คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #19 : Chapter 18 :: Molotov
Chapter 18
Molotov
ปัง...
เสียงประตูปิดลงเรียกความสนใจจากคนที่กำลังเหม่อลอยให้หันกลับไปมอง มินซอกขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อผู้มาใหม่เป็นใครอีกคนที่ไม่เคยแม้แต่จะมองหน้ากันมาก่อน
“ไง”
“...” เด็กหนุ่มไม่ได้ขานทักทายตอบ ผู้ชายผิวสีแทนอ้าปากหาวหวอด ๆ ขณะเดินเข้ามา
ดูเหมือนคิมจงอินยังไม่ได้นอนตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้เพราะตอนเขามาเข้าเวรตอนเช้าก็เห็นตั้งหน้าตั้งตาขุดหลุมฝังศพอย่างเอาเป็นเอาตาย สักพักก็ขับรถออกไปข้างนอกแล้วก็เพิ่งกลับมาเมื่อไม่นานนี้
“ฉันชื่อคิมจงอิน คิดว่านายควรจะรู้เอาไว้” ร่างหนาถามพลางเท้าแขนลงกับรั้ว มินซอกพยักหน้าเป็นคำตอบแล้ววางกล้องส่องทางไกลลง
“อ่ะนี่ อี้ฟานฝากมาให้นาย” จงอินยื่นกล่องกระสุนไรเฟิลพร้อมกับยาลดไข้แผงหนึ่งที่วางทับข้างบน มินซอกมองของในมือหนาแล้วก็เงยหน้าขึ้น
“คุณขึ้นมาถึงที่นี่เพื่อเอาของพวกนี้มาให้ผมเหรอ?”
“เปล่า อันที่จริงจะขึ้นมาขอบคุณเรื่องเมื่อวานน่ะ” มินซอกรับกล่องกระสุนมาวางไว้บนรั้วแล้วหันไปมองคนข้าง ๆ ที่กำลังจะจุดบุหรี่ขึ้นสูบ
“ลมมันพัดมาจากทางนั้น”
“โทษที” พูดทั้งที่ปากยังคาบมวนบุหรี่อยู่ จงอินย้ายตัวเองมาอยู่ทางซ้ายแล้วพ่นควันสีเทาหม่นให้ลอยไปตามสายลม
“คุณอยู่ได้ด้วยพลังงานแสงอาทิตย์เหรอ ถึงได้ไม่หลับไม่นอนข้ามวันข้ามคืนมาจนถึงตอนนี้” พอได้ยินคำถามจิกกัดของมินซอกแล้วก็หลุดหัวเราะออกมา เขาผินหน้าหันไปมองคนตัวเล็กที่ยังคงอยู่ในสีหน้านิ่งเหมือนในทีแรกแล้วก็สูบบุหรี่อีกครั้ง
“นอนไปทำไมเยอะแยะ รอให้ตายก่อน พอถึงตอนนั้นคงได้นอนยาวทีเดียว”
“พูดเหมือนคนที่มีชีวิตอยู่ไปวัน ๆ ” มินซอกพูดเสียงเรียบ นัยน์ตาเรียวกำลังจ้องมองไปยังคนสองคนที่กำลังยกแปลงผักออกมาวางไว้กลางสนาม
“ทุกวันนี้มีใครบ้างที่มีชีวิตอยู่เพื่อกอบกู้อารยะธรรมให้กลับคืนมาล่ะ ไหนบอกที”
“ถ้ามีคนทำได้ ผมจะไปขอบคุณเขา” จงอินยิ้มขำเมื่อได้ยินแบบนั้น
“ไปหัดยิงปืนมาจากไหน?”
“คุณอี้ฟานสอนเมื่อวานตอนกลางวัน”
“โว้ว...แล้วได้ใช้จริงตอนเย็นเลยเนี่ยนะ ถือว่าไม่ธรรมดาเลยที่ยิง Head Shot ได้ภายในวันแรก” จงอินเอ่ยชม มินซอกเม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะหันหน้าเข้าหาอีกฝ่ายพร้อมกับถอนหายใจเบา ๆ
“ตอนนั้นมันฟลุ๊ค”
“...ว่าไงนะ?”
“มือผมสั่นด้วย อันที่จริงผมยิงพลาดไปก่อนหน้านั้นแล้วนัดนึงตอนที่เห็นมันวิ่งออกมาจากตึก” จงอินทำหน้าเหวอเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำสารภาพจากปากมินซอก
“แล้วยิงโดนได้ไง? ตายห่าละ นี่เกือบชิบหายแล้วไหมล่ะ บางทีฉันอาจจะตายเพราะถูกนายยิงมากกว่าถูกไอ้เวรนั่นกินสินะ”
“แต่ผมก็ยิงโดนนะ” มินซอกขมวดคิ้วมองคนตรงหน้า ถึงเขาจะยิงพลาดนัดแรกแต่นัดที่สองเขาก็ยิงโดนแล้วไม่ใช่หรือไง
“อ้าง”
“ไม่ได้อ้าง ก็ผมเพิ่งหัดยิงวันแรก คุณจะเอาอะไรกับเด็กอย่างผมล่ะ” มินซอกเถียง จงอินยังคงปั้นหน้าปั้นตากวนประสาทราวกับไม่รับรู้ความสามารถของคนตัวเล็ก
“แล้วนัดที่สองยิงโดนได้ไง นายจงใจเล็งเป้ามาที่ฉันล่ะสิ” ร่างหนาหรี่ตามองจับผิด
“เปล่า พอนัดแรกผมยิงไม่โดนผมก็เลยไม่รู้ว่าจะกะระยะยังไง เพราะตอนที่คุณอี้ฟานสอน เขาให้ผมทดลองกับเป้านิ่ง”
“แล้วไงต่อ”
“แต่ตัวกัดคนมันวิ่งเร็วมาก ผมก็เลยนึกถึงตอนเล่นเกมยิงปืนกับเพื่อน”
“เล่นเกม?” จงอินเลิกคิ้วขึ้นสูง
“ครับ อย่างตอนที่พวกกัดคนวิ่งออกมาจากตึก ผมก็กะระยะความเร็วของมันแล้วเล็งปืนดักไว้ข้างหน้าแล้วรอให้มันวิ่งเข้าหาเป้า ทิ้งดีเลย์ไปประมาณสามวิแล้วเหนี่ยวไก”
“...” จงอินฟังคำอธิบายของคนตัวเล็กที่ชี้ทิศทางบอกอย่างชัดเจน จากที่ได้ฟังมันทำให้เขาทึ่งอยู่ไม่น้อย เด็กคนนี้ไม่ธรรมดาจริง ๆ
“อะไรครับ”
“เปล่า แค่คิดว่าการเป็นเด็กขี้เกมนี่มันดีจริง ๆ ” จงอินกลั้นขำ แต่ดูเหมือนว่ามินซอกจะไม่พอใจสักเท่าไหร่หลังจากที่เขาอธิบายถึงความพยายามแล้วแต่คนข้าง ๆ กลับเห็นมันเป็นเรื่องตลก
“ผมไม่สงสัยแล้วว่าทำไมคุณถึงเป็นเพื่อนกันได้” มินซอกหันไปมองทางอื่น เขายังคงเฟลกับคำพูดของจงอินอยู่
“เพื่อนที่ว่านี่หมายถึงใคร”
“ลู่หาน”
“...อ้อ” ร่างหนาลดสีหน้าลงเมื่อได้ยินชื่อนั้นจากปากคนตัวเล็ก ทั้งคู่ทอดสายตามองไปยังสนามที่มีหลุมศพจำนวนมากเรียงยาวเป็นแถวแล้วก็สลด
“นายสนิทกับมันเหรอ?”
“ไม่หรอก เขาแค่ชอบขึ้นมาสูบบุหรี่เวลาหงุดหงิดก็เท่านั้น”
“มันกวนส้นตีนใช่ไหมล่ะ?”
“ที่สุดในโลก”
ทั้งคู่หัวเราะในลำคอเบา ๆ ทั้งที่ไม่หันไปมองหน้ากันและกันเลยสักนิด เพียงแค่นึกถึงความบ้าบอของคนที่จากไปแล้วรอยยิ้มก็เกิดขึ้นบนใบหน้าได้อย่างง่ายดาย
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นรอยยิ้มเศร้าก็ตาม...
“ฉันควรเอาบุหรี่สักตัวไปวางไว้หน้าหลุมศพมัน” จงอินว่าก่อนจะเขี่ยขี้บุหรี่ลงพื้น
“ไม่มีอะไรที่สร้างสรรค์กว่านั้นแล้วเหรอ”
“นี่สร้างสรรค์ที่สุดละ เดี๋ยวมันไม่มีอะไรสูบในนรกอีกอย่างฉันกลัวว่ามันเหงาปากแล้วไปหาเรื่องกวนตีนยมทูตเข้า ไม่อยากให้มันถูกเฉดหัวกลับขึ้นมาบนโลกเป็นวิญญาณเร่ร่อน”
“นั่นสิ คนอย่างเขาคงทำเรื่องบ้า ๆ ได้ตลอดนั่นแหละ”
“นายต้องอยู่ที่นี่ทุกวันเลยเหรอ?”
“ครับ”
“ไม่เบื่อบ้างหรือไง?”
“เบื่อครับ แต่ชินแล้ว”
“ต้องอยู่ตั้งแต่กี่โมงถึงกี่โมงล่ะ”
“เจ็ดโมงถึงทุ่มนึง”
“แล้วกินข้าวยังไง?”
“ก็มีเพื่อนผู้หญิงเอาขึ้นมาให้ นี่คุณจะถามไปทำไม” มินซอกขมวดคิ้วถาม
“ถามไปงั้นอ่ะ ไม่มีอะไรทำ” จงอินตอบหน้าตาเฉย
“สิ่งที่คุณควรทำในตอนนี้คือกลับห้องไปนอนครับ”
“ถ้านอนตอนนี้เดี๋ยวตื่นมากลางดึกอีก ขี้เกียจตื่นมานั่งดูคนหลับ”
“ครับ?”
“อ๋อเปล่า” ร่างหนาทิ้งบุหรี่ลงพื้นแล้วใช้รองเท้าบี้มันจนดับก่อนจะเงยหน้าขึ้นทำเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ “เดี๋ยวไปละนะ อี้ฟานย้ำมาว่านายต้องกินยาด้วย”
“ไว้ถ้าไม่สบายแล้วจะกินครับ” มินซอกตอบทั้งที่ยังงงกับท่าทางแปลก ๆ ของคนตรงหน้าอยู่
“เออ งั้นดีละ ยังไงก็ขอบใจแล้วกันที่ไม่ฟลุ๊คยิงแสกกะบาลฉัน ไปนะ”
“ยินดีเสมอ” มินซอกตอบแบบขอไปทีก่อนจะหันกลับไปมองกลางสนามหญ้าอีกครั้ง แล้วก็พบว่าผู้ชายสองคนยังคงยืนคุยกันอยู่ที่เดิม
ก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องมอง ทั้งที่ไม่อยากมองเสียด้วยซ้ำไป มือเล็กหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นมาตรงระดับสายตาเพื่อใช้เป็นตัวช่วยซูมภาพให้ชัดยิ่งขึ้น ภาพตรงหน้าคือบยอนแบคฮยอนที่กำลังยิ้มและหัวเราะอย่างมีความสุข
“ทั้งที่เมื่อวานยังทำท่าเหมือนจะเป็นจะตายอยู่แท้ ๆ ” มินซอกพึมพำแล้วแค่นหัวเราะ
ภาพตรงหน้ามันสร้างความหงุดหงิดให้จนต้องหันไปมองทางอื่น นี่เหรอคนที่ร้องไห้ฟูมฟายเอาแต่โทษว่าเป็นความผิดของตัวเอง แต่พอข้ามวันก็กลับมาหัวเราะยิ้มร่ากับผู้ชายอีกคนได้หน้าตาเฉย ใช่ว่าเขาอยากคิดอคติกับบยอนแบคฮยอนหรอกนะ แล้วก็ไม่ได้อิจฉาที่ลู่หานชอบคนพรรค์นั้นด้วย
แต่การที่บยอนแบคฮยอนมีรอยยิ้มและสีหน้าคะเขินแบบนั้นทั้งที่ลู่หานเพิ่งจากไปนี่มันสมควรแล้วหรือไง?
จังหวะนั้นเองที่แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นมองชั้นสูงสุดของหอพักแล้วก็พบกับใครอีกคนที่ยืนอยู่บนนั้น คนตัวเล็กเอามุ้งครอบแปลงผักจนเรียบร้อยก่อนจะเอามือปัดกางเกงตัวเอง
“เรียบร้อยแล้วล่ะครับ”
“ไม่ต้องทำอะไรกับมันอีกแล้วใช่ไหม?” ชานยอลถามพลางก้มสำรวจความเรียบร้อยของแปลงผักที่เมล็ดเริ่มแทงรากออกมาแล้ว
“อื้ม คุณจะไปสอนคนอื่น ๆ ยิงปืนใช่ไหม” แบคฮยอนถาม
“อ๋อ...ผมคงเริ่มสอนพรุ่งนี้ช่วงสาย ๆ น่ะ เพราะตอนนี้เด็ก ๆ คงยังไม่พร้อมสักเท่าไหร่ คงต้องให้เวลาเขาไว้ทุกข์ก่อน แล้วคุณล่ะจะทำอะไรต่อ?”
“ผมว่าจะแวะขึ้นไปบนดาดฟ้าน่ะ”
“ดาดฟ้า?”
“ไปหามินซอกน่ะครับ ผมอยากไปดูว่าเขาเป็นยังไงบ้าง”
“คุณรู้จักเขาด้วยเหรอ”
“ก็เพิ่งรู้จักกันแต่ผมเห็นว่าเขาสนิทกับลู่หานพอสมควร แล้วตอนนี้เขาคงรู้สึกไม่ต่างจากผมสักเท่าไหร่...ก็แน่ล่ะเพื่อนสนิทจากไปทั้งคน ผมก็เลยอยากขึ้นไปอยู่เป็นเพื่อนเขาน่ะ” แบคฮยอนหัวเราะแห้ง ๆ
“แบบนั้นก็ดีเหมือนกันนะ งั้นก็เชิญตามสบายครับ เดี๋ยวผมจะไปคุยกับเทาเรื่องไปห้องสมุดสักหน่อย”
“ไปห้องสมุด?” แบคฮยอนเบิกตากว้าง
“ผมว่ามนุษย์เราเคยชินกับการใช้ชีวิตอยู่กับเทคโนโลยีล้ำสมัยจนมองข้ามความเรียบง่ายของคนสมัยก่อนไปว่าพวกเขาเคยมีชีวิตอยู่ได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งไฟฟ้าหรือเตาไมโครเวฟ แต่ดูเราในตอนนี้สิ...พอไม่มีไฟฟ้าก็ลำบาก จะอยู่จะกินกันยังไงถ้าเกิดว่าข้าวบนเรือหมด เราต้องหัดเรียนรู้การใช้ชีวิตแบบคนสมัยก่อนไม่อย่างนั้นทุกอย่างจะแย่ไปกว่านี้...ผมเลยกะว่าจะไปห้องสมุดสักหน่อย ในนั้นน่าจะมีหนังสือดี ๆ สักเล่มที่จะเอามาประยุคใช้ในชีวิตประจำวันได้” ชานยอลอธิบายถึงความต้องการที่คิดมานานหลายวันแล้วให้อีกคนฟัง
“แต่มันต้องฝ่าฝูงพวกกินคนเข้าไปไม่ใช่เหรอ...” แบคฮยอนพูดอู้อี้ในลำคอ สายตาที่ส่งไปยังอีกคนเป็นเชิงขอร้องไม่ให้ไปนั้นชานยอลรู้สึกได้
“ใช่ครับ แต่พวกมันคงมีไม่เยอะมากเท่าไหร่ ถ้าเดินเลียบไปทางโรงจอดรถก็คงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”
“ไม่ไปได้ไหม?”
“ไม่ห้ามได้ไหม?”
“...”
แบคฮยอนยืนจ้องหน้าอีกฝ่ายนิ่ง ชานยอลยังคงยิ้มเหมือนในทีแรก คำขอร้องของแบคฮยอนคงใช้ไม่ได้กับคน ๆ นี้ถ้าให้เทียบกับลู่หานที่เขางอแงนิดหน่อยก็พร้อมที่จะตามใจแล้ว แต่สำหรับชานยอลไม่ใช่และคาดว่าต่อให้พูดให้ยื้อยังไงร่างสูงก็คงไปอยู่ดี
“ผมสัญญาว่าจะกลับมา”
“ถ้าคุณผิดสัญญาล่ะ”
ชานยอลหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะยกมือขึ้นวางลงบนหัวคนตัวเล็ก แบคฮยอนไม่ได้อยากงี่เง่า แต่เขาเพิ่งสูญเสียคนสำคัญไปในชีวิตมาเมื่อวานและตอนนี้เขาไม่พร้อมที่จะสูญเสียใครไปทั้งนั้น
“ผมไม่เคยผิดสัญญา แต่ถ้าผมต้องทำแบบนั้นจริง ๆ คนแรกต้องไม่ใช่คุณ”
“...”
“คืนนี้จะนอนกับเซฮุนใช่ไหม?” แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นสบตากับร่างสูงที่ยังคงยิ้มอยู่อย่างนั้น
หลายครั้งที่เขาไม่เคยเข้าใจ ว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของปาร์คชานยอลคืออะไร และยิ้มด้วยความรู้สึกแบบไหน เขาจะรู้หรือเปล่านะ...ว่ารอยยิ้มแบบนี้มันทำให้คนอย่างบยอนแบคฮยอนคิดมาก...
“คุณไม่อยากอยู่กับผมแล้วเหรอ”
“หืม?” ชานยอลเลิกคิ้วขึ้นสูง พอถึงตอนนี้แบคฮยอนถึงได้รู้ตัวว่าได้สื่อความหมายผิด ๆ ออกไป
“เอ่อ...ผมหมายความว่า คุณอยากกลับไปนอนห้องตัวเองแล้วใช่ไหม...” เห็นแบคฮยอนเลิกลั่กแล้วก็หลุดขำออกมา ร่างสูงล้วงมือทั้งสองข้างเข้าไปในกระเป๋ากางเกงพลางมองร่างเล็กที่กำลังก้ม ๆ เงย ๆ มองเขา
“คุณน่ะอยากให้ผมอยู่ด้วยหรือเปล่า?”
“...ครับ?” แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะกลอกตาไปมากับคำถามที่ทำให้ชะงักจนคิดไม่ออกว่าจะตอบแบบไหนดี
ถ้าตอบว่าใช่...จะดูแย่ไปไหม?
และถ้าตอบว่าไม่...ก็ไม่ตรงกับใจอีก...
“ผม...”
“ถ้าเซฮุนกลับไปนอนที่ห้อง...”
“แล้วถ้าเซฮุนไม่มาล่ะ...” แบคฮยอนพูดแทรกขึ้นมาก่อนจะรีบตะปบปากตัวเอง เขารู้สึกตัวเล็กลงเรื่อย ๆ ทุกครั้งที่คุยกับผู้ชายคนนี้
“เอาเป็นว่าถ้าคุณอยากนอนคนเดียวก็ให้ล็อคประตูไว้ แบบนั้นผมคงเปิดเข้าไปไม่ได้” ชานยอลยิ้มขำแล้วยีหัวคนตัวเล็กเบา ๆ ก่อนที่เขาจะเดินออกไปจากตรงนั้น แบคฮยอนมองแผ่นหลังร่างสูงโดยที่ไม่สนใจเลยว่าเส้นผมมันจะยุ่งและเสียทรงไปสักแค่ไหน
มือขวายกขึ้นทาบหน้าผากตัวเองก่อนจะเลื่อนลงมาไว้ที่แก้มเพื่อวัดอุณหภูมิของร่างกายทั้งที่สายตายังคงมองไปยังคนตัวสูง
“ก็ไม่ได้ป่วยนี่นา...” แบคฮยอนพึมพำกับตัวเองก่อนจะหลับตาลงแล้วถอนหายใจเมื่อนึกถึงเรื่องที่ชานยอลต้องออกไปเสี่ยงภายในโรงเรียนที่มีแต่ฝูงผีดิบอยู่เต็มไปหมด
สุดท้ายคิมจงอินก็ทนพิษความง่วงไม่ไหว ไอ้ครั้นจะรอให้ถึงเวลาพระอาทิตย์ตกดินน่ะมันก็รอได้หรอก แต่จะให้นอนทั้งที่เด็กนั่นยังป้วนเปี้ยนอยู่ข้างล่างไกลสายตาเขามันก็หลับไม่ลง ไม่ใช่ว่าเป็นห่วงอะไรหรอกนะ กลัวว่าจะไปทำตัววุ่นวายให้คนอื่นเขาเดือดร้อนเหมือนกับแบคฮยอนก็เท่านั้นแหละ
แต่พอเห็นว่าเซฮุนกำลังสอนเด็กผู้หญิงที่เหลือกันอยู่แค่สามคนให้หัดใช้ปืนก็เลยวางใจหน่อย สั่งเสีย...ไม่สิ...สั่งการไว้เรียบร้อยแล้วว่าถ้าสอนเสร็จแล้วให้รีบกินข้าวแล้วขึ้นห้องมานอนซะเพราะพรุ่งนี้เช้าเขาจะพาออกไปข้างนอกเพื่อไปหารถยนต์คันใหม่ ทั้งที่จริงก็ไม่ได้มีแพลนว่าจะพาไปหารถอะไรอย่างที่ว่านั่นหรอก แต่ที่พูดก็แค่เป็นข้ออ้างหาเรื่องออกคำสั่งเซฮุนก็เท่านั้น
คิดว่าน่าจะตื่นมาสักตีหนึ่งตีสองแต่พอลืมตาขึ้นมาอีกทีแสงอาทิตย์ยามเช้าก็ทิ่มเข้าเบ้าตาเต็ม ๆ ร่างหนาหยัดตัวลุกขึ้นนั่งพร้อมกับยกมือบังแสงแดดที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง แต่ก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาหน่อยตอนที่ลมเย็น ๆ พัดผ่านเข้ามา
มองไปยังโต๊ะทำงานก็เห็นชามเซรามิกส์วางอยู่บนนั้น เขาปรือตาแล้วหันไปมองรอบตัวห้องเพื่อหาใครอีกคนแต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า ขายาวลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วเดินไปยังโต๊ะทำงาน มือหนาเปิดฝาออกแล้วกลิ่นโจ๊กร้อน ๆ ก็ลอยแตะจมูก หยิบโน้ตที่วางอยู่ใต้ชามขึ้นมาอ่านแล้วก็หลุดยิ้มโดยไม่รู้ตัว
‘ผมไม่รู้ว่าคุณจะตื่นเมื่อไหร่ จะปลุกก็กลัวถูกเหวี่ยง ผมเลยกะเวลาว่าคุณจะตื่นตอนไหนโจ๊กจะได้ไม่เย็นไปซะก่อน นี่เป็นโจ๊กใส่เห็ดที่คุณหามาได้ คุณชานยอลบอกว่ามันไม่มีพิษ อีกอย่างผมทานไปแล้วถ้าเกิดจะมีใครตายผมคงไปก่อนคุณแน่นอน
อ้อ...คุณชานยอลฝากมาบอกเกี่ยวกับวิธีการเลือกเห็ดป่าแบบคร่าว ๆ เผื่อคุณจะไปเดินป่าอีก วิธีง่าย ๆ คือถ้าเกิดเห็ดมีสีสดส่วนใหญ่จะเป็นเห็ดพิษล่ะครับ แต่ถ้าเห็ดที่ฉีกลำต้นออกเป็นทางแนวยาวได้ง่ายแบบนั้นถึงจะทานได้ คุณชานยอลน่าทึ่งนะครับที่เขามีความรู้รอบตัวมากขนาดนี้ มันทำให้ผมคิดว่าการเรียนสูง ๆ นี่มันดีจริง ๆ (หัวเราะ) ตอนนี้ผมกำลังสอนพวกผู้ชายให้หัดใช้ปืนอยู่ตรงลานอเนกประสงค์ ไม่ต้องกลัวว่าผมจะไปกัดใครที่ไหนนะครับ ทานให้สบายใจเถอะ
ปล.ถ้าโจ๊กเย็นแล้วแต่คุณอยากทานร้อน ๆ ก็เอาไฟแช็คลนใต้ถ้วยเอาแล้วกันนะครับ
...โอเซฮุน...’
“บ่นอะไรวะ ไม่เมื่อยนิ้วไง?” จงอินหัวเราะแล้วเอาโพสต์อิทสีเหลืองแปะติดกับกระจกหน้าต่าง ก้มลงมองโจ๊กในชามแล้วก็นึกขำ
ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีใครประเคนข้าวปลามาให้ถึงที่แบบนี้มาก่อน ถ้าถามถึงแม่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง รายนั้นแทบจะเอาตีนยันหน้าทุกทีที่เห็นเขาตื่นสาย ถึงจะรู้สึกแปลก ๆ แต่มันก็เข้าท่าดีที่ตื่นมาแล้วก็มีคนหาข้าวให้กินเลย ร่างหนาทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้แล้วตักโจ๊กขึ้นมาชิมคำแรก รสชาติก็โอเคดี อาจเป็นเพราะว่ามันไม่ใช่โจ๊กเปล่า ๆ เหมือนทุกวันล่ะมั้ง?
แต่เห็ดในชามนี่ก็ไม่ใช่น้อย ๆ แล้วที่เก็บมาจากป่าก็ใช่ว่าจะเยอะเสียเมื่อไหร่ ถ้าเขาได้เยอะแบบนี้แล้วเด็กคนอื่น ๆ จะได้กินอะไร
“ลำเอียงนี่หว่า”
บ่นกับตัวเองแต่ก็ตักคำที่สองเข้าปาก ไม่อยากใช้เวลามานั่งคิดว่าใครเป็นคนทำ ไม่อยากคิดว่าชามนี้มันพิเศษกว่าใคร เพราะฉะนั้นคิมจงอินขอมโนไปเองแล้วกันว่าโจ๊กชามนี้มันคงตักมาจากก้นหม้อรวมถึงได้เห็ดเยอะขนาดนี้
แต่จะให้พูดว่า ‘ขอบคุณนะ’ กับเด็กนั่นน่ะเหรอ...
บ้าน่า...
กึก...กึก...กึก...
“ผมช่วยไหม?”
“ไม่เป็นไร”
ลู่หานตอบคนที่ยืนอยู่ขั้นสูงกว่าก่อนจะใช้ไม้ค้ำช่วยในการแบกร่างของเขาขึ้นไปบนบันไดทีละขั้นอย่างไม่เร่งรีบ ทุกสิบแปดขั้นจะถึงชั้นต่อไป แต่ละชั้นจะมีโซฟา ตู้ เตียงวางขวางทางแยกอยู่เพื่อกั้นไม่ให้พวกกินคนหลุดออกมาได้
บอกเลยว่าภาพที่เห็นมันช่างชวนขนลุกเมื่อพวกกินคนกำลังพยายามตะกุยตะกายตัวเองออกมาจากสิ่งของที่วางกั้นไว้ ที่กลัวนี่ไม่ใช่เพราะพวกมันเยอะหรอกนะ...แต่กลัวเพราะว่าตอนนี้ขาเขามันเดี้ยงและมีเพียงแค่ไม้ค้ำที่พอจะเป็นอาวุธได้เท่านั้น
สุดท้ายลู่หานกับซูโฮก็ขึ้นมาถึงชั้นสูงสุดของอพาร์ทเมนต์ที่เป็นลานกว้างที่ไม่มีรั้วกั้นได้อย่างสวัสดิภาพ วิวทิวทัศน์ตรงหน้าคือตึกอาคารพาณิชย์ต่าง ๆ และชเวซีวอนที่กำลังยืนหวดสวิงไม้กอล์ฟอยู่
“...”
ยืนงงอยู่กับที่ราว ๆ ครึ่งนาทีขณะมองไปยังคนตัวสูงที่กำลังวางลูกกอล์ฟลงบนฐาน สองขายาวกางออกเล็กน้อยพร้อมกับหวดลูกกอล์ฟไปไกลจนได้ยินเสียงกระจกแตกจากตึกฝั่งตรงข้าม
สองพ่อลูกหันไปแท๊กมือกันอย่างพอใจเมื่อฝูงผีดิบหน้าโง่ที่ติดอยู่ในตึกฝั่งตรงข้ามกำลังเดินมาตามเสียงกระจกแตก พวกมันยืนออกันอยู่อย่างนั้นกระทั่งกระจกพังจนร่วงลงไปข้างล่างทีละตัวสองตัวนั่นเรียกเสียงหัวเราะได้จากพวกเขาได้เป็นอย่างดี
ลู่หานเลิกคิ้วมองงง ๆ แต่ก็หลุดขำตาม มันก็น่าตลกจริง ๆ นั่นแหละที่ได้เห็นพวกกินคนหน้าโง่ตกลงไปข้างล่าง แต่ที่ยิ่งกว่านั้นคือสองพ่อลูกคู่นี้มันสรรหาวิธีบ้า ๆ มาเล่นกันได้ทุกวี่ทุกวัน นี่ก็เข้าวันที่เก้าแล้วที่เขาอยู่ที่นี่ ส่วนความเจ็บปวดที่ขาก็ดีขึ้นมากแต่ก็ยังถูกบังคับให้ใช้ไม้ค้ำอยู่
“พ่อครับ ดูนั่น”
ลู่หานกระเผกไปนั่งบนเก้าอี้ริมสระว่ายน้ำที่สภาพไม่น่าลงไปเล่นสักเท่าไหร่ ได้ยินเสียงพ่อลูกคุยกันแล้วก็นึกถึงกลุ่มของเขาที่ไม่ได้เจอกันมาเป็นอาทิตย์แล้ว ซูโฮยื่นกล้องส่องทางไกลให้กับคนเป็นพ่อก่อนจะชี้ไปยังถนนเบื้องล่างทั้งที่ยังหัวเราะอยู่ พอเห็นแบบนั้นแล้วภาพของมินซอกก็ฉายขึ้นมาในหัว
ไม่รู้ว่าตอนนี้เด็กคนนั้นจะเป็นยังไงบ้าง ล่าสุดที่คุยกันมันก็จบไม่ค่อยสวยสักเท่าไหร่ ทั้งที่ตั้งใจว่าจะเอาแว่นไปง้อแท้ ๆ แต่พอมาคิดดูแล้วบางทีมินซอกอาจจะไม่รู้สึกอะไรกับการที่เขาหายตัวไปก็ได้
‘ไม่เป็นไร’
ถอนหายใจออกมาเบา ๆ ด้วยความรู้สึกผิด ลู่หานหลุดออกจากความคิดเมื่อสองพ่อลูกเดินมานั่งข้าง ๆ ซีวอนมองขาของเขาแล้วก็จับขยับเบา ๆ เพื่อดูอาการพอไม่เห็นลู่หานส่งเสียงร้องเหมือนกับทุกทีแล้วก็ยิ้มออกมา
“ใกล้หายแล้วสิ”
“ผมอยากกลับตั้งแต่วันนี้เลย”
“พี่จะรีบไปไหนกัน กลัวเพื่อนหนีไปที่อื่นก่อนเหรอ?”
“ใช่ ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันคงคว้างมาก” จริง ๆ แล้วเขาแทบลืมคิดเรื่องนี้ไปเลยว่าพวกจงอินอาจจะย้ายไปที่อื่นก็ได้
“พี่อยู่กับเราก็ได้นี่”
“ไม่ได้หรอกลูก ลู่หานเขามีคนที่อยากอยู่ด้วยอยู่แล้ว” ลู่หานหันควับแล้วก็เห็นรอยยิ้มกวนของผู้ชายร่างสูงคนนี้ ซีวอนชอบทำตัวน่ากลัว เขาเป็นผู้ชายที่แค่มองมาก็ดูเหมือนจะอ่านใจคนอื่นออกไปซะทุกอย่าง
“เล่นเกมกันไหม?” ซีวอนก้มลงหยิบไรเฟิลที่วางอยู่บนพื้นขึ้นมาเล็งไปข้างหน้า ลู่หานเอนหลังพิงกับเก้าอี้แล้วมองตามอีกคน
“เอาสิ คราวนี้จะเล่นอะไรอีกล่ะ”
การเล่นเกมกับสองพ่อลูกมันกลายเป็นกิจวัตรประจำวันไปแล้ว ซีวอนชอบทำอะไรเหนือความคาดหมายอยู่เสมอ อย่างเช่นชวนเล่นยิงเป้านิ่งตามที่อีกคนสั่ง ไม่ก็ยิงไปที่รถเพื่อให้สัญญาณกันขโมยดังแล้วพวกกินคนก็จะได้แห่ไปรุมรถคันนั้น
มันเป็นกิจกรรมยามว่างของคนปลงตกในชีวิต ไม่สิ...เรียกว่าบ้าบิ่นคงดีกว่า จากที่ได้อยู่กับสองคนนี้มาทั้งอาทิตย์มันก็ทำให้เขาเข้าใจโลกได้มากขึ้น จนบางทีเผลอคิดไปว่าถ้าลองใช้ชีวิตแบบซีวอนกับซูโฮดูบ้างก็คงดีไม่น้อย
ชีวิตที่เดินทางไปอย่างไม่เร่งรีบ อยากหยุดตรงไหนก็หยุด หิวตอนไหนค่อยหาของกิน นักธุรกิจคนนี้ชอบหยิบยกเรื่องความเสี่ยงและการลงทุนขึ้นมาอ้างตอนที่จะออกไปหาอาหาร ซีวอนเป็นคนฉลาดที่รู้ว่าจะต้องหาของกินจากที่ไหน เขาวางทางหนีทีไล่ไว้อย่างรอบคอบก่อนออกเดินทางทุกครั้ง
“คราวนี้เป็นเกมถาม-ตอบง่าย ๆ”
“มันสนุกตรงไหน”
“ใช่ ผมถาม คุณตอบ คุณถาม ผมตอบ” ซีวอนยิ้มมุมปากขณะมองลอดผ่านลำกล้องไปยังเป้าหมาย ร่างสูงหลับตาข้างซ้ายลงก่อนจะเหนี่ยวไกไปยังตัวกินคนที่อยู่ตึกฝั่งตรงข้าม
“มันจะไม่น่าเบื่อไปหน่อยเหรอ ผมไม่ได้อยากรู้เรื่องของคุณกับเด็กนี่สักหน่อย” ลู่หานว่าแล้วหันไปมองซูโฮที่ทำตาปริบ ๆ อยู่ข้าง ๆ
“เล่นเถอะ ผมอยากรู้เรื่องของคุณ”
“...”
งั้นไม่ถามกูมาตรง ๆ เลยล่ะครับ จะเอาเรื่องเกมมาอ้างทำไม
“งั้นผมถามก่อนแล้วกัน คุณมีแฟนหรือยัง?” ซีวอนวางไรเฟิลลงแล้วหยิบแว่นกันแดดขึ้นมาใส่
“ไม่มี”
“แล้วคนในรูปล่ะ?” ซูโฮถามต่อในทันทีไม่ทิ้งระยะให้ลู่หานได้ตั้งหลัก
“นี่เล่นเกมถามตอบกันอยู่หรือเปล่า ฉันยังไม่ทันถามกลับเลยนะ รีบมากป่ะ” ลู่หานมองค้อนเด็กข้าง ๆ ซึ่งซูโฮก็เอาแต่ยิ้มกว้างใส่เขา
“เด็กถาม จะไม่ตอบหน่อยเหรอ?” คราวนี้กลายเป็นพ่อที่กดดันเขา มึงสองคนพ่อลูกช่างเข้าขากันได้ดีจริง ๆ
“ไม่ใช่แฟน”
“งั้นก็คนที่ชอบ” <- ซูโฮ
“จะตอบแบบดาราว่าเป็นน้องชายก็ได้นะ” <- ซีวอน
“จะอยากรู้ไปทำไมวะ” ลู่หานหายใจฟึดฟัดเมื่อถูกสองพ่อลูกรุมถามคำถามงี่เง่าเข้าไป
“ที่ถามก็เพราะว่าผมเห็นพี่นั่งดูรูปนั้นอยู่บ่อย ๆ ถ้าไม่ใช่คนพิเศษที่สุดจะเป็นใครได้อีกอ่ะจริงไหม หรือว่าพี่กลัวถูกมองว่าเป็นเกย์”
“อะไร?” ลู่หานเลิกคิ้วมองคนข้าง ๆ ด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์นัก ซูโฮเม้มปากแน่นแล้วกลอกตาไปหาคนเป็นพ่อเพื่อขอความช่วยเหลือ
“ไม่ต้องอายหรอก คำว่าเกย์มันก็แค่คำพูดแบ่งแยกสายพันธุ์ก็เท่านั้น” ซีวอนวางมือลงบนไหล่ลู่หาน ร่างโปร่งหันกลับไปมองคนที่กำลังยิ้มแล้วก็ไม่เข้าใจ
“คนส่วนใหญ่ยึดติดกับอาดัมกับอีฟ ว่าผู้ชายต้องเกิดมาคู่กับผู้หญิง แต่ถ้าเกิดมนุษย์คู่แรกเป็นชายทั้งคู่บางทีความรักระหว่างชายหญิงอาจเป็นเรื่องน่ารังเกียจในสังคมก็ได้นะ” ซีวอนหัวเราะ
“ไม่มีทาง เพราะพระเจ้าไม่ได้ใส่มดลูกมาให้ผู้ชาย อย่างเก่งไอ้มนุษย์คู่แรกบนโลกก็ทำได้แค่มีเซ็กส์กันเท่านั้นแหละ” ลู่หานแค่นหัวเราะ
“ถ้าพระเจ้าเลือกที่จะกำหนดให้เป็นอย่างนั้น บางทีผู้ชายอาจจะท้องผ่านม้ามตับไตก็ได้นี่”
“แต่ปัจจุบันพระเจ้าไม่ได้สร้างมดลูกใส่ตับไตผู้ชายว่ะครับ” ลู่หานเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มขณะเถียงประเด็นนี้กับผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อคนแล้ว
“แต่ผู้ชายสองคนที่รักกันก็ไม่ได้อยากมีลูกเสมอไปหรอกนะ” ซีวอนหัวเราะ
“พ่อก็เคยชอบผู้ชายครับพี่ลู่หาน” คราวนี้ร่างโปร่งหันควับกลับมามองคนเป็นลูกที่พูดประโยคนี้ได้หน้าด้าน ๆ การที่พ่อของมันชอบผู้ชายด้วยกันแบบนี้มันไม่สะทกสะท้านอะไรเลยหรือไงวะ?
“พูดได้หน้าตาเฉยมาก...” ลู่หานพึมพำก่อนจะหันกลับไปมองผู้ชายตัวสูงคนข้าง ๆ
“พ่อบอกว่าความรักอยู่ที่ความรู้สึก ไม่ใช่ร่างกายของอีกฝ่าย”
“...”
“ผมไม่ได้เป็นเกย์ แต่คนที่ผมรักดันเป็นผู้ชายด้วยกันก็เท่านั้น” ซีวอนพูด ประโยคนี้เหมือนจะหล่อแต่เอาจริง ๆ แล้วมันก็เป็นข้ออ้างเพื่อเลี่ยงคำครหาจากสังคมเท่านั้น ลู่หานถอนหายใจก่อนจะหยิบรูปใบนั้นขึ้นมาดู
“สรุปเด็กคนในรูปนั่นเป็นแฟนคุณหรือเปล่า?”
“...”
“ที่ถามเพราะอยากรู้จริง ๆ นะเนี่ย...” ซีวอนเหล่มองคนที่ทำหน้าคิดไม่ตก ลู่หานหลับตาลงแล้วค่อย ๆ ลืมตาขึ้น
“เขาคือคนที่ผมชอบ”
“นั่นไง!” ซูโฮตบเข่าดังฉาดก่อนจะพยักหน้าให้กับคนเป็นพ่ออย่างรู้กัน
“ผมไม่เคยชอบผู้ชายมาก่อน แบคฮยอนคือคนแรกที่ผมรู้สึกว่าพิเศษกว่าใคร ๆ ผมเคยคบผู้หญิงมาหลายคน แต่ที่ทำให้ผมรู้สึกอยากดูแล อยากปกป้อง อยากอยู่ด้วยกันตลอดทุกอย่างล้วนแต่เกิดขึ้นกับเขาคนแรก”
“ชื่อแบคฮยอนสินะ”
“ชื่อน่ารักจัง”
“ผมไม่รู้ว่าต้องทำตัวยังไง ผมไม่เคยคิดว่าจะต้องมารู้สึกแบบนี้กับเขา และที่แย่กว่านั้นคือผมดันไปรู้สึกดี ๆ กับเด็กผู้ชายอีกคนอีก”
“เอาแล้ว...” ซีวอนหรี่ตามองคนที่กำลังพ่นความในใจออกมาราวกับอัดอั้นเรื่องนี้มานาน
“ตอนแรกแค่กะเข้าไปแหย่เล่นเพราะเห็นว่าน่ารักดี แต่พอผมรู้สึกแย่กับแบคฮยอน ผมก็เสนอหน้าไปหามินซอกตลอด”
“อ๋อ คนนั้นชื่อมินซอก...”
“ไม่ธรรมดาเลยนะ บอกว่าไม่เคยชอบผู้ชายมาก่อน แต่พอชอบแล้วกลับมีคนที่สองตามมาแบบนั้นน่ะ” ซูโฮว่าแต่ก็ต้องหยุดพูดเมื่อเห็นคนเป็นพ่อเอานิ้วชี้ประริมฝีปากตัวเองเป็นเชิงห้าม
“ทุกวันนี้ผมถามตัวเองอยู่เสมอว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นระหว่างแบคฮยอนกับมินซอกคืออะไร...ผมไม่รู้ว่ะ คนนึงก็อยากอยู่ด้วยตลอดเวลาแต่อีกคนก็อยากอยู่ด้วยเหมือนกัน ผมไม่ชอบเวลาแบคฮยอนไปอยู่กับไอ้หล่อนั่น ผมหึง ผมไม่พอใจ แล้วพอผมไม่พอใจ ผมก็ไปหามินซอกเพราะเขาเป็นคนทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นได้”
“เห็นแก่ตัวจัง” ซูโฮพูดออกมาหน้าตาเฉยแต่มันทิ่มแทงอกคนอย่างลู่หานจนแทบพรุน
“ใช่ แล้วฉันก็เลือกที่จะทำแบบนั้นทั้งที่รู้ว่ามันผิด ตอนนี้มินซอกคงเกลียดขี้หน้าฉันไปแล้ว”
“เป็นผม ๆ ก็คงเกลียดพี่เหมือนกัน” ลู่หานหันไปมองซูโฮที่ยังคงทำสีหน้าเรียบเฉย ลู่หานเก็บรูปใส่กระเป๋ากางเกงแล้วถอนหายใจออกมา “พี่สารภาพรักกับแบคฮยอนไปหรือยัง”
“ยัง”
“ทำไมล่ะ?” ซีวอนถามต่อโดยไม่ทิ้งช่วงให้ขาด
“บอกไปผมคงอกหักแน่”
“เพราะอะไร”
“แบคฮยอนคงไม่ได้คิดกับผมมากกว่าเพื่อน ดูเหมือนว่าเขาจะมีความสุขตอนอยู่กับผู้ชายอีกคนมากกว่าผม”
“คนในกลุ่มเดียวกับพี่เหรอ?”
“ใช่ คนที่หนีตายมาด้วยกัน เมียหมอนั่นเพิ่งตายไปได้ไม่นานนี้เอง แล้วดูดิ มาทำให้แบคฮยอนหวั่นไหวอยู่ได้” ลู่หานแค่นหัวเราะ
“เป็นการพูดถึงมือที่สามด้วยความริษยามาก” ลู่หานเหล่มองซีวอนที่กำลังหัวเราะเขาอยู่
“จะว่าอย่างนั้นก็คงใช่ อิจฉามากด้วย ถ้าผมสูง หล่อ มีการศึกษาสูง ๆ ดูภูมิฐาน แบบนั้นก็คงไม่แพ้มันหรอก”
“เกี่ยวกันที่ไหน ถ้าเขาเลือกที่จะอยู่กับคุณแล้วต่อให้อดีตคุณเคยเป็นขอทานมาก่อนเขาก็รัก ไม่มีทฤษฏีไหนบอกไว้ว่าการศึกษาและหน้าตาคือประเด็นสำคัญในการเลือกคบหาใครสักคน” ซีวอนเหยียดขายาวแล้วประสานมือทั้งสองข้างไว้หลังท้ายทอยเพื่อผ่อนคลายในวันฟ้าใส
“แล้วในเมื่อแบคฮยอนไม่สนใจพี่ แล้วทำไมพี่ไม่ลองเปิดใจให้มินซอกดูล่ะครับ”
“...”
คำพูดของซูโฮทำให้เขาพูดไม่ออก ลู่หานก้มหน้าใช้ความคิดกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้น
“ถ้าฉันเจอมินซอกก่อน ฉันอาจจะไม่ต้องมารู้สึกแบบนี้ก็ได้”
“แน่ใจ?” ซีวอนพูดขึ้นทั้งที่ไม่หันมามองหน้าเขา
“ทุกคนมีความเห็นแก่ตัวกันทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ คุณก็เคยพูดประโยคนี้กับผมเมื่อสามวันที่แล้ว” ลู่หานหันไปพูดกับชายหนุ่มร่างสูงที่นอนบนเก้าอี้ยาว
“ใช่ ถ้าความเห็นแก่ตัวนั้นมันทำให้เราไม่เดือดร้อนน่ะนะ...”
“...”
“ถ้าการที่คุณเห็นแก่ตัวแล้วยังรู้สึกปวดกระบาลคิดไม่ตกแบบนี้จะเห็นแก่ตัวไปทำไมกัน คนส่วนใหญ่ต่างเห็นแก่ตัวก็เพื่อความสุขของตัวเองทั้งนั้น”
“...”
“การที่คุณอยากจับมือแบคฮยอนไว้แต่ก็ไม่กล้าปล่อยมือมินซอกไปมันก็ไม่ผิดหรอกเพราะคุณทำเพื่อตัวเอง แต่ถ้าคุณทำเพื่อคนอื่นเมื่อไหร่...คุณจะเลือกปล่อยมือใครสักคนเพื่อให้เขาไม่ต้องทนอยู่กับความเจ็บปวดบนความสุขของคุณ”
“...” ลู่หานจุกกับทุกประโยคที่ซีวอนพูดออกมา คำพูดที่แฝงนัยยะเอาไว้ข้างในนั้นเขาพอจะเข้าใจมันได้ง่าย ๆ
สิ่งที่ซีวอนอยากจะบอก...
ก็คือให้เขาเลือกจับมือใครสักคนไว้แล้วปล่อยมืออีกคนไปสินะ...
ถ้าเลือกแบคฮยอน...เขาจะต้องอยู่กับความรู้สึกที่ไม่ชัดเจนต่อไปแบบนี้
แต่ถ้าเลือกมินซอก...เขาก็ไม่แน่ใจเลยว่าจะให้เด็กคนนั้นได้ทั้งใจหรือเปล่า...
เพราะว่าผู้ชายอย่างเขายังไม่กล้าพอที่จะปล่อยมือแบคฮยอนไปในตอนนี้...
ครืนนน...
“รถคนนั้นคุณว่าไง?”
“คันไหนก็ได้ขอแค่ไม่ต้องต่อสายตรงก็พอ” จงอินพูดจบก็เปิดประตูรถออกไปโดยที่มีชานยอลกับเซฮุนเดินตามหลังมาติด ๆ
วันนี้เขาทั้งสามคนออกมาหาเสบียงและของใช้จำเป็นตามที่ชานยอลลิสต์ใส่กระดาษเอาไว้ จงอินเดินไปตามถนนร้างที่มีแต่เศษใบไม้กับกระดาษเกลื่อนอยู่เต็มไปหมด เซฮุนมองสภาพตรงหน้าแล้วก็เข้าไปช่วยร่างหนาเข็นรถออกให้พ้นทางเผื่อว่าวันหนึ่งเขาต้องใช้เส้นทางนี้ในการเดินทาง
“ตรงนั้นมีซุปเปอร์มาเก็ต” เซฮุนชี้ไปยังป้ายที่ยื่นออกมาข้างหน้าร้าน จงอินมองไปตามนิ้วเรียวที่ชี้ไปยังเบื้องหน้าก่อนจะปัดฝุ่นออกจากมือ
“ลองเข้าไปดูในนั้นก่อนไหมล่ะ จะได้ไม่ต้องเสี่ยงเข้าไปลึกมากกว่านี้” จงอินหันไปถามความเห็นกับชานยอล ซึ่งเจ้าตัวก็พยักหน้ารับ
ครืนน...
“โอเค ได้รถแล้ว ต่อไปก็เหลือของที่นายต้องการ” จงอินพูดขณะที่ทั้งสามคนเดินไปตรงไปข้างหน้า เขายื่นมือออกมาเพื่อขอดูรายชื่อของที่ชานยอลต้องใช้แล้วก็ไล่อ่านตั้งแต่บรรทัดบนสุด
“ผมว่าเราควรไปปั๊มน้ำมันด้วย” ชานยอลพูดและจงอินก็พยักหน้ารับเมื่อเห็นรายชื่อสิ่งของในกระดาษเพราะบางอย่างมันก็หาจากซุปเปอร์มาเก็ตไม่ได้
“จะเอาของพวกนี้ไปทำอะไร?”
ชานยอลไม่ได้ตอบคำถาม เขาแค่ยิ้มออกมาราวกับจะบอกให้ทั้งคู่รอดูก็พอ ทั้งสามคนเดินมาถึงหน้าซุปเปอร์มาเก็ตแล้วก็เห็นกระจกใสถูกพ่นด้วยสีกระป๋องว่า
‘แจกฟรี เจ้าของร้านตายห่าแล้ว’
พอเห็นอย่างนั้นก็ลดระดับสายตาลง ข้างในมีตัวกินคนที่อยู่ในชุดพนักงานเดินอยู่ตัวเดียวและคาดว่าอาจจะมีมากกว่านั้น จงอินหยิบไขควงออกมาถือไว้ ขายาวก้าวไปหยุดอยู่หน้าประตูก่อนจะหันไปมองชานยอลกับเซฮุนเพื่อดูความพร้อม
ทั้งสองคนหยิบมีดออกมาถือไว้อย่างรู้งาน จงอินค่อย ๆ ดันประตูเข้าไปเพื่อไม่ให้เกิดเสียง รองเท้าหนังสีน้ำตาลย่องไปตามพื้นกระเบื้องก่อนจะลอบแทงเข้าที่กลางศีรษะตัวกินคนจากข้างหลังโดยไม่ให้รู้ตัว
จงอินพยักหน้าส่งให้ชานยอลไปทางขวาก่อนจะกระดิกนิ้วเรียกเซฮุนให้เดินตามมาด้วยกัน จริงอยู่ที่เซฮุนถูกกัดแล้วไม่ติดเชื้อ แต่จะให้แยกไปเสี่ยงคนเดียวไกลหูไกลตาเขามันก็ยังไงอยู่ เด็กยังไงก็คือเด็ก ผู้ชายอย่างชานยอลเอาตัวรอดได้อยู่แล้วไม่น่าเป็นห่วง สังเกตได้จากการที่มันฝ่าฝูงตัวกินคนไปห้องสมุดเมื่ออาทิตย์ที่แล้วเพื่อเช่ายืมหนังสือกลับมาอ่านน่ะนะ
แต่แล้วก็ไม่เป็นอย่างที่คิดเมื่อเดินสำรวจทั่วร้านแล้วก็พบตัวกินคนแค่สองคนคือพนักงานที่ถูกแทงตายไปเมื่อครู่กับคุณป้าหนักราว ๆ แปดสิบกิโลเท่านั้น
“ต้องใช้น้ำตาลกี่ถุง?”
“ยิ่งเยอะยิ่งดี ผมคิดว่าเราอาจจะได้ใช้มันพอสมควร อีกอย่าง...ต่อให้ไม่ได้ใช้ก็ยังเอาเป็นส่วนผสมในการปรุงรสอาหารได้” ชานยอลพูดพร้อมกับเก็บน้ำตาลใส่กระเป๋าเป้สีดำจนเต็ม
“ของอย่างอื่นเราก็จำเป็นต้องใช้เหมือนกัน เซฮุน เห็นนั่นไหม?” จงอินชี้ไปตรงมุมสุดของชั้นวางของ ร่างบางพยักหน้าแล้วเดินไปตรงนั้นพร้อมกับเก็บอาหารกระป๋องใส่กระเป๋า
“ผ้าอนามัย น้ำสะอาด ยาสระผม” จงอินพูดกับตัวเองแล้วหยิบทุกอย่างใส่กระเป๋า “พูดถึงยาสระผมแล้วก็นึกอะไรขึ้นมาได้ ฉันว่าเราควรจัดระเบียบเรื่องการอาบน้ำหน่อย เพราะแทงค์น้ำข้างบนก็คงเหลือไม่มากแล้ว”
“นั่นสิ จะให้อาบน้ำวันละสองรอบเหมือนเมื่อก่อนก็คงไม่ได้อีก แล้วคุณคิดว่ายังไงล่ะ?” ชานยอลถามกลับ
“บางทีเราอาจจะต้องไปขนน้ำจากแทงค์หอหญิงมาใช้ หรือไม่ก็ต้องย้ายกันไปอยู่ที่หอหญิงให้หมด”
“ถ้าต้องย้ายเข้าไปอยู่ในหอหญิง เราคงต้องบิ๊กคลีนนิ่งเดย์กันยกใหญ่”
“แน่นอน แต่ถ้าจะให้ไปหาน้ำจากข้างนอกมันก็ได้หรอกนะ แต่ว่านึกแล้วก็เสียดายน้ำจากหอหญิงเหมือนกัน”
“ไว้ลองปรึกษากับอี้ฟานดูสิ บางทีเขาอาจจะมีวิธีดี ๆ ก็ได้”
“อืม ตามนั้น”
“เห็นทีคงต้องเข้ามาเก็บกันหลายรอบ ไม่คิดเลยว่าที่นี่จะมีของดี ๆ หลงเหลืออยู่ งั้นคุณกับเซฮุนเก็บของกันไปก่อน เดี๋ยวผมจะไปเอารถมาจอดข้างหน้า เราจะได้ขนของกันง่ายขึ้น” ชานยอลพูดแล้วเดินออกไปข้างนอกร้าน
เซฮุนเดินกลับมาหาคนที่กำลังตรวจดูวันหมดอายุข้างขวดน้ำผลไม้ในตู้แช่ที่ไม่มีความเย็นหลงเหลืออยู่เพราะไฟถูกตัดไปนานแล้ว ร่างบางสะกิดแขนอีกคนก่อนจะชี้ไปยังประตูข้าง ๆ
“ข้างในน่าจะเป็นห้องเก็บของ”
“เออว่ะ” จงอินหันไปก็ยีหัวคนข้าง ๆ ก่อนจะเปิดประตูเข้าไป เซฮุนยืนนิ่งแค่ชั่วอึดใจ จัดเผ้าผมให้เข้าที่แล้วเดินตามหลังอีกคนเข้าไปติด ๆ
ข้างในมืดสนิทจนทั้งคู่ต้องเปิดไฟฉายเพื่อให้ความสว่าง ลังกระดาษสีน้ำตาลหลายขนาดที่ถูกวางทับซ้อนกันนั่นทำให้ทั้งคู่อุทานออกมาอย่างไม่เชื่อสายตา จงอินดึงเทปสีน้ำตาลที่ปิดฝากล่องออกอย่างแรงแล้วเปิดดูข้างในก่อนจะหยิบบางอย่างที่ถูกแพคไว้เป็นอย่างดีขึ้นมาให้เซฮุนดู
“ไม่จริงน่า...”
“ฮ่า ๆ ”
จงอินหัวเราะพอใจแล้วโยนห่อรามยอนที่ถูกแพคไว้เป็นโหลให้ซึ่งร่างบางก็รับมันได้อย่างง่ายดาย ดูเหมือนว่าพวกเขาจะขุดเจอขุมทรัพย์เข้าซะแล้ว
“ขนออกไปให้หมดภายในวันนี้นะ นายลองดูกล่องอื่นก่อนเดี๋ยวฉันจะยกของออกไปวางไว้ข้างนอก” จงอินสั่งการและเซฮุนก็พยักหน้ารับ
เด็กหนุ่มส่องไฟฉายไปยังกล่องลังอื่น ๆ ซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีแค่รามยอนเท่านั้น ยังมีกิมจิกระป๋องแล้วก็ขนมจุกจิกหลากหลายยี่ห้ออีกด้วย เซฮุนยิ้มกว้าง เขาดันกล่องออกไปข้างนอกเพื่อให้จงอินกับชานยอลมาเอากลับไปขึ้นรถ
แต่จู่ ๆ สองขาเรียวก็หยุดชะงักเมื่อเห็นซากลังกระดาษกล่องหนึ่งถูกกัดจนลุ่ยก่อนที่จะได้ยินเสียงกุกกัก ๆ อยู่ข้างในมุมสุดของห้อง เซฮุนดึงมีดขึ้นมาถือไว้อีกครั้ง สองขาก้าวไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ พร้อมกับส่องไฟฉายไปยังจุดเกิดเสียง เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายเหนียวลงคอแล้วก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อบางอย่างพุ่งออกมาจากตรงนั้น
เซฮุนเสียหลักจนหงายหลังแต่ใครอีกคนเข้ามารับไว้ได้ทันแต่เพราะทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก ทั้งคู่ล้มลงไปกับพื้นด้วยกันแต่คนที่เจ็บกลับไม่ใช่ร่างบางแต่เป็นคิมจงอินที่เข้ามารับตัวเขาไว้
“คุณจงอิน?”
“แม่งเอ๊ย...” ร่างหนาสบถพลางหลับตาซี๊ดปากก่อนจะลูบสะโพกตัวเอง อยากจะสงสารแต่ภาพตรงหน้ามันกลับทำให้เซฮุนต้องพยายามกลั้นหัวเราะเอาไว้ จงอินลืมตาขึ้นมองคาดโทษจนร่างบางต้องเม้มปากเพราะกลัวถูกดุ
“ไอ้ตัวเมื่อกี้?!” พอนึกออกว่านี่ไม่ใช่เวลาจะมานั่งหัวเราะทั้งคู่ก็รีบกระเสือกกระสนวิ่งออกไปข้างนอกเพื่อตามหาตัวประหลาดที่พุ่งใส่เซฮุนเมื่อกี้ แต่พอออกมาถึงก็เห็นชานยอลกำลังนั่งยอง ๆ อยู่ตรงหน้าลูกหมาโกลเด้นดีทรีฟเวอร์ตัวหนึ่งที่มีท่าทางกลัวคนจนน่าประหลาดใจ
“ชานยอล ถอยออกมา” จงอินควักปืนพกขึ้นมาเล็งไปยังเป้าหมายพร้อมกับเดินตรงไปข้างหน้าเพื่อปลิดชีวิตหมาตัวนั้น
“เดี๋ยวจงอิน” ชานยอลลุกขึ้นยืนขวางทางเอาไว้เพื่อไม่ให้จงอินเข้าไปทำร้ายมัน เจ้าหมาโกลเด้นเบียดตัวเองเข้าไปในมุมแคบเพื่อหลบภัย พอเห็นชานยอลปกป้องมันอย่างนั้นร่างหนาก็ขมวดคิ้ว
“ไม่มีการเดี๋ยวอะไรทั้งนั้น นี่นายจำไม่ได้ใช่ไหมว่าโรงเรียนแตกไปคราวที่แล้วเพราะอะไร?”
“ผมจำได้”
“แล้วอะไรคือการที่นายไปนั่งผูกมิตรกับมันในระยะหนึ่งเมตรแบบนั้น?” จงอินแค่นยิ้มมองร่างสูงที่ยืนทำหน้านิ่งอยู่ เซฮุนมองทั้งคู่สลับกันไปมาก่อนที่พวกเขาจะหันไปมองหมาตัวนั้น
“คุณคิดว่ามันจะติดเชื้อเหรอ?”
“ตอนแรกฉันก็ไม่ได้คิดว่าลิงห่าตัวนั้นจะติดเชื้อเหมือนกัน” จงอินพูดออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“คุณดูมันสิ”
“...”
“มันก็เป็นแค่หมาตัวหนึ่งที่มีชีวิตรอดมาได้เหมือนกับเรา”
“...”
“มันไม่มีท่าทีจะเข้ามากัดใคร คุณก็เห็น”
“...”
ทั้งสามคนยืนเงียบขณะมองไปยังหมาขนสีน้ำตาลทองที่กำลังส่งเสียงหงิง ๆ ชวนให้เห็นใจ พอจงอินไม่ค้านอะไรอีกชานยอลก็ค่อย ๆ ก้าวเข้าไปหาหมาตัวนั้นอย่างช้า ๆ พร้อมกับแกะฝาทูน่ากระป๋องออก เขาเทมันลงบนพื้นแล้วยิ้มให้กับหมาตัวนั้นแม้ว่ามันจะยังมีท่าทีตื่นกลัวอยู่ก็ตาม
จงอินหยิบปืนขึ้นมาเล็งไปยังเป้าหมาย ถ้าเกิดไอ้หมานั่นตุกติกเมื่อไหร่สมองมันได้ระเบิดกลายเป็นวอลเปเปอร์ติดผนังแน่ ๆ
ลูกหมาค่อย ๆ คลานเข้ามาดมกลิ่นทูน่ากระป๋องอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ จริงอยู่ที่เรื่องประเด็นลิงทำให้ทุกคนต่างหวาดกลัวไปกับสัตว์ทุกชนิดบนโลก แต่สำหรับหมาตัวนี้มันกลับมีท่าทีต่างออกไป
“ทานซะสิ”
มีคนเคยบอกว่าหมาฟังภาษาคนรู้เรื่อง แต่สำหรับคิมจงอินแล้วหมาคือสิ่งมีชีวิตที่เอาไว้เฝ้าบ้านเท่านั้น หนำซ้ำเขายังเคยก่นด่านินทาพวกที่ชอบเลี้ยงดูบูชาหมาอย่างกับพระเจ้า ที่เอาหมาไปอาบน้ำทุกสี่วัน แต่งองค์ให้ดูน่ารักยิ่งกว่าลูกหลานในบ้าน
ทั้งสามคนดูตกใจเมื่อเจ้าโกลเด้นยอมกินทูน่ากระป๋อง แน่นอนว่าพวกที่ติดเชื้อมันไม่กินอะไรนอกจากเนื้อหนังร่างกายของมนุษย์ จงอินลดปืนลงก่อนจะหันไปมองหน้าคนข้าง ๆ สุดท้ายเขากับเซฮุนก็เดินกลับเข้าไปในห้องเก็บของเพื่อยกลังกระดาษไปขึ้นรถและปล่อยให้ชานยอลนั่งคุยกับหมาอยู่ตรงนั้น
ร่างหนามองกระจกหลังที่มีเจ้าหมาโกลเด้นกำลังแลบลิ้นห้อยโต้สายลมอยู่ท้ายกระบะ สีหน้าของมันเหมือนกำลังปริ่มสุขกับกระแสลมที่พัดผ่านมาจนน่าหมั่นไส้ เซฮุนอมยิ้มกับการตัดสินใจของจงอินที่ยอมให้มันกลับมาด้วยเพราะคำขอร้องของชานยอล แต่จงอินมีข้อแลกเปลี่ยนว่าถ้าเกิดจะเก็บมันไว้ที่โรงเรียนก็ต้องสร้างกรงหรือไม่ก็ขังมันไว้ในลานอเนกประสงค์ ต้องมีการล่ามโซ่ไว้เพื่อดูอาการ จะไม่มีการปล่อยมันออกมาวิ่งเล่นใด ๆ ทั้งสิ้น และชานยอลก็ยอมตกลง
“คุณคิดว่ามันจะติดเชื้อหรือเปล่า?”
“ตอนนี้ไม่...แต่ถ้าเกิดวันหนึ่งมันวิ่งไล่กัดเด็กในโรงเรียนขึ้นมานั่นจะเป็นความผิดของฉัน”
“แล้วทำไมคุณถึงยอมให้มันกลับมาด้วยล่ะ ทั้งที่รู้ว่าความเสี่ยงมันมีมากแค่ไหน” ร่างบางหันไปถามคนที่เท้าศอกไว้กับประตูรถ
“ใจหนึ่งก็อยากรู้ว่ามันติดเชื้อจริงหรือเปล่า และถ้าไม่...เห็นทีว่าคงต้องยกประเด็นเรื่องลิงขึ้นมาประชุมกันอีกครั้ง”
“นั่นสินะ” เซฮุนทอดสายตามองออกไปยังถนนเบื้องหน้า เพราะถ้าเกิดว่าหมาตัวนี้ไม่ติดเชื้อ นั่นก็อาจจะหมายความว่าสัตว์ชนิดอื่น ๆ ก็อาจจะมีโอกาสเป็นแบบนี้ได้
“ฉันจะรอดูอีกสักอาทิตย์ ถ้าเกิดมันไม่ได้ติดเชื้อจริง ๆ ล่ะก็...เราคงได้กินเนื้อสัตว์กันเร็ว ๆ นี้”
“คุณคงไม่...”
“ฉันไม่ได้จะฆ่าหมากิน อย่าคิดไปนั่น” จงอินรีบปฏิเสธเมื่อเห็นเซฮุนมองเขาด้วยสายตาหวาด ๆ
“แต่สิ่งหนึ่งที่เรายังไม่รู้ก็คือสัตว์ทั้งประเภทนั้น ๆ ติดเชื้อกันหมดเหมือนมนุษย์หรือว่ามันติดเฉพาะตัวที่ถูกกัดเท่านั้นน่ะสิครับ อย่างเช่นลิงตัวนั้นน่ะ”
“หืม?”
“ลิงตัวนั้นติดเชื้อเหมือนกับเราอยู่แล้ว หรือเป็นเพราะว่ามันถูกกัด และถ้าเป็นเพราะติดเชื้อโดยธรรมชาติเหมือนกับคน แล้วสัตว์ชนิดอื่น ๆ ล่ะ? หมาตัวนั้นอาจจะมีเชื้ออยู่ในร่างกายเหมือนกันกับเรา และถ้ามันตาย...ก็อาจมีโอกาสเปลี่ยนเปลี่ยนไปเป็นเหมือนพวกกินคนได้”
“นั่นแหละคือปัญหา จะให้ฆ่าหมาเพื่อพิสูจน์ชานยอลก็คงไม่ยอมแน่”
“งั้นไว้วันหลังเราออกไปล่าสัตว์แล้วจับมันมาฆ่าเพื่อรอดูอาการว่ามันจะเปลี่ยนหรือเปล่าดีไหมครับจงอิน?”
ร่างหนาหันไปมองคนข้าง ๆ ที่นึกอะไรดี ๆ ขึ้นมาได้ เขาจ้องเด็กหน้าตายได้แค่ครู่เดียวก็หันกลับไปมองถนนอย่างเช่นทีแรกก่อนจะหัวเราะเบา ๆ
“มีอะไรตลกเหรอครับ หรือว่ามันไม่เข้าท่า?”
“เปล่า”
“...”
“เดี๋ยวนี้พูดเยอะขึ้นนะ” พอถูกกัดจิกร่างบางก็หันไปมองคนข้าง ๆ ที่ยังคงยิ้มแม้ว่าสายตาของเขาจะจดจ้องอยู่กับถนนเส้นยาวข้างหน้า
เอาเถอะ...ต่อให้เขาจะยังเศร้าเรื่องของลู่หานอยู่ แต่การที่มีเด็กนี่อยู่ข้าง ๆ แล้วเสนอความคิดเห็นต่างจากมุมของของเขามันก็ดีเหมือนกัน
รถทั้งสองคันขับเข้ามาในปั๊มน้ำมันร้างที่มีรถยนต์จอดเกะกะทางเข้าจนร่างหนาต้องลงไปหมุนพวงมาลัยเพื่อย้ายรถที่ขวางอยู่ให้พ้นทาง ชานยอลลงมาจากรถแล้วเดินตรงดิ่งไปหาหมาที่ยืนลิ้นแลบลิ้นอยู่ท้ายกระบะของจงอินพร้อมกับลูบหัวด้วยความเอ็นดู เห็นแล้วก็อดแซะไม่ได้
“ถ้าโดนมันกัดขึ้นมาเมื่อไหร่ฉันยิงหัวนายแน่” จงอินชี้หน้าอีกคนก่อนจะเดินไปเอาถังน้ำมันมาแล้วสอดสายยางเข้าไปข้างในตัวถังรถคันอื่นแล้วดูดอากาศเพื่อถ่ายน้ำมันออกมาใส่ถัง ชานยอลยิ้มขำแล้วเดินไปกับเซฮุน
“คุณจะเอาอะไรบ้างนะ ผมขอดูหน่อยได้ไหม?” ร่างบางแบมือมาตรงหน้าแล้วชานยอลก็วางกระดาษลงบนมือเขา
“น้ำมันดีเซล น้ำตาล จาระบี พาราฟิน?”
“ครับ”
“คุณจะเอาของพวกนี้ไปทำอะไรเหรอ” เซฮุนถามขณะที่เขาทั้งสองคนเดินเข้าไปข้างใน เป้าหมายคือโซนขายน้ำมันเครื่องที่ติดอยู่กับจุดล้างรถ
“คุณรู้จักโมโลท็อฟค็อกเทลไหม?”
“โมโลท็อฟค็อกเทล?”
“ครับ เป็นอาวุธสงครามชั้นเยี่ยมในสมัยก่อนเลยล่ะ มันคือระเบิดขวดที่จุดไฟตรงปากขวดแล้วปาไปยังเป้าหมาย คุณพอจะนึกออกไหม?” ชานยอลพูดแล้วเซฮุนก็พยักหน้าตาม
“ผมเคยเห็นในหนัง”
“นั่นแหละครับ มันเคยถูกใช้ในสงครามเพื่อเอาไว้ต่อสู้กับรถถัง อย่างที่รู้ ๆ กันว่าแม้แต่กระสุนยังเจาะไม่เข้า คงเป็นเรื่องยากที่จะทำลายมัน”
“แล้วไอ้ของแบบนั้นมันทำอะไรรถถังได้ด้วยเหรอครับ?”
“ถึงจะทำลายไม่ได้ แต่ความร้อนของเปลวเพลิงที่ไหม้บนตัวรถถังจะสร้างความเสียหายให้กับตัวเครื่องและสร้างก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ซึ่งจะถูกดูดซึมเข้าไปในระบบระบายอากาศทำให้คนที่อยู่ข้างในทนความร้อนไม่ได้”
“โอ้โห...” ทั้งคู่หันกลับไปมองจงอินที่โผล่มายืนข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“ผมอ่านหนังสือมาน่ะ”
“เจ๋งดีนะ ว่าแต่ทำให้ดูสักอันสองอันก่อนดิ อยากรู้ว่ามันใช้ได้จริงหรือเปล่า?” จงอินยืนมองคนตรงหน้าซึ่งชานยอลก็ยิ้มรับก่อนจะเดินไปหยิบขวดเหล้าราคาแพงที่อยู่บนชั้นมา จงอินเบิกตากว้างเมื่อเห็นร่างสูงเทเหล้าลงบนพื้นอย่างไม่ใยดี
“เฮ้ย ๆ ”
“ยังมีเหลืออยู่ที่ชั้นอีกหลายขวด ผมแค่แสดงตัวอย่างให้คุณดู แต่ถ้าจะใช้ทำขวดต่อไปเห็นทีว่าผมควรเทเหล้าเก็บไว้ให้คุณก่อน” ชานยอลเดินนำออกไปข้างนอกปล่อยให้จงอินยืนเงิบอยู่ตรงนั้น เซฮุนตบบ่าอีกฝ่ายปุ ๆ ก่อนจะเดินตามหลังชานยอลออกไป
“เท่าที่อ่านมาวิธีทำก็ไม่ยากนัก ถ้ามันใช้ได้ผลจริง ๆ ผมว่ามันคงช่วยได้เยอะถ้าเกิดมีผู้บุกรุก” ชานยอลอธิบายขณะที่เขาทั้งสามคนนั่งล้อมวงกันบนพื้น เซฮุนวางอุปกรณ์ทุกอย่างลงและดูร่างสูงนั่งทำส่วนผสม
“อันดับแรกเทน้ำตาลใส่เข้าไปในขวดก่อน อ้อ...ผมลืมของ คุณช่วยไปเอาถุงพลาสติกที่ใช้ใส่ของให้ผมหน่อยได้ไหมครับเซฮุน?”
“เดี๋ยวไปเอง” จงอินพูดแล้วลุกขึ้นยืน เซฮุนเงยหน้ามองอีกคนที่อาสาไปแทนเขาโดยที่ไม่พูดอะไร
“ขอผ้าที่จุดไฟติดได้ง่าย ๆ ด้วยนะครับ” ร่างหนาหยุดกึกแล้วหันกลับไปมองชานยอลด้วยหางตาก่อนจะเดินเข้าไปหาของตามที่เจ้าตัวสั่ง
ไม่นานนักจงอินก็เดินกลับมาพร้อมกับของที่ต้องการ ชานยอลรับถุงหิ้วมาแล้วใส่จาระบีเข้าไป ตัดก้นถุงเล็กน้อยเพื่อบีบมันเข้าไปในขวด เซฮุนตั้งใจดูอีกฝ่ายจนจงอินหันไปมอง
“เทเบนซินลงไป แล้วก็เขย่าให้มันเข้ากัน” ร่างสูงปิดฝาขวดแล้วเขย่าให้เบนซินละลายเข้ากับจาระบี ทั้งสองคนนั่งดูวิธีทำจนไปถึงขั้นสุดท้ายคือการอุดปากขวดด้วยเศษผ้า
“จริง ๆ แล้วมันมีอีกวิธีหนึ่งคือใช้โปรแตสเซียมคลอไรด์กับกรดสตรอนเทียมไนเตรทและน้ำตาลทรายเพื่อสร้างระเบิดขวดไฟเมจิก ถ้าราดกรดซัลฟูริกเข้มข้นลงไปบนผงโปรแตสเซียมคลอไรด์จะเกิดการระเบิดที่ไม่รุนแรงนัก ส่วนน้ำตาลทรายขาวจะทำหน้าที่ของคาร์บอนในการช่วยให้ไฟลุกแรงกว่าเดิม สตรอนเทียมไนเตรทจะทำให้สีแดงของเปลวไฟเข้มข้นยิ่งขึ้น ดูแล้วน่าจะรุนแรงกว่าความเป็นจริงหลายเท่า”
“...”
“...”
จงอินกับเซฮุนกำลังนั่งประมวลผลกับสิ่งที่ชานยอลพูดออกมาทั้งหมด สารงี่เง่าอะไรนั่นเขาแทบไม่เคยได้ยินผ่านหูมาก่อนในชีวิต แต่ปาร์คชานยอลกลับจำมันขึ้นใจได้ยังไง ผู้ชายคนนี้มันยังมีความเป็นคนอยู่ไหม
“ทีนี้ก็ลองดูได้เลย”
“ให้มันไกลปั๊มน้ำมันหน่อยก็ดี” จงอินว่าแล้วทั้งสามคนก็ลุกขึ้นยืน
“ทางกลับโรงเรียนมีลานกว้างให้ลอง ตรงนั้นน่าจะดีนะครับ” เซฮุนเสนอความคิดเห็น
“ไฟได้ไหม้ทุ่งหญ้ากันพอดี” <- จงอิน
“ในป่าก็ไม่ได้เหมือนกัน” <- ชานยอล
“งั้นก็ลองกับพวกกินคนเลยดีไหม?”
ชายหนุ่มทั้งสองคนหันไปมองเซฮุนเป็นตาเดียวกัน เด็กหนุ่มกลอกตามองทั้งคู่สลับกันไปมาก่อนที่ร่างหนาจะยักไหล่ราวกับจะบอกว่ายังไงก็ได้
“เอาสิ”
“งั้นก็ไปกันเลย”
TBC
ตอนนี้เน้นเนื้อเรื่องล้วน ๆ เบื่อกันไหมคะ
ถ้าเบื่อก็ทำใจนิดนึงนะคะ ฟิคเรื่องนี้เน้นวิถีเอาชีวิตรอดมากกว่าเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ
ตอนนี้ขอกรี๊ดความเท่พี่ชานยอลก่อน การเป็นคนมีความรู้มันดีจริง ๆ นะคะพี่จงงิน
ตอนหน้าจะเป็นยังไง ความสัมพันธ์ของแต่ละคนกำลังพัฒนาขึ้นไปทีละนิด อย่าเพิ่งใจร้อนนะคะ ค่อย ๆ ดูกันต่อไปน๊า <3
ขอบคุณคุณ MUPORR มากเลยนะคะที่ช่วยแนะนำเรื่องกดที่ถูกต้องให้ คึคึ
#ficzombie
ความคิดเห็น