คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : CHAPTER 11 :: The old baseball with bite mark.
CHAPTER 11
The old baseball with bite mark.
แทบจำไม่ได้แล้ว ว่า ‘ฝันดี’ หน้าตาเป็นอย่างไร
เป็นอีกครั้งที่เซฮุนตื่นกลางดึก พร้อมเหงื่อที่ซึมตามขมับและซอกคอหลังจากวิ่งหนีความตายในฝันได้สำเร็จ แผงอกยังคงกระเพื่อมจากอาการตื่นตระหนก... หวาดกลัว... และโล่งใจที่เป็นเพียงความฝัน แทบนึกไม่ออกเลยว่าถ้าหากเป็นความจริง เขาจะทำอย่างไรถึงจะหลุดพ้นจากคมเขี้ยวแหลมคมนั่นได้
มือขวาเสยผมขึ้นค้างไว้กลางศีรษะ ปล่อยให้ตัวเลขบนนาฬิกาปลุกข้างหัวเตียงเดินหน้าไปเรื่อย ๆ กระทั่งหัวใจกลับมาเต้นในจังหวะปกติ เขาจึงทิ้งตัวลงกลับไปนอนอีกครั้ง
เซฮุนกระชับผ้าห่มขึ้นปิดถึงริมฝีปาก แม้จะเหงื่อออกแต่ความกลัวว่าจะถูกกัดคอมันเอาชนะความร้อนได้อย่างขาดลอย ภาพของแวมไพร์หนุ่มก่อนลงจากรถยังคงอยู่ในความคิด มันน่ากลัวไม่ต่างจากความฝันเมื่อครู่เลยสักนิด ไคยังคงถนัดเรื่องข่มขวัญเขาได้เป็นอย่างดีเหมือนในวันแรก และคาดว่าเมื่อตอนเย็นคงไม่ใช่ครั้งสุดท้าย
...คงนอนต่อไม่หลับแล้ว จะเรียกว่าโชคดีได้ไหมที่พรุ่งนี้คือวันหยุด เซฮุนเลยไม่ต้องพยายามสะกดจิตตัวเองให้หลับเพื่อตื่นไปทำงานให้ทัน เหงื่อที่เคยเกาะตามขมับเริ่มแห้งเหือดไปตามสภาพอากาศกลางดึกที่เพิ่งเข้าสู่ฤดูหนาว
เสียงถอนหายใจคือสิ่งเดียวที่ได้ยิน ซึ่งมันเป็นหลักฐานอย่างหนึ่งที่ทำให้รู้ว่าโอเซฮุนยังมีชีวิตอยู่ คนตัวผอมยังคงหวาดกลัวเมื่อนึกไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ กลิ่นคาวเลือดของนักรบหมาป่าสาวยังลอยอยู่ใต้จมูก ตอนนั้นเซฮุนพยายามตั้งสติแม้ว่าจะกลัวจนตัวสั่น ทั้งเรื่องรอดจากการถูกกัดคอ และร่างของหญิงสาวที่กระตุกเป็นพัก ๆ เมื่อบาดแผลจากรอยฟันของแวมไพร์กำลังทำร้ายเธอ
เลือดสีเข้มที่ไหลออกมาเป็นฟองคล้ายน้ำร้อนที่กำลังเดือด ปากแผลเริ่มไหม้และมีควันอ่อน ๆ ลอยออกมา เขาจึงประคองร่างหญิงสาวไว้พร้อมหันซ้ายขวา แน่นอนว่าโอเซฮุนไม่สามารถพาหมาป่าไปรักษาที่โรงพยาบาลได้ ดังนั้นเขาจึงรีบควานหาโทรศัพท์เพื่อติดต่อหาโดคยองซู มากกว่าเจ้านายที่มีนัดพบปะกับประธานบริษัทอื่นอยู่ในขณะนั้น
หมาป่าสาวคว้าแขนเขาไว้พร้อมออกแรงบีบ ดวงตาคู่นั้นแข็งเกร็งจนน้ำตาไหล เธอพยายามยื้อลมหายใจตัวเองไว้ขณะพิษของคมเขี้ยวแวมไพร์กำลังเล่นงาน จนอดคิดไม่ได้ว่าที่เจ้านายต้องนอนพักฟื้นในคืนนั้น ก็คงเคยตกอยู่ในสภาพแบบเดียวกับเธอเหมือนกันใช่ไหม?
ไม่นานนักคยองซูกับไอรีนก็มาถึง ทั้งสามคนรีบประคองหมาป่าสาวที่ได้รับบาดเจ็บไปขึ้นรถและพากลับที่พักโดยเร็วที่สุด
หลังจากถึงมือหมอที่รักษาอาการบาดเจ็บของหมาป่าได้ คยองซูก็พาเซฮุนออกมาจากตรงนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงเสียงข้าวของแตกซึ่งเกิดจากโทสะ ทนายความหนุ่มอ้างว่าเขาไม่ควรอยู่ใกล้จ่าฝูงที่กำลังโมโห ซึ่งมนุษย์อย่างเขาพอจะเข้าใจ เบไอรีนคงทนเฉยไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่เห็นหลักฐานอยู่คาตาว่าฝั่งแวมไพร์จงใจจะฆ่าหมาป่าในฝูงของเธอ
*
“...”
“อ้าวเซฮุน ตื่นแล้วเหรอลูก?”
คนตัวผอมหยุดนิ่งอยู่หน้าประตูห้องทั้งที่มือยังกำลูกบิดไว้อยู่ สายตาพลันมองไปยังใบหน้าคมได้รูปของชายหนุ่มผิวแทนซึ่งนั่งอยู่ตรงโต๊ะอาหาร โดยถือแก้วน้ำเปล่าไว้ตามมารยาท
ผู้ชายคนนั้นไม่ได้ใส่สูทกับนาฬิกาเรือนละหลายล้านอย่างทุกวัน คิมจงอินอยู่ในลุคสบาย ๆ ด้วยสเวตเตอร์สีเทาและโค้ทสีดำตัวยาว รอยยิ้มที่ส่งมานั้นเป็นเรื่องผิดวิสัย ซึ่งเซฮุนก็พอเข้าใจว่าอีกฝ่ายคงไม่อยากทำให้บรรยากาศตึงเครียดขณะที่ยายยังอยู่ตรงนี้
“อรุณสวัสดิ์”
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะลูก คุณเขาไม่ได้เอางานมาให้หลานทำถึงบ้านหรอกนะ มานั่งนี่สิ” หญิงชรายิ้มขำ พลางพยักหน้าเรียกหลานชายคนเล็กให้มานั่งด้วยกัน ซึ่งคนตัวผอมก็ทำตามแม้ว่าใบหน้ายังคงเรียบเฉยไร้อารมณ์ ผิดจากทุกครั้งที่มักจะเลิกคิ้วอย่างสงสัย หรือขยับปากถามด้วยความใคร่รู้ว่าลมอะไรที่พัดคิมจงอินมาถึงที่นี่
“ตามสบายนะ เดี๋ยวยายจะเข้าครัวสักหน่อย วันนี้เซจองอยู่บ้าน มันคงดีถ้ายายได้นั่งดูเธอกินข้าวให้เต็มอิ่ม”
“โธ่ เดี๋ยวพี่ก็ลุกมากินเองนั่นแหละ ยายนั่งอยู่เฉย ๆ เลย”
“ยายรู้น่า เราคุยกับคุณจงอินไปเถอะ ยายจะไปทำของอร่อย ๆ ให้พี่กิน” เธอหัวเราะพลางยันตัวลุกขึ้น พาร่างแก่ชราเข้าไปในครัวแล้วทิ้งเขาไว้กับคิมจงอินเพียงสองคน
“ไม่ผิดคาดสักเท่าไหร่”
“หมายถึงอะไร”
“คิดว่าคงเห็นคุณทำหน้าหงิกเหมือนอยากจะสาปส่งหมาป่าอย่างผมที่เอาแต่หายนะมาสู่คุณไม่หยุด”
“ย่าห์ หน้าผมบอกอย่างนั้นหรือคุณแค่เดาเอาจากกลิ่น” เซฮุนถลึงตามอง พลางแค่นหัวเราะกับคำพูดคำจาของเจ้านาย
คิมจงอินไม่ตอบ ผู้ชายคนนั้นนั่งนิ่งแต่ตากลับกวาดตามองตัวเขาราวกับว่ากำลังจับผิดสังเกตอะไรบางอย่าง
“เมื่อคืนนอนหลับหรือเปล่า?”
เซฮุนยังรู้สึกหมดอาลัยตายอยากกับเหตุการณ์เรื่องเมื่อวานจึงพยักหน้าส่ง ๆ แบบขอไปที และปล่อยให้บรรยากาศโดยรอบถูกความอึดอัดกลืนกินมากกว่าจะโต้ตอบบทสนทนากับเจ้านายในวันหยุดสุดสัปดาห์อย่างอารมณ์ดี
จะผิดไหมถ้าจะบอกว่าเขาไม่รู้สึกดีเลยสักนิดที่เห็นอีกฝ่ายมาหาถึงบ้าน โอเซฮุนอยากโทษตัวเองว่าที่กำลังโกรธ น้อยใจ ผิดหวัง หรืออะไรก็ตามที่ทำให้รู้สึกแย่ก็เพราะเขาเป็นมนุษย์ หรือเกิดมาเป็นคนราศีเมษ กรุ๊ปเลือดโอ ถึงได้รู้สึกแบบนั้นมากกว่าการยกเหตุผลดี ๆ มาปลอบใจตัวเอง เพื่อให้พูดคุยกับคนตรงหน้าได้อย่างสะดวกใจแทนที่จะประชดประชันแบบนี้
รู้และเข้าใจว่าคิมจงอินเป็นหมาป่า ไม่ใช่พระเจ้าที่จะรู้เห็นทุกอย่างและเข้ามาช่วยเขาได้ตลอดเวลาเหมือนซุปเปอร์แมน แต่การถูกแวมไพร์คุกคามอีกครั้ง พร้อมขู่ให้กลัวด้วยคำพูดเหล่านั้น อีกทั้งยังทำร้ายนักรบหมาป่าสาวในฝูงของคุณไอรีนจนเกือบปางตาย มันก็ทำให้โอเซฮุนรู้สึกเบื่อหน่ายที่ต้องใช้ชีวิตอยู่กับวงโคจรแบบนี้เต็มที
“คุณคงรู้ทุกอย่างผ่านกลิ่นความรู้สึกผมแล้ว”
“เชื่อเถอะว่าผมไม่ได้มาเพราะเรื่องนั้น”
คนตัวผอมเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของประโยคเมื่อครู่ เราสบตากันท่ามกลางความเงียบอยู่ราว ๆ ห้าวินาที ก่อนเจ้านายจะเดินมาหยุดอยู่ข้าง ๆ พร้อมคว้าแขนเขาให้ลุกขึ้นยืนด้วยกัน
“วันนี้อากาศดี ออกไปเดินเล่นกันหน่อยไหม?”
*
ลมหนาวพัดผ่านชวนให้เดินห่อไหล่ สองมือสอดเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด ใช่ ตอนนี้หนุ่มราศีเมษปลอดภัยเพราะเดินอยู่ข้าง ๆ หมาป่า ถ้าแวมไพร์นึกบ้าบิ่นกระโดดออกมากัดคอใครสักคน เขาก็อยากจะขอให้ผู้โชคดีคนนั้นเป็นเจ้านายมากกว่าเขา
อืม ทั้งหมดที่คิด ๆ น่ะ... โอเซฮุนแค่ล้อเล่น
“คยองซูเล่าให้ผมฟังแล้ว”
“ตอนไหน”
“เมื่อเช้า”
“ช้าชะมัด” จงอินหันไปมองคนข้างตัวที่ยังคงทำหน้าไม่เอาโลก และยังคงแสดงออกให้รู้สึกได้ว่าเขามันแย่เหลือเกินที่ปล่อยให้ไครุกรานโอเซฮุนได้อีกครั้ง “คุณควรรู้ตั้งแต่เมื่อคืน หลังจากนั้นก็รีบมาหาผมที่บ้าน แล้วก็พูดอะไรสักอย่างให้ผมรู้ว่าจะไม่ตายวันนี้หรือวันพรุ่ง”
“ไคไม่ทำคุณถึงตายหรอก”
“งั้นเหรอ มีอะไรเป็นหลักประกันได้บ้างล่ะว่าผมจะไม่โดนเขาดูดเลือดจนตายเข้าสักวัน?”
ชายหนุ่มหยุดฝีเท้า ปล่อยให้เสียงรถบนถนนเบื้องหลังทำลายบรรยากาศน่าอึดอัดในเวลานี้ เซฮุนหันตัวกลับมามองเขาที่ยืนอยู่ข้างหลัง ดวงตาคู่นั้นมองมาอย่างคาดคั้นว่าโอเซฮุนควรได้คำพูดที่ทำให้โล่งใจมากกว่านี้ ซึ่งคิมจงอินคงให้ไม่ได้
แต่เขาจะทำให้เห็นเอง
เซฮุนเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ ทันทีที่อีกฝ่ายเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าพร้อม ถอดโค้ทตัวนอกออก ก่อนจะคลุมไหล่ให้เขาและกระชับให้เสียดิบดี “จมูกแดงแล้ว”
“ก็ผมเป็นคน ผมยังรู้จักคำว่าหนาวอยู่ -- อ๊า!” เซฮุนหลับตาแน่น เอากับเขาสิ! เจ้านายมาหาเขาถึงบ้าน พาออกมาข้างนอก ถอดเสื้อโค้ทให้ใส่ และตอนนี้ยังเอามืออุ่น ๆ นั่นทาบลงกับแก้มเขาอีก!
“ทำเสียงเหมือนนายเอกหนังโป๊อีกแล้ว”
“หึ... ดูบ่อยล่ะสิ” เซฮุนแค่นหัวเราะ เขาพยายามจะแกะมืออุ่น ๆ ออกทั้งที่ยังอยากให้มันอยู่ข้างแก้ม แต่ถ้าปล่อยให้นานกว่านี้คงเสียฟอร์มแย่
“ผมแทบจะเรียกยายคุณว่าเพื่อนได้แล้ว มันก็ต้องมีบ้างกับเรื่องแบบนั้น” จงอินเลิกคิ้วมองคนตรงหน้าที่กำลังใช้มือเย็น ๆ แกะมือเขาออกแต่ก็ไม่เป็นผล “แต่ผมชอบทำมากกว่าดูนะ”
“เรื่องของคุณเถอะ -- อื้อ!!!” คนตัวผอมเหลือกตามอง เพราะสองมืออุ่น ๆ ออกแรงบีบแก้มจนริมฝีปากสีเชอร์รี่ยู่เข้าหากัน
“ก็เพราะมันเป็นเรื่องของผม คุณถึงต้องจำเอาไว้ให้ดี”
“ไอ่อ่ากอำ” (ไม่อยากจำ)
“เถียงได้แบบนี้แสดงว่าหายกลัวแล้วสินะ อา... คิมจงอินนี่สุดยอดจริง ๆ”
ชายหนุ่มผิวแทนมองดวงหน้าขาวที่กำลังประท้วงเขาผ่านทางสายตาและคิ้วซึ่งขมวดเข้าหากัน เซฮุนกลอกตามองรอบตัว พอเห็นมีคนเดินผ่านและมองมา จึงพยายามแกะมือหนาออกอีกครั้ง เพราะท่าทางการยืนของเราทั้งคู่มันผิดปกติเกินไป
“ตรงไหน?” เซฮุนเลิกคิ้วกับคำถามที่ไม่รู้ว่าเจ้านายกำลังหมายถึงอะไร สายตาคู่นั้นยังคงจ้องมองมาอย่างคาดคั้นคำตอบ ซึ่งคนตัวผอมก็ได้แต่ขมวดคิ้วพร้อมขยับปากถามแบบไม่มีเสียงว่า ‘อะไร?’ “ไคทำอะไร ตรงไหนบ้าง?”
พอขยายคำถามสีหน้าที่เคยเต็มไปด้วยความสงสัยก็เปลี่ยนไป เซฮุนยืนนิ่งสบตากับอีกฝ่าย จึงนึกขึ้นได้ว่าแวมไพร์บ้านั่นได้สร้างความน่าอับอายให้เขาไว้อย่างไรบ้าง คนตัวผอมเม้มริมฝีปาก ก่อนจะเบิกตากว้างอีกครั้งเมื่อเจ้านายใช้นิ้วชี้เกี่ยวคอเสื้อคอเต่าสีขาวของเขาลง
“...”
“...”
ตอนนี้โอเซฮุนทั้งอับอายที่ถูกแวมไพร์ซึ่งเป็นผู้ชายด้วยกันสร้างรอยไว้ตรงซอกคอ และรู้สึกว่าอยากให้เจ้านายพูดอะไรสักอย่างเพื่อทำให้เขารู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้าง ยกตัวอย่างเช่นโมโห เกรี้ยวกราด ที่บังอาจทำตัวแย่ ๆ กับเลขาคนแรกที่มีชีวิตได้ยาวนานขนาดนี้ แต่พอคิดดูอีกที... ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่คิมจงอินจะต้องโมโหสักหน่อย
“คยองซูเล่าให้ผมฟังว่าหมอนั่นอยากยั่วโมโหผมด้วยเรื่องของคุณ ตอนแรกผมคิดว่าอาจจะเป็นรอยช้ำตรงข้อมือ ไม่ก็... รอยจากการถูกบีบคอ” สีหน้าชายหนุ่มผิวแทนไม่ได้ต่างไปจากเมื่อครู่แต่ก็ไม่เหมือนเดิม ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่าว่าเจ้านายถอนหายใจแรงขึ้น และท่าทางการยืนก็เหมือนจะไม่อยู่สุขสักเท่าไหร่
“ตอนนั้นผมนึกว่าจะตายแล้วด้วย” เซฮุนพยายามพูดเหมือนว่าสถานการณ์ตอนนี้มันปกติ เขาจัดคอเสื้อตนเองให้ปิดร่องรอยนั้นพลางมองเสี้ยวหน้าเจ้านายที่เหมือนว่ากำลัง...
สงบสติอารมณ์?
“คุณเป็น --”
“ทำไมไม่ระวังตัว?”
“อะไรนะ?” ยังถามเรื่องแรกไม่ทันจบก็ต้องเปลี่ยนมาถามทวนประโยคเมื่อครู่ คิมจงอินเป็นบ้าอะไรอยู่ดี ๆ ก็โพล่งออกมาราวกับว่ามนุษย์ธรรมดาอย่างเขาจะมีพลังไปต่อสู้กับแวมไพร์ได้
“ตอนถูกทำรอยน่ะขัดขืนมันบ้างหรือเปล่าเถอะ”
“อ้าว พูดแบบนี้ก็สวยเลยไหมเจ้านาย?” เซฮุนแค่นหัวเราะ ถ้าตอนนี้ใส่เสื้อยืดจะถลกแขนเสื้อจริง ๆ ด้วย เจ้านายก็เจ้านายเถอะ พูดแบบนี้ลูกจ้างก็หัวร้อนได้เหมือนกัน
“คุณนี่มัน --” ถามสิ ถามว่าเขากลัวแค่ไหน ไม่ใช่อยู่ดี ๆ ก็ทำท่าทางหัวเสีย พูดจาอะไรก็ไม่รู้ คิดว่าโอเซฮุนอยากโดนดูดคอจนเป็นรอยคิสมาร์คมากหรือไง
“เพราะคุณนั่นแหละ”
“ผมทำไม?” จงอินพยายามหายใจเข้าลึก ๆ แล้วจ้องหน้าเลขาที่ชอบทำให้เขาหงุดหงิด
“จริงอยู่ที่ผมไม่ใช่ผู้ชายตัวเล็กที่จะสู้ใครไม่ได้ แต่ผมไม่เหมือนพวกคุณที่จะเอากรงเล็บสู้กับแวมไพร์หรือเปล่า เนี่ย ผมมีแค่นี้ ดูมือผม” เซฮุนชูสองมือขึ้นมา พร้อมกวาดตามองเล็บตนเองที่ยายตัดให้จนสั้นกุดแทบแกะเปลือกส้มไม่ได้
ไวเท่าความคิด คนเป็นเลขาเซไปด้านหน้าตามแรงดึงจนปลายจมูกแทบชนกับจมูกเจ้านาย ข้อมือเย็นยะเยือกเพราะสภาพอากาศที่โผล่พ้นออกมากำลังถูกกุมไว้ด้วยความอุ่นจากมือจ่าฝูงหมาป่า และโอเซฮุนรู้สึกเหมือนว่า... หัวใจมันจะหลุด... ออกมา
“งั้นย้ายมาอยู่ด้วยกันเลยไหมล่ะ?”
“หา?”
“ถ้าผมมีนัดกินข้าวข้างนอก คุณก็ต้องไปด้วย นอนบนเตียงที่ทำให้ผมมองเห็นคุณได้จนถึงตอนเช้า อยู่ในจุดที่ผมจะเข้าไปคว้าตัวคุณไว้ได้ทัน”
เจ้านาย... ไม่คิดว่าประโยคเมื่อครู่มันฟังดูแปลก ๆ เหรอ มีแค่โอเซฮุนคนเดียวหรือเปล่าที่รู้สึกว่าหน้าหนาวมันร้อนทั้งที่ตัวเขาเย็นจนแทบเป็นน้ำแข็ง
“จะทำแบบนั้นได้ไง ผมเป็นแค่เลขานะ คุณทุ่มเทเพื่อลูกจ้างแบบนี้ทุกคนเลยเหรอ?” เซฮุนไม่ชอบตัวเองตอนนี้ ที่เขาอยากให้คำตอบออกมาว่า ‘แค่คุณคนเดียว’ ซึ่งมันเป็นเรื่องบ้าบอชะมัด
“คุณรู้คำตอบอยู่แล้ว เซฮุน”
“...”
จงอินจ้องตาอีกคนที่กำลังหน้าขึ้นสีจัด ตอนนี้เจ้าตัวคงทำได้แค่กะพริบตาพร้อมกลืนน้ำลายลงอย่างฝืดคอ ให้ตายสิ... เป็นเพราะใกล้จะถึงวันพระจันทร์เต็มดวงหรือเปล่า คิมจงอินถึงได้อารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ เหมือนหมาบ้าได้ขนาดนี้ เขาโมโหไอ้ซากศพโง่นั่นแล้วมาลงกับอีกฝ่ายแบบนี้ได้อย่างไร
ซึ่งถ้าเขาเป็นเซฮุนคงหัวเสียเหมือนกันที่ถูกเจ้านายงี่เง่าใส่ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่ามนุษย์ที่ไหนจะเอาพลังไปสู้พวกเหนือธรรมชาติอย่างหมาป่าและแวมไพร์ ยกเว้นแต่ว่ามันผู้นั้นจะเป็นจ่าฝูงหมาป่าที่ยืนซื่อบื้ออยู่ตรงนี้
ใช่ เขานี่แหละที่สู้มนุษย์อย่างโอเซฮุนไม่ได้
“ผมไปอยู่ด้วยไม่ได้หรอก ผมมีครอบครัวที่ต้องดูแล”
“คุณยังดูแลตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ”
“เรื่องนั้นผมรู้น่า!” เซฮุนแยกเขี้ยว เจ้านายพูดมันออกมาอย่างหน้าตาเฉยได้ไงกัน
“ตอนมองหน้าเขา คุณรู้สึกเหมือนตอนมองผมหรือเปล่า?”
ยอมรับว่าคาดหวังคำตอบ และคิมจงอินไม่อยากให้โอเซฮุนเสียเวลาคิดเลยสักวินาทีเดียว แต่สุดท้ายเขาก็โล่งอก เพราะรับรู้ได้ถึงอัตราการเต้นของหัวใจอีกฝ่ายที่มันเร่งจังหวะขึ้น พร้อมกลิ่นความขลาดอายปะปนกับความประหม่าหลังจากได้ยินคำถามนั้น
“เขาคือคิมไค ส่วนคุณคือคิมจงอิน เจ้านายสุดเอาแต่ใจอันดับหนึ่ง” เซฮุนพยายามที่จะปรับสีหน้าและน้ำเสียงให้เป็นปกติแล้ว ซึ่งมันคงจะดีกว่านี้ถ้าอีกฝ่ายยอมปล่อยมือเขา และรักษาระยะห่างเอาไว้สักนิด “จะเหมือนกันได้ไง”
เหมือนว่าคำถามของเจ้านายได้ย้อนมาถามเขา โอเซฮุนก็ประหลาดใจเหมือนกันที่รู้สึกอย่างนี้ทั้ง ๆ ที่คิมจงอินและคิมไคหน้าตาเหมือนกันจนแทบแยกความแตกต่างไม่ออก แต่เขาปฏิเสธไม่ได้เลยว่ารู้สึกหวาดกลัวตลอดเวลาที่อยู่กับแวมไพร์อย่างไค
แต่พออยู่กับเจ้านาย ความหวาดกลัวที่เคยมีก็คงแค่ช่วงแรกที่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นหมาป่าเท่านั้น เซฮุนไม่รู้เลยว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร และเมื่อไหร่ กับความรู้สึกปลอดภัย อุ่นใจ และรู้สึกดีที่ได้ต่อล้อต่อเถียงกับคิมจงอินในทุก ๆ วัน
และนั่นมันอาจเป็นเหตุผลที่เขานึกน้อยใจที่เจ้านายไม่อยู่ตรงนั้น ในช่วงเวลาที่โอเซฮุนอยู่ใกล้คมเขี้ยวแวมไพร์ใจโหดเหี้ยมอย่างไค
“ขอโทษที่หงุดหงิดใส่”
“สำนึกได้ก็ -- ดีแล้ว” เซฮุนพึมพำพร้อมชักมือกลับ เขาพยายามแล้วที่จะบังคับความรู้สึกให้ปกติ เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายสัมผัสได้จากกลิ่นบ้า ๆ นี่
ให้ตาย... อยู่ดี ๆ เราทั้งคู่ก็กลายเป็นคนใบ้ขึ้นมา อีกทั้งยังกลอกตาไปทางอื่นเพราะทนมองหน้ากันและกันนาน ๆ ไม่ได้เสียอย่างนั้น
“เป็นหมาป่าตัวอุ่นตลอดเวลาอยู่แล้วใช่ไหม งั้นผมใส่จริงจังเลยนะ”
“ตามสบายเถอะ” ชายหนุ่มผิวแทนกระแอมไอ ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงพลางชำเลืองมองเลขาช่างพูดที่สอดแขนเข้าไปในโค้ทสีดำตัวนั้น ในเมื่อโอเซฮุนอยากเปลี่ยนไปเรื่องอื่น คิมจงอินก็คงไม่แย้ง เพราะเขาก็กลัวว่าจะหลุดพูดอะไรที่มันน่าอายออกไปอีก
“ระวัง!”
เสียงที่ตะโกนมาจากด้านข้างเรียกความสนใจชายหนุ่มทั้งสองคนให้หันไป เซฮุนแทบมองไม่ทันด้วยซ้ำว่ามันเกิดอะไรขึ้นเพราะภาพมันไวมาก แต่สิ่งที่ตาเห็นคือเด็กชายวัยประถมสี่ห้าคนที่ยืนอยู่ในสวนสาธารณะและกำลังมองมาทางนี้ ในมือมีไม้เบสบอลกับถุงมือสีน้ำตาลเก่า ๆ
ได้ยินเสียงรองเท้ากระทบกับพื้นซีเมนต์ซึ่งเกิดจากการกระโดด แต่ที่ทำให้ทุกคนหยุดนิ่งก็คือมือทั้งสองข้างของชายหนุ่มผิวแทนซึ่งวางอยู่บนพื้นเหมือนเท้าทั้งสองข้าง พร้อมปากที่... คาบลูกเบสบอลเอาไว้
เดี๋ยวนะ...
แผล่ะ...
เสียงคายลูกบอลลงพื้นเป็นสิ่งเดียวที่เซฮุนและเด็กประถมกลุ่มนั้นได้ยิน เจ้านายค้างนิ่งอยู่ท่านั้นพลางกลอกตามองเมื่อรู้ตัวว่าเผลอแสดงพฤติกรรมหมา ๆ ออกมาโดยไม่ตั้งใจ
“สะ -- สุดยอด! ถ้าคุณรับไว้ไม่ทันป่านนี้กระจกรถคันนั้นคงแตกไปแล้วแน่ ๆ” คนเป็นเลขาช่วยแก้หน้าด้วยการหัวเราะกลบเกลื่อน เซฮุนย่อตัวลงเก็บลูกเบสบอลขึ้นมาพร้อมถลึงตามองเจ้านายที่ยังคงช็อกกับสิ่งที่ตนเองเพิ่งทำลงไป “คุณ... ลุกขึ้น...”
“...”
เด็กน้อยเดินตาแป๋วมาหยุดอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มทั้งสอง จงอินเห็นว่าเจ้าก้อนกลม ๆ บางคนอ้าปากหวอจนเห็นฟันหลอที่หายไป เหตุการณ์เมื่อครู่นี้กำลังสร้างความอับอายให้กับเขา ซีอีโอหนุ่มที่กำลังจะได้ขึ้นหน้าปกนิตยสารชื่อดังประจำเดือนพฤศจิกายนกระแอมไอพลางจัดแจงสเวตเตอร์ให้เข้าที่ ขมวดคิ้วปั้นหน้าขรึม แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าต่อให้โหดแค่ไหนก็กลบภาพหมาป่าในร่างคนที่กระโดดใช้ปากงับลูกเบสบอลไปไม่ได้
“แปรงฟันก่อนนอนทุกวันจะทำให้ฟันแข็งแรงแบบเจ้านายพี่ จำไว้” เซฮุนคืนลูกเบสบอลให้เด็ก ก่อนจะมองฝ่ามือตนเองซึ่งชุ่มไปด้วยน้ำลายเจ้านายที่คงเผลอปล่อยมันออกมาโดยไม่รู้ตัวเพราะจิตใต้สำนึกของการเป็นหมาป่ามันพุ่งพล่านไม่ดูเวล่ำเวลา
จงอินใช้นิ้วชี้ถูปลายจมูกอย่างขลาดอาย เขากลายเป็นคนพูดไม่เก่งขึ้นมาเพราะสายตาของเซฮุนและกลุ่มเด็กน้อยตรงหน้า
“พี่ทำได้ไงอะ”
“หือ?”
“เห็นพี่แล้วนึกถึงเจ้าลักกี้หมาบ้านเลยอะ มันอายุเจ็ดขวบ ผมว่ามันน่าจะกระโดดรับจานร่อนได้สูงพอ ๆ กับพี่” เด็กที่ตัวเล็กที่สุดพูดอย่างไร้เดียงสา แต่เขากลับได้ยินเสียงครางฮึมในลำคอของหมาป่าที่ถูกเอาไปเปรียบเทียบกับหมาธรรมดาซึ่งต่อให้ซื้อมาแพงแค่ไหนก็ไม่สามารถเทียบรุ่นกับจ่าฝูงได้
“ดูไว้ ดื่มนมเยอะ ๆ จะได้ตัวสูงแบบนี้” เซฮุนพูดกลั้วหัวเราะ ก่อนจะเดินไปยืนซ้อนหลังเจ้านายพร้อมบีบไหล่เป็นเชิงบอกให้สงบสติอารมณ์ “เย็นไว้...”
“ทำไงอะ บอกหน่อย ผมอยากกระโดดสูงมั่ง”
“นะฮะ ๆ บอกพวกเรานะ”
“พี่กระโดดสูงถึงตึกหกสิบสามไหมฮะ”
“พี่ฮะ”
“เดี๋ยวก็ฆ่าทิ้งซะหรอก!”
“...”
“...”
เซฮุนเม้มปาก ชำเลืองมองเจ้านายที่กำลังถลึงตาใส่กลุ่มก้อนตัวน้อยซึ่งกำลังทำตาแป๋ว โอ้คุณพระ... จะเรียกว่าโชคดีได้ไหมที่คิมจงอินไม่ขู่เด็กด้วยการโชว์ดวงตาสีแดง เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นเขาคงเดาเหตุการณ์ล่วงหน้าได้เลยว่าฉากต่อไปเด็กคงวิ่งหนีเตลิดเปิดเปิง และแหกปากร้องเสียงดังเรียกความสนใจจากคนรอบข้างจนทำให้เขาทั้งคู่กลายเป็นผู้ใหญ่ใจบาปได้
“ขี้หวงอะ แค่นี้ทำไมต้องดุด้วย”
“ผู้ใหญ่นิสัยไม่ดี”
“ไม่ถามก็ได้ เนอะพวกเรา”
“ฮึ”
กลุ่มก้อนตัวน้อยถอดใจ เริ่มทยอยถอยออกไปซึ่งบางคนก็ยังบ่นงึมงำที่พี่ชายตัวโตหวงวิชาไม่ยอมบอกว่าทำไมถึงกระโดดได้สูงขนาดนั้น บางคนหันมาแลบลิ้นปลิ้นตา ยั่วโมโหจ่าฝูงหมาป่า ซึ่งเจ้าตัวก็ขยับปากบ่นเหมือนอยากเอาเลือดหัวเด็กมาย้อมกรงเล็บ
“ผมไม่เอาแล้ว มันมีแต่รอยฟันกับน้ำลาย อี๋!”
“ย่าห์ พูดจาไม่น่ารักเลยนะ” เซฮุนย่อตัวลงพร้อมยีหัวเจ้าตัวน้อยที่ย่นจมูกหลังจากโดนดุ
“ก็ตอนแรกมันไม่มีรอยฟันนี่”
“ให้พี่ขอโทษได้ไหมล่ะ รู้จักการให้อภัยหรือเปล่า?” เซฮุนดึงแก้มนิ่มจนยืด เจ้าตัวเล็กงอหน้าพร้อมมองลูกเบสบอลเก่า ๆ ในมือที่เก็บได้จากโรงเรียน
“เอาไป”
“ฮะ?” เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นสบตากับพี่ชายจอมกระโดดสูง ก่อนจะเห็นเงินสดจำนวนมากที่ชีวิตนี้เคยเห็นแค่ในทีวีแต่ไม่เคยจับ เซฮุนมองแบงค์ห้าหมื่นวอนสี่ใบที่เจ้านายยัดใส่มือเด็ก ก่อนจะย่อตัวนั่งยอง ๆ ข้างเขา พร้อมสบตากับเจ้าตัวน้อยในระยะใกล้
“เอาเงินซื้อลูกเบสบอลอันใหม่ซะ ที่เหลือก็ให้คุณแม่ บอกเขาให้พาไปกินของอร่อย ๆ ถ้าเป็นคนดีก็อย่าหัดผูกใจเจ็บ คนผิดคือเด็กที่เขวี้ยงเบสบอลไม่เป็นจนมันลอยออกมาตรงนี้ โอเค๊?”
“สรุปผมผิดเหรอฮะ”
“ถ้ากระจกรถคันนั้นแตกใครจะรับผิดชอบ” จงอินชี้ไปด้านหลัง เจ้าตัวน้อยมองตามตาแป๋วก่อนจะทำหน้าสลด
“ผมฮะ”
จากหมาป่าขี้โมโหกลายเป็นผู้ชายอ่อนโยนได้อย่างไม่น่าเชื่อ เซฮุนเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะหลุดยิ้มออกมา กับท่าทางแข็ง ๆ ซึ่งดูเหมือนว่าเจ้าตัวคงไม่ถนัดทำมันนัก ชายหนุ่มผิวแทนยันตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ยีหัวก้อนกลม ๆ เพียงสองทีก่อนจะล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วเดินไปจากตรงนี้
“กลับบ้านนะ อย่าเอาเงินออกมาจนกว่าจะเจอแม่ เข้าใจไหม?” คนตัวผอมพับเงินใส่กระเป๋ากางเกงเจ้าตัวน้อยที่พยักหน้าหงึกอย่างว่าง่าย และมองภาพขาสั้น ๆ ที่วิ่งกลับเข้าไปในสวนสาธารณะ
หันไปทางเจ้านายสุดซึนที่เดินไม่รอ แต่ไม่ทันลุกขึ้นยืนก็ต้องชะงักเพราะเห็นลูกเบสบอลเก่า ๆ บนพื้นที่เป็นต้นเหตุ เขาเก็บมันขึ้นมาพลิกดูอยู่ในที ตลกดีที่รูซึ่งเกิดจากฟันของหมาป่ากลับน่าเอ็นดูขึ้นมาเมื่ออยู่บนลูกเบสบอลเก่า ๆ
นึกย้อนไปถึงเมื่อไม่กี่นาทีก่อน สีหน้าและแววตาของเจ้านายตอนมองเจ้าตัวเล็กอย่างรู้สึกผิดนั้นสร้างรอยยิ้มให้คนที่เคยตกอยู่ในความกลัวได้โดยไม่รู้ตัว ผู้ชายปากแข็งที่ไม่ค่อยแสดงออกด้านความอ่อนโยน เวลาใจดีก็น่ารักเอาเรื่องเหมือนกันแฮะ
“คุ้ยหญ้าอยู่หรือไง จะไปกันตอนไหนครับคุณเลขา?”
ถ้าเป็นก่อนหน้านี้โอเซฮุนคงตะโกนเถียงไปอย่างไม่แคร์เจ้านายลูกจ้างแล้ว แต่ตอนนี้เขาเพียงไหวไหล่และพยายามกลั้นรอยยิ้มอย่างสุดความสามารถ กระทั่งอีกฝ่ายสาวเท้าเดินกลับมาหา โอเซฮุนจึงรีบยัดลูกเบสบอลเก่า ๆ ที่มีรอยฟันใส่เข้าไปในกระเป๋าเสื้อโค้ทโดยไม่ให้เจ้านายเห็น
“ช้า”
“อะไรเล่า” คนตัวผอมบ่นพึมพำ เขาอยากจะเถียงเหลือเกินแต่ก็ทำได้แค่ปล่อยให้ร่างกายลุกขึ้นตามแรงดึงของเจ้านายจอมเผด็จการ
เซฮุนมองแผ่นหลังของอีกฝ่าย ก่อนรอยยิ้มจะค่อย ๆ จางหายไปและแทนที่ด้วยความร้อนผ่าวบนใบหน้า ต้นเหตุมาจากมืออุ่น ๆ ของเจ้านายซึ่งกำลังเลื่อนลงไปจนหยุดอยู่ที่มือเขา จนนิ้วของเราสอดประสานกันอย่างไม่คาดคิดมาก่อน
“นี่ เจ้านาย”
“ผมไม่ตอบหรอก”
“...”
หมั่นไส้คนรู้ทันจริง ๆ กลัวเสียฟอร์มมากเลยใช่ไหมถึงได้พูดดักแล้วจับมือแน่นขึ้น พอเขาจะชักมือกลับก็รั้งไว้จนหน้าแทบจะคะมำไปข้างหน้า สุดท้ายเราก็เดินขนาบข้างกัน โดยที่ไม่มีใครต้องมองแผ่นหลังของใครอีก
ตอนนี้โอเซฮุนบ่นลับหลังไม่ได้แล้ว เขาเขย่ามืออยู่ราว ๆ สองสามครั้งเพื่อเตือนให้ปล่อยถ้าอีกฝ่ายเผลอทำมันโดยไม่ตั้งใจ แต่เจ้านายกลับออกแรงดึงจนไหล่ของเราชนกัน และตอนนี้แทบไม่หลงเหลือช่องว่างตรงกลางที่เป็นตัวสร้างระยะห่างของเราอีกต่อไป ...คนเอาแต่ใจชำเลืองมองราวกับว่าอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็เลือกที่จะเงียบ
เงียบ... จนเขาแทบจะได้ยินเสียงหัวใจตัวเองอยู่แล้ว
TBC
เห็นมีหลายคนเข้าใจผิดว่าหมาป่าสาวที่โดนกัดคือไอรีน ไม่ใช่น้า เป็นนักรบสาว(เบต้า)ในฝูงของไอรีนค่ะ แง อ่านดี ๆ เด้อ เดี๋ยวเข้าใจผิด ถ้าเจอคำผิดหรือเราเบลอตรงไหนทักได้นะคะ เราไม่ได้เขียนมาอาทิตย์นึงแล้วรู้สึกฝืด ๆ
ความคิดเห็น