังบ้างสิ”
เสียงของผู้มาใหม่ทำเด็กที่กำลังโม้ค้างอยู่ท่านั้น คยองซูหันไปทางชายหนุ่มตัวสูงสวมเสื้อคอเต่าสีขาวสบาย ๆ ในวันที่ไม่ต้องออกไปเสี่ยงข้างนอก ปาร์คชานยอลมาพร้อมไดอารี่ปกหนังสีดำและปากกาหมึกซึมซึ่งเจ้าตัวมักจะใช้เวลาอยู่กับมันเมื่อมีเวลาว่างเช่นเดียวกับเขา แต่เนื้อหาที่เขียนลงไปผ่านปากกาคงต่างกันราวกับฟ้าเหว เมื่อโดคยองซูมักจะเขียนความรู้สึกและวาดภาพลงไป แต่ในไดอารี่ของปาร์คชานยอลคงเต็มไปด้วยแผนการเอาตัวรอด
ครั้งหนึ่งคยองซูเคยเห็นผู้ชายคนนั้นเอาแผนที่ซึ่งพับอยู่ในไดอารี่ออกมากางคุยกับชเวซีวอนเรื่องที่ว่าพวกเราทุกคนจะเอายังไงต่อกับชีวิต สองคนนั้นคุยกันอยู่พักหนึ่งก่อนจะตัดสินใจเรียกทุกคนมาคุย
ฝั่งอี้ชิงและจงแดไม่ได้เสนอไอเดียใด ๆ แต่จะออกความเห็นต่างเล็กน้อยเช่นเรื่องความเสี่ยงระหว่างการเดินทาง ซึ่งสุดท้ายทุกคนก็เงียบลงเมื่อปาร์คชานยอลเสนอว่าอยากไปโซล
คราวนี้เป็นซีวอนที่แย้งว่าตรงนั้นน่าจะอันตรายกว่าที่ไหน ๆ แต่คนเสนอไอเดียก็ให้คำตอบว่าด้วยระยะเวลาที่ผ่านไปนานพอสมควรแล้วที่นั่นจึงอาจไม่ใช่จุดอันตรายอย่างที่กลัวกันอยู่ก็ได้ คยองซูไม่ได้ตั้งใจเสนอความเห็น แต่เขาคิดว่าคนส่วนมากที่ยังมีชีวิตอยู่คงเลี่ยงการไปโซลเพราะเป็นเมืองใหญ่ซึ่งมีประชากรเยอะ ยกตัวอย่างเช่นพวกนรกเดนตายที่พวกเขาเคยอยู่ด้วย พวกมันเก่งก็จริงแต่ก็รู้ว่าที่ไหนควรเสี่ยงและที่ไหนไม่ควร
ชานยอลเสริมต่ออีกว่าโซลมีประชากรเยอะก็จริงแต่คงไม่ใช่ทุกพื้นที่ เช่นรอบนอกอาจมีเปอร์เซ็นต์เจออะไรดี ๆ มากกว่าซากศพเดินได้ ไม่ว่าจะเป็นเสบียงหรือสิ่งที่คาดไม่ถึง และต่อให้ไม่อยากไปวันนี้ สักวันหนึ่งพวกเขาก็ต้องเดินทางไปที่นั่นอยู่ดีถ้าหากวนเวียนอยู่แถบนี้ไม่ได้แล้ว
แม้จะเป็นเพียงการคาดเดา แต่คนบ้าบิ่นอย่างชเวซีวอนก็ยอมเห็นดีเห็นงามด้วยหลังจากได้ฟังเหตุผล ซึ่งคนที่เหลือก็ตอบตกลงโดยไม่มีข้อกังขา
“ว่าไงครับแบคฮยอน” ผู้ชายคนนั้นทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ไม้เดี่ยวด้วยท่าทีสบาย ๆ พร้อมดันแว่นถนอมสายตาขึ้นเล็กน้อย เจ้าของชื่อยังคงเอาแต่มองหน้าเขาแทนที่จะหันไปตอบคำถามปาร์คชานยอล
“เอ่อ... แว่นคุณเท่นะเนี่ย สายตาหรือเปล่า” แบคฮยอนหันไปหัวเราะทั้งที่ไม่มีเรื่องตลก สู้กับรอยยิ้มเล็ก ๆ บนใบหน้าผู้ชายเข้าใจยากที่ตอนนี้กลายเป็นคนเข้าใจง่ายขึ้นมาทันทีเพราะดูออกว่ากำลังแกล้งเขาอยู่
“เปล่าครับ ผมใส่แค่ตอนอ่านหนังสือน่ะ ว่าแต่เมื่อกี้คุณสองคนคุยกันค้างกันไว้เรื่องคนที่ชอบใช่ไหม เป็นหัวข้อที่น่าสนใจดีนะครับ ใช่ไหมคยองซู?” เจ้าของชื่อไม่ได้ขานตอบในทันที คยองซูเพียงชำเลืองมองคนข้างตัวที่ขึงตาส่ายหน้าพรืดเป็นเชิงบอกให้เขาปฏิเสธ
“เพิ่งนึกได้ว่าต้องไปสอนภาษาเกาหลีให้อี้ชิง ขอตัวก่อนนะ”
“เดี๋ยวสิคยองซู นายจะไปทั้งอย่างนี้ไม่ได้นะ...” แบคฮยอนถลึงตาคว้าแขนไว้แต่อีกฝ่ายก็แกะมือเขาออกพร้อมเดินออกไปโดยไม่ทิ้งความเห็นใจไว้เลยสักนิด “...!!!”
ยังไม่ทันได้บ่นในใจเลยด้วยซ้ำ ผู้ชายสวมแว่นกับเสื้อคอเต่าสีขาวก็ทิ้งตัวนั่งลงแทนคยองซูพร้อมวางไดอารี่ปกหนังลงบนตักตัวเองและหันมายิ้มอย่างพอใจที่ทำให้เขาตอบโต้ไม่ได้
“เมื่อกี้หมายถึงใครครับ”
“...หะ”
“คนที่ชอบคุณมากจนคยองซูจินตนาการไม่ออกน่ะ ใครเหรอครับ” น้ำเสียงทุ้มต่ำยังคงทำให้ใจคนฟังเต้นแรงได้อย่างสม่ำเสมอ ทั้งที่พยายามรักษาระยะห่างแต่พอดีแล้วแท้ ๆ แต่ก็ดูเหมือนว่าชานยอลรักที่จะทำให้เขาสูญเสียความเป็นตัวเองมากกว่าให้อยู่เฉย ๆ
“คุณคิดว่าใครล่ะ” เขาถามกลับอย่างหยั่งเชิง ควรตอบตามความจริงหรือชักแม่น้ำทั้งโลกมาเปลี่ยนเรื่องดีนะ
ชานยอลหลุบสายตาลงพลางลูบคางระหว่างใช้ความคิด ใจหนึ่งก็อยากไล่ต้อนเด็กคนนี้แล้วบีบให้พูดความจริงออกมาอย่างขลาดอาย แต่อีกใจก็อยากให้แบคฮยอนสารภาพออกมาเลยว่าที่พูดถึงนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเขา
ปาร์คชานยอลที่ชอบบยอนแบคฮยอนจนใครก็จินตนาการไม่ออกว่ามันมากขึ้นแค่ไหน
“ลู่หาน”
“...” คิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันโดยอัตโนมัติเมื่อได้ยินชื่อที่ไม่คาดคิดว่าจะหลุดออกมาจากปากคนตัวเล็ก ชานยอลนิ่งไปราว ๆ สามวินาทีก่อนจะหันไปสบตากับเจ้าของคำพูดซึ่งคงไม่รู้ตัวเลยว่าเมื่อครู่นี้ทำอะไรลงไป
“อือ ที่พูดไปเมื่อกี้น่ะผมหมายถึงเขา” แบคฮยอนกลอกตา “ผมแค่อยากชวนคยองซูคุยก็เลยเอาลู่หานมาอ้างเฉย ๆ แต่ผมไม่ได้คิดจะบอกหรอกนะว่าเป็นหมอนั่น ใครจะกล้าพูดล่ะคุณว่าไหม” แบคฮยอนหัวเราะกลบเกลื่อนคำแก้ตัวซึ่งดูเหมือนจะฟังไม่ขึ้น อาจเพราะมันดูหลงตัวเองและไม่น่าเชื่อ ชานยอลถึงได้ทำหน้าเซ็งโลกอย่างนี้
“นั่นสิครับ ใครจะไปคิดว่าคุณจะพูดถึงลู่หานตอนนี้” อยู่ดี ๆ เสียงทุ้มน่าฟังก็ดูเย็นยะเยือกขึ้นมาอย่างน่าประหลาด แบคฮยอนมองดวงตาคู่นั้นผ่านเลนส์แว่นแล้วก็ได้แต่ถามตัวเองว่าตอนนี้ชานยอลกลับเข้าสู่สภาวะเข้าใจยากไปแล้วใช่ไหม
“มัน... แปลกเหรอ” คำถามของเขาเสียงแผ่วลง ขณะมองเสี้ยวหน้าคนตัวสูงซึ่งหยุดสายตาอยู่กับผนังห้องโถงก่อนจะถอดแว่นถนอมสายตาออกและถอนหายใจค่อนข้างแรง จากที่ดูท่าทางก็เหมือนว่าจะหัวเสียอยู่นิดหน่อย
“มีแค่ลู่หานคนเดียวหรือไงครับที่ชอบคุณ”
“ห๊ะ?” แบคฮยอนกระพริบตาปริบ ๆ แล้วตั้งคำถามให้ตัวเองว่าตอนนี้ชานยอลอยู่ในอารมณ์ไหน
“คุณนี่...” ชายหนุ่มมองริมฝีปากของคนข้าง ๆ ที่ถามเบา ๆ ว่า ‘ผม... ทำไมเหรอ’
ปาร์คชานยอลไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งจะมีความคิดอยากกัดริมฝีปากผู้ชายด้วยกัน และตอนนี้เขากำลังรู้สึกอย่างนั้น ก่อนหน้านี้ในหัวแทบจะไม่มีอะไรนอกจากความเศร้าในอดีต และความรักที่มีให้ภรรยา ชายหนุ่มไม่เคยคิดเลยจริง ๆ ว่าเป็นฝ่ายหลงบยอนแบคฮยอนจนรู้สึกเสียความเป็นตัวเองอย่างที่เป็นอยู่
ได้แต่หายใจเข้าลึก ๆ ข่มอารมณ์หัวเสียซึ่งมันสามารถเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ เพราะเคยมีประเด็นเรื่องนี้มาก่อนแล้ว ไม่ว่าจะด้วยกับตัวลู่หานเองหรือคราวของจองอึนจี ชานยอลก็รู้สึกไม่พอใจทั้งนั้น
แม้ความรู้สึกจะต่างกันราวกับฟ้าเหว เพราะช่วงท้ายปีที่ใช้เวลาอยู่ในอุทยานล้วนเต็มไปด้วยความหวงก้าง แต่ปัจจุบันปาร์คชานยอลก็กล้ายอมรับได้อย่างเต็มปากแล้วว่าหึง สำหรับคนที่ไม่ชอบเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างเขา จึงรู้สึกเสียฟอร์มมากกับคำตอบของแบคฮยอน
“ตอนคุณใส่แว่นน่ะดูเหมือนนักเรียนนอกเลย” รู้ว่าตอนนี้กำลังถูกง้อทั้งที่เจ้าตัวคงไม่รู้ตัวว่าทำอะไรผิด ชานยอลบ้าจี้สวมแว่นเข้าไปอีกครั้งแล้วนั่งไขว่ห้างดึงยางยืดรัดไดอารี่ปกหนังออกพร้อมกางมันบนตัก ทำเป็นไม่ยินประโยคเมื่อครู่ “แผลจงแดตกสะเก็ดจนหายดีแล้ว ผมว่าเขาน่าจะโดนกิ่งไม้ข่วนอย่างที่คุณคิดจริง ๆ”
พูดต่อไปเถอะ พูดจนกว่าจะรู้ตัวว่าเมื่อครู่นี้พูดจาน่าหงุดหงิดแค่ไหน
“ชานยอล”
“ครับ”
“เหมือนไดอารี่ของคุณจะกลับหัวอยู่ล่ะ”
“...”
ซ้ำสอง... ปาร์คชานยอลนั่งนิ่งพร้อมอาการร้อนผ่าวที่แล่นไปทั่วใบหน้าและหูทั้งสองข้าง ชายหนุ่มค้างอยู่ท่านั้นขณะคนตัวเล็กกำลังค่อย ๆ จับไดอารี่พลิกกลับหัวให้ เขาเห็นว่าแบคฮยอนแอบอมยิ้มตอนมองเขา ให้ตายสิ... เสียฟอร์มเป็นบ้า
“ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มกำมือป้องปากกระแอมไอกลบเกลื่อน ดันแว่นให้ลงกับสันจมูกแต่พอดีพลางเคาะนิ้วมือลงบนหน้ากระดาษซึ่งเขียนกำกับด้านบนว่า ‘โซล’ และมีรายละเอียดยิบย่อยถูกเขียนด้วยปากกาอยู่เต็มหน้า
“มันคือเป้าหมายที่เราจะไปเหรอ ผมขอดูหน่อยได้ไหม” แบคฮยอนมองอย่างสนใจ
จนถึงตอนนี้ชายหนุ่มก็ยังคงมองริมฝีปากช่างพูดนั้น มองตอนที่ฟันบนขบริมฝีปากล่างอย่างไม่ตั้งใจก่อนเจ้าตัวจะเงยหน้าขึ้นมาสบตากันเมื่อยังไม่ได้รับคำอนุญาต
“คุณคิดถึงลู่หานเหรอครับ?”
“หา?”
“ตอบคำถามของผมด้วย” ชานยอลไม่ได้ขึ้นเสียงเลยสักนิด กลับกันแล้วน้ำเสียงนั้นยังคงอยู่ในโทนปกติ แต่สายตาและความรู้สึกกลับไม่ใช่ แบคฮยอนเอาแต่สบตากับอีกฝ่ายระหว่างใช้ความคิด พร้อมยิ้มเจื่อนสู้กับคำถามที่ไม่รู้ว่าต้องตอบยังไง
“ผมก็ต้องคิดถึงอยู่แล้ว”
“ฮะ... เหรอครับ มากเลยใช่ไหม?”
คราวนี้แค่นหัวเราะด้วย...
“ก็... มาก” แบคฮยอนเกาท้ายทอย ถ้าจะคิดว่าอีกฝ่ายกำลังหึงจะดูเข้าข้างตัวเองเกินไปหรือเปล่านะ ต่อให้วันนั้นจะจูบกันไปแล้วแต่ก็ใช่ว่าจะคิดไปเองได้เสียเมื่อไหร่ ชานยอลก็ยังคงเป็นชานยอลที่มีเหตุผลมากมายรองรับกับการกระทำอยู่เสมอ
“ผมควรเปลี่ยนเป้าหมายจากโซลเป็นตามหาลู่หานเพื่อคุณดีไหมครับ?”
“ผมว่าดี”
“เหรอครับ? การตามหาเขามันคงดีสำหรับใจคุณมากสินะ” ชายหนุ่มสบตากับคนตัวเล็กที่กำลังช้อนตามองเขา แบคฮยอนไม่ยอมตอบคำถามของผู้ชายเอาแต่ใจที่ดีแต่ไล่ต้อนความรู้สึกคนอื่นมาตลอด น่าหงุดหงิดเป็นบ้า เขาไม่ชอบตัวเองตอนนี้เลยสักนิดที่หึงจนเก็บคำพูดเด็ก ๆ เอาไว้ไม่อยู่
“เปล่า”
“...”
“การเห็นคุณกำลังหึงต่างหากที่ผมว่าดี”
เด็กผู้ชายที่เคยหลบอยู่ข้างหลังพี่ชายในวันนั้นได้โตขึ้นอย่างเต็มตัวแล้ว ชานยอลนั่งนิ่งโดยไม่สามารถขยับตัวได้เมื่อริมฝีปากที่จ้องมานานกำลังบดจูบริมฝีปากของเขาหลังจากพูดประโยคเรียบ ๆ แต่กลับดูน่ารักเสียอย่างนั้น ไม่คาดคิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น โดยเฉพาะเด็กอย่างบยอนแบคฮยอนที่มักจะระวังคำพูดและการแสดงออกอยู่เสมอเมื่ออยู่ต่อหน้าเขาคนนี้
น่าแปลกเด็กธรรมดาคนหนึ่งจะทำให้ชายหนุ่มวัยเกือบสามสิบรู้สึกเหมือนกลับไปอยู่มัธยมอีกครั้ง วินาทีที่แบคฮยอนเป็นฝ่ายเริ่มมันให้ความรู้สึกต่างจากตอนที่เขาเป็นฝ่ายเริ่มอย่างสิ้นเชิง เราเหมือนเด็กวัยรุ่นที่เพิ่งเปิดใจยอมรับความรู้สึกต่อกัน และจูบเพื่อยืนยันว่าความรู้สึกที่มีต่ออีกฝ่ายนั้นมันไม่ใช่เรื่องโกหก
ริมฝีปากของแบคฮยอนยังคงนุ่มนิ่มเหมือนเยลลี่ ดวงตาที่เคยมองมาพร้อมความสงสัยถูกปิดด้วยเปลือกตาราวกับว่าต้องการหลีกหนีความขลาดอายที่ตนเองเป็นคนเริ่มขึ้น จูบของแบคฮยอนยังคงเป็นจูบของเด็ก ริมฝีปากของเราแนบกันโดยไม่มีการสอดลิ้นเข้าไปเพิ่มความรู้สึกและอารมณ์ แต่ปาร์คชานยอลก็ชอบความรู้สึกในตอนนี้
ความรู้สึกที่ทำให้เขากลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง
เคร๊ง!
“อ๊า! ขอโทษ! อี้ชิง! อ๊า! ผมเจ็บ!”
เสียงที่ดังมาจากหลังบ้านเป็นสัญญาณให้ทั้งคู่รีบผละตัวออกจากกัน แบคฮยอนดีดตัวลุกขึ้นยืนกวาดสายตาลอกแลกพร้อมหัวใจที่เต้นแรง ขณะที่ชานยอลเพียงกระแอมไอนั่งไขว่ห้างทำเป็นอ่านไดอารี่ที่เขียนเองกับมือ
“ผม – บอกแล้ว – ใช่ไหม – ว่า – อย่าหนี – มาแอบหลับ”
“ก็ผมง่วงนี่ สักงีบนึงก็ไม่ได้เหรอ เราฝึกใช้มีดกันมาทั้งวันแล้วนะ รู้จักเหนื่อยบ้างเถอะ” จงแดพูดอย่างอ่อนใจ ก่อนจะมองไปยังชายหนุ่มมาดนักธุรกิจที่เอาแต่ให้ความสนใจสิ่งของบนตักมากกว่าเขาทั้งคู่ที่ส่งเสียงดังขนาดนี้
“ถ้าคุณ – ยัง – เป็นแบบนี้ – เรา – จะรอด – ในโซล – ได้ยังไง”
จงแดไม่ได้สนใจเสียงบ่นของอี้ชิงเลยสักนิด ตอนนี้เขากำลังมองท่าทางแปลก ๆ ของเด็กน้อยที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากคนตัวสูงมากนัก เจ้าเด็กนั่นเกาหัวและยืนเก้อ ๆ ก่อนจะบิดซ้ายบิดขวาอย่างผิดสังเกต แถมยังหน้าแดงอีกด้วย
ปาร์คชานยอลก็เหมือนกัน แม้เจ้าตัวจะแสดงออกว่าไม่สนใจสิ่งรอบข้างบนโลกนี้แต่ใบหูกาง ๆ ที่แดงก่ำเหมือนลูกมะเขือเทศนั่นมันผิดหูผิดตาไปสักหน่อย
“ทำอะไรกันอยู่เหรอ”
“หืม ครับ?”
แบคฮยอนชำเลืองมองอีกคนที่เงยหน้าขึ้นมาจากไดอารี่พร้อมปั้นหน้าเหมือนว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น สายตาของจงแดยังเต็มไปด้วยความสงสัย และชานยอลก็ไม่คิดจะหยุดแสดงละคร คนตัวเล็กมองไปยังบุรุษพยาบาลหนุ่มที่ถือกระทะเป็นอาวุธ จางอี้ชิงยังคงตามไม่ทันนักถ้าเทียบกับคิมจงแด
“คุณสองคนดูแปลก ๆ”
“อ๋อ” ชานยอลหัวเราะในลำคอราวกับว่ากำลังเผชิญหน้ากับเรื่องตลก ชายหนุ่มถอดแว่นถนอมสายตาออกแล้วสบตากับเจ้าหน้าที่หนุ่ม “เมื่อกี้เราคุยเรื่องไปโซล แต่แบคฮยอนงอแงจะกลับบ้านตัวเองให้ได้ผมก็เลยดุไปนิดหน่อยน่ะครับ”
“...?” คนถูกโบ้ยชี้หน้าตัวเองอย่างงง ๆ พร้อมมองเจ้าของบทรางวัลออสก้าซึ่งยังคงนั่งยิ้มบาง ๆ เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ทั้ง ๆ ที่ตัวเขารวบรวมความกล้าง้อแทบตาย
“เหรอ” จงแดยังไม่เชื่อเสียทีเดียว เจ้าหน้าที่หนุ่มหรี่ตาพลางมองใบหน้าซื่อ ๆ ของเด็กมอปลายคนนั้น ซึ่งพอคิดอีกทีก็คงไม่เกินจริงไปกว่าที่ชานยอลพูด “ย่าห์ คุณจะเอาแต่ใจไม่ได้นะแบคฮยอน”
“...หะ”
“จริงอยู่ที่ตอนนี้ชานยอลคือเสียงหลักในการตัดสินใจ แต่ถ้าอยากไปที่ไหนก็ต้องประชุมกันก่อนสิ”
“ฮึ...” แพะรับบาปอย่างเขาได้แต่ยืนทำหน้าเซ็งและฟังเสียงหัวเราะในลำคอของชานยอล อารมณ์ดีขึ้นมาเชียวนะ...
“ก่อนไปสอน – คนอื่น – คุณก็ต้อง – เอาตัวเอง – ให้รอด – ด้วย”
“...” คนที่เพิ่งโชว์หล่อแบบผู้ใหญ่ถึงกับหน้าหงายเพราะคำพูดของบุรุษพยาบาลหนุ่มที่ยืนประกบอยู่ข้าง ๆ จางอี้ชิงไม่คิดจะลดละการฝึกและคงไม่คิดจะปล่อยเขาไปจนกว่าจะสาแก่ใจ
“ไปฝึกต่อเถอะครับจงแด”
“อ๊า ให้ตาย!” พอได้ยินชานยอลเสริมก็ยิ่งเซ็ง พักบ้างไม่ได้หรือไง จะโหดกันไปไหน
“การฝึกมันจะทำให้คุณคล่องตัวขึ้น พอถึงตอนนั้นคุณจะขอบคุณตัวเองนะจงแด”
“ผมรู้แล้ว” เจ้าหน้าที่หนุ่มประชดประชันพร้อมเดินกลับไปหลังบ้านอีกครั้ง อี้ชิงจึงพยักหน้าบอกลาทั้งคู่และตามออกไป
“หึ...” แบคฮยอนถอนหายใจพร้อมทอดสายตามองเบื้องหน้าโดยไม่หันไปดูว่าตอนนี้อีกฝ่ายกำลังยิ้มด้วยสีหน้าแบบไหน
“ไม่พอใจเหรอครับ?”
“แหงอยู่แล้ว โยนความผิดให้เด็กแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน...” ชานยอลต้องมีพลังวิเศษอยู่แน่ ๆ เสียงของเขาถึงเบาลงได้เพียงเพราะถูกจับมือ
อีกฝ่ายไม่ได้กระตุกมือให้เขานั่งลง หรือออกแรงบีบเพื่อสั่งสอนให้รู้ว่าเป็นเด็กเป็นเล็กอย่าหัดพูดไม่ดีกับคนอายุมากกว่า แบคฮยอนรู้สึกได้เพียงความอบอุ่นที่เหมือนตั้งใจให้รู้ว่าความจริงแล้วปาร์คชานยอลแค่อยากจับมือเขาเท่านั้น
จับมือกันโดยไม่ตั้งคำถามว่าเพราะอะไร
“ถูกของคุณครับ ผมเป็นผู้ใหญ่ที่ใช้ไม่ได้เลย”
“ใช้ไม่ได้มาก ๆ ด้วย...” แม้จะมีคนเข้ามาขัดจังหวะ แต่หัวใจของแบคฮยอนก็ยังคงเต้นแรงเหมือนวินาทีแรกที่รวบรวมความกล้าจูบผู้ชายคนนี้ เรากระตุกมือกันและกันเหมือนเด็ก ๆ เขาควรทำยังไงกับความอุ่นของฝ่ามือชานยอลดี อยากมีความกล้าจับแน่น ๆ บ้างแต่ก็เขินกับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้จนไม่กล้าทำอะไร
“อยากบ่นอีกก็ได้นะครับ วันนี้ผมว่างมากพอที่จะฟังคุณได้ทั้งวัน”
“โกหกชัด ๆ เมื่อกี้ยังทำเหมือนว่าไดอารี่สำคัญกว่าอะไรในโลกอยู่เลย”
“คุณไม่รู้หรอกครับว่าอะไรสำคัญสำหรับผมจริง ๆ” ประโยคแบบนี้เคยเชือดเฉือนใจมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ในวินาทีนี้กลับทำให้ใจเต้นแรงเพราะน้ำเสียงทุ้มนุ่มและนิ้วหัวแม่มือที่กำลังคลึงหลังมือของเขาอย่างแผ่วเบา
“งั้นก็บอกมาสิ... ผมจะได้รู้สักที” แบคฮยอนเม้มริมฝีปาก ก่อนจะชำเลืองมองอีกคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวยาวอย่างเช่นทีแรกเพื่อพบกับรอยยิ้มอบอุ่นของผู้ชายเข้าใจยาก
“นั่งลงสิครับ แล้วผมจะเล่าให้ฟังว่าคนที่ชอบคุณมากจนใครก็จินตนาการไม่ออกนั้นคือใคร”
50% (จริง ๆ)
“ฮัดเช้ย!!!”
ลู่หานขมวดคิ้วพลางส่ายศีรษะเรียกสติกลับมา หนุ่มตี๋เอานิ้วถูจมูกพลางเหล่มองคนรอบข้างว่ามีใครหน้าไหนกำลังนินทาเขาอยู่หรือเปล่า ให้ตายสิโรบิ้น... จะว่าเป็นหวัดก็ไม่ใช่เพราะร่างกายยังคงแข็งแรงเหมือนปกติ สองสามวันมานี้อยู่ดี ๆ ก็จามขึ้นมาหลายทีละ มันต้องมีคนชั่วนินทาเทพบุตรอย่างเขาอยู่แน่ ๆ
“เอาล่ะ พร้อมกันแล้วใช่ไหม?” อี้ฟานกวาดสายตามองเพื่อเช็กความเรียบร้อยของทุกคนที่กำลังจะออกไปหาเสบียงในวันนี้
“ต้องฝากนายแล้วว่ะ”
“...?” อี้ฟานเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม กับประโยคที่หลุดออกมาจากปากลู่หานซึ่งต้องยอมรับว่าไม่คุ้นชินเอาเสียเลย
“ไรของมึง” จงอินชำเลืองมองเพื่อนสนิทที่เอาสองมือจับท่อนแขนอี้ฟานไว้ราวกับว่าการกล่าวฝากฝังอย่างเดียวมันไม่พอ คนตัวสูงยังคงงงและไม่เข้าใจ ว่าทำไมครั้งนี้ลู่หานถึงดูจริงจังมากกว่าครั้งอื่น ๆ เพียงเพราะเราทุกคนแยกกันเป็นสองกลุ่มเพื่อออกหาเสบียง
“โธ่มึง ดูดิ ฝั่งนั้นมีแต่คนยังไม่เป็นงาน ไหนจะครูขี้บ่นที่ลงสนามอย่างจริงจังครั้งล่าสุดก็ตอนอยู่โรงเรียนชุงช็องใต้ เด็กกรงหมาที่อาการเดี๋ยวดีเดี๋ยวทรุด อี้ฟานก็เพิ่งขาหายเจ็บ แถมมินซอกก็ยังใช้อาวุธยังไม่ถนัดอีก กูก็ต้องห่วงเป็นธรรมดา” ลู่หานอธิบาย แต่สายตาก็ลอกแลกมองไปยังคนตัวเล็กที่กำลังผูกเชือกรองเท้าอยู่ข้าง ๆ เด็กกรงหมา
“มึงน่าจะห่วงกูมากกว่าคนที่เข้าไปในหมู่บ้านพร้อมกันสี่คนปะวะ” จงอินขมวดคิ้วเมื่อนึกถึงชะตาชีวิตตัวเองที่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุผลอะไร ทำไมหลาย ๆ คนถึงไม่แย้งไอ้ลู่หาน ไอ้ชั่วที่เสนอชื่อเขาเข้ากลุ่มหน่วยกล้าตายซึ่งต้องไปเสี่ยงในเมืองที่มีความอันตรายสูงกว่า
เหตุการณ์กลางสะพานเมื่อวันนั้นมันก็แค่ความฟลุ๊กของผู้ชายห่วยแตกเท่านั้น เพราะความจริงจงอินก็รู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองกระจอกงอกง่อยแค่ไหน และที่ช่วยอี้ฟานในน้ำได้ก็เพราะมีควอนยูริกับโชคช่วย อาจเป็นเพราะพื้นที่ในนรกเต็มแล้วยมบาลจึงไม่อยากรับเขาลงไปอยู่อีกคน
ไอ้เทาบอกว่าสมองเขาคงใกล้กลับเข้าสู่สภาพปกติแล้ว ไม่อย่างนั้นแขนขาคงไม่พาไปแล้วรอดออกมาจนได้ ส่วนอี้ฟานบอกว่าถ้ายังไม่มั่นใจก็ให้สวมชุดเกราะไอออนแมนของเล่นเด็กที่เจออยู่ในบ้านพัก บทจะกวนตีนก็พูดมันออกมาได้อย่างหน้าตาเฉยกูนี่ไม่รู้จะว่าไงเลย
มีแค่คนเดียวเท่านั้นที่ทำให้คิมจงอินรู้สึกปลอดภัยทางความรู้สึก โอเซฮุนเพียงยิ้มบาง ๆ พร้อมบอกว่าเราทั้งสองกลุ่มต้องแบ่งคนคละกันไป ให้มีทั้งคนถนัดด้านต่อสู้และคนที่จำเป็นต้องฝึก
เด็กคนนั้นไม่ได้อยู่ในสภาวะอ่อนแอแต่ก็กลัวจะทรุดเพราะเหตุการณ์ไม่คาดคิด เจ้าตัวอ้างว่าตนไม่ได้อยู่ในระดับแนวหน้าเพื่อปลอบให้คิมจงอินรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้กระจอก เซฮุนบอกว่ายังต้องเดินตามหลังอี้ฟาน จึงอยากให้เขาตามหลังลู่หาน เทา และยูริเพื่อฝึกให้ชิน
ไม่ใช่เพราะอยากได้คิมจงอินคนเดิมกลับคืนมา แต่เจตนาของเด็กคนนั้นก็เพื่อให้เราทุกคนฝึกไปพร้อม ๆ กัน
ไม่มีใครสนใจประโยคเมื่อครู่ของเขาเลยด้วยซ้ำ อี้ฟานเพียงยิ้มพร้อมชี้นิ้วว่าต้องไปแล้ว ส่วนไอ้เพื่อนส้นตีนก็กลอกตารัวลิ้นใส่เหมือนว่าอยากเลียเข่าเขายังไงอย่างนั้น
ยูริขึ้นไปรอบนรถแล้ว ส่วนอี้ฟาน เซฮุน และมินซอกก็แยกไปขึ้นรถอีกคัน ตอนนี้ไอ้เทากำลังยืนคุยกับครูของมัน คาดว่าคงไปกำชับให้ระวังตัวเพราะไม่สามารถห้ามให้เธอรออยู่ที่นี่ได้
ปาร์คกาฮีปวดท้องมาหลายวันแล้ว หลายคนเพิ่งได้รู้ว่าเธอปวดท้องกระเพาะเรื้อรังมาได้สักพัก หลังจากอยู่อย่างอด ๆ อยาก ๆ แต่กลับจัดแจงอาหารให้ทุกคนกินทุกมื้อ ครูสาวเสียสละในส่วนของตัวเองเพื่อสะสมไว้ให้คนอื่นในมื้อถัดไป มันเป็นเรื่องน่าใจหายที่ได้ยินคำสารภาพเบา ๆ ว่าคนที่ออกไปเหนื่อยข้างนอกควรได้กินอิ่มท้องมากกว่าเธอ
ดังนั้นหวงจื่อเทาจึงกระตือรือร้นกับการออกไปหาเสบียงครั้งนี้ยิ่งกว่าใคร เด็กตัวสูงลิสต์ไว้แล้วว่าต้องแวะร้านยาเพื่อหายาเคลือบกระเพาะ และอะไรก็ตามที่จะทำให้ครูสาวทรมานน้อยลง
ไอ้ลู่หานก็ร่ำรี่ร่ำไรเหลือเกิน แทนที่จะเดินไปสตาร์ทรถตรงไปยังเป้าหมายเพื่อจะได้กลับที่พักก่อนมืด แต่มันเสือกยืนคุยกับเด็กแว่น ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เหมือนเด็กหัวโปกกำลังอินเลิฟ
“อะไรของมันวะ”
“นั่นดิ ทำเหมือนคนไม่เคยคุยกันมาก่อน” เทาเสริมขณะมองรถคันข้างหลัง วันนี้เขารีบจนรู้สึกหัวเสียกับสิ่งรอบข้างไปหมด
“มียีหงยีหัวด้วย” จงอินกับเทาอยู่ในท่าเดียวกัน ขณะที่ควอนยูริไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
“เพราะปกติไม่เคยออกไปทำอะไรแบบนี้ไอ้ลู่หานเลยเป็นห่วงมั้ง แต่ตอนที่กูเคยพามินซอกไปฝึกในป่าอุทยานก็ไม่เห็นมันจะเล่นใหญ่ขนาดนี้” เทาขมวดคิ้ว ลิ้นดันกระพุ้งแก้มกับความแปลกประหลาด พ่อก็ไม่ใช่ ก่อนหน้านี้ตอนอยู่อุทยานก็เหมือนจะทะเลาะกันจนขอย้ายห้องนอน แล้วไหงจู่ ๆ ก็กลับมาคุยกันเหมือนก่อนหน้านี้ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
จงอินไม่ได้อธิบายถึงความสัมพันธ์ของเพื่อนสนิทและเด็กคนนั้นที่เขาเพิ่งจำได้ว่าทั้งคู่มีความลึกซึ้งกันแค่ไหน แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเห็นอย่างนั้นแล้วรู้สึกคันส้นตีนขึ้นมาระดับหนึ่ง
ลู่หานกลับมาที่รถพร้อมผิวปากอย่างอารมณ์ดี หนุ่มหน้าตี๋หันไปยิ้มอ่อนใส่เพื่อนสนิทข้างตัวพร้อมสตาร์ทรถแล้วขับออกไป และไม่ลืมที่จะเปิดเพลงคลอเบา ๆ เพื่อให้ความฟินเช้านี้อยู่กับตัวเขาไปนาน ๆ
ไม่ชินหรอก ยังไงลู่หานก็ไม่ยอมชินเด็ดขาด เมื่อกี้เปาจื่อบอกว่า ‘รีบกลับนะ’ ด้วย นอกจากจะไม่ด่าแล้วยังยิ้มให้อีกอย่างหาก เห็นอย่างนั้นแล้วพี่ยังต้องพูดอะไรอีก?!
ตั้งแต่เปิดอก (เปิดอย่างอื่นด้วย) คุยกันแล้วอะไร ๆ ก็ดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ต่อให้ไม่ได้นอนกอดกันในห้องส่วนตัวอย่างที่คาดหวังไว้ แต่การได้นอนบนพื้นห้องนั่งเล่นข้าง ๆ กันแล้วจับมือน้องใต้ผ้าห่มมันก็ฟินไปอีกแบบ แน่นอนว่ามันดีกว่าการนอนแห้งเหี่ยวตามลำพังหลังโซฟาเป็นไหน ๆ
มีโอกาสก็แอบหอมแก้มทีเผลอบ้าง ขออวดหน่อยว่าไม่โดนตบด้วย ในรอบหลายเดือนที่ผ่านมาต้องยอมรับเลยว่ากุศลผลบุญที่สร้างไว้ทั้งหมดได้ส่งมาถึงลูกช้างแล้วในวันนี้ ลู่หานมีความสุขกับการออกไปหาเสบียงจนลืมไปเลยว่าเคยมีความตายรออยู่ข้างหน้า ต่อให้วันนี้ได้แค่น้ำขวดเดียวกูก็ฟินอะเอาจริง
ประมาณสี่สิบห้านาทีรถก็ขับมาถึงที่หมาย ทั้งสี่คนลงไปบนถนนที่ไม่โล่งแต่รถก็ไม่จอดแออัดกันอย่างเช่นถนนสายอื่น ตึกอาคารพาณิชย์ละแวกนี้ทรุดโทรมไม่ต่างจากสถานที่ที่พวกเขาผ่านมา มันยังคงร้างและมีผีดิบห้าหกตัวเดินเร่ร่อนอย่างไร้จุดหมาย ก่อนจะตายเพราะถูกลู่หานและเทาจัดการ
“เร่งมือกันเถอะว่ะ ตอนนี้กูใจไม่ดีเลย” เทารู้สึกอย่างที่พูดจริง ๆ เขาเป็นห่วงครูเหลือเกินที่ไม่ยอมนอนอยู่เฉย ๆ แต่กลับเลือกออกไปช่วยอี้ฟานหาเสบียง
จริงอยู่ที่โรคกระเพาะไม่หนักหนาอะไรนักถ้าเทียบกับโรคร้ายแรงอย่างมะเร็ง ซึ่งโชคดีที่คนในกลุ่มยังไม่มีใครโชคร้ายเผชิญหน้ากับมัน แต่ถ้าปล่อยให้ครูปวดท้องเรื้อรังไปเรื่อย ๆ ก็กลัวว่าอาการจะหนักขึ้น ไม่รู้จะเป็นแผลในกระเพาะหรือแย่ลงกว่านั้นหรือเปล่า หวงจื่อเทาเป็นเพียงเด็กหนุ่มมอปลายที่ไม่ได้ตั้งใจเรียน ดังนั้นเขาจึงคิดว่าการหาเสบียงได้เยอะ ๆ เพื่อตุนไว้ให้ครูได้กินทุกวันย่อมดีกว่าการปล่อยให้เธออดอาหารเพื่อคนอื่น ๆ
จงอินกวาดสายตาไปโดยรอบ เป็นอีกครั้งที่เขารู้สึกแปลก ๆ มือทั้งสองข้างเย็นวาบก่อนความเย็นเหล่านั้นจะแล่นปราดไปทั่วร่างกาย เขาได้ยินเสียงคมดาบของลู่หานที่ฟันคอผีดิบจนศีรษะกลิ้งตกไปบนพื้น ตามด้วยสมองที่ทะลักออกมาเพราะถูกเหยียบซ้ำเพื่อให้แน่ใจว่าฟันคมที่ขบจนเกิดเสียงนั้นจะไม่มีโอกาสได้ทำร้ายใครอีก
เสียงฝ่าเท้าของหวงจื่อเทาถีบเข้ากลางอกผีดิบนักเรียนชายจนกระเด็นชนกับกำแพงปูนอิฐและเด้งออกมาตามแรงกระแทก และตายด้วยมีดพกขนาดเหมาะมือที่แทงเข้ากลางลูกตา ควอนยูริเดินนำไปข้างหน้าเพื่อสำรวจลาดเลา คนที่จมอยู่กับความเศร้ายังคงเงียบและเลือกพูดเท่าที่จำเป็นเท่านั้น
“แปลกว่ะ ทำไมละแวกนี้แทบไม่มีพวกมันเลย จะว่าเพราะเป็นเมืองเล็กก็ไม่ใช่อีก” ลู่หานถอดหมวกแก็ปสีดำออกก่อนจะใส่มันเข้าไปอีกครั้งแล้วหมุนปีกกลับหลัง
“ใช่ ที่นี่แปลก” ควอนยูริกล่าวสั้น ๆ พลางเงยหน้าสำรวจชั้นสองของตึกอาคารพาณิชย์ หากตอนนี้มีใครซุ่มดูอยู่ การถอยกลับไปตั้งหลักคงดีกว่าเข้าปะทะเป็นไหน ๆ
จงอินยังคงยืนนิ่งกับคำถามที่ว่า ‘ทำไม?’
ซึ่งลู่หานพูดว่าถ้ามีอะไรผิดปกติเพียงนิดเดียวพวกเขาจะถอยกลับทันที การเสี่ยงในพื้นที่คนอื่นนั้นไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดนัก จงอินเดินไปข้างหน้าสี่ก้าวก่อนจะหยุดอยู่บนฟุตปาธเมื่อรู้สึกได้ว่ามีน้ำเย็น ๆ หยดลงบนปลายจมูกตน เพียงชั่วอึดใจชายหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่แสงแดดไม่สามารถกระจายไปอย่างทั่วถึงได้ ฝั่งนี้ยังคงมืดครึ้มและมีก้อนเมฆในช่วงปลายฤดูหนาว จงอินหลับตาลงเมื่อน้ำเย็นหยดลงบนเปลือกตาเขา และคราวนี้มันเริ่มหยดลงมาถี่ขึ้นจนกลายเป็นกลุ่มฝน
น้ำเย็นสาดลงมาจากท้องฟ้าจนทำให้ร่างกายเปียกปอน เสียงห่าฝนดังกึกก้องอยู่ในหัวจนไม่สามารถได้ยินเสียงรอบข้าง ภาพตรงหน้าพร่ามัวก่อนพื้นที่เหยียบอยู่จะเต็มไปด้วยหิมะสีขาวโพลนซึ่งไม่รู้ว่ามันมาจากไหน
‘แผนบีที่มึงว่านี่เป็นยังไงวะ?’
จงอินขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงตัวเองทั้งที่เขาไม่ได้พูด
‘แผนบีเหรอ จัดการไอ้เหี้ยหน้าเหมือนเสี่ยเลี้ยงเด็กไซด์ไลน์ที่เอาปืนจ่อหัวไอ้ยุนฮาก่อนไง’
ยุนฮา?
เพียงนึกถึงชื่อนี้ ใบหน้าของเด็กหนุ่มคนหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัวราวกับภาพหนัง ทุกอย่างรอบตัวถูกตัดไปในร้านเสื้อผ้าที่มีเขา ลู่หาน หวงจื่อเทา และเด็กผู้ชายเจ้าของชื่อคังฮุนฮา สีหน้าของเด็กคนนั้นไร้ความรู้สึกคล้ายว่าไม่เต็มใจที่ต้องมาด้วยกัน ก่อนภาพจะตัดฉากไปที่เขา ไอ้เทา และคังยุนฮาช่วยกันดันรถที่จอดขวางออกเพื่อเคลียร์ทางให้ไอ้ลู่หาน
เด็กผู้ชายคนนั้นเป็นลูกศิษย์ของปาร์คกาฮี และเด็กคนนั้น... ตายไปแล้ว
ซ่า...
ความทรงจำเก่า ๆ พรั่งพรูออกมาเหมือนหยาดฝนจากท้องฟ้าในเวลานี้ ภาพทุกอย่างตัดกลับมาที่ฟุตปาธข้างถนนซึ่งมีเพื่อนสนิทยืนอยู่ตรงหน้าเขาด้วยสีหน้าร้อนใจ
‘ถ้าทำแบบนั้นมันต้องฆ่าอี้ฟานแน่’ เสียงของเขาอัดแน่นไปด้วยความกังวลไม่ต่างจากลู่หาน แต่ในวินาทีนั้นคิมจงอินกลับมีความกล้ามากพอที่จะตัดสินใจ ‘ต้องให้มินซอกเก็บใครสักคนเพื่อเรียกความสนใจจากพวกมัน’
‘งั้นแผนซี จัดการไอ้เตี้ยที่เอาปืนจ่อหัวอี้ฟานก่อน’
หลังจากได้ยินเพื่อนสนิทกล่าวอย่างนั้น เขาจึงหันไปข้างหลังเพื่อสั่งการเด็กผู้ชายที่ยืนมองอย่างประหม่า เด็กเหล่านี้ควรมีหน้าที่เรียนหนังสือมากกว่าต้องมารวบรวมความกล้าเพื่อฆ่าใครสักคน เขาคิดอย่างนั้น
‘ทุกคนย้ายไปตามจุด แบคฮยอน... นายจำที่ฉันบอกได้ไหม?’
เขาวางมือลงบนไหล่เด็กผู้ชายตัวเล็กตรงหน้า คนที่ความรู้สึกบอกว่าต้องดูแลให้ดีเพราะคำฝากฝังจากชายคนหนึ่ง คนที่ไม่มีฝีมือเรื่องป้องกันตัวแต่ก็เสียสละออกไปแทนน้องชาย
‘กฎเหล็กข้อแรกคือห้ามตาย’ เจ้าของคำพูดกล่าวเพื่อเพิ่มความกล้าให้ตัวเอง ก่อนจะแยกไปอยู่ตามจุดที่วางแผนไว้
ห่าฝนตกลงมาอย่างหนัก ปะปนกับภาพความทรงจำมากมายที่แย่งกันเข้าสมองชายหนุ่มในเวลานี้ จงอินขมวดคิ้วหลับตาลงพร้อมกำมือแน่น ประโยคสนทนามากมายซึ่งเจ้าของเสียงไม่ซ้ำกันกำลังทำให้เขาสับสนจนเผลอกลั้นหายใจ
หลายคนได้รับบาดแผลจากการต่อสู้ เสียงปืนกราดดังกึกก้องจนทำให้หูอื้อ รวมไปถึงเสียงฝีเท้าวิ่งย่ำบนหิมะจนน้ำฝนกระเซ็น ความกลัวที่ต้องข่มมันด้วยความกล้า เพื่อจุดหมายหลักคือการช่วยชีวิตคนในครอบครัว
จงอินสัมผัสได้ถึงความหนาวเหน็บทั้งกายใจ และมันไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเผชิญกับความรู้สึกแบบนี้ ชายหนุ่มยังคงยืนอยู่กับที่ ก่อนจะหันไปทางขวามือเพื่อมองตรอกแคบซึ่งมีขยะกองใหญ่อยู่ตรงนั้น
“จงอิน... ไอ้เชี่ยจงอิน?”
ชายหนุ่มหลุดออกจากความคิด กระพริบตาเพื่อเรียกสติตนเองกลับมาก่อนจะหันไปสบตากับเพื่อนสนิทซึ่งมองมาอย่างประหลาดใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา
“เป็นไรวะ” คนถูกถามกวาดสายตาไปรอบตัว ที่ตรงนี้ยังคงว่างเปล่าให้ตั้งคำถาม พื้นถนนไม่มีน้ำขังที่ควรเกิดจากห่าฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก ไม่มีกองหิมะขาวโพลน ไม่มีอะไรเลยสักอย่าง
“เปล่า”
“มีอะไรงั้นเหรอ?” หญิงสาวตามมาสมทบ ควอนยูริไม่ได้นึกเป็นห่วงอาการคิมจงอิน แต่การที่ผู้ชายคนนี้ยืนนิ่งโดยไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้หลังจากมีคนเรียก เธอจึงเดินกลับมาพร้อมหวงจื่อเทา
จงอินหันกลับไปยังตรอกแคบซึ่งทั้งมืดและมีกลิ่นเหม็น ทั้งสามคนมองชายหนุ่มผิวแทนที่กำลังเดินเข้าไปอย่างช้า ๆ โดยไม่รู้ว่าเพราะอะไรอีกฝ่ายจึงทำอย่างนั้น จงอินหยุดยืนอยู่หน้ากองขยะซึ่งถูกวางซ้อนทับกันจนสูงถึงช่วงเอว
ทุกสายตายังคงจดจ้องกับแผ่นหลังกว้างที่กำลังเอาถุงขยะสีดำออกมา ผ่านไปเพียงสามถุงเท่านั้นจงอินก็หยุดนิ่ง ก่อนจะหันกลับมาหาเพื่อนร่วมทางทั้งสามคน ตามด้วยการโชว์ให้ดูว่ามือข้างขวานั้นมีอะไรอยู่
ลู่หานสบถหลังจากเห็นว่าในมือของเพื่อนสนิทคือแขนของมนุษย์ เพียงครู่เดียวร่างนั้นก็ถูกลากออกมาจากกองขยะ ก่อนจะพบว่ามีศพอีกมากมายซ้อนทับกันอยู่ ทั้งสามคนตามไปสมทบก่อนเทาจะส่องไฟฉายเพื่อสำรวจ
“ดูยังไงก็ไม่ใช่ศพคน” ยูริใช้ปลายนิ้วเขี่ยให้ใบหน้าร่างไร้วิญญาณพลิกไปอีกทาง ก่อนจะเห็นกะโหลกเหวอะหวะซึ่งเหลือสมองติดอยู่เพียงน้อยนิด “ชัดว่าตายในร่างผีดิบ ศพนี้ก็เหมือนกัน”
“คำถามแรกคือทำไมศพพวกนี้ถึงมากองอยู่ใต้กองขยะ มีเทศบาลมาช่วยเก็บกวาดให้เหรอวะ” ลู่หานขมวดคิ้วอย่างคิดไม่ตก พลางกลอกตามองหน้าแต่ละคนเพื่อขอความเห็น แต่ก็ดูเหมือนว่าจะมีคนฉลาดอยู่คนเดียวคือควอนยูริ ซึ่งเจ้าตัวคงไม่คิดจะตอบดี ๆ
“อย่างน้อยก็รู้แล้วว่าทำไมบนถนนถึงมีพวกมันอยู่แค่ไม่กี่ตัว” เทาเดินเข้าไปข้างในเล็กน้อยพร้อมส่องไฟฉายเข้าไปเพื่อเช็กดูว่ายังมีซากศพอีกหรือไม่ และก็พบว่ามีอีกหลายตัวที่นอนอยู่หลังกองขยะ “คำถามต่อมาคือทำไมไม่ฆ่าพวกบนถนนให้หมด”
ไม่มีใครตอบคำถามนี้ได้ ทั้งสี่คนเงยหน้าสบตากันเพื่อคิดหาคำตอบว่า ‘ทำไม?’ ถึงมีการเก็บกวาดซากศพแทนที่จะปล่อยทิ้งไว้บนถนนก็ได้ ชั่วอึดใจเลยทีเดียวที่ทุกคนเงียบไป กระทั่งจงอินเงยหน้าขึ้น
“ที่นี่อาจจะมีเจ้าถิ่นอยู่”
“...”
จงอินพยักหน้าเรียกให้เพื่อนเดินเข้ามาในตรอกซึ่งลู่หานก็ทำตามอย่างไม่ตั้งคำถาม ชายหนุ่มผิวแทนชะโงกหน้าออกไปด้านนอก มองซ้ายทีขวาทีเพื่อเช็กเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะกลับมาเผชิญหน้ากับเพื่อนร่วมทางอีกสามคน
“ที่เหลือให้พวกมึงฆ่าบนถนนอาจเป็นส่วนที่เจ้าถิ่นเอาไว้พรางตา เพราะถ้าถนนโล่งหรือทิ้งซากศพไว้กลางถนน คนที่ผ่านมาอาจจะสงสัยและคิดว่าที่นี่คงมีคนอยู่”
“ถ้าเป็นอย่างที่มึงว่าจริง การพรางตาด้วยวิธีนี้มันจะเป็นกับดักหรือการป้องกันตัว?” ลู่หานกอดอกขมวดคิ้วอย่างคิดไม่ตก เขายืนรอความเห็นจากเพื่อนแต่อีกฝ่ายก็เงียบพร้อมส่ายหน้า
“แต่ไม่ว่าทางไหนมันก็อันตรายอยู่ดีไม่ใช่เหรอวะ การเผชิญหน้ากับความไม่รู้มันก็เสี่ยงพอแล้ว กูว่าเราควรออกไปจากที่นี่” ชายหนุ่มผิวแทนกล่าวอย่างไม่ลังเล ซึ่งควอนยูริก็ไม่แย้งเพราะเข้าใจเหตุผลของอีกฝ่าย
“แต่เรายังไม่ได้สำรวจให้ดีเลยนะ บางทีมันอาจจะไม่ใช่อย่างที่มึงคิดก็ได้” เป็นเพราะจงอินสูญเสียความทรงจำและความสามารถไปถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ หวงจื่อเทาจึงไม่อยากเชื่อคำพูดอีกฝ่ายนัก
“แต่ศพที่กองอยู่คาตามันก็ทำให้มีความเป็นไปได้สูงนะกูว่า มึงลองคิดดูว่าคนประเภทไหนที่จะคิดแผนได้รอบคอบขนาดนี้” ลู่หานยังคงเลือกที่จะเข้าข้างจงอิน เพราะประโยคหนึ่งที่ทำให้คำพูดของอีกฝ่ายฟังขึ้นก็คือ ‘การเผชิญหน้ากับความไม่รู้คือการเสี่ยง’
“แล้วถ้าเกิดไม่ใช่อย่างที่ไอ้จงอินคิดล่ะ?” เทายังคงรั้น “มันอาจเป็นใครสักคนที่บ้าบิ่นคิดอยากทำความสะอาดเมืองก็ได้ เพราะถ้ามีเจ้าถิ่นอยู่จริงมันจะปล่อยให้เราเดินวนเวียนอยู่ตรงนี้ตั้งนานสองนานเหรอวะ”
“ถ้ามึงเป็นใครสักคนที่อยู่ที่นี่ มึงจะล่อคนที่เพิ่งลงจากรถโดยไม่รู้ว่าเขามาทำอะไรหรือไงวะ?” จงอินสบตากับอีกฝ่าย “จริงอยู่ที่ว่าใคร ๆ ก็ยิงปืนได้ แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะยิงแม่น”
ถ้ามี ‘เจ้าถิ่น’ อยู่จริง การเสี่ยงยิงเหยื่อหนึ่งรายให้ตายคาที่ ก็เท่ากับว่าคนเหล่านั้นต้องพลาดเป้าไปอีกสาม ยิ่งถ้าเกิดไม่ใช่นักแม่นปืนที่สามารถยิงจากระยะไกลได้ เหยื่อรายแรกที่ควรตายก็อาจรอดอย่างหวุดหวิด ซึ่งเท่ากับว่าฝั่งเจ้าถิ่นต้องคว้าน้ำเหลว
“ถ้าฝั่งนั้นไม่มีปืนแต่กลับเป็นอาวุธชนิดอื่น บางทีพวกมันก็อาจจะซุ่มอยู่ที่ไหนสักแห่งเพื่อรอจัดการเราในระยะประชิดก็ได้” มีเพียงควอนยูริเท่านั้นที่ไม่คุ้นชินกับคิมจงอินในรูปแบบนี้ หญิงสาวมองอีกคนที่ฉายแววตาจริงจัง ซึ่งทำให้หวงจื่อเทาเงียบไปเลยทีเดียว
“แล้วพวกมึงจะกลับไปมือเปล่าแบบนี้เหรอ” คราวนี้ยูริเห็นว่าเด็กตัวสูงใช้ลูกไม้สำออย แสร้งเหมือนจะบีบน้ำตาแต่ก็ไม่ “ครูของกูป่วยอยู่นะ เธอปวดท้อง เราทุกคนก็อด ๆ อยาก ๆ กันมาหลายวันแล้ว ที่เหนื่อยจนรู้สึกไม่มีแรงเป็นเพราะอะไรพวกมึงน่าจะรู้ดี”
“ทุกคนก็หิวหมดปะห่านี่ก็” ลู่หานบ่นอุบอิบกับความดื้อรั้นที่อาจพาเราทุกคนไปติดกับดักซึ่งไม่มีใครรู้ว่ามีจริงหรือไม่
“มึงจะปล่อยให้ตัวเองหิวกูก็ไม่ว่าหรอก แต่อย่าลืมว่ายังมีคนอีกกลุ่มที่อ่อนแอกว่ารอเราอยู่” เทาเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง “ถ้ากลับไปตอนนี้ก็มีแต่คว้าน้ำเหลว มึงก็รู้ว่าระหว่างทางที่ผ่านมาไม่มีที่ไหนหลงเหลือเสบียงให้เราอีกแล้วนอกจากที่นี่”
“ถ้าเกิดที่นี่ก็ไม่มีเหมือนกันล่ะ?” จงอินถามเสียงเรียบ
“นั่นคือเหตุผลที่เราควรเข้าไปดูก่อนไง” ลู่หานถอนหายใจอีกครั้งกับคำพูดของหวงจื่อเทา “ถ้าคนที่มึงรักปวดท้องเพราะหิวข้าว พวกมึงจะทนได้ไหมวะ”
ควอนยูริได้ยินอย่างนั้นจึงแค่นหัวเราะในลำคอโดยไม่หันไปมองเจ้าของคำพูดเห็นแก่ตัวเมื่อครู่ หวงจื่อเทาก็ยังคงเป็นหวงจื่อเทา ไอ้เด็กเหลือขอที่มองเห็นแต่ตัวเองกับครูของมันเท่านั้น
“งั้นก็ลุยไปคนเดียวเลยสิ” หญิงสาวกล่าวเสียงเรียบ เงยหน้าประจันสายตากับเด็กหนุ่มตัวสูงที่มองมาอย่างไม่ชอบใจ
“ผมไปแน่”
“ไอ้เทา มึงใจเย็นก่อนสิวะ” จงอินคว้าท่อนแขนแกร่งของเด็กหนุ่มไว้แต่ก็ถูกสะบัดออกอย่างไม่ใยดี
“แล้วกูจะทำให้รู้เองว่าเจ้าถิ่นส้นตีนไรนั่นแม่งไม่มีอยู่จริง” เด็กวัยเลือดร้อนมองมาเพื่อย้ำว่าตนพูดจริง เทาสบตากับหญิงสาวเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินนำไปโดยไม่รอให้ใครได้พูดอะไรอีก
“มึงไปกับยูริ” สิ้นเสียงของเพื่อนสนิท ลู่หานก็ถอนหายใจหนัก ๆ พร้อมมองตามแผ่นหลังของเพื่อนสนิทที่วิ่งตามหลังไอ้เด็กประสาทแดกไปติด ๆ
“นี่ก็แซะอยู่นั่น ก่อนเป็นทหารเคยเปิดกิจการร้านขนมครกไง๊?” ลู่หานหันไปบ่น แต่ยูริกลับแค่นยิ้มแล้วเดินนำไปข้างหน้า
เอาเถอะ ทุกที่บนโลกใบนี้ย่อมมีความเสี่ยงอยู่แล้ว จะปลอดภัยหรือเสี่ยงตายแค่ไหนมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผู้หญิงตัวคนเดียวอย่างเธอต้องกลัว
ทั้งคู่เดินมาเรื่อย ๆ พร้อมมองข้างทางว่ามีร้านไหนพอจะแวะได้บ้างหรือไม่ แต่ก็พบเพียงโซนขายเสื้อผ้าซึ่งไม่เจริญหูเจริญตาเอาเสียเลย เอาจริง ๆ ลู่หานคิดว่าอะไรก็ไม่เจริญตาสักอย่างเพียงเพราะตอนนี้เขากำลังอยู่กับแม่เลสเบี้ยนตัวแม่อารมณ์วัยทองอย่างควอนยูริ
“ถามจริงนะ ตอนเป็นเด็กเคยโดนเพื่อนแย่งกินนมโรงเรียนเหรอถึงได้ชอบเหวี่ยงชาวบ้านไปทั่วแบบนี้”
“นายคิดว่าจะมีใครหน้าไหนแย่งของจากมือฉันได้ด้วยเหรอ” ยูริกล่าวโดยไม่หันไปมองเจ้าของประโยคกวนประสาทเมื่อครู่
“โหดจัด เคยต่อยกับผู้ชายมะ?”
“เคย”
“ตอนอายุเท่าไหร่” กูว่าน่าจะสักมอต้น
“อนุบาลสอง”
เหยดดดดดดดดด ดุแรง ใครได้เป็นเมียคงถูกเลี้ยงด้วยลำแข้งแน่ ๆ
“คืองี้นะ ฉันรู้ว่าเธอเก่ง แต่คนเก่งก็ต้องมีสังคม มีครอบครัวเหมือนกัน เคปะ หัดพูดให้มันรื่นหูมั่งก็ได้เธ๊อ ไม่ใช่เอาแต่ขวานผ่าซาก ไม่แคร์ว่าคนฟังจะรู้สึกยังไง”
“กล้าดียังไงมาสอนคนอื่นทั้ง ๆ ที่ปากตัวเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าฉันเลยสักนิด” ยูริแค่นหัวเราะ “เมื่อกี้เพิ่งด่าฉันไปแท้ ๆ”
“เอ้า นี่เรียกด่าหรา เขาเรียกว่าเผยความจริงให้รู้ลึกว่าต้องแก้นิสัยตรงไหน” ลู่หานยิ้มกวนพร้อมควงมีดดาบไปด้วย
“พวกนายก็แปลกดีนะ นิสัยต่างกันคนละขั้ว แต่ก็อยู่ด้วยกันมาได้ตั้งนาน”
“เป็นเพราะเราให้เกียรติกันไง ถ้าเมื่อกี้เธอให้เกียรติไอ้เทา ไม่พูดจาค่อนแคะ มันก็คงไม่ประสาทแดกแบบนั้นหรอก”
“กลายเป็นความผิดฉันงั้นสิ? ทั้ง ๆ ที่ไอ้เด็กนั่นมันเอาแต่ใจ คิดถึงแต่เรื่องตัวเองจนไม่ลืมหูลืมตา” ยิ่งนึกไปถึงเหตุการณ์บนสะพานวันนั้นก็ยิ่งหัวเสีย ไม่ว่ายังไงควอนยูริก็ไม่มีทางมองไอ้เด็กนั่นดีขึ้น
“ถ้าให้เปรียบนะ ครูสุดเอ็กซ์ก็เหมือนแม่มันคนนึงอะ จะแปลกอะไรที่เด็กหัวโปกจะอยากปกป้องคนที่มันรัก” ลู่หานพยายามอธิบาย แม้ว่าความหัวร้อนของไอ้เทาอาจจะนำพาความส้นตีนมาให้พวกเขา
“ต่อให้ต้องทิ้งนายไว้ข้างหลังน่ะเหรอ?” เป็นครั้งแรกที่ควอนยูริหันมาสบตากับเขา ลู่หานนิ่งไปเพื่อคิดตามกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูด และหนุ่มหน้าตี๋ก็ได้คำตอบว่ามันช่างยากเหลือเกินที่คนอย่างเขาจะตกอยู่ในสภาวะต้องการความช่วยเหลือ
พูดง่าย ๆ ก็คือกูเก่ง!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
“แค้นไรมากปะหนิ”
“พอถึงเวลาจวนตัว ทุกคนที่ว่าดีก็เผยความเห็นแก่ตัวออกมาทั้งนั้น”
“ไม่ใช่ทุกคนหรอก ทำไมชอบพูดอะไรที่มองเห็นด้านเดียววะ”
“ฉันไม่ได้โลกสวยที่จะได้ปักใจเชื่อว่าพวกนายทุกคนช่างแสนดี พนันกันไหมล่ะ ถ้าเกิดว่าฉันกับคิมจงอินถูกล้อมด้วยพวกมัน นายก็คงเลือกทิ้งฉันโดยไม่มีข้อแม้”
ลู่หานไม่ได้พยายามเปลี่ยนความคิดผู้หญิงคนนี้อย่างเช่นก่อนหน้า ชายหนุ่มนิ่งไปกับความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาต้องเลือกช่วยเพื่อนก่อน ควอนยูริยิ้มบาง ๆ เธอหันไปมองสีหน้าอมทุกข์ของคนที่พยายามพูดดีมาตลอดแต่สุดท้ายก็เจอทางตัน
“เห็นไหมว่านายก็รู้ผลลัพธ์ของความจริง”
“เธอก็แค่เลือกพูดกดดันให้ฉันรู้สึกผิด ทั้ง ๆ ที่เหตุการณ์แบบนั้นแม่งก็ยังไม่เกิดขึ้นจริง” ลู่หานเริ่มหัวเสีย ทำไมคนไม่มีการศึกษาอย่างเขาต้องถูกผู้หญิงคนนี้จิตวิทยาใส่ด้วยวะ กูเรียกปาร์คชานยอลมาไฝว้เลยดีไหม
“ต้องรอให้เกิดขึ้นจริงก่อนนายถึงจะได้ตาสว่างได้สินะ โง่ยังไงก็โง่อย่างนั้น” หญิงสาวหัวเราะ
“ไม่มีใครอยากให้ใครตายหรอก ถ้าเมื่อไหร่ต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์นั้น คนที่ลำบากใจที่สุดก็คือคนที่ต้องเลือก แต่การไม่ต้องเลือกว่าต้องช่วยใครก็คงดีที่สุด”
“หมายถึงว่าคน ๆ นั้นควรช่วยตัวเองให้ได้หรือว่ายังไงล่ะ?”
“หมายความว่าฉันจะช่วยคน ๆ นั้นอย่างสุดความสามารถต่างหาก... เฮ้ย!” ทันทีที่พูดจบ ร่างของหญิงสาวก็ลอยขึ้นกลางอากาศพร้อมห้อยหัวลงมาเมื่อเผลอเหยียบติดกับดักโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
ลู่หานมองตามเชือกที่ตรึงขาของยูริเอาไว้ ซึ่งมันเชื่อมโยงไปจนถึงโรงเก็บของเล็ก ๆ ซึ่งทำด้วยไม้ ก่อนประตูที่เคยปิดอยู่ก็เปิดออกเมื่อร่างของเธอถูกตรึงอยู่บนอากาศ มีดพกที่เคยถือก็ร่วงตกหลุดมือไปจังหวะติดกับดัก
“เวรเอ๊ย!” ยูริสบถเมื่อเห็นกับดักที่เหลือซึ่งวางไว้อย่างแนบเนียน “อย่าขยับ! ข้างหน้านายมีกับดัก!”
ลู่หานค้างอยู่ท่านั้นพร้อมก้มลงมองเชือกที่ถูกพ่นสีให้กลมกลืนกับถนน โดยมีเศษกระดาษหนังสือพิมพ์เก่า ๆ วางทับเพื่อหลอกตาผู้คนที่ผ่านมา ซึ่งเขาและเธอคือเหยื่อผู้โชคร้ายในวันนี้
“ส่งมีดมาให้ฉัน!” หญิงสาวพยายามยืดมืออย่างสุดตัว แต่ความสูงระหว่างจุดที่เธออยู่ก็ห่างกับลู่หานมากเสียจนไม่สามารถทำได้
“พยายามอยู่!”
“อีกนิด!” ยูริกัดฟันแน่น ก่อนจะเห็นเหล่าผีดิบที่กำลังตรงมาทางนี้ และเป้าหมายคือลู่หานซึ่งอยู่บนพื้นถนน
“ใจเย็นก่อนนะ เดี๋ยวฉัน --”
ฟึ่บ!
“จะหาทาง!”
ฟึ่บ!
“ช่วย! เวรเอ๊ย! มาอะไรกันเยอะแยะวะ หน้ากูเหมือนปาร์คโบกอมเหรอ! ตรงนี้ไม่มีงานแจกไซน์โว้ย!” ลู่หานเรียกความสนใจจากเหล่าผีดิบเพื่อให้สนใจแต่เขาเพียงผู้เดียว
คมดาบฟันหน้าศพเดินได้จนแหว่งครึ่งสมองทะลักออกมาอย่างน่าเกลียด พวกมันกำลังทยอยออกมาจากโรงเก็บของ ไม่ว่าจะเป็นชายหญิงหรือเด็กตัวเล็ก ๆ ชายหนุ่มถีบร่างซึ่งโอดครวญอย่างหิวกระหาย ก่อนจะก้มตัวลงเพื่อหลบองศามือเหวอะหวะที่ยื่นออกมาหาเขา ลู่หานไม่มีเวลานับว่าตอนนี้มีจำนวนมากกี่ตัว แต่ถ้าให้เดาเอาเองก็น่าจะ... สิบ... สิบห้า... ไม่ใช่ละ ตอนนี้กูว่าน่าจะเกือบสามสิบ!
“กรรรรรรรรรรรรรรรรซ์...”
ซากศพเดินได้ติดกับดักจนร่างถูกตึงขึ้นไปบนอากาศเช่นเดียวกับยูริ หญิงสาวเบิกตากว้างเมื่อร่างของมันกำลังแกว่งมาทางนี้จนฟันคมเกือบงับใบหน้าเธอได้ ยูริผลักร่างหิวกระหายให้พ้นออกจากตัวจนมันย้อนกลับมาอีกครั้ง ก่อนจะกำเสื้อผีดิบไว้เพื่อให้ร่างที่กำลังแกว่งไหวหยุดนิ่ง เพราะยิ่งเหวี่ยงออกไปไกลเท่าไหร่ ร่างของมันก็ยิ่งมีสิทธิ์แกว่งกลับมาใกล้เธอได้เท่านั้น
ลู่หานละความสนใจจากพวกบนพื้นก่อนจะฟันศีรษะผีดิบที่ห้อยอยู่ข้างตัวยูริทั้งสองตัวจนสมองและเลือดสีเข้มทะลักไหลอาบศีรษะตัวกินคนที่อ้าปากชูสองมือไขว่คว้าหาเหยื่อบนอากาศ มือโสมมคว้าเศษสมองยัดใส่ปากอย่างตะกละตะกลาม แต่สมองเพียงเท่านั้นก็ไม่พอยาไส้ความหิวโหยอีกเป็นสิบที่รออยู่
“...!” คนที่ถูกตรึงอยู่กลางอากาศใจหายวาบเมื่อเชือกที่รัดขาเธอทำท่าจะหลุดเพราะปลายเชือกรัดกับคานใต้สะพานไว้ได้ไม่แน่นเท่ากับข้อเท้า จึงทำให้ตอนนี้ศีรษะของยูริอยู่ใกล้พวกสารเลวหิวเนื้อจนผมหางม้าแกว่งเฉียดมือพวกมันไปเพียงนิดเดียว
“กร๊าซซซซซซซซซซซซซซซซซซ!!!”
ยูริกัดฟันแน่น คลายยางรัดผมออกก่อนจะม้วนหางม้าแล้วเกล้าเป็นมวย เธอหอบหายใจหนัก ใบหน้าแดงก่ำเพราะเลือดไหลลงหัว หญิงสาวที่ผ่านการฝึกทหารมารวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดดีดตัวขึ้นไปคว้าเชือกที่ผูกกับข้อเท้าของตนไว้ แต่ดูเหมือนว่ายิ่งขยับตัวเท่าไหร่ ปลายเชือกที่เคยตรึงเธอให้อยู่ไกลจากมือพวกผีดิบก็ยิ่งคลายออกเท่านั้น และต่อให้หลุดจากตรงนี้ได้ควอนยูริคงไม่รอดจากนรกบนดินที่รอกินร่างของเธออยู่
“สารเลวเอ๊ย!!!” มันไม่ได้ตั้งใจสร้างกับดักเพื่อแขวนเหยื่อไว้กับเชือก แต่ตั้งใจให้เป็นอาหารของพวกหิวเนื้อ!
หัวใจวูบไหวทุกครั้งที่ปลายเชือกกระตุก ยูริปล่อยตัวลงมาอย่างช้า ๆ เพื่อไม่ให้เชือกขยับแต่ก็เกร็งศีรษะให้ห่างจากมือพวกเดนตาย เธอมองลู่หานที่กำลังโดนล้อม ผู้ชายคนนั้นมีเพียงมีดดาบอย่างเดียวเท่านั้นที่ใช้ต่อสู้กับพวกมัน
‘ทำไมหมอนั่นยังไม่ไปอีก?’ หญิงสาวคิดในใจ
แม้ควอนยูริจะอยู่กับคนกลุ่มนี้มาได้ไม่นาน แต่ก็ต้องยอมรับว่าเธอได้เห็นความมีน้ำใจของใครหลายคนอยู่หลายครั้ง แต่จากฝันร้ายที่หลอกหลอนมานานจึงทำให้ไม่กล้าไว้ใจใคร ไม่กล้าที่จะคาดหวังว่าโลกนี้ยังมีคนดีหลงเหลืออยู่
คนอย่างเธอเก่งแต่ต่อต้าน เรื่องนี้ควอนยูริรู้ตัวเองเป็นอย่างดี กระทั่งเจอความเห็นแก่ตัวของหวงจื่อเทา หญิงสาวจึงคิดว่าทำถูกแล้วที่ไม่ยอมเปิดใจให้ใคร และพอถึงคราวลู่หานในเวลานี้...
ควอนยูริก็ได้รู้ว่าที่เธอคิด... มันไม่เคยผิดเลย
เมื่อผู้ชายคนนั้นถอยหลังกลับไปเพราะถูกไล่ต้อนจนจวนตัว ถอยห่างไปเรื่อย ๆ โดยไม่หันมาสักนิดว่ายังมีใครอยู่ตรงนี้ แม้ภาพตรงหน้าจะกลับหัว แต่มันก็เด่นชัดและตอกย้ำให้ควอนยูริรู้ว่าไม่มีใครอยู่เพื่อเธอเลยสักคน
ไม่มี...
“กร๊าซซซซซซซซซซซซซซซซซซ!!”
“กรรรรรรรรรรรรรรรรรรซ์!!!”
ศีรษะที่เคยเกร็งหนีองศามือมากมายได้ปล่อยดิ่งลงไปโดยไม่ฝืนยื้อไว้อีก ศีรษะแกว่งไกวอย่างเชื่องช้าเพราะมวยผมสัมผัสกับปลายนิ้วหยาบกร้าน ร่างของเธอเหมือนนาฬิกาโบราณ เหยื่อที่ถูกผูกให้ห้อยขาอยู่ใต้สะพานท่ามกลางเสียงโหยหวนของผีดิบกำลังเหม่อมองท้องฟ้าที่คาดว่าอาจจะได้เห็นมันเป็นครั้งสุดท้าย
ยัยโง่จองซูยอนคงอยู่บนนั้นสินะ บนท้องฟ้าที่แม้แต่ตัวเธอยังไม่เคยเชื่อว่าพระเจ้าหรือสวรรค์จะมีอยู่จริง แต่ควอนยูริเป็นคนย้อนแย้ง ดังนั้นเธอจะสร้างข้อยกเว้นให้พระเจ้าและที่แห่งนั้นมีอยู่จริงเพื่อให้จองซูยอนได้อยู่
แม้ยัยนั่นจะร้ายกาจจนน่าเจ็บใจ แต่ปลายทางของผู้หญิงเห็นแก่ตัวที่ควอนยูริรักสุดหัวใจก็คือสวรรค์ ส่วนนรกนั้นเธอจะขออาสาไปอยู่แทนเอง
ตอนนี้คงถึงเวลาแล้ว ควอนยูริได้เห็นอะไรมากมายหลังจากโลกเปลี่ยนไป ทั้งดีร้าย และเศร้าจนไม่มีใจอยากใช้ชีวิตอยู่ต่อ ช่วงเวลาที่ไม่มีจองซูยอนมันช่างว่างเปล่าเหลือเกิน หญิงสาวดิ้นรนมาจนถึงตอนนี้เพื่ออะไร เพื่อตอกย้ำว่ารอบตัวเธอมีแต่คนเห็นแก่ตัว หรือว่าแค่อยู่เพื่อคิดถึงจองซูยอนเท่านั้น
นิ้วกรัง ๆ ยังคงปะป่ายโดนมวยผมทำให้ของร่างหญิงสาวแกว่งไหวไม่หยุด เชือกที่เคยตรึงอยู่คานใต้สะพานกำลังจะหลุดและควอนยูริไม่ได้ยื้อดึงหรือคาดหวังว่าจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นกับคนไร้ศรัทธาเช่นเธอ
หญิงสาวเพียงจินตนาการถึงความเจ็บปวดที่อาจใช้เวลานานกว่าคนอื่นถึงจะตายจากโลกนี้ได้ เป็นเพราะการฝึกทหารจึงทำให้ควอนยูริความอดทนมากกว่าใคร แต่มันคงไม่แย่นัก
เธอควรคิดถึงพ่อแม่หรือเพื่อน ๆ ที่เคยฝึกด้วยกันบ้าง ควอนยูริยังคงเป็นนังสารเลวที่คิดถึงแต่ตัวเองทั้งที่เมื่อครู่นี้เธอเพิ่งค่อนแคะหวงจื่อเทาไปอย่างหน้าไม่อาย กลืนน้ำลายตัวเองเสียอย่างนั้น
แต่จะมีอะไรต้องสนใจอีก ในเมื่อโลกนี้มันสูญสิ้นทุกอย่างไปแล้ว
การเป็นคนดีมันถึงทำให้คนตายไปนักต่อนักยังไงล่ะ
“...”
เสียงรถยนต์เรียกความสนใจจากคนที่พร้อมทิ้งชีวิตให้กับความตาย หญิงสาวมองภาพกลับหัวพร้อมหรี่ตาลง ก่อนจะพบว่ากระบะเชฟโรเล็ตสีดำกำลังพุ่งตรงมาทางนี้พร้อมเสียงบีบแตรเป็นสัญญาณเตือน
ข้างในนั้นคือผู้ชายที่เธอเพิ่งกล่าวหาว่าเป็นคนเห็นแก่ตัวเช่นเดียวกับหวงจื่อเทา มือข้างหนึ่งของหมอนั่นบีบแตรเรียกความสนใจก่อนจะเลื่อนกระจกลงพร้อมชะโงกหน้าออกมาตะโกนว่า “โดดลงมา!!!”
หญิงสาวกลืนน้ำลาย อยู่ ๆ ร่างกายของเธอก็สั่นขึ้นมาหลังจากรู้ว่าสิ่งที่คิดไปทั้งหมดมันผิดมหันต์ ลู่หานกลับมาช่วยเธองั้นหรือ?
ยูริดีดตัวขึ้นก่อนรถกระบะจะขับมาถึง ลู่หานขับบดร่างตัวกินคนจนเลือดสีเข้มสาดเป็นรอยล้อบนถนนก่อนจะขับถอยเหยียบซ้ำเพื่อเคลียร์ทางให้คนที่ถูกตรึงอยู่ใต้คานสะพาน ยูริกระตุกขาแรง ๆ ทำอย่างนั้นอยู่ราว ๆ สี่ห้าครั้ง และรอจังหวะสุดท้ายที่รถกระบะขับตรงมาอีกครั้ง เชือกที่เคยผูกติดกับคานก็หลุดออกในที่สุด
หญิงสาวนิ่วหน้าเจ็บ แต่อยู่ ๆ ในหัวของคนที่ยอมตายไปอยู่นรกก็คิดว่าการตกลงมาหลังกระแทกกับท้ายกระบะแข็ง ๆ คงดีกว่าการปล่อยให้ร่างร่วงลงไปบนพื้นจนถูกรุมกินตายเป็นไหน ๆ
หญิงสาวหอบหายใจกับความรู้สึกกลัวตายซึ่งมาในเวลาที่เธอรอดตายแล้ว ยูริส่ายศีรษะไล่ความมึนงงหลังจากเลือดในร่างกายกำลังไหลเวียนคืนสู่ปกติหลังจากปล่อยให้มันไหลลงหัวอยู่นานสองนาน
รถเคลื่อนตัวออกด้วยความเร็วพร้อมร่างของหญิงสาวที่เด้งขึ้นเพราะลู่หานขับเหยียบศพผีดิบที่นอนอยู่บนพื้นถนน เสียงโหยหวนของพวกมันยังคงไล่ตามมาติด ๆ ริมฝีปากของคนที่เพิ่งวิ่งหนีความตายพ้นกำลังสั่นโดยไม่สามารถหยุดมันได้
ยูริกระพริบตามองท้องฟ้าที่เคยมีเมฆสีเทา แต่ตอนนี้ที่ตรงนั้นกลับสว่างไร้กลุ่มก้อนเมฆเพราะแสงของดวงอาทิตย์ที่เธอไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้เห็นมันอีก แสงสว่างที่เปรียบเสมือนความสดใสของจองซูยอน
แสงสว่างที่กำลังเกิดท่ามกลางความมืดมิดในใจของควอนยูริ
TBC
เปลี่ยนชื่อตอนนะคะ ตอนแรกว่าจะเขียนฉากจงอินกับเทาต่อในตอนนี้เลย แต่มันก็ยาวมากแล้วจึงต้องตัดไปตอนหน้า อย่าเพิ่งงอแงกันน้า เราไม่ได้ลำเอียงเลย แต่ตอนนึงมันควรยาวไม่เกินหนึ่งหมื่นคำจริง ๆ เราเขียนไปตามไทม์ไลน์ของเรื่อง TT_TT
ความคิดเห็น