คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #22 : Chapter 21 :: My Pain (100%)
Chapter 21
My Pain
บนท้องฟ้าเต็มไปด้วยพลุหลากสีจากทั่วทุกมุม แขกในโรงแรมรวมไปถึงเด็กม.ปลายกลุ่มใหญ่ต่างส่งเสียงเฮฮาและปิดท้ายด้วยการอวยพรกันและกัน หลังจากเริ่มเข้าวันใหม่ของปี หากแต่ตอนนี้เด็กหนุ่มทั้งสามคนไม่ได้ให้ความสนใจกับความสวยงามบนท้องฟ้าเหล่านั้นเลยสักนิด
สิ่งเดียวที่ยึดสายตาชานยอลไว้ได้คือความมืดในสวนข้างโรงแรม มันคล้ายกับความรู้สึกของเขาตอนนี้ไม่มีผิด ทุกอย่างมันมืดมน และยากที่จะหาทางออกกับความจริงที่เพิ่งได้รับรู้
“กูพูดได้ยัง”
มันไม่ใช่ประโยคคำถาม เรื่องนี้ชานยอลรู้ดี จงอินก็แค่อยากทำลายบรรยากาศโง่ ๆ ที่เขาเป็นคนก่อขึ้น จื่อเทายันมือทั้งสองข้างไว้ข้างหลังพลางเหยียดขาออก ทั้งที่ตั้งใจว่าจะส่งข้อความสวัสดีปีใหม่ให้ใครอีกคน แต่ก็ต้องล้มเลิกไปเพราะยังไงความรู้สึกของเพื่อนก็ต้องมาก่อน
“มึงก็เงียบปากไว้ได้ตั้งนานนะจงอิน” เสียงของชานยอลบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าไม่พอใจ จื่อเทามองจงอินที่นั่งอยู่ด้านขวาสุด สีหน้าของมันไม่ได้แสดงออกว่ารู้สึกผิดอย่างที่ชานยอลกำลังคาดหวังเลยสักนิด
“ถ้ามึงได้ยินจากปากกู คงได้ทะเลาะกับแบคฮยอนแน่”
“แล้วตอนนี้มันต่างกันตรงไหน?”
“ต่างกันตรงที่มึงเลือกที่จะเดินหนีออกมาแล้วปล่อยให้แฟนมึงอยู่ตรงนั้นไง”
“แล้วมึงจะให้กูทำยังไง จูงมือมันออกมาแล้วถามว่าทำไมถึงเก็บเรื่องนั้นไว้เป็นเดือน ๆ โดยที่ไม่ยอมบอก ทั้ง ๆ ที่เรามีเวลาอยู่ด้วยกันตลอดยกเว้นตอนอาบน้ำงั้นเหรอ?” ไม่มีใครตอบคำถามนี้ แม้แต่จื่อเทาที่อาจจะพูดอะไรสักอย่างเพื่อเปลี่ยนไปเรื่องอื่น “กูไม่เคยระแคะระคายใจเลย พวกมึงบอกมาสิว่ากูต้องรู้สึกยังไง กับการที่กูยอมทิ้งทุกอย่างแล้วเลือกอยู่กับมัน แต่สิ่งที่กูได้รู้วันนี้คือ...?”
“...ใจเย็นน่า” จื่อเทาวางมือลงบนไหล่ชานยอลแล้วบีบเบา ๆ
“ให้ตายเถอะ” ชานยอลพยายามสงบสติอารมณ์ ถ้าไม่นับเรื่องตอนทะเลาะกับครอบครัวเมื่อคราวนั้น นี่คงเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าการโมโหจนมือสั่นมันเป็นยังไง “กูชักไม่แน่ใจแล้วว่าใครเข้ามาในโลกของใครกันแน่...”
ทั้งที่กลัวตัวเองมาตลอดว่าอาจทำให้แบคฮยอนต้องเสียใจในวันข้างหน้า แต่ปาร์คชานยอลก็พยายามบอกตัวเองว่ามันคือสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น และห้ามไม่ให้เกิดขึ้นได้ เขาพยายามทำทุกอย่างให้มันดีขึ้น เพื่อที่จะได้เป็นผู้ชายดี ๆ ให้กับคนรัก
แต่อยู่ ๆ โลกตรงหน้าก็พังไปในพริบตา
เด็กหนุ่มทั้งสองคนมองเพื่อนสนิทที่นั่งก้มหน้าอยู่ตรงกลาง เสียงถอนหายใจที่ผ่อนออกมานั้นชัดเจนราวกับว่าอยากขับไล่ความอึดอัดใจเหล่านี้ออกไปให้พ้น ๆ สักที จงอินและจื่อเทารู้จักเพื่อนคนนี้ดี ชานยอลไม่เคยเป็นอย่างนี้กับใครมาก่อน หรืออันที่จริงแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ชานยอลจริงจังกับความรัก
“มึงจะโกรธกูกับแบคฮยอนก็ได้นะ กูไม่ได้ขอให้มึงเข้าใจกู แต่คนที่มึงควรใช้เวลาทำความเข้าใจคือแฟนมึง”
“...”
“แต่จำไว้อย่าง ว่าคนเราเวลาอารมณ์ร้อน มันทำทุกอย่างพังได้เสมอ”
จื่อเทามองชานยอลกับจงอินสลับกันไปมา แน่นอนว่าเขาไม่ชินกับสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างที่เป็นอยู่ สองคนนี้มันไม่เคยทะเลาะผิดใจกันเลยสักครั้ง ไม่สิ... ความจริงแล้วพวกเราเลือกที่จะมองข้ามข้อเสียกันและกันไป มากกว่าการมานั่งโต้ตอบอีกฝ่ายด้วยโทสะ
“นั่งอยู่ตรงนี้ แล้วก็ทบทวนว่าแบคฮยอนเป็นอย่างที่มึงคิดหรือเปล่า” จงอินวางมือลงบนไหล่อีกข้างของชานยอล เขาเองก็ลำบากใจไม่แพ้กันที่เก็บความลับนี้ไว้ตลอด แต่ก็อย่างที่พูดไปว่ามันไม่ใช่เรื่องที่เขาจะเข้าไปเจ้ากี้เจ้าการเรื่องของทั้งสองคน เพียงเพราะว่าชานยอลจำเป็นต้องรู้ความจริง
“กูคิดว่ากูเข้าใจ แต่กูก็ไม่เข้าใจ” ใช่ ชานยอลกำลังรู้สึกอย่างนั้น เขารู้ว่านิสัยแบคฮยอนเป็นยังไง ไอ้บ้านั่นมันไม่เคยทำให้เขาเสียใจเลยสักครั้งตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่เข้าใจ
“มึงจะเข้าใจนะ ถ้ามึงกลับไปหาแบคฮยอน แล้วก็เปิดอกคุยกัน”
“ไอ้จงอินพูดถูก กูว่าตอนนี้มันก็คงรู้สึกผิดเหมือนกันแหละ แต่ถ้ามึงยังไม่โอเคก็นั่งอยู่ตรงนี้ก่อนแล้วกัน เดี๋ยวกูตามไปดูให้” จื่อเทาตบบ่าเพื่อนสนิท ก่อนจะลุกออกไปจากตรงนี้
ชานยอลไม่ได้ห้าม ลึก ๆ แล้วเขาก็อยากให้เพื่อนสักคนตามไปดูว่าตอนนี้แบคฮยอนเป็นยังไงบ้าง เพราะตัวเขายังไม่มีความกล้ามากพอที่จะตามไปดูเอง
“กูคงผิดเองที่รักมันมากเกินไป”
“มึงไปเอาความคิดนี้มาจากไหนว่ารักมากเลยกลายเป็นคนผิด” จงอินถามเสียงเรียบ สีหน้าของชานยอลในตอนนี้ยังคงอยู่ในอารมณ์หมองหม่นไม่ต่างจากในทีแรก
“กูเคยได้ยินมาว่าใครรักมากกว่าคนนั้นแพ้ เห็นทีว่ามันจะเป็นเรื่องจริง”
“เหรอ” เด็กหนุ่มผิวแทนนิ่งไปครู่หนึ่ง พลางเอนตัวไปข้างหลังเล็กน้อยเพื่อยืดเส้นยืดสาย “คนมองโลกในแง่ร้ายอย่างมึง พอตกอยู่ในสภาวะดิ่งสุด ๆ เลยหาเรื่องแย่ ๆ มาตอกย้ำตัวเอง”
“...”
“รักมากก็คือรักมาก มันไม่ได้เกี่ยวเหี้ยอะไรกับผิดถูกหรอก” ชานยอลหันไปหาคนข้าง ๆ ที่ทอดสายตาขึ้นไปบนท้องฟ้า มองหิมะสีขาวที่ตกลงมาต้อนรับวันแรกของปี “ความรู้สึกคนเราไม่เท่ากันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะในสถานะไหน”
“...”
“มึงตอบกูได้ไหมล่ะว่าระหว่างพ่อกับแม่ มึงรักใครมากกว่ากัน?”
“...”
“ตอบได้ไหมว่าถ้าจำเป็นต้องเลือกกูกับไอ้เทา มึงจะเลือกใคร”
“คำถามมึงจงใจกดดัน คิดว่ากูจะเลือกเหรอ?” ชานยอลยังคงไม่ละสายตาออกจากเสี้ยวหน้าของเพื่อนสนิท
“ใช่ บางอย่างมึงก็ไม่จำเป็นต้องเลือกเลย เรื่องใครรักมากกว่า น้อยกว่าก็เหมือนกัน มึงไม่จำเป็นต้องเก็บเรื่องนั้นมาคิดบั่นทอนความรู้สึกตัวเองหรอกว่ามึงรักแบคฮยอนมากกว่า หรือว่าแบคฮยอนที่รักมึงมากกว่า”
“...”
“แค่มึงรักกันก็พอแล้วไม่ใช่เหรอวะ”
“...”
“มึงอยากออกมาสงบสติอารมณ์เรื่องนี้กูเห็นด้วย แต่ถ้าหลังจากวันนี้มึงยังคิดไม่ได้ มึงก็อาจจะเสียคนสำคัญไปนะชานยอล”
“...”
“มึงโชคดีแค่ไหนที่มีคนรักที่สามารถจับต้องได้ มึงอยากทำอะไรก็ได้ตามที่รู้สึก มึงมีสิทธิ์ทุกอย่าง” จงอินหันมาสบตากับเพื่อนสนิทด้วยสายตาเรียบเฉย ชานยอลไม่แน่ใจว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่าว่าแววตาคู่นั้นเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
“กูไม่แน่ใจว่าตอนนี้กูกำลังจะเป็นบ้าเพราะมันไม่ยอมเล่าให้กูฟัง หรือเรื่องที่มันจะย้ายกลับไปอยู่มกโพกันแน่”
“ถ้าเป็นเรื่องแรกมึงสามารถจัดการความรู้สึกตัวเองได้ เพราะงั้นมึงก็ลองคิดอีกเรื่องดู แล้วก็ช่วยกันหาทางออก”
“ทางออกเหรอ กูคิดได้อย่างเดียวเท่านั้นแหละว่าต้องย้ายไปอยู่มกโพกับมัน” ชานยอลทอดสายตาไปยังเบื้องหน้าอีกครั้ง
“มันคือสิ่งที่มึงคิดเองคนเดียว ถ้าคนสองคนช่วยกันคิดมันก็น่าจะมีทางออกที่ดีกว่านี้ไม่ใช่เหรอวะ?” เด็กหนุ่มทั้งสองคนหันมามองหน้ากัน
ชานยอลไม่รู้หรอกว่าทางออกของเรื่องนี้มันจะดีขึ้นหรือว่าจะทำให้แย่ลง แต่พอได้ยินเพื่อนพูดแบบนี้แล้ว ยอมรับว่ามันทำให้เขารู้สึกดีกว่าที่เป็นอยู่
เขาไม่ควรคิดเองคนเดียวสินะ...
“สุดท้ายกูก็เป็นแค่เด็กที่ยังคิดอะไรไม่ได้”
“ถ้าเทียบกับเมื่อก่อน ตอนนี้มึงเปลี่ยนไปเยอะ” จงอินล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อตัวนอกแล้วยิ้มบาง ๆ “คนทำผิดครั้งแรก เขาสมควรได้รับการให้อภัยหรือเปล่า? เรื่องนี้มีแค่มึงที่ตอบได้นะ”
“เฮ้ยพวกมึง!” ทั้งสองหนุ่มหันไปตามเสียงเรียก แล้วก็เห็นจื่อเทายืนหอบหายใจอยู่ไม่ห่างจากตรงนี้มากนัก “แบคฮยอนไม่ได้อยู่ในห้องงานเลี้ยง”
“...”
“กูถามพวกแก๊งคนแคระแล้ว แต่พวกนั้นไม่มีใครเห็นเลย”
ชานยอลหยัดตัวลุกขึ้นเต็มความสูงในทันทีที่จื่อเทาพูดจบ ขายาวเดินวนไปวนมาเพราะทำตัวไม่ถูกกับความคิดที่ตีกันอยู่ในหัว คำถามแรกคือแบคฮยอนหายไปไหน ทำไมถึงไม่มีใครรู้?
“โทรหาสิ” คำพูดของจงอินเรียกสติเด็กตัวสูงให้กลับคืนมา ชานยอลล้วงกระเป๋ากางเกง ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขาไม่ได้เอาลงมาด้วย
“เวรเอ๊ย ทั้งกูทั้งแบคฮยอน ชาร์จมือถือไว้ในห้อง”
“ชิบหายแล้วไง”
“กูว่าคงอยู่แถวนี้แหละ บางทีมันอาจจะออกมาตามหามึงก็ได้” จื่อเทากดมือถือโทรหาเพื่อนผู้หญิงที่ยังคงอยู่ในห้องงานเลี้ยง เพื่อบอกให้พวกเธอช่วยเป็นหูเป็นตาให้หน่อย ถ้าเจอแบคฮยอนก็ให้รีบติดต่อกลับทันที
ชานยอลเสยผมขึ้นระหว่างใช้ความคิด เสียงจื่อเทาตอนคุยโทรศัพท์นั้นเขาแทบจับใจความไม่ได้เลย จงอินกวาดสายตาไปรอบตัว เผื่อว่าแบคฮยอนอาจจะอยู่แถวนี้
‘...เดี๋ยวหิมะคงตกแน่เลย’
‘ไม่ชอบเหรอ?’
‘ชอบสิ เราชอบมองหิมะตกผ่านหน้าต่าง แต่ถ้าอยู่ข้างนอกคงหนาวมาก คงนั่งดูไม่ไหว’
“เวรเอ๊ย...”
จงอินขมวดคิ้วมองตามหลังเพื่อนสนิทที่อยู่ ๆ ก็วิ่งออกไปนอกโรงแรม ขายาวนั้นไม่ลดผ่อนความเร็วลงเลยสักนิดราวกับว่ามันจะไม่หยุดจนกว่าจะเจอตัวแบคฮยอน
“เดี๋ยวกูเข้าไปหาข้างในอีกที”
“อืม กูไปด้วย” ทั้งสองคนพยักหน้าอย่างรู้กันแล้วกลับเข้าไปในโรงแรม แทนที่จะวิ่งตามชานยอล
จงอินไม่รู้ว่าตอนนี้แบคฮยอนกำลังคิดอะไรอยู่ บางทีเจ้าตัวอาจจะรู้สึกผิดเลยแอบไปนั่งเงียบ ๆ อยู่คนเดียวตามทางหนีไฟ หรือนั่งร้องไห้อยู่ในห้องน้ำสักชั้น
ท่ามกลางความมืดที่มีเพียงแค่แสงสว่างจากเสาไฟข้างถนน ที่ทำให้เด็กตัวสูงมองเห็นถนนเบื้องหน้าได้ ชานยอลหยุดยืนหอบหายใจพลางหันกลับไปข้างหลัง แล้วก็พบว่าเขาวิ่งออกมาจากโรงแรมไกลพอสมควรแล้ว
ชานยอลไม่ใช่คนถนัดเรื่องใช้ความคิดเรื่องดี ๆ แต่ตอนนี้เขาจำเป็นต้องใช้มันสักสองสามนาทีเพื่อคิดทบทวนว่าในวินาทีนี้แบคฮยอนน่าจะอยู่ที่ไหน
ขาทั้งสองข้างพาผู้ชายโง่ ๆ มาถึงตรงนี้ได้ยังไงนะ แค่คำพูดของคนตัวเล็กที่พูดถึงหิมะลอยเข้ามาในหัว...เพียงแค่นั้นปาร์คชานยอลก็วิ่งออกมาแล้ว
ควันสีขาวลอยออกจากริมฝีปากทุกครั้งที่หอบหายใจ ชานยอลกวาดสายตาไปรอบตัวเพื่อมองหาคนรัก แต่ก็พบเพียงแค่ความเงียบกับหิมะที่ร่วงลงมาจากท้องฟ้า
จากที่เคยโมโห น้อยใจ แต่ความรู้สึกเหล่านั้นกลับหายไปจากความคิดของปาร์คชานยอลจนหมดสิ้นเพราะความกังวล ตอนนี้เขาอยากเจอหน้าแบคฮยอนให้เร็วที่สุด และหลังจากนั้นจะเป็นยังไงก็ได้
ปาร์คชานยอลยอมทุกอย่างแล้ว
นี่เขา...ยืนอยู่ตรงนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ?
สิ่งที่ร่างเล็กมองเห็นมีเพียงแค่พรมสีเข้มที่ปูยาวไปจนสุดทางเดิน เขาใช้มันเป็นที่ยึดเหนี่ยวสายตาระหว่างยืนรอใครอีกคนกลับมาที่นี่ แต่ภาพที่เห็นมันพร่ามัวเพราะคราบน้ำตาที่เลอะเลนส์แว่น แต่แบคฮยอนไม่คิดที่จะถอดมันออกมาเช็ด
ชานยอลอยู่ที่ไหน? นั่นคือคำถามที่วนเวียนอยู่ในหัว แบคฮยอนใช้เวลาเดินตามหาเกือบทั้งโรงแรมแล้วแต่ก็ยังไม่เห็น ไม่รู้ว่าป่านนี้เป็นยังไงบ้าง ชานยอลเวลาโมโหจะเป็นยังไง ตอนนี้จงอินกับจื่อเทาอยู่เป็นเพื่อนไหม?
พอกลับมาถึงหน้าห้องกะว่าจะเข้าไปเอามือถือ แต่ก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าคีย์การ์ดอยู่กับชานยอล และนั่นคือเหตุผลที่เขายืนอยู่ตรงนี้
“สวัสดีปีใหม่นะลูก”
“...สวัสดีปีใหม่ครับ”
“ขอให้ปีนี้มีแต่เรื่องดี ๆ เกิดขึ้นนะ สุขภาพร่างกายแข็งแรง เรียนหนังสือเก่ง ๆ”
แบคฮยอนโค้งหัวให้กับหญิงชราที่เดินมาพร้อมกับหลานสาวของเธอ ร่างเล็กมองหมวกปาร์ตี้ที่เธอยังไม่ได้ถอดออก อีกทั้งรอยยิ้มที่ส่งมานั้น มันทำให้เขาคาดหวังว่าพรของเธอจะเกิดขึ้นจริง
“คุณยายก็เช่นกันนะครับ...”
เธอเพียงแค่หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะหยุดยืนรอหลานสาวเปิดประตูห้อง แบคฮยอนมองตามทั้งคู่จนลับสายตาไป ก่อนจะก้มหน้าลงมองพรมบนพื้นอีกครั้ง
ริมฝีปากบางพ่นลมหายใจอย่างเบาหวิว แน่นอนว่ามันไม่สามารถเอาความผิดในใจของเขาออกไปได้ แบคฮยอนยังคงยืนจมอยู่กับความรู้สึกแย่ ๆ ที่เขาเป็นคนสร้างมันขึ้นมา และทำใจว่าจะต้องรับมือกับอารมณ์ชานยอลยังไง
ถ้าชานยอลโมโห...แบคฮยอนจะยืนนิ่ง ๆ ให้ด่าจนกว่าอีกฝ่ายจะพอใจ หรืออะไรก็ได้ขอแค่ชานยอลบอก เขาจะยอมทำตามทุกอย่าง
แต่ขออย่างเดียว...
“แบคฮยอน!”
“...”
คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นก่อนจะหันไปตามต้นเสียงที่อยู่สุดทางเดินยาว มือที่เคยวางอยู่ข้างตัวกำเข้าหากันแน่นเพราะความกดดันและความดีใจที่กำลังตีกันไปหมด ทันทีที่เห็นว่าชานยอลยืนหอบหายใจอยู่ตรงนั้น
‘จะทำยังไงดี?’ นั่นคือคำถามที่วนเวียนอยู่ในหัวของเขา แบคฮยอนมีสิทธิ์วิ่งเข้าไปกอดชานยอลได้หรือเปล่า? หรือเขาควรยืนอยู่ตรงนี้เพื่อรอฟังคำพูดจาร้ายกาจที่สามารถทำให้เขาร้องไห้ได้ ทั้ง ๆ ที่มันก็สมควรแล้ว
ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้บยอนแบคฮยอนสามารถทำอะไรได้บ้าง?
ขายาวกำลังตรงมาทางนี้ก่อนจะเปลี่ยนเป็นวิ่งในวินาทีถัดมา เด็กตัวสูงถอดเสื้อกันหนาวตัวโตออกแล้วคลุมให้คนรักทันทีที่เข้าถึงตัว ก่อนที่ร่างของแบคฮยอนจะถูกรั้งเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดในที่สุด
“...หายไปไหนมา”
นี่เป็นครั้งที่สองที่แบคฮยอนได้ยินเสียงชานยอลสั่นเครือแบบนี้ ซึ่งครั้งแรกก็คือตอนอยู่หน้าห้องไอซียู ในวันที่คุณลุงประสบอุบัติเหตุ
แบคฮยอนเกยคางลงกับบ่าอีกคนโดยที่พูดอะไรไม่ออก แขนสองข้างที่ค้างอยู่กลางอากาศนั้นค่อย ๆ กอดตอบหลวม ๆ จนเปลี่ยนเป็นแนบแน่น แน่นอนว่าสิ่งที่เป็นอยู่มันตรงกันข้ามกับความกลัวที่เคยคิดเอาไว้
“ชานยอล...เราขอโทษ...”
เสียงของแบคฮยอนกำลังสั่น และมันส่งผลมาถึงหัวใจของเขาได้อย่างไม่ยาก ชานยอลรู้สึกเจ็บทั้งที่เรากำลังกอดกัน เหมือนกับว่าความจริงแล้วคนที่ทำให้ความรักของเราต้องมีบาดแผลคือตัวเขาเองที่ไม่ยอมรอให้อีกฝ่ายอธิบายเสียก่อน
“อย่าเลิกกับเรานะ...อย่าบอกเลิกเรา...”
แบคฮยอนเคยคิดว่าตัวเองเก่งถ้าเป็นเรื่องเก็บความรู้สึก แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถกักกั้นมันเอาไว้ได้อีกต่อไปแล้ว และเมื่อชานยอลออกแรงกอดมากขึ้นเท่าไหร่ ร่างเล็กก็ยิ่งร้องไห้ออกมาเหมือนคนกำลังจะสูญเสียคนสำคัญไปอีกคน
ใช่...ชานยอลคือคนสำคัญเพียงคนเดียวที่แบคฮยอนเหลืออยู่ในตอนนี้
“พูดบ้าอะไรของมึง...” ชานยอลกระชับเสื้อคลุมตัวนอกให้กับคนตรงหน้า เขาไม่รู้ว่าคนตัวเล็กมายืนทนหนาวอยู่ตรงนี้นานแค่ไหนแล้ว เด็กหนุ่มอยากทำให้ขนาดตัวของเขาที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องใครสักคน ได้มอบความอบอุ่นนี้ให้กับคนที่เขารักมากที่สุด
“ชานยอลฟังเราก่อนนะ...”
เด็กตัวสูงผละอ้อมกอดออก มือแกร่งทั้งสองข้างจับหัวไหล่คนตัวเล็กเอาไว้ก่อนจะถอดแว่นที่ขึ้นฝ้าจากน้ำตาออกมาอย่างเบามือแล้วบรรจงเช็ดให้ แบคฮยอนกัดริมฝีปากล่างกลั้นน้ำตาพลางมองมือแกร่งตรงหน้า เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้นอีกคนก็สวมแว่นคืนให้
ร่างเล็กเงยหน้าขึ้นสบตากับคนตัวสูงที่มองมาด้วยแววตาเศร้าหมองแม้ว่าริมฝีปากนั้นจะพยายามยิ้มออกมาเพื่อให้เขาสบายใจ มือแกร่งที่เคยให้ความอบอุ่นยังไง ในตอนนี้แบคฮยอนก็ยังรู้สึกได้อย่างนั้น
เราสองคนกำลังรู้สึกเจ็บปวดกับความจริง แต่ในเมื่อเราเลี่ยงไม่ได้ ปาร์คชานยอลก็พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับมัน อย่างที่เด็กคนหนึ่งที่กำลังจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่...
“เข้าห้องกันเถอะ กูพร้อมจะฟังมึงอธิบายทุกอย่างแล้ว”
50%
ภายในห้องเงียบสงบ ไม่มีเสียงพลุดังเหมือนหนึ่งชั่วโมงที่แล้ว ไม่มีแม้แต่เสียงพูดคุยของใครสักคนที่อาจเดินผ่านหน้าห้อง ถูกต้อง... ทุก ๆ ห้องในโรงแรมนี้เก็บเสียง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แน่นอนว่าคนที่อยู่ข้างในจะไม่ได้ยิน
แต่สิ่งเดียวที่เก็บไม่ได้คือเสียงของความรู้สึกในใจ กี่นาทีผ่านไปแล้วที่เขากับชานยอลเลือกที่จะนอนเงยหน้ามองเพดานสีขาวที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีเทาเพราะแสงสว่างจากดวงจันทร์ที่ส่องผ่านประตูระเบียงเข้ามา
ข้างนอกอากาศหนาว หิมะที่โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้านั้นคล้ายกับน้ำตาในใจ แบคฮยอนไม่อยากขยับตัวไปไหน คนตัวเล็กอยากนอนอยู่ตรงนี้ข้าง ๆ คนที่เขารัก โดยที่ไม่มีใครปล่อยมือไปก่อน
ไม่มีถุงมือที่เคยให้ความอบอุ่นคั่นกลาง ชานยอลเลือกถอดมันออกเพื่อที่จะให้เราจับมือกัน แบคฮยอนรู้สึกเหมือนมือของเขาเป็นน้ำแข็ง ส่วนมือของชานยอลเป็นไฟ เพราะมืออีกฝ่ายที่เพิ่งถอดถุงมือออกยังคงอุ่นอยู่ แต่มันก็แค่ครู่เดียวเท่านั้น น้ำแข็งที่ว่าก็ถูกความร้อนละลายไป
RRrrrrr!!!
เสียงโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างโคมไฟดังขึ้น เราสองคนปล่อยให้เสียงริงโทนกับเสียงแรงสั่นทำลายความเงียบอยู่แต่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ชานยอลจะตัดสินใจเอื้อมไปหยิบมันมากดรับ
“กูอยู่ในห้องแล้ว...อืม...เจอแล้ว” ร่างเล็กชำเลืองมองอีกฝ่าย คาดว่าคนในปลายสายคงเป็นจงอิน เพราะจากน้ำเสียงที่ลอดออกมานั้นไม่โผงผาง สำเนียงไม่ชัดอย่างหวงจื่อเทา “อืม...รู้” ชานยอลอาจจะไม่รู้ตัวว่าเผลอถอนหายใจออกมาเบา ๆ หรือแม้แต่น้ำเสียงที่ดูเหนื่อยล้ากับสิ่งที่เป็นอยู่ “ไม่เป็นไร...อืม...ขอบใจ”
คนตัวสูงวางมือถือลงที่เดิมแล้วกลับมานอนหงายมองเพดานอีกครั้ง แบคฮยอนได้แต่บอกตัวเองให้เรียบเรียงคำพูดเพื่อที่จะอธิบายให้ชานยอลฟัง เราจะได้เข้าใจกันมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ และมันต้องเป็นคำพูดที่ออกมาจากความรู้สึก ไม่ใช่คำสวย ๆ ที่เอาไว้แก้ตัวทั้งที่เขาผิดเต็ม ๆ
“ไอ้จงอินถามว่าจะอยู่ต่ออีกคืนไหม มันจะจัดการเรื่องห้องให้”
“อ...อ้อ...”
“แต่กูปฏิเสธไปแล้ว” พูดจบก็หันหน้าเข้าหาคนตัวเล็ก แบคฮยอนได้แต่มองดวงตาคู่นั้นที่กำลังมองมา แสงจากดวงจันทร์ทำให้เขาเห็นว่าตอนนี้ชานยอลกำลังทำหน้าแบบไหน
ไม่ได้ถามว่าเพราะอะไรชานยอลถึงไม่อยากอยู่ต่อ ถึงแบคฮยอนจะเดาใจคนไม่เก่ง แต่จากที่คบกันมานาน มันก็มีบางเรื่องที่เขาจะรู้ได้ทันทีว่าถ้ามีตัวเลือกสองข้อ ชานยอลจะตอบอะไร
จริงอยู่ที่พรุ่งนี้ทุกคนต้องขึ้นรถบัสกลับโซลตอนสิบโมง แต่ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ชานยอลคงเลือกอยู่ต่อถ้ามีคนหยิบยื่นโอกาสมาให้ถึงที่ การไปเดทนอกสถานที่มันคือสิ่งที่ผู้ชายคนนี้ชอบเป็นไหน ๆ แต่แบคฮยอนจะไม่ถามกลับไปว่าเพราะอะไรชานยอลถึงตัดสินใจอย่างนั้น
“ถ้าเล่าจบแล้วแต่ชานยอลยังโมโหอยู่ พอถึงตอนนั้นจะบีบมือเราแรง ๆ ก็ได้นะ” เสียงของคนตัวเล็กแผ่วเบาแต่ก็แฝงไปด้วยความกล้า ซึ่งมันคงมีอยู่ไม่มากนักถ้าเทียบกับความกลัว
ชานยอลรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังสื่ออะไร และมันไม่เคยมีความคิดแบบนั้นอยู่ในหัวของเขา ถึงปาร์คชานยอลจะเป็นพวกบ้าดีเดือด ชอบใช้ความรุนแรงเวลาโมโห แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะทำอย่างนั้นกับคนที่รักมากที่สุด
“จะบีบให้กระดูกหักไปเลย” แบคฮยอนรู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหลอีกแล้ว ชานยอลไม่น่าพูดด้วยน้ำเสียงแบบนี้เลย ไหนจะมือที่สอดประสานแน่นยิ่งขึ้นอีก แต่เขาก็ไม่อยากให้คน ๆ นี้พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาเหมือนกัน
ร่างเล็กหลับตาลงเมื่ออีกฝ่ายช่วยถอดแว่นออกให้ เราพลิกตัวนอนหันหน้าเข้าหากันโดยที่ยังไม่ปล่อยมือไปไหน แบคฮยอนคิดว่าชานยอลคงกำลังใช้ความพยายามเป็นอย่างมากที่จะบังคับมุมปากทั้งสองข้างให้ยกยิ้มตอนที่เรากำลังสบตากัน
“เราขอโทษจริง ๆ นะ”
“เลิกพูดว่าขอโทษได้แล้ว”
“อื้อ คือเรื่องทั้งหมดน่ะ...” แบคฮยอนหลุบตาลงแล้วให้สมองเรียบเรียงคำพูด ชานยอลเห็นว่าคนตรงหน้ากำลังประหม่า ราวกับกลัวว่าคนขี้โมโหอย่างเขาจะไม่เข้าใจ “เราไม่เคยคิดจะหลอกชานยอลเลยนะ ความจริงแล้ว...”
“มานี่สิ” ชานยอลยิ้มบาง ๆ พร้อมยื่นมือมาข้างหน้า แบคฮยอนนิ่งไปครู่หนึ่ง กระทำของผู้ชายคนนี้เคยเรียกรอยยิ้มจากเขาได้เสมอ เช่นการอ้าแขนออกเพื่อให้เขาเข้าไปอยู่ในอ้อมกอด แต่คราวนี้แบคฮยอนรู้สึกว่าน้ำตามันพาลจะไหลออกมา เขาอยากพูดว่า ‘ขอโทษ’ อยู่ซ้ำ ๆ จนกว่าชานยอลจะรู้สึกดีขึ้น ถึงแม้ว่ามันจะเป็นไปได้ยากก็ตาม
แบคฮยอนค่อย ๆ ขยับเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของคนตัวสูงแล้วซุกหน้าลงกับอกแกร่ง ชานยอลก้มจูบบนเรือนผมนุ่มก่อนจะเกยคางลงบนศีรษะทุย ในหัวตอนนี้ว่างเปล่า เขาไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าการกอดแบคฮยอนเอาไว้แน่น ๆ
ถ้าถามว่าตอนนี้ยังรู้สึกแย่อยู่หรือเปล่า แน่นอนว่าเขาจะไม่ปฏิเสธ แต่การกอดคนรักเอาไว้แน่น ๆ เพื่อให้รู้ว่าอีกฝ่ายยังอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน มันก็ช่วยทุเลาความเศร้าลงไปได้พอสมควร
“เราผิดเองที่มีความสุขจนลืมไปว่ามาเรียนที่โซลเพื่ออะไร”
ชานยอลไม่ได้ขานตอบ เขาเพียงแค่กระชับกอดให้คนตัวเล็กอยู่ในท่าที่ไม่อึดอัดเกินไป ก่อนจะเกลี่ยปอยผมนุ่มระหว่างรอฟัง
“ทั้งที่ความจริงเราจะอยู่มกโพให้คนที่บอกว่าเป็นลุงกับป้าโขกสับก็ได้ แต่เราก็เลือกที่จะหนีออกมาดูแลจิตใจตัวเอง” แบคฮยอนถอนหายใจ “พวกเขาแสดงออกว่าเป็นเจ้าของบ้าน ส่วนเราเป็นผู้อาศัย”
“...”
“แต่ก่อนที่แม่จะจากไป แม่บอกว่าถ้าอยู่ไม่ไหวก็ให้ย้ายไปอยู่โซลก่อน หนึ่งเทอมแลกกับสุขภาพจิต เพราะแม่เป็นห่วงว่าเราจะเป็นบ้าตายถ้าเกิดว่าแม่จากไปแล้ว แต่เราต้องทนอยู่ในบ้านหลังนั้นกับคนเห็นแก่ตัว”
ชานยอลหลับตาลงแล้วจูบลงบนเรือนผมนุ่มอีกครั้ง เขารู้สึกสงสารคนในอ้อมกอดจับใจที่ต้องเจอเรื่องราวร้าย ๆ ตามลำพัง
“เราบอกตัวเองว่าต้องเข้มแข็ง เราต้องอยู่คนเดียวให้ได้ พอเรียนจบเราก็อายุยี่สิบแล้ว เราสามารถกลับไปแสดงสิทธิ์ความเป็นเจ้าบ้านได้ คนพวกนั้นจะต้องออกไปจากบ้านเรา” เป็นครั้งแรกที่ชานยอลรู้สึกว่าแบคฮยอนกำลังโกรธ แม้ว่าน้ำเสียงเจ้าตัวจะยังเหมือนเดิม
อาจเป็นความคับแค้นใจของเด็กผู้ชายตัวคนเดียวที่ถูกญาติพี่น้องเอาเปรียบ มันทำให้เขาได้รู้ว่าไอ้บ้านนอกที่เขารู้จัก ก็เก็บความรู้สึกเหล่านี้เอาไว้ในใจเหมือนกัน บยอนแบคฮยอนที่ใคร ๆ คิดว่าโลกสวย ซื่อบื้อ ก็มีมุมแบบนี้
“แต่พอชานยอลบอกว่าจะมาอยู่บ้านด้วยกัน เราดีใจมากที่จะได้อยู่กับเพื่อนทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน เราจะไม่ต้องอยู่คนเดียวอีกแล้ว”
“...”
“แต่มันแย่ตรงไหนรู้ไหม...”
คนตัวเล็กเงียบไปเพื่อทิ้งจังหวะให้เราทั้งคู่ตกอยู่ในความคิด ชานยอลรู้สึกได้ถึงวงแขนที่โอบกอดแผ่นหลังของเขาแน่นยิ่งขึ้น
“มันแย่ตรงที่พอเรารักชานยอลแล้ว เราก็ลืมความตั้งใจทุกอย่างไปหมด”
“...”
“เราลืมว่าต้องกลับไปเอาบ้านคืน ลืมว่าเราต้องแยกกันสักวัน จนกระทั่งได้คุยกับแทฮยองวันนั้น” ประโยคนี้แผ่วลง แบคฮยอนรู้สึกแย่กับตัวเองที่เป็นแบบนี้ “เราไม่กล้าบอก ไม่รู้ว่าต้องใช้คำไหนชานยอลถึงจะเข้าใจ ‘เราจะต้องกลับไปอยู่มกโพแล้วนะ’ อย่างนั้นเหรอ ถ้าบอกไปอย่างนั้นแล้วชานยอลจะโมโหไหม จะบอกเลิกเราหรือเปล่า”
“มึงคิดว่าการบอกเลิกมันพูดง่ายเหรอวะ”
“เราไม่รู้...ชานยอลคือแฟนคนแรกของเรานะ”
“ตอนกูเริ่มชอบมึง กูหาเหตุผลทั้งโลกมาเพื่อปฏิเสธความรู้สึกตัวเอง”
“...”
“แต่ถ้าเราจะเลิกกัน มันจะมีแค่เหตุผลเดียวเท่านั้น” ชานยอลผละคนในอ้อมกอดออกมาเล็กน้อยก่อนจะเอาหน้าผากชนกัน “...คือเราไม่รักกันแล้ว”
ทั้งคู่สบตากันท่ามกลางความมืด แบคฮยอนปล่อยให้ความเงียบช่วยขับไล่ความเศร้าออกไปอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ เป็นคำตอบ
“งั้นเราเลิกกันไม่ได้นะ...”
เด็กหนุ่มเลื่อนมือขึ้นมาโอบแก้มคนตรงหน้า ก่อนจะละออกมาพ่นลมอุ่นลงกับฝ่ามือแล้วทาบลงกับแก้มขาวอีกครั้ง แบคฮยอนจับข้อมือแกร่งเอาไว้ เรายิ้มเป็นกำลังใจให้กันและกันก่อนที่ร่างเล็กจะหลับตาลงแล้วเผยอปากรับจูบจากอีกคน
จูบครั้งนี้ไม่เจ็บปวดเหมือนตอนอยู่ในห้องงานเลี้ยง แต่มันก็ยังคงเศร้ากับความจริงที่เรายังไม่มีทางออก แบคฮยอนปล่อยให้ลิ้นร้อนเข้ามาเติมเต็มความมั่นใจ เขาหลอกตัวเองมาตลอดว่าเข้มแข็ง ทั้งที่จริงแล้วถ้าไม่มีปาร์คชานยอล...บยอนแบคฮยอนก็อยู่ไม่ได้
หรืออาจจะอยู่ได้ แต่ไม่มีความสุข
เด็กตัวสูงขบริมฝีปากล่างของคนตัวเล็กพลางดูดดึงอย่างหลงใหล เสียงผ่อนลมหายใจตอนละฝีปากออกจากกันเพื่อปรับองศาจูบนั้นคือสิ่งเดียวที่ได้ยิน เราจูบกันอยู่อย่างนั้น ก่อนที่ชานยอลจะผละออก เราทั้งคู่เหมือนคนลืมวิธีหายใจหลังจากแลกรสจูบกันอยู่นาน
“อยากให้ไปอยู่มกโพด้วยไหม?” สีหน้าและน้ำเสียงของคนตัวสูงบ่งบอกว่าจริงจังมากแค่ไหน ครั้งหนึ่งแบคฮยอนคาดหวังว่าอยากให้ออกมาเป็นแบบนี้ ซึ่งมันเป็นความคิดของคนเห็นแก่ตัว แต่ไม่นึกเลยว่าชานยอลจะพูดออกมา
“ได้เหรอ...” ร่างเล็กมองอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง ถึงจะขัดแย้งในใจอยู่ลึก ๆ แต่เขาก็อยากจะเห็นแก่ตัวสักครั้ง ถ้ามันทำให้เราอยู่ด้วยกัน “ชานยอลไปอยู่กับเราได้จริงเหรอ...”
เด็กตัวสูงไม่ได้ตอบคำถาม เขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะปัดไรผมออกจากดวงหน้าขาวที่ยังคงไม่ละสายตาออกจากเขา
“คุณลุงจะว่าหรือเปล่า ชานยอลจะอยู่ที่นั่นได้เหรอ บ้านเราไม่ได้อยู่ในเมืองนะ แถวนั้นมีห้างใหญ่ ๆ แค่ที่เดียว คือมันแทบจะไม่มีอะไรเลย เรากลัวว่าชานยอลจะอยู่ไม่ได้” เด็กหนุ่มได้แต่หัวเราะในลำคอแล้วเลื่อนไปจูบหน้าผากคนคิดมาก
“ปัญหาอยู่ที่พ่อ ส่วนเรื่องบ้านนอกหรือในเมืองไม่ใช่ปัญหาหรอก” เพราะถ้าจะย้ายไปอยู่มกโพ ปาร์คชานยอลคงต้องคิดหาเหตุผลให้เป็นเรื่องเป็นราวก่อน ไม่งั้นพ่อคงสงสัยแน่ว่าทำไมอยู่ดี ๆ ลูกชายหัวสูงถึงนึกอยากย้ายไปอยู่บ้านนอกแบบนั้น “ยังมีอะไรที่ยังไม่ได้บอกอีกไหม?”
“มี” แบคฮยอนพยักหน้า “เราพยายามรวบรวมความกล้าที่จะบอกเรื่องนี้ แต่พอเอาเข้าจริง ๆ เราก็พูดไม่ออก” ร่างเล็กถอนหายใจเบา ๆ “เราทนเก็บเรื่องนี้ไว้ แล้วก็ใช้เวลาอยู่กับชานยอลให้มาก ๆ เหมือนคนเห็นแก่ตัวที่เอาแต่มีความสุข ทั้ง ๆ ที่รู้แก่ใจว่าถ้าชานยอลรู้เรื่องนี้เมื่อไหร่คงต้องเสียใจแน่”
“...”
“เราเลยคิดว่า ถ้ากลับไปอยู่มกโพเราจะลงเรียนแค่สี่วัน พอถึงวันศุกร์ก็นั่งรถไฟมาโซล แล้วก็กลับมกโพวันอาทิตย์”
“...”
“ชานยอลไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องค่าตั๋วรถไฟหรอกนะ ที่นั่นมีงานพิเศษให้เราทำเยอะแยะเลย เพราะงั้นถ้าคุณลุงไม่ให้ไปอยู่มกโพก็ไม่เป็นไรนะ”
“...”
“เราจะมาหาชานยอลทุกอาทิตย์เอง”
เด็กตัวสูงพยักหน้าเป็นคำตอบ ก่อนจะรั้งร่างเล็กเข้ามากอดแน่น ๆ พอถึงตอนนี้เขายิ่งรู้สึกผิดที่เคยโกรธและไม่เข้าใจ ทั้ง ๆ ที่ปาร์คชานยอลก็รู้อยู่เต็มอกว่าบยอนแบคฮยอนเป็นคนยังไง
“กูรักมึงมากนะแบคฮยอน”
“เราก็รักชานยอล รักจะแย่อยู่แล้ว”
เสียงกระซิบที่อยู่ข้างหู มีเพียงแค่เราสองคนเท่านั้นที่ได้ยิน เตียงขนาดคิงไซส์กลายเป็นเตียงกว้างเกินไปสำหรับคนสองคน ทั้งคู่กอดกันแนบแน่น แลกไออุ่นซึ่งกันและกันในคืนหนาวเหน็บ
ไม่มีใครพูดอะไรอีกแล้ว ชานยอลคิดว่าคำพูดไหนในโลกก็ไม่สามารถทำให้เขารู้สึกดีขึ้นได้นอกจากการกอดอีกคนไว้อย่างในตอนนี้
ไม่อยากเชื่อเลย ว่าครั้งหนึ่งในชีวิตของการมีความรัก มันจะทำให้ปาร์คชานยอลมีความสุขและเจ็บปวดได้ถึงขนาดนี้ เด็กหนุ่มหลับตาลงแล้วจมกับความคิด เขาอยากให้แบคฮยอนหลับมากกว่าฝืนอยู่กับเขาเพราะเป็นกังวลใจ
หลังจากที่ใจมันพร้อมที่จะรับฟัง เขาก็ได้แต่บอกกับตัวเองว่าทางออกของเรื่องนี้มีอยู่ไม่กี่ทาง และที่มองเห็นได้ชัดที่สุดก็คือการย้ายไปอยู่มกโพด้วยกัน ซึ่งมันอาจจะมีปัญหาตามมา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะแก้ไขไม่ได้
‘พี่โบรา’
‘หืม?’
‘ทำไมพี่ถึงเลิกกับแฟน’
เด็กตัวสูงค่อย ๆ ลืมตาขึ้น คำพูดและสีหน้าของหญิงสาวรุ่นพี่ในร้านกาแฟวันนั้นผุดขึ้นมาในหัวให้ได้คิดอีกครั้ง ชานยอลค่อย ๆ ลูบศีรษะคนที่น่าจะผล็อยหลับไปแล้ว หลังจากที่ร่างในอ้อมกอดแน่นิ่งไม่ขยับตัว
‘มันเป็นช่วงที่เราเริ่มมีมุมมองชีวิตที่ต่างกัน จะว่ายังไงดีล่ะ บางทีแค่ความรักมันก็คงไม่พอ’
‘เขาเลือกงานมากกว่าพี่สินะ’
‘ตอนแรกพี่ก็โกรธนะ ช่วงนึงพี่กลายเป็นผู้หญิงหน้าโง่ที่คิดว่าความรักจะเอาชนะระยะทางได้ แต่ก็นั่นแหละ...’
ไอ้จงอินบอกว่าสิ่งที่ทำร้ายคนเราได้ดีที่สุดคือความคิดของตัวเอง และเขาเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง เมื่อเรื่องราวที่เกิดจากประสบการณ์จริงของยุนโบรากำลังทำให้เขากลัวว่าระยะทางจะเป็นอุปสรรคที่ทำให้ความรักของเขากับแบคฮยอนจืดจางลง จนกลายเป็นหมดรัก
และนี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่เขาตัดสินใจถามเรื่องไปอยู่มกโพ ถ้าหากไอ้บ้านนอกอยู่ไม่ได้ ปาร์คชานยอลก็คงให้ตัวเลือกนี้เป็นคำตอบ...
ทริปปีใหม่สิ้นสุดลง เด็กหนุ่มสาวลงจากรถบัสแล้วตรงไปเอากระเป๋าส่วนตัว ก่อนจะหันมาโบกมือลาเพื่อน ๆ เมื่อพบว่าผู้ปกครองมารอรับกลับบ้านแล้ว บรรยากาศโดยรอบนั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ทุกคนกำลังมีความสุข มันเป็นสัญญาณดีในวันแรกของปี
“มึงกลับไงวะ?” จื่อเทาหันมาถาม สีหน้าของเด็กหนุ่มชาวจีนดูไม่สดใสเหมือนอย่างเคย เพราะเป็นห่วงชานยอลที่เงียบมาตลอดทั้งทาง
เขาได้ฟังจากไอ้จงอินมาแล้ว แต่มันไม่ใช่เรื่องที่เขาทั้งคู่จะเข้าไปช่วยจัดการได้ ไอ้จงอินบอกว่าทุกคนมีวิธีจัดการปัญหาด้วยตัวเอง ส่วนเพื่อนมีหน้าที่คอยปลอบใจไม่ใช่ยื่นขาเข้าไปยุ่ง เหตุผลนี้เลยทำให้หวงจื่อเทาทำได้แค่มองอยู่ห่าง ๆ เท่านั้น
“เดี๋ยวลู่หานมารับ แล้วมึงสองคนล่ะ”
“กูกลับแท็กซี่ มึงไปส่งกูหน่อยดิ” จงอินว่าแล้วเหวี่ยงเป้ไปข้างหลัง ชานยอลรู้ว่าการชวนในครั้งนี้มันคงมีเหตุผลอะไรบางอย่าง ได้ยินอย่างนั้นเลยหันไปมองคนข้าง ๆ ที่ยืนทำหน้าหงอยอยู่ ก่อนจะโคลงหัวเบา ๆ แล้วเดินไปกับเพื่อนสนิท
แบคฮยอนหันไปทางขวามือ แล้วก็พบว่ายังเหลืออยู่ไม่กี่คนที่ยังอยู่ในละแวกนี้ ร่างเล็กโบกมือลาเพื่อนชมรมห้องสมุดที่กำลังจะกลับบ้าน ทุกคนดูมีความสุขหลังจากเลี้ยงฉลองปีใหม่กัน แม้แต่คยองซูที่ใคร ๆ ต่างบอกว่ามีหน้าเดียว ตอนนี้ก็กำลังยิ้มตอนโบกมือให้เขา
ดีจังที่ทุกคนกำลังมีความสุข
“ไปนั่งรอไอ้ชานยอลกันตรงนั้นกัน” จื่อเทาว่าแล้วกอดคอแบคฮยอนให้เดินไปด้วยกัน
บนพื้นสนามขาวโพลนไปด้วยหิมะ บนกิ่งก้านใบไม้ก็เช่นกัน ร่างเล็กเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีหม่น เหมือนกับว่าความเศร้าตามเขามาจากทะเลจนถึงโซลยังไงอย่างนั้น
“เมื่อคืนคุยกันยาวเลยดิ”
“ขอโทษนะ เราไม่รู้ว่าทุกคนจะตามหาเรา” เด็กหนุ่มชาวจีนยิ้มก่อนจะวางมือลงบนศีรษะคนตัวเล็กกว่า
“เพื่อนหายก็ต้องออกตามหา มันเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วไม่ใช่เหรอวะ”
“จื่อเทาโกรธเราไหม”
“เรื่องอะไรล่ะ”
“ที่เราปิดบังทุกคนเรื่องจะต้องกลับมกโพ” แบคฮยอนยืนนิ่ง ตอนนี้ชานยอลกับจงอินเดินออกนอกประตูโรงเรียนไปแล้ว
“ตอนแรกก็เคือง ๆ หรอกนะ แต่ไอ้จงอินบอกว่าเรื่องของคนรักกันอย่าไปเสือก” จื่อเทาหัวเราะ
“ถึงจะยังเคืองอยู่เราก็เข้าใจนะ เพื่อนใคร ใครก็รัก จริงไหม” แบคฮยอนยังคงหงอยอยู่ เห็นแบบนี้แล้วใครจะไปกล้าว่าลง
“ใช่ ต่อไปนี้ก็ห้ามทำอีกล่ะ เข้าใจเปล่า?” จื่อเทาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อแล้วเอนหลังพิงกับโต๊ะไม้ ซึ่งแบคฮยอนก็พยักหน้าหงึก “สรุปเมื่อคืนตกลงกันว่ายังไง”
คนตัวเล็กไม่ได้ตอบคำถามในทันที ถ้าเจ้าตัวหน้าแดงหรือมีท่าทีเงอะ ๆ งะ ๆ หวงจื่อเทาจะคิดเอาเองแล้วนะว่ามันสองคนให้ร่างกายปรับความเข้าใจกัน และถ้าเป็นแบบนั้นเรื่องนี้คงได้แถลงการณ์กันยาวแน่
“ชานยอลบอกว่าจะขอคุณลุงย้ายไปอยู่มกโพกับเรา”
“โว้ว...นี่ไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม?” เด็กหนุ่มชาวจีนเลิกคิ้วมองคนข้าง ๆ ที่พยักหน้าเป็นคำตอบ เขาพยายามคิดว่าเมื่อกี้นี้อาจจะหูฝาดไป และการดีดนิ้วเพื่อเรียกให้ตื่นน่าจะได้ผล
“เราเห็นแก่ตัวมากเลยใช่ไหม?”
“ไม่ขอตอบได้เปล่า ฉันรู้ตัวว่าเป็นพวกให้คำปรึกษาได้บัดซบมาก ขืนให้ท้ายนาย หรือไม่เห็นด้วย ก็กลัวว่าผลที่ตามมามันจะแย่” ใช่ จื่อเทาคิดอย่างนั้นจริง ๆ แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่ค่อยได้ใช้สมองนัก แม้แต่ตอนที่ไอ้ชานยอลหนีออกจากบ้าน เขาก็เป็นคนหนึ่งที่เลือกนั่งฟังไอ้จงอินบ่น โดยไม่คิดจะปลอบใจไอ้ชานยอลสักคำ
“ถ้าต้องอยู่ห่างคนที่รักมาก ๆ จื่อเทาจะทำได้ไหม” เด็กหนุ่มชาวจีนไม่ได้ตอบคำถามนี้ เขาเพียงแค่หันไปมองหน้าคนคิดมากอย่างเอ็นดู ก่อนจะเท้าศอกลงกับโต๊ะไม้
“กลัวพ่อไอ้ชานยอลไม่อนุมัติเหรอ”
“ใช่ ก็ชานยอลเพิ่งกลับไปอยู่กับครอบครัวได้ไม่นาน ชานยอลเริ่มคุยกับพี่ลู่หานมากขึ้น แถมไม่ใจร้ายกับเจโน่เหมือนเมื่อก่อนแล้วด้วย เราว่าคุณลุงต้องไม่โอเคแน่เลยอ่ะ”
“ตอบยากเลย ฉันยังไม่เคยคบกับคนที่รู้สึกว่ารักจริง ๆ เลยสักครั้ง แต่ถ้าถามว่าทนเห็นคนที่รักไปชอบคนอื่นได้ไหม นั่นก็อีกเรื่อง” จื่อเทายิ้มขำ “รู้ว่าคิดมาก แต่ช่วยเชื่อใจไอ้ชานยอลหน่อยนะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันอยากให้นายมั่นคงกับมัน”
“เราเชื่อใจชานยอล”
“ดีมาก ไหนแท็กมือหน่อยซิ” จื่อเทาขมวดคิ้วแล้วยกมือขึ้นเตรียมพร้อม แต่แบคฮยอนกลับกำมือขึ้นมาเสียอย่างนั้น “อะไรเนี่ย ไปรู้ท่านี้มาจากไหน”
“จงอินสอนเรา”
“เจ๋งนี่” เด็กหนุ่มชาวจีนหัวเราะแล้วชกมือกับคนตัวเล็กเบา ๆ
ทุกคนมีมุมมองความรักที่ต่างกัน นั่นหมายถึงตัวหวงจื่อเทาเองด้วย ใครหลายคนบอกว่าการประคับประคองความรักเป็นเรื่องยาก แต่หลังจากจากที่ฟังไอ้จงอินเล่า ตอนนี้ปาร์คชานยอลเพื่อนสนิทของพวกเราคงกำลังเจอกับจุดเริ่มต้นของอุปสรรค ซึ่งเด็กหนุ่มได้แต่เอาใจช่วย ขอให้ทั้งสองคนผ่านมันไปให้ได้
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เด็กหนุ่มสาวต้องฝืนตื่นมาโรงเรียนยามเช้า ทั้งที่ใจอยากจะนอนต่อบนเตียงนุ่ม ๆ ในช่วงฤดูหนาวที่ข้างทางเดินเต็มไปด้วยหิมะที่ถูกกวาดไปกองเอาไว้ ทุกคนดูอิดโรย บางคนไม่สบายจนต้องลาเรียน แต่ก็ยังมีใครอีกคนที่ฟุบหลับอยู่กับโต๊ะ
แบคฮยอนมองคนข้าง ๆ เขาสังเกตว่าพักนี้ชานยอลนอนดึกทุกวันเลย และมันทำให้เขาไม่สบายใจ ถ้าถามว่ายังคิดมากเรื่องนั้นอยู่ใช่ไหม และคนตัวเล็กก็คงไม่ปฏิเสธ เพราะหลังจากสร้างความทรงจำเลวร้ายคืนแรกของวันปีใหม่ หลังจากนั้นชานยอลก็กลับบ้านแล้วเข้าไปคุยกับคุณลุงในห้อง และกลับมาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“หนาวเหรอ”
“อ้อ...ก็...นิดนึง” แบคฮยอนยิ้มเจื่อน ไม่รู้ว่าชานยอลลืมตาตื่นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่
คนตัวเล็กนั่งนิ่ง เมื่อตอนนี้มือข้างขวาของเขาถูกอีกคนจับไปวางไว้บนโต๊ะก่อนที่ใบหน้าคมจะซบลง ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรกันอีก มันกลายเป็นสัญลักษณ์ของเราไปแล้วใช่ไหมกับการสบตากันเพื่ออ่านใจอีกฝ่าย
“นั่งจ้องอยู่ได้ มีอะไรเปล่า” ชานยอลเพียงแค่ยิ้มบาง ๆ ขณะมองมายังเขา
“รู้ด้วยเหรอว่าเรามองอยู่”
“รู้ดิ ก็ทำแบบนี้” เด็กตัวสูงปรือตาเหมือนคนแกล้งหลับแถมยังยิ้มกวนประสาทอีก แบคฮยอนเห็นอย่างนั้นเลยหลุดยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ช่วงนี้ชานยอลนอนดึกทุกวันเลยใช่ไหมอ่ะ”
“เออ พอดีติดเกมมือถืออ่ะ มันเป็นช่วงอีเวนท์พอดี ถ้าเข้าเกมช่วงเวลานั้นแล้วจะได้ทองเยอะ” ชานยอลว่าแล้วเปิดแอพเกมในมือถือให้ดู คนตัวเล็กค้างอยู่ท่านั้นแล้วเงยหน้ามองคนรัก
“แน่นะ”
“แน่ดิ แต่กูไม่ให้มึงเล่นหรอกนะ ถ้าเล่นแล้วติดเดี๋ยวจะไม่มีเวลาสนใจกู” แบคฮยอนหลับตาแน่นเพราะถูกปลายนิ้วเรียวเขี่ยจมูกเบา ๆ
“เราก็เป็นห่วง นึกว่าชานยอลเป็นอะไรซะอีกอ่ะ” แบคฮยอนแนบแก้มลงกับโต๊ะทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากอีกฝ่าย ชานยอลอมยิ้มกับคำพูดคำจาน่ารักของแฟน ก่อนจะแนบแก้มลงกับโต๊ะแล้วกุมมือเล็กลงมาซ่อนไว้ข้างใต้
“เวลามึงคิดมากเรื่องกูนี่โคตรน่ารักเลยรู้ตัวป่ะ” ชานยอลเลิกคิ้วกวน แล้วหัวเราะออกมาเพราะคนตัวเล็กย่นจมูกใส่
“ถ้าชานยอลไม่ได้เป็นอะไรก็ดีแล้ว เราอาจจะฟุ้งซ่านไปเอง”
“แคร์กูขนาดนั้นเลยเหรอ”
“แคร์สิ ชานยอลเป็นแฟนเรา แล้วเราก็รักชานยอลมาก ๆ ด้วยอ่ะ” เสียงของไอ้บ้านนอกตอนพยายามแก้ตัวนั้นเบาหวิว แต่พอเอามาหักลบกับริมฝีปากที่ยู่เข้าหากันตอนพูดแล้วก็จบอยู่ที่คำว่าน่ารักอยู่ดี
“คิดว่ารักเป็นคนเดียวเหรอ กูก็รักมึงมากรู้ไว้ด้วย”
“วันนี้เรารู้แล้ว งั้นพรุ่งนี้ชานยอลบอกเราอีกทีนะ” พูดจบก็ยิ้มตาหยี แบคฮยอนชอบเวลาชานยอลทำท่าเหมือนคนจะยิ้มแต่ก็ยังฟอร์มเอาไว้แบบนี้จังเลย มันทำให้โล่งใจว่าเขาคิดไปเองว่าตอนนี้เราทั้งคู่กำลังค่อย ๆ ถูกความเศร้ากัดกินเพราะเรื่องอนาคต
“นี่ฮอบบิท”
“คับ”
“พอสอบปลายภาคเสร็จแล้วไปเดทตอนกลางคืนกันนะ”
“เดทกลางคืนเหรอ?”
“ใช่ เดี๋ยวคืนนั้นจะยืมรถลู่หานไป รับรองว่าเป็นเดทที่โรแมนติกสุด ๆ ที่ปาร์คชานยอลจะเซอร์วิสให้ได้” แบคฮยอนอมยิ้มกับสีหน้าของคนตัวสูงที่แสดงออกมาจนเวอร์เกินจริง
“แล้วอะไรที่โรแมนติกอ่ะ”
“ดูหนัง เดินเล่นแม่น้ำฮัน จะเกี่ยวแม่กุญแจคู่ที่โซลทาวเวอร์ หรือชมวิวบนตึกหกสิบสามแล้วต่อด้วยอควอเรียมก็ว่ามา กูพาไปได้หมด”
“โห...จริงจังนะเนี่ย...”
“แล้วก็จบที่ป๊าบ ๆ กันในรถ...” ชานยอลยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ๆ แล้วกัดริมฝีปากล่าง แบคฮยอนยิ้มตาหยี ชานยอลชอบพูดเรื่องทะลึ่งปิดท้ายเสมอตอนที่กำลังเขิน และเขาเชื่อว่ามันเป็นอย่างนั้น กับตารางเดทจริงจังที่ไม่เคยวางแผนมาก่อน
“ตื่นเต้นจัง...เราอยากให้ถึงวันนั้นไม่ไหวแล้ว” เสียงของไอ้บ้านนอกคล้ายกระซิบ ใบหน้าซื่อ ๆ ที่กำลังมองมานั้นยังทำให้เขารู้สึกดีได้เสมอ
“ระหว่างนี้ก็เดทในห้องเรียนไปก่อน”
“ยังไงอ่ะ”
“อย่างนี้ไง”
แบคฮยอนเบิกตาอย่างตกใจทันทีที่คนตัวสูงเลื่อนใบหน้าเข้ามาจุ๊บปากเขาโดยไม่เปิดโอกาสให้ได้ตั้งตัว และนั่นเป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงประตูห้องเลื่อนออก เป็นสัญญาณบอกว่าอาจารย์ได้เข้ามาพอดี
คนตัวเล็กไม่แน่ใจว่าชานยอลกะเวลาไว้เป็นอย่างดี หรือเพราะเขาทั้งคู่มากับดวงกันแน่ ทุกคนถึงได้หันไปสนใจอาจารย์ที่ยืนอยู่หน้าห้อง มากกว่าการหันมาทางเด็กผู้ชายสองคนที่แอบจูบกันอยู่ข้างหลังห้อง
“หูยชานยอลอ่ะ...”
“หน้าแดงเลย สมน้ำหน้า”
“ถ้าอาจารย์เห็นเมื่อกี้เราตายคู่แน่เลย...ตกใจแทบแย่”
“งั้นทำไงดีวะ ไปจูบเรียกขวัญในห้องน้ำกันดีไหม?”
ชานยอลขมวดคิ้ว พอเห็นว่าแฟนจ๋าไม่ตอบเลยลุกพรวดเต็มความสูงและไม่ลืมที่จะคว้าข้อมือแบคฮยอนให้ลุกขึ้นด้วย ทุกสายตามองมาทางนี้ แบคฮยอนทำหน้าเหรอหรา อ้าปากค้างเพราะพูดไม่ออก ก่อนจะก้มลงมองข้อมือตัวเองที่ถูกกุมเอาไว้อย่างไม่กลัวใครเข้าใจผิด
แย่แล้ว ชานยอลคิดจะทำอะไรอีกเนี่ย
“ดูเหมือนว่าเพื่อนผมจะไม่สบาย ขออนุญาตพาไปห้องพยาบาลนะครับ”
TBC
จะไม่มีการพูดหรือสปอยล์ตอนหน้าอะไรทั้งนั้ล!
ความคิดเห็น