คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #44 : Season 2 | Painkiller 19 :: Save him. (100%)
? cactus
Chapter 19
Save Him
“อย่าเกร็งดิ หน้ามึงตลกฉิบหาย”
“ไรวะ ก็กูไม่เคยมาทำเรื่องกาก ๆ แบบนี้
จะเอาอย่างไอ้คิมไคก็ถ่ายแต่มันดิ”
“ไอ้ห่าแจวอน ไม่ต้องยิ้มละมึงอะ
ทำหน้าเหมือนอยากฆ่าคนแล้วมองกล้องเลย”
เด็กหอแรคคูนกำลังวุ่นวายอยู่ในห้องโถง
ซึ่งเป็นจุดที่มีแสงสว่างมากที่สุดและมีพื้นที่กว้างพอสำหรับการกางผ้าเขียวเป็นฉากหลังเพื่อถ่ายรูปตัวอย่างในเล่มไปดึงความสนใจ
หลายคนกำลังกระอักกระอ่วนกับสิ่งที่ไม่เคยทำ แม้แต่จองแจวอนที่บ่นอยู่ตลอด
แต่ถึงอย่างนั้นหมอนั่นก็ยังยอมถ่ายมาจนถึงตอนนี้ รวมถึงคนอื่น ๆ
ที่แวะมาให้กำลังใจ ช่วยยกของ ถือไฟ เพราะมีใจอยากช่วยเพื่อนที่นอนอยู่โรงพยาบาล
ชางซูรับหน้าที่เป็นตากล้อง
เนื่องจากเป็นคนขอยืมมาและไม่มีใครพอจะมีความสามารถเรื่องการถ่ายรูป
มีบ้างที่คิมไคเข้ามาช่วยในช่วงเวลาคนอื่นเข้าฉาก
ส่วนแบคฮยอนรับหน้าที่ช่วยแต่งหน้า แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องยากสำหรับเด็กผู้ชายที่ตื่นมาทาครีมแล้วไปโรงเรียน
แม้ว่าที่ทำอยู่จะเป็นการช่วยทารองพื้น
ซึ่งนายแบบที่คุ้นชินกับการแต่งหน้ามากกว่าอย่างคิมไคก็เข้ามาช่วยให้คำแนะนำอยู่เป็นระยะ
กับสิ่งที่ลองทำเป็นครั้งแรกแบคฮยอนทำมันอย่างตั้งใจ
เปิดยูทูปดูและลองแต่งตาให้เพื่อนไปด้วย และมันเป็นปัญหาโลกแตกมากที่สุด
แต่คงไม่แย่เท่ากับตอนลองแต่งให้ชางซูเมื่อช่วงบ่าย
“ทุกคนถอดเสื้อแล้วยืนหันหลังเรียงกัน
ภาพนี้จะเอาเป็นเฮดเพจ”
หน้าตาของหอแรคคูนทำตามโดยมีคิมไคเป็นต้นแบบ
บางคนพยายามลอกเลียนท่าทางของนายแบบหนุ่มเพื่อเพิ่มความมั่นใจ แม้จะถ่ายแค่ข้างหลังแต่พวกเขาก็อยากให้ออกมาดูดีที่สุด
“โอเค คนที่ถ่ายเสร็จแล้วกลับไปได้เลย
อดทนหน่อยนะ เดี๋ยววันถ่ายจริงจะเรียกช่างแต่งหน้าสวย ๆ มาให้เป็นอาหารตา”
“ให้มันจริงเหอะมึง หลอกพวกกูตลอด”
“จริง ประธานแม่งชอบตอแหล๊”
“เออน่า คราวนี้ไม่มั่วแน่” หลังจากพูดจบ กลุ่มแจวอนและคนอื่น ๆ ก็ออกไป ตอนนี้จึงเหลือเพียงหน้าเดิม
ๆ เท่านั้นที่ยังคงอยู่
“แทอูมึงไปเข้าฉากกับสองคนนั้นได้ละ”
ชางซูชี้นิ้วไปทางชาร์ลีและคิมไคที่รอถ่ายฉากกระชากเงินเด็กสาวผู้คลั่งหนุ่มหล่อ
ส่วนคนไม่หล่อก็ต้องมายืนอยู่ตรงนี้ และเป็นตากล้อง “โอเค สลับกันอยู่ตรงกลางนะ
เริ่มจากคิมไคก่อน เออดี หล่อมาก พวกมึงนี่หล่อกันจริง ๆ”
“ต้องยิ้มไหม?”
“อย่าเลยหรั่ง กูรู้ว่ามึงทำไม่ได้”
“โดนมันต่อยหน้ากูไม่ห้ามนะบอกก่อน” ชางซูหลุดหัวเราะออกมาทันทีที่แทอูพูดจบ
“ลองมาดูหน่อยว่าโอเคเปล่า” เด็กหนุ่มหงายกล้องขึ้นก่อนคิมไคกับประธานจะเดินมาดูด้วยกัน
ระหว่างนั้นแบคฮยอนจึงตรงเข้าไปหาอีกคนที่กึ่งนั่งอยู่บนพนักวางมือโซฟา
“ดื่มน้ำหน่อยนะ
เดี๋ยวถ่ายอีกนิดเดียวก็เสร็จแล้ว”
ชาร์ลเงยหน้าขึ้นสบตากับคนตัวเล็ก
และเขาไม่ต้องการทำอะไรมากไปกว่ารั้งเอวคอดของน้องน้อยเข้ามากอด เด็กหนุ่มซบหน้าลงกับแผงอกบาง
ซึมซับความอบอุ่นเดียวที่อยู่เพื่อเขาในเวลาแบบนี้
แบคฮยอนกอดตอบอย่างไม่ลังเล
เขาปล่อยอีกฝ่ายได้พักหัวใจให้หายเหนื่อยพร้อมลูบศีรษะปลอบประโลมกระทั่งอ้อมกอดนี้ถูกกระชับให้แน่นยิ่งขึ้น
คนตัวเล็กโอบใบหน้าคมให้ผละออกมาสบตากัน และพูดเบา ๆ แบบที่ให้ได้ยินกันเพียงสองคนว่า
“ไม่เป็นไรนะ
สิ่งที่ชาร์ลกับทุกคนทำวันนี้ก็เพื่อจุนมยอน”
“หมอนั่นจะเป็นอะไรไหม... จุนมยอนจะตายหรือเปล่า?” แบคฮยอนรีบส่ายหน้าขณะสบตากับคนรัก
“ไม่ จุนมยอนจะตายได้ยังไง” น้องน้อยยิ้มพลางลูบแก้มคนตัวโต “เดี๋ยวเงินก็จะเข้าบัญชีแล้ว
หลังจากนั้นเราจะเอาเงินนั้นไปจ่ายค่าผ่าตัด หมอที่นั่นมีแต่คนเก่ง ๆ
จุนมยอนต้องหายแน่นอน”
สำหรับคนที่มีบาดแผลในใจมาตลอดชีวิต
เขาไม่เคยมั่นใจกับเรื่องดี ๆ ได้เลยสักครั้ง ชาร์ลี
ฮอปส์รู้สึกเหมือนเป็นเด็กที่ถูกพระเจ้าเกลียด
และท่านกำลังจ้องจะเอาทุกคนไปจากชีวิตเขาทีละคน
แต่คำพูดที่มาจากเด็กผู้ชายตัวเล็ก ๆ คนนี้
คนที่เป็นเพื่อนวัยเด็กจนกลายมาเป็นคนรักกลับทำให้เขามีความเชื่อขึ้นมา ชาร์ลี
ฮอปส์คนเก่าที่เคยคิดว่าทุกอย่างจะต้องจบลงอย่างเลวร้าย
ได้กลายเป็นคนที่กำลังพยายามมองโลกแบบใหม่ ที่มีปาร์คแบคฮยอนเป็นคนนำทาง
“จะไม่มีใครหายไปจากชีวิตชาร์ลอีก
เราสัญญา”
รอยยิ้มแรกของวันได้เกิดขึ้นแล้ว
แม้ว่ามันจะดูเศร้าและน่าหดหู่
แต่อย่างน้อยปาร์คแบคฮยอนก็ได้รู้ว่าชาร์ลกำลังมีความหวัง
เขาอยากสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ชายคนนี้รู้ว่ามันยังมีอยู่จริง
“ชาร์ลี”
เจ้าของชื่อและคนตัวเล็กหันไปทางสามคนนั้น ท่ามกลางความเงียบที่มีเพียงเด็กปีหนึ่งเดินผ่านไป
และมองมาอย่างประหลาดใจว่ารุ่นพี่ปีสามกำลังทำอะไรกันอยู่
“ไปหาจุนมยอนไหม?”
“ถ้านายอยากไป
พวกเราจะช่วยเรื่องเคอร์ฟิวให้”
“มันคงดีถ้ามีคนอยู่กับเขาในเวลาแบบนี้”
คำพูดนั้นหลุดออกมาจากปากคิมไค คนที่ชาร์ลี
ฮอปส์คิดว่าไม่อยากผูกมิตรด้วยไม่ว่าจะเรื่องใด ๆ
“คนที่จุนมยอนอยากให้อยู่ด้วยมากที่สุดต้องเป็นชาร์ลแน่
ๆ”
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นสบตากับคนรักที่ยังคงยิ้มเหมือนอยากบอกให้เขารู้ว่าทุกอย่างจะต้องผ่านไปได้ด้วยดี
“ไปด้วยกันสิโมจิ” ทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น ความน่ารักก็ส่ายศีรษะปฏิเสธทันที
“เราไปด้วยไม่ได้ เราจะอยู่เช็กชื่อให้ชาร์ลที่นี่
เพราะถ้าหายไปสองคนพร้อมกันต้องเป็นเรื่องแน่ ๆ”
น้องน้อยยิ้มตาหยีก่อนจะกำมือขึ้นมาแล้วทาบลงกับหน้าอกข้างซ้ายของเขา “ชาร์ลเป็นตัวแทนให้เรานะ เอากำลังใจของเราไปให้จุนมยอนด้วย”
“แต่เรื่องเช็กชื่อตอนเคอร์ฟิว...”
“เหย... คิดไรมากวะ
ประธานหอแรคคูนยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้ทั้งคนเลยนะเว้ย!”
ชางซูตบแผงอกแทอูเป็นท่าประกอบ
เสียงสามคนนั้นไม่เคยน่าฟังขนาดนี้มาก่อน
คนที่ได้รับความช่วยเหลือจาก ‘เพื่อน’
กำลังรู้สึกบางอย่างซึ่งเขาเพิ่งเคยรู้จักกับมัน คำ ๆ นั้นที่เรียกว่า ‘ตื้นตันใจ’
*
“ทำใจให้สบายนะคะ ไม่ต้องเครียดนะ”
“ขอบคุณครับ”
“เชิญค่ะ”
หลังจากเก็บสายวัดความดันเสร็จพยาบาลสาวก็หลีกทางให้ญาติผู้ป่วยที่ยืนรออยู่ข้างหลังได้เข้ามา
เด็กหนุ่มตัวสูงในชุดลำลองมองใบหน้าซีดเผือดของเพื่อนสนิทซึ่งกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงในห้องผู้ป่วยรวม
ก่อนมือนั้นจะยกขึ้นลูบศีรษะที่ถูกโกนจนไม่เหลือเส้นผมอย่างขลาดอาย
“หวัดดี”
“ทรงผมเท่ดีนี่”
“อย่าตัดตามนะ
ฉันไม่อยากให้ใครเลียนแบบ” คำพูดติดตลกของจุนมยอนเรียกรอยยิ้มจากเขาได้แม้ว่าหน้าจะซีดจนดูอิดโรย
แต่จุนมยอนก็ไม่แสดงความอ่อนแอออกมาให้เขาเห็น
“ผ่าตัดกี่โมง”
“ห้าทุ่มน่ะ”
ชาร์ลก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ ก่อนจะวางกระเป๋าเป้ไว้บนพื้นแล้วนั่งลงบนขอบเตียงคนป่วย
“แต่ไม่ต้องห่วงนะ ก่อนผ่าตัดฉันต้องเข้าไปมอมยาสลบก่อน
คงหลับยาวไม่รู้เรื่องเลย”
“คงไม่ละเมอยกมือขึ้นมาลอกการบ้านนะ
ถ้าเป็นงั้นโดนเลื่อยตัดคงขำน่าดู”
“ควรบอกหมอให้ล็อกข้อมือฉันไว้กับเตียงไหม?” คนลูกครึ่งหลุดขำออกมาจนน้ำลายพุ่ง จุนมยอนจึงทำหน้าเหยเกเช็ดแก้มตนเอง “สกปรกจัง”
“เออ สะอาดตายแหละ”
“อย่างน้อยฉันก็ไม่พ่นน้ำลายใส่คนอื่น”
“อะไร แค่นี้ทำประชดเหรอ จะเอาคืนไหมล่ะ?” ชาร์ลเลิกคิ้วมอง พอคนป่วยทำท่าจะพ่นจึงยกมือขึ้นบังตามสัญชาตญาณ
ก่อนจะพบว่าโดนไอ้เตี้ยหัวโล้นหลอกเข้าให้แล้ว
“เดี๋ยวก็เคอร์ฟิวแล้ว
ทำไมยังไม่กลับอีกล่ะ”
“ไม่ใช่เพิ่งกลับ แต่ฉันเพิ่งออกมา
แล้วก็ไม่ต้องไล่ด้วย ทางโรงเรียนอนุญาตแล้ว”
“ใจคอจะไม่เปิดโอกาสให้ฉันบ่นเลยสินะ”
“ก็เสียงนายมันน่ารำคาญนี่หว่า” ชาร์ลขยับปากบ่น ก่อนทั้งคู่จะหลุดยิ้มออกมาพร้อมกันอย่างไร้เหตุผล
“ตอนเย็นกินอะไรไป กับข้าวโรงพยาบาลรสชาติคงห่วยบรมเลยสินะ?”
“กินล่าสุดไปตอนเที่ยงแล้วก็ไม่ได้กินอีกเพราะพยาบาลบอกว่าห้ามกินก่อนผ่าตัดแปดชั่วโมง”
“ไม่หิวหรือไง?”
“หิว” จุนมยอนพยักหน้า
ก่อนจะก้มลงมองมือตนเองที่ประสานอยู่บนตัก “ฉันอยากกินต๊อกกับไก่ทอดแล้วก็น้ำอัดลมเย็น
ๆ สักแก้ว”
“ก็รีบหายสิ จะได้พาไปกิน” คนที่ฝืนยิ้มแต่ร้องไห้อยู่ในใจเอื้อมมือไปวางลงบนศีรษะอีกฝ่าย แต่คนป่วยก็จับมือเขาออกพลางลูบศีรษะตนเอง
จุนมยอนคงยังไม่คุ้นชินและไม่มั่นใจกับการไม่มีผม
แต่ชาร์ลีก็ยังเอื้อมมือขึ้นมาลูบศีรษะเพื่อนอยู่ดี “มือนายโคตรเย็นเลยว่ะ”
“ก็แอร์โรงพยาบาลมันหนาว” เด็กหนุ่มตัวสูงเคาะปลายนิ้วชี้ลงบนศีรษะเพื่อนเบา ๆ อาจเป็นเพราะกลัวคนโง่
ๆ อย่างชาร์ลี ฮอปส์จับได้ว่ากำลังรู้สึกอย่างไร คิมจุนมยอนถึงได้อยากมองผ้าห่มสีขาวมากกว่าใบหน้าของเขา
“กลัวใช่ไหม?”
“...”
“เมื่อกี้ตอนที่พยาบาลมาวัดความดันให้ฉันเห็นว่ามันขึ้นสูง”
“...”
“ฉันจะไม่บอกว่า ‘ไม่มีอะไรต้องกลัวหรอก’ แต่ฉันจะบอกให้นายสู้กับมัน” ชาร์ลกุมมือเพื่อนสนิทขึ้นมาพ่นไออุ่นลงไปและถูแรง ๆ ไล่ความเย็น
ก่อนรอยยิ้มที่ฝืนทนแสดงออกให้เห็นมาตลอดหลายนาทีจะจางหายไป “เข้มแข็งไว้นะ ทั้งพ่อแม่ โดคยองมิน แล้วก็เพื่อนในหอแรคคูนรอนายอยู่”
“นายเห็นมันแล้วเหรอ?”
“อืม”
เด็กหนุ่มลูกครึ่งเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง “สารภาพรักกับผู้หญิงในสมุดเล่มรวมมันไม่ใช่วิธีที่เท่เลยนะ
กระจอกจริง ๆ”
“มันน่าอายใช่ไหม” จุนมยอนอมยิ้มพลางลูบท้ายทอย “ฉันไม่รู้ว่าจะทำยังไงดีน่ะ
ตอนนั้นในหัวมันตื้อไปหมดก็เลยเขียนถึงทุกคนลงไป
ยกเว้นพ่อกับแม่ที่ฉันเขียนทิ้งไว้หลังตู้เสื้อผ้าน้องชาย ฉันหวังว่าพวกเขาคงไปเห็นเข้าสักวัน”
“ฉันไม่ใช่นกพิราบ เพราะงั้นถ้านายอยากให้โดคยองมินรู้ความในใจก็ต้องไปบอกด้วยตัวเอง”
“...”
“หลังพักฟื้นจากการผ่าตัด” ไม่มีการรับมุกในทันทีเหมือนกับก่อนหน้านี้
จุนมยอนเอาแต่นั่งนิ่งคล้ายกับว่ากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ
“อันที่จริง ฉันมีเรื่องจะสารภาพกับนายด้วย”
“ยังมีนอกเหนือจากสมุดเล่มนั้นอีกเหรอ
เรื่องเยอะจริง ๆ” คนฟังยิ้มบาง ๆ พลางพยักหน้า
“ยาแก้ปวดที่นายกินน่ะ”
“อืม”
“ที่ช่วงหลังฉันบอกให้แบคฮยอนเปลี่ยนเป็นแบบใหม่”
“อ่าฮะ โมจิบอกว่ามันแรงกว่า” ชาร์ลยังจำที่น้องน้อยบอกได้ ถึงจะไม่รู้สึกว่าหายปวดเร็วขึ้นกว่าเดิมอย่างที่ความนุ่มนิ่มคุยไว้
แต่เขาก็ยังกินต่อไป
เพราะคิดว่าแบคฮยอนกับจุนมยอนต้องรู้เรื่องพวกนี้ดีกว่าตนเองแน่นอน
“แต่ไม่ใช่หรอก มันเป็นแค่แป้งอัดเม็ด”
“ว่าไงนะ?”
“มันคือ Placebo หรือที่เรียกว่ายาหลอก” จุนมยอนยิ้มบาง ๆ
ขณะสบตากับเขา “ที่นายกินแล้วรู้สึกว่าหายปวดหัวจาก Fireflies
แต่ความจริงมันไม่ใช่”
“...”
“มันเป็นเพราะนายคิดว่ากินยาแก้ปวดแล้วจะหาย
ทั้งที่ในยาเม็ดนั้นไม่มีอะไรเลยนอกจากแป้ง”
“...”
“เห็นไหมว่านายไม่ได้ต้องการมันถึงขนาดนั้น
นายก็ยังอยู่ได้ ถึงจะปวดหัวหน่อยแต่อาการจะค่อย ๆ จางหายไปนะ” จุนมยอนจับมือเพื่อนแล้วตีลงไปเบา ๆ เป็นการให้กำลังใจ
“ไอ้โง่เอ๊ย กล้าดียังไงมาหลอกฉัน”
“อะไรกัน
คนเกรดชวดตกอย่างนายมีสิทธิ์ว่าฉันด้วยเหรอ?”
จุนมยอนกลั้นขำนั่งห่อไหล่
มองมืออีกคนที่ง้างขึ้นทำท่าจะตบหัวเขาแต่ก็ต้องเปลี่ยนเป็นกำมือแล้วค่อย ๆ
วางลงบนขอบเตียง
“ขอบใจ”
“ด้วยความยินดี”
“ถ้าไม่บอกวันนี้
ฉันคงกลับไปกินมันอีกเพราะปวดหัวกับนาย”
“กินไปก็มีแต่แป้ง
กินวิตามินซีดีกว่า มีประโยชน์ต่อร่างกายด้วย”
“ทำเป็นห่วงคนอื่น
ดูสภาพตัวเองบ้าง เตรียมตัวเตรียมใจไว้เถอะ” ด้วยความเคยชิน
ชาร์ลเกือบผลักศีรษะคนข้าง ๆ แต่ก็เปลี่ยนเป็นลูบแรง ๆ แทน
และจุนมยอนก็ปัดมือออกแล้วลูบความโล่งที่ไม่หลงเหลือผมอยู่อีกแล้ว
“นี่”
“อืม”
“นายว่าฉันจะได้ตื่นขึ้นมาอีกไหม?” เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเสียงสั่น ๆ หลุดออกมาจากปากจุนมยอน
และมันไม่แพ้มือเย็นเฉียบที่เขาพยายามจะมอบความอบอุ่นให้ด้วยมือทั้งสองข้างของตนเอง
“ต้องตื่นสิ ฉันไม่อนุญาตให้นายหลับยาวขนาดนั้นหรอก”
“ฉันยังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับพ่อแม่เลย
ฉันขออาจารย์อิมไว้ว่าอย่าบอกท่านจนกว่าอะไร ๆ จะผ่านไป”
“หมายถึงผ่าตัดเรียบร้อยจนหายสินะ” เด็กหนุ่มตัวสูงยิ้ม คำว่า ‘จนกว่าอะไร ๆ จะผ่านไป’ ไม่ควรเป็นความตาย มันไม่ใช่สิ่งที่ใครที่ไหนต้องยอมรับ
“อืม...”
จุนมยอนขานตอบเสียงแผ่ว ก่อนจะรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากมือแกร่งของคนข้าง ๆ
ซึ่งกระชับแน่นยิ่งขึ้น “...!”
“จะอ้วกเหรอ?” พอเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าจึงลนลานหากระโถน ก่อนจะเอามารองไว้ใต้ปากให้เพื่อน
มือแกร่งช่วยลูบหลังขณะมองภาพตรงหน้าด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นไร มันจะเลอะเสื้อนาย”
“อยู่นิ่ง ๆ เถอะน่า” จุนมยอนพยายามเบี่ยงตัวหลบ
แต่อีกฝ่ายก็เอาปลายแขนเสื้อเช็ดปากให้เขาอย่างไม่รังเกียจ “ฟังนะจุนมยอน”
“...”
“ฉันจะอยู่ที่นี่
รอนายอยู่หน้าห้องผ่าตัด”
“...”
“ฉันจะไม่ไปไหน
ฉันจะรออยู่ตรงนั้นจนกว่านายจะออกมา”
“...”
“นายไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
ถ้าหันมานายจะเจอฉันอยู่ข้างหลังเสมอ” มือเย็นเฉียบสั่นเทาไปกับคำพูดที่แสดงให้รู้ถึงมิตรภาพ
ก่อนน้ำตาที่กักกั้นมานานจะไหลพรั่งพรูอย่างไม่อาจจะห้ามได้
ชาร์ลรั้งเพื่อนเข้ามากอดแนบอก
กดศีรษะลงบนไหล่ตนเองพร้อมลูบหลังปลอบใจ จุนมยอนร้องไห้อย่างหนักราวกับว่าได้ปลดปล่อยความรู้สึกในใจที่กักเก็บไว้ตลอดออกมาในครั้งเดียว
ร่างกายคนป่วยสั่นเทาเพราะแรงสะอื้น
สองมือเย็นไปด้วยความกลัวกำลังกำเสื้อของคนตรงหน้าเอาไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ
“It’s okay...”
เด็กหนุ่มพร่ำกระซิบปลอบคนป่วยที่จิตใจอ่อนแอแต่แสร้งทำเป็นเข้มแข็งเพื่อสร้างความสบายใจให้กับคนรอบข้าง
ชาร์ลี ฮอปส์ได้แต่ถามตัวเองว่าถ้าหากกลายเป็นเขาที่ต้องเผชิญหน้ากับเรื่องแบบนี้
เขาจะต้องทำอย่างไร?
จะกล้าบอกคนอื่นไหม หรือว่าจะหนีไปหาที่ตายเงียบ
ๆ แล้วปล่อยให้ใครสักคนในโลกไปเจอศพเอง
แต่พอคิดว่าถ้าเพื่อนสนิทหรือแบคฮยอนจะทำอย่างนั้นบ้าง
เขาก็หงุดหงิดและคงไม่ยอมให้เกิดขึ้น
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เด็กผู้ชายไร้ค่าคนหนึ่งมีความคิดอย่างนั้น?
เขาก็คงตอบว่ามันก็ได้เริ่มจากการเห็นความสำคัญของคนรอบข้างทีละคน
*
“เข้มแข็งไว้นะ
ฉันจะรอนายอยู่ตรงนี้ จุนมยอน จุนมยอน!”
ฝีเท้าหยุดลงหน้าห้องผ่าตัดก่อนเตียงของเพื่อนสนิทจะถูกย้ายเข้าไป
สองมือที่เคยให้ความอบอุ่นกำลังเย็นเฉียบขึ้นมาเพราะความประหม่า หวาดกลัว กับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับเขาแล้วครั้งหนึ่งก่อนปู่จะจากไป
เด็กหนุ่มถอยหลังพิงกับผนังสีขาว
เริ่มหายใจผิดจังหวะกับความคิดมากมายในหัวซึ่งไม่เคยมีเรื่องดี
จึงต้องนั่งลงเพื่อตั้งสติแล้วบอกตัวเองว่าให้เข้มแข็งกว่านี้หน่อย
ครึ่งชั่วโมงแรกผ่านไปอย่างยากลำบาก เวลามักจะเดินช้าเสมอเมื่อมันพ่วงมาพร้อมความกังวล
แทบนับครั้งไม่ได้ว่าชาร์ลี ฮอปส์หันไปทางประตูบานนั้นแล้วกี่ครั้ง เขาจินตนาการถึงคำพูดหมอตอนเดินออกมาบอกว่า ‘คนไข้ปลอดภัยแล้ว’ แต่นั่นก็แค่วิธีปลอบใจของคนโง่ที่ทำได้แค่รอ
“ชาร์ลี” เจ้าของชื่อลุกขึ้นยืนพลางมองไปยังคู่สามีภรรยาที่กำลังตรงมาทางนี้
“ทั้งสองคน... มาได้ยังไงครับ?”
“แบคฮยอนน่ะ
เผื่อมีเรื่องอะไรที่ต้องเซ็นอาจะได้ช่วยจัดการให้ก่อน ว่าแต่จุนมยอนเข้าไปนานหรือยัง?”
“สี่สิบสามนาทีครับ” หลังจากได้ยืนคำตอบ ชานยอลก็หันไปทางประตูห้องผ่าตัดก่อนจะมองความกังวลผ่านทางสีหน้าเด็กหนุ่ม
“ไม่เป็นไรนะชาร์ลี” เขาวางมือลงบนบ่าคนตรงหน้า บีบเบา ๆ เพื่อให้รู้ว่าชาร์ลี
ฮอปส์ไม่ได้เผชิญหน้ากับปัญหาอยู่เพียงลำพัง
“...”
“เรื่องค่าใช้จ่ายเดี๋ยวส่วนหนึ่งอาสองคนจะจัดการให้ก่อน” ชาร์ลีไม่ใช่คนที่จะยอมรับความหวังดีจากใครง่าย ๆ
ในทีแรกที่ได้ยินแบคฮยอนเล่าให้ฟังว่าจุนมยอนเป็นอะไร และคนที่เดือดร้อนใจมากที่สุดกลับไม่ใช่ลูกของเขา
แต่เป็นชาร์ลี คนที่ชานยอลและภรรยาฟังเรื่องราวจากปากอี้ฝานมาตลอดหลายปี
แม้คนเป็นพ่อจะปักใจเชื่อว่าลูกชายเป็นเด็กเกเร
ไม่เอาถ่าน แต่ปาร์คชานยอลก็อยากเชื่อคำบอกเล่าที่ลูกชายเพิ่งเล่าให้ฟังมากกว่าทิฐิของเพื่อนซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่ยอมเปลี่ยนใจเอาง่าย
ๆ และที่เขากับแบคฮีมาในวันนี้ก็เพื่อที่จะช่วยเด็กคนนั้นและหาทางเปลี่ยนความคิดอู๋อี้ฝาน
“อย่าเพิ่งบอกพ่อได้ไหม เพราะเขาคงไม่เชื่อแล้วก็จะโกรธที่ผมทำให้อาสองคนเสียเงิน
ถ้าเป็นอย่างนั้นพ่อต้องเอาผมกลับไมอามี่แน่”
“ตกลง อาจะไม่บอก
เราจะรู้กันแค่นี้” ชานยอลยิ้มบาง ๆ
ขณะสร้างความไว้ใจให้กับคนตรงหน้า “เราจะช่วยจุนมยอนก่อนแล้วเรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง
ตกลงไหม?” ชาร์ลีนิ่งไป แววตาของอีกฝ่ายเหมือนลูกหมาที่ถูกทอดทิ้งและกลัวการไว้ใจ
เขารู้ว่าต้องใช้เวลาถ้าหากจะเข้าหาเด็กคนนี้ และชาร์ลีก็ค่อย ๆ พยักหน้า
ซึ่งนั่นเป็นสัญญาณที่ดี
“แบคฮยอนขอยืมเงินอาสองคนเท่าไร
เขาได้บอกไหมว่าจะคืนตอนไหน”
เด็กหนุ่มรู้สึกได้ถึงความไร้มารยาทของตัวเอง
แต่ตอนนี้เขากำลังรู้สึกไม่ดีทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนก็จงใจให้ทุกคนเห็นในมุมนี้มาตลอด
“ผมอาจจะใช้คำพูดไม่ถูก แต่ว่าผมอยากขอยืมเงินอาสองคนจ่ายรอบแรกไปก่อน
เดี๋ยวถ้าได้เงินแล้วจะรีบเอาไปคืน”
ไม่เคยร้องขอความช่วยเหลือจากใคร
และเพื่อนของพ่อทั้งสองคนก็เคยเป็นตัวเลือกเกือบสุดท้ายที่ชาร์ลี ฮอปส์จะนึกถึง
แต่ตอนนี้เขากำลังลดทิฐิทุกอย่างเพื่อจุนมยอน
“เปล่าจ้ะ”
แบคฮียิ้ม “แบคฮยอนโทรมาบอกให้ช่วยจุนมยอน
ส่วนเรื่องเงินเป็นเรื่องที่อาสองคนตัดสินใจกันเอง ถึงมันจะไม่มาก
แต่อากับเพื่อนที่โรงเรียนจะพยายามหาทางช่วยจุนมยอนให้ได้”
“ผมจะถ่ายแบบกับเพื่อนแล้วเอาเงินมาจ่ายค่ารักษาที่เหลือ
แล้วก็คืนอาทั้งสองคน”
“อาเห็นด้วยนะ ทุกคนเก่งมาก” แบคฮีคล้อยตามเพื่อลดระยะห่างที่อีกฝ่ายมอบให้
เธอรู้สึกดีที่เห็นแววตาคู่นั้นเปลี่ยนไปต่างจากคราวก่อนที่ลูกชายพาเด็กคนนี้ไปที่บ้าน
“คราวนี้เจตนาเราตรงกันแล้วนะชาร์ลี”
เด็กหนุ่มมองสามีภรรยาสลับกันก่อนจะหลุบสายตาลง
ลึก ๆ แล้วเขากำลังรู้สึกผิดที่เคยคิดไม่ดีกับทั้งคู่ ไม่ว่าจะเป็นการยัดเยียดความคิดให้หรืออะไรก็ตามแต่
“ใครคือญาติผู้ป่วยคะ?” ผู้ช่วยแพทย์ออกมาจากห้องผ่าตัดพลางมองไปยังทั้งสามคน
“มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
“ตอนนี้ผู้ป่วยเสียเลือดไปเยอะมาก
เราต้องการเลือดกรุ๊ปบีเนกาทีฟเดี๋ยวนี้เลยค่ะ”
“ยังไงคะ
ที่นี่ไม่มีเลือดสำรองให้เด็กเหรอ?” แบคฮีถามอย่างใคร่รู้
“ตอนนี้ทางโรงพยาบาลไม่มีเลือดกรุ๊ปบีเนกาทีฟในคลังเพราะเป็นกรุ๊ปเลือดที่ค่อนข้างหายากค่ะ
ว่าแต่ไม่มีญาติผู้ป่วยอยู่ตรงนี้ใช่ไหมคะ?”
สองสามีภรรยาส่ายศีรษะก่อนจะหันไปปรึกษากัน
“ทำยังไงดีคะ
ฉันควรโทรถามมินซอกดีไหม เผื่อว่าทางนั้นจะมีคนกรุ๊ปเลือดนี้”
“โทรเลย
เดี๋ยวพี่จะโทรหาลูกแล้วถามดูว่าในหอพอจะมีใครกรุ๊ปเลือดนี้บ้างหรือเปล่า”
“ถ้าช้ากว่านี้
ดิฉันเกรงว่าคนไข้อาจจะรอไม่ไหว...”
หูอื้อ...
ทุกความร้อนใจของทั้งคู่จะลอยเข้าโสตประสาทไม่ได้หยุด
ชาร์ลได้ยินเสียงเหล่านั้นดังกึกก้องอยู่ในหูแต่กลับจับใจความไม่ได้
เรื่องที่ได้ฟังจากปากผู้ช่วยแพทย์มันเกินความคาดหมายเกินไป ความกังวลที่มีอยู่เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณเมื่อปัญหาด่านแรกไม่ได้มีแค่เวลา
เด็กหนุ่มตัวสูงยืนก้มหน้านิ่งตัวเย็นเฉียบกับความหมายที่รู้ดีว่าถ้าหากจุนมยอนไม่ได้เลือดการผ่าตัดก็คงจบที่ความตาย
‘นายว่าฉันจะได้ตื่นขึ้นมาอีกไหม?’
ประโยคนั้นยังคงดังกึกก้องอยู่ในหัว
ความหวังที่เหมือนเทียนเล่มเล็กที่จุดอยู่กลางพายุฝนกำลังค่อย ๆ ดับไป
โดยมีเสียงของตนเองตะโกนดังขึ้นเรื่อย ๆ ว่า ‘จุนมยอนต้องการเลือด’ และถ้าหากช้ากว่านี้ คนที่จะเสียใจที่สุดคงเป็นเขา
“เดี๋ยว”
“...”
“เอาเลือดผมไป”
“ชาร์ลี
หมอต้องการเลือดกรุ๊ปบีเนกาทีฟ เราจะให้เลือดสุ่มสี่สุ่มห้ากับเขาไม่ได้” ชานยอลคว้าไหล่ทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มเอาไว้ ก่อนอีกฝ่ายจะค่อย ๆ
เงยหน้าขึ้นสบตาเขา เพื่อพูดในสิ่งที่ชาร์ลี ฮอปส์ไม่เคยยอมรับมาตลอดชีวิต
“มันจะไม่เกิดความผิดพลาดซ้ำสองแล้วอาชานยอล”
“...”
“เพราะนั่นคือกรุ๊ปเลือดของผม”
“...”
“เลือดที่ผมเคยไปตรวจที่โรงพยาบาลด้วยตัวเองมาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง
เพราะผมอยากมีเลือดกรุ๊ปเดียวกับพ่อ”
ชานยอลนิ่งไปและแบคฮีก็เช่นกัน
เขาไม่รู้จะพูดอย่างไรกับเรื่องที่รู้อยู่แก่ใจและน้ำตาที่กำลังไหลอาบแก้มคนตรงหน้า
เขารู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดผ่านทางแววตาคู่นั้น แววตาที่เหมือนอยากบอกให้รู้ว่า ‘ผมอยากเป็นลูกพ่อ’
“ผมไม่เคยยอมรับมัน ผมเกลียดด้วยซ้ำ
มันไม่เคยมีค่าสำหรับพ่อ แต่วันนี้” เพียงแค่กระพริบตา
หยดน้ำใสก็ไหลลงมารวมอยู่ที่ปลายคางก่อนจะร่วงลงสู่พื้น “จุนมยอน...
ต้องการมัน”
“ใช่ชาร์ลี
จุนมยอนต้องการเลือดของนาย” ชานยอลบีบไหล่คนตรงหน้า “จำคำพูดอาไว้นะ ว่าไม่มีใครไม่สำคัญ ทุกคนที่อยู่รอบตัวเราสำคัญหมด แต่อาจจะมีคนที่มากกว่าหรือน้อยกว่า”
“และตอนนี้เธอสำคัญสำหรับจุนมยอนมากที่สุด
รู้ใช่ไหมชาร์ลี” ยิ่งได้ยินทั้งคู่พูด
น้ำตาก็ยิ่งไหลออกมาอย่างหนัก
เด็กหนุ่มที่เจ็บปวดเพราะเลือดในร่างกายตนเองมาตลอดชีวิตพยักหน้าซ้ำ ๆ
ก่อนจะเดินเข้าไปหาผู้ช่วยแพทย์และยื่นแขนซ้ายออกไปข้างหน้า
เพื่อเยียวยาบาดแผลในใจตนเองและ...
“ได้โปรดช่วยเพื่อนผมด้วยครับ...”
50%
“ฉันต้องหนีนักข่าวที่ถ่อหน้าเข้ามาสัมภาษณ์ว่าทำไมถึงไม่ยื่นมือเข้าไปช่วยจนเด็กหอแรคคูนต้องประกาศขายภาพถ่ายเพื่อแลกเศษเงินไปจ่ายค่าผ่าตัดให้เพื่อน
พวกแกเป็นบ้าอะไรถึงคิดวิธีแบบนั้น?
รู้ไหมว่าที่แกกับเพื่อนหน้าโง่ทำลงไปทั้งหมดมันทำให้ฉันกับโรงเรียนเสียชื่อเสียง!”
“แต่ที่พ่อนิ่งเฉยก็ทำให้เพื่อนผมเกือบหมดโอกาสรอดเหมือนกัน”
“เพื่อนงั้นเหรอ ที่นี่มีใครคิดว่าแกเป็นเพื่อนบ้างคิมไค?”
“...”
“พวกมันก็แค่เก็บแกไว้ทำประโยชน์เพราะเห็นเป็นลูกฉัน
นอกเหนือจากนั้นเด็กอย่างแกก็ไม่ได้พิเศษไปกว่าคนอื่น”
เด็กหอแรคคูนยืนอยู่หน้าประตูฟังเสียงคนเป็นพ่อก่นด่าลูกชายมากกว่าจะเป็นผู้อำนวยการติติงนักเรียน
แบคฮยอนยืนนิ่ง เขาทั้งสงสารและรู้สึกผิดจนอยากให้คนที่อยู่ข้างในออกมาไว ๆ ขณะที่ทุกคนมีเจตนาเหมือนกันคืออยากช่วยจุนมยอน
แต่กลับกลายเป็นคิมไคคนเดียวที่ถูกเรียกไปดุด้วยคำพูดแรง ๆ เพียงเพราะออกตัวว่าเป็นคนต้นคิดทั้งหมด
แม้แต่กลุ่มจองแจวอนที่มักจะสบถคำหยาบทุกอย่างเมื่อหงุดหงิดไม่สบอารมณ์ยังยืนเงียบ
เสียงอย่างเดียวที่พวกเขาได้ยินมีเพียงเสียงถอนหายใจซึ่งแฝงไปด้วยความเหนื่อยล้าหลังจากพยายามหาเงินไปจ่ายค่ารักษาให้เพื่อน
การผ่าตัดสิ้นสุดลงแล้วแต่จุนมยอนก็ยังคงอยู่ในห้องไอซียู
ชาร์ลจำต้องกลับมาโรงเรียนเพื่อไม่สร้างปัญหาให้คนอื่น ๆ รับหน้าแทนอีก
เพราะการโกหกเพื่อให้เขาได้ออกไปหาจุนมยอนเมื่อคืนมันก็คุ้มค่ามากเกินพอแล้ว
ไม่สิ... สิ่งที่เขาได้ทำลงไปมันเกินกว่าคำว่าคุ้มค่าเสียอีก
แม้ว่าจะเป็นห่วงเพื่อนที่ยังไม่พ้นขีดอันตราย
แต่การทิ้งภาระมากมายไว้ให้คนที่เหลือช่วยกันแบกรับชาร์ลี ฮอปส์ก็ไม่เอาเหมือนกัน
เขาอยากเป็นคนมีความรับผิดชอบให้มากกว่านี้ อยากทำเรื่องดี ๆ
เพื่อคนที่อยู่รอบตัวซึ่งไม่ได้มีแค่แบคฮยอนกับจุนมยอน
“ไปกันเถอะ ก่อนถึงเวลาเคอร์ฟิว” แทอูตบบ่าชาร์ลีแล้วเดินนำไปก่อน แบคฮยอนหันไปมองประตูห้องผอ.เป็นระยะ
นึกเป็นห่วงเพื่อนอีกคนที่ยังไม่ออกมาแม้รู้ดีว่าจะตามไปหาที่สตูดิโอทีหลัง ก่อนจะหันไปทางคนตัวโตที่ยื่นมือรออยู่ข้างหน้า
มือของชาร์ลซึ่งมาพร้อมสายตาที่เหมือนอยากบอกกับเขาว่า ‘เราทุกคนจะผ่านมันไปด้วยกัน’
*
เสียงกระดิ่งมาพร้อมกระแสลมเย็น ๆ
ชวนให้อยากตื่นมาสูดอากาศ
เด็กหนุ่มปรือตามองท้องฟ้ากับก้อนเมฆสีขาวซึ่งมันช่างเข้ากันได้ดีกับแดดอุ่น ๆ
ในเวลานี้ เขายันตัวลุกขึ้นนั่งในทุ่งกว้างซึ่งหาจุดสิ้นสุดไม่ได้ อีกฝากฝั่งหนึ่งมีอะไรคิมจุนมยอนมิอาจรู้
แต่คาดว่ามันก็คงสวยงามไม่แพ้จุดที่เขาอยู่
มือขาวสะอาดดึงดอกหญ้าขึ้นมาตรงระดับปลายจมูก
ก่อนจะพ่นลมทางริมฝีปากเบา ๆ จนความสวยงามเป็นช่อปลิวไปกับสายลม
ริมฝีปากหยักยกยิ้มกับความสวยงามในที่แห่งนี้
ก่อนสายตาจะพลันไปเห็นใครคนหนึ่งยืนมองอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่
“ปู่” คนถูกเรียกยิ้มพลางพยักหน้าช้า
ๆ เด็กหนุ่มที่เพิ่งตื่นจากนิทราจึงลุกขึ้นยืนแล้วตรงไปหาชายแก่ในชุดขาวกระทั่งได้สบตากันในระยะใกล้
“ปู่จริง ๆ เหรอครับ?”
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะจุนมยอน”
เจ้าของชื่อยิ้มกว้างก่อนจะหลุบสายตามองมือเหี่ยวย่นทั้งสองข้างของอีกฝ่ายที่อ้าออกเพื่อรอรับร่างของเขาเข้าไปอยู่ในอ้อมกอด
เด็กหนุ่มหลับตาลงซึมซับความอบอุ่นจากชายแก่ตัวผอมแห้งไปตามวัย
เขาไม่กล้ากอดปู่แรงนักเพราะกลัวท่านจะเจ็บ
แต่ถึงอย่างนั้นความคิดถึงมันก็ทำงานหนักจนแทบกะน้ำหนักไม่ได้
ทั้งคู่นั่งลงบนเก้าอี้ไม้สีขาว
มองความสวยงามของทุ่งดอกหญ้าซึ่งปลิวไปตามแรงลมก่อนจะกลับมาหยุดนิ่งเช่นเดิม
จุนมยอนสามารถหาความสุขได้จากมันเพียงแค่นั่งมองจากตรงนี้
และยิ้มออกมาโดยไม่สนใจว่าเวลามันผ่านไปแล้วเท่าไหร่
“ยังชอบดื่มชาอยู่หรือเปล่า?”
“ชอบครับ แต่ผมไม่ได้ดื่มอีกเลยตั้งแต่ปู่จากไป”
“งั้นเหรอ”
ชายแก่ยิ้มขณะทอดสายตาไปยังเบื้องหน้า “ชีวิตที่ไม่มีปู่คงลำบากใช่ไหม?”
จุนมยอนไม่ได้ตอบ เขาไม่อยากยอมรับจนอีกฝ่ายรับรู้ได้ถึงความอ่อนแอ
ว่าครั้งหนึ่งในชีวิตปู่ก็คือคน ๆ หนึ่งที่เป็นแรงผลักดันให้กับเขาต่อสู้กับความลำบาก
ไม่ว่าจะเป็นความจนของฐานะ การเป็นพี่ใหญ่ที่ต้องเสียสละ
“หลานพูดสิ่งที่รู้สึกได้นะ”
“...”
“ยังไงก็มีแค่ปู่กับต้นไม้ต้นนี้เท่านั้นที่จะได้ยิน” ชายแก่กล่าวพลางมองมือของหลานชายคนโตที่วางอยู่บนหน้าขาตนเอง
“ผม... เหนื่อยครับ” เสียงของเด็กหนุ่มเบาจนเหมือนว่ารู้สึกผิดกับสิ่งที่กำลังจะพูดออกมา
“ผมเหนื่อยที่ต้องทำเพื่อทุกคน แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่อยากหยุด
ผมกลัวการเป็นภาระ กลัวพ่อแม่เหนื่อย กลัวน้องหลับไม่สนิท”
“ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเหนื่อย
จุนมยอน”
“ถ้าปู่ยังอยู่ผมอาจจะเหนื่อยน้อยกว่านี้
แต่พอไม่มีปู่ผมก็รู้สึกเหมือนเรี่ยวแรงมันหายไปครึ่งหนึ่ง”
“เป็นเพราะหลานยึดติดและเคยชินกับการมีปู่ไงล่ะ”
“...”
“เพื่อนของหลานก็เหมือนกัน
เด็กคนนั้นที่ชื่อชาร์ลี”
“ปู่รู้จักเขาเหรอครับ?” เขาถามอย่างประหลาดใจ และอีกฝ่ายก็พยักหน้าพร้อมรอยยิ้มเป็นคำตอบ
“รู้สิ อะไรที่เกี่ยวกับหลานน่ะ
ปู่รู้ทุกอย่าง” ชายแก่กล่าว “หลานได้นิสัยปู่ไปเยอะ
รู้ตัวไหม?”
“พ่อเคยพูดแบบนี้เหมือนกันครับ
แล้วผมก็ดีใจที่ได้ยินอย่างนั้น”
ทั้งคู่ทอดสายตาไปยังทุ่งกว้างอีกครั้ง
“ยกตัวอย่างเช่นการพยายามช่วยคนอื่นให้พ้นทุกข์
แต่พอเป็นเรื่องตัวเองกลับเก็บเงียบไม่ยอมให้ใครเข้ามาช่วยเพราะกลัวว่าจะเป็นภาระน่ะ
เราเหมือนกันเกินไป” ปู่หัวเราะ
“ผมไม่ชอบความรู้สึกแบบนั้น
ผมกลัวที่จะขอความช่วยเหลือจากใคร”
“ชาร์ลีก็กลัว
และสิ่งที่เขาเป็นมันมากกว่าหลานด้วยซ้ำ แต่หลานเป็นคนฉุดเขาขึ้นมาจากหลุมดำในใจ ทำให้เขากล้ามีชีวิตใหม่”
“ไม่ใช่เพราะผมซะทีเดียวหรอกครับ
ชาร์ลียังมีแบคฮยอน กลุ่มแจวอน แล้วก็เพื่อน ๆ ในหอแรคคูน ถ้าเขาเป็นจิ๊กซอว์ ผมก็เป็นแค่ชิ้นส่วนเล็ก
ๆ ที่เติมเต็มเข้าไป”
“แต่ถ้าขาดชิ้นส่วนเล็ก ๆ ไปในกระดานก็จะโล่ง
แล้วมันจะเรียกว่าการเติมเต็มได้ยังไงล่ะจุนมยอน?”
“...”
“เรามีสิทธิ์ภูมิใจกับการเป็นคนพิเศษของใครสักคนนะ
เหมือนที่ปู่ภูมิใจที่ครั้งหนึ่งได้สร้างความทรงจำดี ๆ ไว้ก่อนที่หลานจะโตเป็นผู้ใหญ่” เด็กหนุ่มตั้งใจฟัง เขาหันไปทางใบหน้าเหี่ยวย่นที่ดวงตาหยีลง
ก่อนจะรู้สึกได้ถึงมืออุ่น ๆ ที่กำลังกุมมือเขา “ไม่ว่าวันนี้จะเหนื่อยแค่ไหน
แต่ให้จำไว้ว่ามันจะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายในชีวิตหรอก หลานยังมีวันพรุ่งนี้
ยังมีวันดี ๆ ที่จะได้มีความสุข ยังมีวันเลวร้ายเพื่อให้หลานได้รู้จักชีวิต
ถึงจะผ่านมันไปได้อย่างยากลำบาก
แต่ความเข้มแข็งของหลานจะหักล้างมันลงจนเหลือแค่ครึ่งเดียว”
“...”
เขาเงียบเพื่อรับฟัง ท่ามกลางสายลมหวีดหวิวที่ให้ความรู้สึกหนาวมากกว่าเย็นอย่างเช่นในทีแรก
ท้องฟ้าเริ่มถูกกลืนด้วยก้อนเมฆสีเทาราวกับเป็นสัญญาณบอกว่าอีกไม่นานฝนอาจจะตก และจุนมยอนไม่ต้องการให้อีกฝ่ายเปียก
“ปู่ครับ ฝนจะตกแล้ว”
“อืม”
“หาที่หลบกันเถอะครับ
ต้นไม้ต้นนี้คงบังฝนให้เราไม่ได้ นั่น... ตรงนั้นมีบ้านด้วยครับ” ไม่รู้ว่ามัวแต่สนใจทุ่งหญ้ากับท้องฟ้าหรือเปล่า เขาถึงเพิ่งเห็นว่าในที่โล่งกว้างแห่งนี้มีบ้านหลังเล็ก
ๆ สีขาวอยู่ตรงเบื้องหน้า
“มันคือบ้านหลังใหม่ของปู่น่ะ”
“บ้าน?”
เด็กหนุ่มเลิกคิ้ว ก่อนจะหันไปทางบ้านหลังเดิมอีกครั้ง “ปู่อยู่ที่นั่นมานานแล้วเหรอครับ
สวยจัง ข้างในจะมีโซฟานุ่ม ๆ แบบที่ปู่ชอบไหม มีโต๊ะไว้นั่งดื่มชาตอนเช้าด้วยหรือเปล่าครับ?”
“มีสิ”
ชายแก่ยิ้มก่อนจะหันไปมองเสี้ยวหน้าของหลานชายซึ่งกำลังตื่นเต้นกับบ้านสีขาวหลังนั้น
มันสวยกว่าบ้านที่เราเคยอยู่เป็นไหน ๆ
“ที่ ๆ ทำให้ปู่มีความสุข
มันจะต้องน่าอยู่สักแค่ไหนกันนะ”
“หลานคงยังไม่ได้คำตอบวันนี้หรอกจุนมยอน” ชายแก่หลับตาลง สูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดก่อนจะลืมตาอีกครั้ง
“ทำไมล่ะครับ?”
“เพราะวันนี้นายมีนัดเตะบอลกับฉันไง
ซื่อบื้อจริง”
รอยยิ้มถูกกลืนหายไปกับเสียงที่คุ้นเคยเป็นอย่างดี
สายลมหวีดหวิวยังคงพัดผ่านอย่างต่อเนื่อง หากแต่ท้องฟ้ามืดครึ้มเมื่อครู่กลับเปลี่ยนเป็นสว่างสดใสอย่างเช่นในทีแรก
จุนมยอนค่อย ๆ หันหลังไปทางเจ้าของเสียงนั้น ก่อนจะพบสีหน้ารำคาญโลกของคน ๆ หนึ่งซึ่งอยู่ในชุดพละหอแรคคูน
“เราบอกกี่ครั้งแล้วว่าให้พูดกับจุนมยอนดี
ๆ อะ ทำไมชาร์ลชอบหยาบคายอยู่เรื่อย นิสัยไม่ดี” คนตัวเล็กโผล่ออกมาจากข้างหลัง
แล้วงับท่อนแขนแกร่งนั้นจนเจ้าของใบหน้าลูกครึ่งสะดุ้งสุดตัว
“โอ๊ย!
เจ็บนะโมจิ!”
“ก็เรากัดให้เจ็บไง! หยุดหยาบคายกับเพื่อนเลยนะ!”
“ก็ไอ้หมอนี่มันทึ่มจริง ๆ
ไม่เชื่อหันไปถามพวกบ้านั่นดูสิ” ทันทีที่ชาร์ลีกับแบคฮยอนถอยหลังออกคนละก้าว
เขาก็ได้พบกับเพื่อนมากมายที่ยืนอยู่ในสนามฟุตบอลท่ามกลางทุ่งกว้าง
ทุกคนกำลังมองมาทางนี้พร้อมรอยยิ้ม... รอยยิ้มแบบที่จุนมยอนไม่คิดว่าจะได้รับ
“นั่นคือเหตุผลที่วันนี้หลานยังเข้าไปในบ้านปู่ไม่ได้” เสียงของชายแก่ยังคงเด่นชัดในความรู้สึก จุนมยอนหันไปมองที่ยึดเหนี่ยวจิตใจอีกครั้งและนั่นเป็นช่วงเวลาสั้น
ๆ ที่มีค่ามากที่สุดสำหรับการได้มองหน้าปู่
“ปู่ครับ”
ปู่คือความทรงจำที่มีค่า ทุกสิ่งที่ท่านพร่ำสอนนั้นฝังอยู่ในใจคนอย่างเขามาตั้งแต่เด็ก แน่นอนว่าคิมจุนมยอนต้องการอยู่กับท่าน แต่ถึงอย่างนั้นเด็กหนุ่มก็ยังอยากกลับไปใช้ชีวิตในหอแรคคูน แม้ว่าที่นั่นจะไม่มีอะไรพิเศษกว่า หรือหาเหตุผลมาอ้างไม่ได้ แต่ที่ตรงนั้นกลายเป็นบ้านอีกหลังของคิมจุนมยอนไปแล้ว
บ้านที่เขาอยากกลับไปอีกครั้ง
“ผมรักปู่นะ”
“ปู่รู้”
ชายแก่ยิ้มพร้อมวางมือลงบนศีรษะเด็กหนุ่ม “ขอให้หลานของปู่เข้มแข็ง
มีความสุขกับชีวิตในทุก ๆ วัน เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดี เป็นคุณพ่อที่ลูก ๆ รัก และเป็นคุณปู่หรือคุณตาในแบบที่อยากให้ลูกหลานจดจำนะ”
จุนมยอนยิ้มแม้ว่าน้ำตามันจะไหลออกมาไม่หยุด เด็กหนุ่มเอาแต่พยักหน้าซ้ำ
ๆ เพื่อบอกให้อีกคนรู้ว่าเขาจะทำตามทุกสิ่งทุกอย่างที่ปู่สั่งสอน ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตาหันไปทางเพื่อนสนิทที่ยังคงยืนรออยู่ตรงจุดเดิม
ไม่มีแล้วความกวนประสาทและเสียงบ่นอุบอิบของทั้งคู่ เมื่อตอนนี้ชาร์ลีกับแบคฮยอนกำลังยื่นมือมาข้างหน้า
พร้อมรอยยิ้มที่ทำให้คิมจุนมยอนรู้สึกว่าการมีค่าสำหรับใครสักคนในโลกมันช่างเป็นเรื่องวิเศษเหลือเกิน
“กลับหอกันเถอะ นายออกมาเที่ยวนานเกินไปแล้ว”
*
“...”
“ตื่นแล้ว เฮ้ย มันตื่นแล้ว!! เฮ้ย ๆๆๆ ไอ้จุนมยอนตื่นแล้วโว้ย!!!”
“เบาเสียงหน่อย ที่นี่ห้องคนไข้รวมนะไอ้ห่า
เดี๋ยวก็โดนไล่ออกกันหมดหรอก”
“จุนมยอน เยดเข้
มันกระพริบตาด้วยว่ะ”
“จุนมยอน”
คนที่ยังมีสติไม่ครบร้อยเพียงกวาดมองคนมากมายที่ยืนล้อมรอบเตียงคนไข้
และคนที่ทำให้ทำให้คิมจุนมยอนรู้ตัวว่ารอดพ้นมาจากความตายได้แล้วก็คือชาร์ลี ฮอปส์กับปาร์คแบคฮยอนที่ยืนอยู่ข้าง
ๆ เตียง เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน
แต่เขาก็อยากสนใจคนที่ยืนอยู่ล้อมรอบตัวมากกว่าบรรยากาศโดยรอบที่ถูกบดบัง
มองคนเหล่านั้นที่ส่งเสียงโหวกเหวกจนทำให้เขายิ้มทั้งน้ำตา
“ขี้เซาจังนะ”
“เมื่อกี้ฉันฝัน...” เสียงแหบพร่าพูดทั้งที่ยังไม่หุบยิ้ม
จุนมยอนเอื้อมมือขึ้นมาและชาร์ลีก็คว้าเอาไว้ เขาพยายามเบามือให้มากที่สุดเพราะไม่อยากให้อีกคนต้องเจ็บ
“ฝันว่าอะไร
เล่าให้พวกเราฟังบ้างสิ”
เด็กที่อาจารย์เห็นว่าเป็นลิงเป็นค่างกำลังยืนนิ่ง
ๆ เพื่อตั้งใจฟังเสียงแผ่วเบาของเพื่อนที่พยายามจะพูดคุยกับพวกเขา
มองริมฝีปากที่แห้งผากและศีรษะที่ถูกพันรอบด้วยผ้าก๊อซ
หลังจากอยู่ในห้องไอซียูมาสามวันเต็ม ๆ
สุดท้ายเด็กหอแรคคูนก็ได้รับข่าวดีว่าสามารถย้ายจุนมยอนออกมาได้แล้วแม้ว่าจะยังไม่ได้สติ
“ฝันถึงพวกนาย...”
คนที่ยืนฟังอยู่รอบนอกหันหลังให้ความอ่อนแอที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ทั้งที่ไม่ได้สนิทกันแต่พวกเขาก็รู้สึกไปแล้วว่าจุนมยอนคือส่วนหนึ่งที่ไม่มีใครอยากให้หายไป
ทุกคนต่างเคยชินที่มีกันและกันอยู่ อาจเป็นเพราะไม่เคยพยายามเพื่อช่วยชีวิตใคร
และพอหาทางช่วยกันจนสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีพวกเขาจึงตื้นตันใจจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว
“ดีใจที่ได้เจอนายอีก” แทอูจับขาที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้าห่ม และยิ้มให้คนเจ็บขณะสบตากัน
“ฉันดีใจที่ได้เจอพวกนายทุกคนอีกครั้ง...”
“ยังไม่ทุกคนหรอก” เขาเลิกคิ้วเล็กน้อยกับคำพูดของชาร์ลี ก่อนเพื่อน ๆ
จะถอยออกเล็กน้อยเพื่อหลีกทางให้ใครคนหนึ่งเดินเข้ามา
คนที่คิมจุนมยอนไม่คิดว่าจะได้เจออีกแล้วในชีวิต
“ความจริงฉันส่งข้อความไปอรุณสวัสดิ์ตอนเช้าแล้ว
แต่ไม่เห็นนายตอบกลับฉันก็เลยมาบอกเองถึงที่นี่”
“คุยกันไปเลยนะ
แล้วพวกเราจะมาเยี่ยมใหม่ ตามสบายนะคยองมิน” แบคฮยอนยิ้มพลางพยักหน้าบอกเพื่อนให้ออกไปจากที่นี่ด้วยกัน
แต่ก็ยังมีคนบางคนที่ยังไม่รู้สถานการณ์
ถึงได้ยื้อตัวไว้พร้อมเลิกคิ้วถามอย่างไม่เข้าใจ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือชาร์ล “ออกไปก่อน...”
“อะไรเล่า...”
ทันทีที่ประตูห้องผู้ป่วยรวมปิดลงเด็กหนุ่มตัวสูงก็ชะโงกหน้ามองเพื่อเช็กให้แน่ใจว่าจุนมยอนยังลืมตาและหายใจอยู่
พอหันกลับมาอีกครั้งก็พบคนตัวเล็กที่หรี่ตามองเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง
เขาจึงทำเป็นยืดเส้นยืดสายแก้เขิน
“ให้เวลาคยองมินก่อน
เราจะมาเยี่ยมตอนไหนก็ได้”
“ตลกแล้วโมจิ ยัยนั่นมาหาหลังเวลาเคอร์ฟิวได้แต่เราไม่”
“แล้วยังไงอะ
บางทีจุนมยอนอาจจะไม่ได้อยากเจอหน้าชาร์ลมากที่สุด”
ได้ยินแบบนี้ถึงกับของขึ้น เด็กหนุ่มตัวสูงถลึงตามองพร้อมชี้หน้าตัวเองเป็นการให้โอกาสพูดใหม่อีกครั้ง
แต่น้องน้อยก็ยังเฉย
“โล่งว่ะ”
“เออ
ทั้งที่รอออกจากห้องไอซียูแค่ไม่กี่วัน แต่กูรู้สึกเหมือนผ่านไปแล้วเป็นเดือน” ใครหลายคนพึมพำพลางถอนหายใจอย่างโล่งอก คู่รักที่ลับฝีปากกันเมื่อครู่จึงหยุดให้เพื่อน
ๆ อยู่กับความเงียบ
“จะได้นอนหลับกันอย่างสบายใจสักที”
“ยังหรอก”
ทุกคนหันไปทางประธานหอซึ่งยืนกอดอกพิงกับผนังสีขาว
ก่อนจะเงยหน้าขึ้นกวาดมองเพื่อบอกให้รู้ว่าพวกเขายังมีเรื่องที่ต้องทำอยู่ “เพราะพวกเราต้องทำสมุดภาพงี่เง่านั่นให้เสร็จก่อน”
*
“เริ่มแต่งหน้ากันได้เลย ฮเยมีกับยูมินจัดการฝั่งนี้นะ
ส่วนซูจีฝั่งนี้ทน ๆ กับพวกลิงค่างสักชั่วโมงนึง รบกวนด้วย ถ้าเสร็จงานแล้วฉันจะหาเวลาไปตอบแทนพวกเธอทีหลัง”
“ไม่เป็นไรน่า
เรื่องอื่นเอาไว้ทีหลังเถอะ ตอนนี้เอาเรื่องช่วยเพื่อนนายก่อน”
“ใช่ ไม่ต้องคิดมากนะแทอู”
สตูดิโอเต็มไปด้วยเด็กหอแรคคูนปีสาม ท่ามกลางความวุ่นวายของเด็กผู้ชายที่ไม่คุ้นชินกับการแต่งหน้าทำผมและถ่ายแบบ ประธานหอกำลังยิ้มบาง ๆ เพื่อขอบคุณเพื่อนต่างโรงเรียนที่สละเวลามาช่วย ซึ่งไม่ใช่แค่ผู้หญิงสามคนนี้ แต่ยังมีเพื่อนที่ชื่นชอบการถ่ายรูปซึ่งรู้จักกันในอินเทอร์เน็ตมาเป็นปี ๆ อาสามาช่วยตรงนี้ให้โดยไม่คิดค่าเสียเวลา
รวมถึงเด็กหอแรคคูนปีอื่นที่ช่วยกันบริจาคเงินส่วนตัวคนละเล็กคนละน้อยเพื่อสมทบทุน
แม้จะไม่รู้ว่าคิมจุนมยอนเป็นใคร แต่คนเหล่านั้นไม่ได้นิ่งเฉย จนสุดท้ายผอ.ต้านกระแสโจมตีไม่ไหวยอมออกค่ารักษาให้ทั้งหมดเพื่อรักษาหน้าตัวเองไว้โดยได้เด็กหอแรคคูนช่วยกู้หน้าว่าเป็นความผิดพลาดที่ยื่นเรื่องไปไม่ถึงผอ.
ทุกอย่างถึงได้ออกมาอย่างนี้
แม้จะช่วยได้แต่ก็ไม่ทั้งหมด เพราะมีกระแสจากหลายเว็บบอร์ดว่า
‘ทำไมเรื่องจะไม่ถึงผอ.
ในเมื่อหนึ่งในสมุดภาพนั้นมีลูกชายตัวเองอยู่ด้วย’ แต่กระแสในโซเชียลมาแค่เดี๋ยวเดียวก็ผ่านไป
ดังนั้นทุกคนจึงตกลงกันว่าเงินที่ได้มาจากการขายสมุดภาพจะถูกนำไปบริจาคให้โรงพยาบาลหลังจากหักลบค่าใช้จ่ายแล้ว
และแน่นอนว่าส่วนหนึ่งจะแบ่งไว้ฉลองกันเองในหอ!!!
หลายครั้งที่แทอูเหนื่อยกับการแบกรับตำแหน่งประธานหอไว้บนไหล่กับความวุ่นวายซึ่งต้องใช้สติและความใจเย็นเข้าช่วย
จนมีความคิดอยากสละตำแหน่งเพื่อเป็นสมาชิกหอธรรมดา ๆ เหมือนคนอื่น ๆ
แต่วันนี้ทุกคนกำลังเปลี่ยนความคิดเขา เมื่อความตั้งใจ ความพยายามของแต่ละคนได้ทำให้เด็กหนุ่มได้รู้ว่า ‘เราไม่ได้เป็นคนแปลกหน้าต่อกัน’
ความจริงมันอาจเป็นแค่ความเหนื่อยเพียงชั่วครั้งชั่วคราว
แต่ถ้าได้ลองนั่งพักความรู้สึกหนักอึ้งเหล่านั้นก็คงค่อย ๆ ทุเลาไป
อย่างเช่นตอนนี้ที่คิมแทอูหันไปรอบ ๆ ตัว มองพวกปากหมาที่กำลังตื่นเต้นกับการแต่งหน้าทำผมใหม่ซึ่งคงทำให้พวกมันดูหล่ออย่างสุดแรงเกิดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
กับกลุ่มคนที่พยายามโพสท่าเลียนแบบคิมไคอยู่หน้ากระจก
ถึงมันจะดูบ้าและปัญญาอ่อน
แต่นี่แหละหอแรคคูน
“ใครเสร็จแล้วรีบกลับไปเช็กชื่อก่อนเคอร์ฟิวเลยนะ
ตอนนี้ผอ.จ้องจะเล่นหอเราอยู่ ถ้าช้าแค่นาทีเดียวก็อาจมีสิทธิ์โดนเล่นได้”
“เออ ยังไงก็สู้ ๆ นะพวกมึง
ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอก เดี๋ยวจะวิ่งป่วนโรงเรียนฆ่าเวลาให้”
หลังจากถ่ายสองเซตแรกเสร็จจนได้รูปที่น่าพอใจ
ประธานจึงบอกให้คนอื่น ๆ ทยอยกลับไปจนเหลือเพียงเซตหลักคือเขา ชาร์ลี คิมไค จีซู และแจวอน
กลุ่มคนที่ได้รับการโหวตว่าอยากเห็นภาพลับมากที่สุด
“หุ่นดีกันจังเลยน้า”
“มองให้คุ้มล่ะเพราะนี่คือค่าจ้างของพวกเธอ”
“เกลียดดดดดดดดดด” กลุ่มเด็กสาวที่มาช่วยแต่งหน้ายังคงอยู่เพื่อดูภาพเซตสุดท้ายที่อยากเห็นก่อนใครอื่น
และพวกเธอก็ได้รู้ว่าหอแรคคูนไม่ได้มีดีแค่คิมไค
“โอเคนะ?”
“อืม” เด็กหนุ่มผิวแทนขานตอบขณะที่เขาและชาร์ลียืนถ่ายแบบอยู่ด้วยกัน
“ถ้าเป็นเรื่องพ่อน่ะไม่ต้องห่วงหรอก
ก่อนวางแผนฉันก็รู้อยู่แล้วว่าต้องเจอกับอะไร”
“ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ฉันคงพูดว่า
‘ยอมออกตัวรับแทนคนอื่นแบบนี้ ช่างเป็นคนดีเหลือเกิน’ ไปแล้ว”
“งั้นถ้าเป็นตอนนี้ล่ะ?” ทั้งคู่หันหลังให้กล้องพลางมองไปยังฉากหลังสีขาว
“ขอบคุณ” คนฟังหัวเราะในลำคอกับคำพูดที่ไม่คิดว่าจะได้ยินจากปากคนอย่างชาร์ลี
ฮอปส์
“หลายคนคิดว่าฉันเพอร์เฟ็ค
มีครบทุกอย่าง แต่ความจริงฉันก็เป็นแค่เด็กขี้อิจฉาคนหนึ่ง” คนตัวสูงขมวดคิ้วพลางชำเลืองมองคนข้าง
ๆ ก่อนแสงแฟลชจะสว่างเพื่อบอกให้รู้ว่าควรเปลี่ยนท่าทาง “ถ้าพูดถึงเงินกับการยอมรับในสังคมมันก็คงใช่
แต่ก็ไม่ทั้งหมดหรอก”
“อย่างเช่นอะไร?”
“เพื่อน”
“ขอเสนออย่างนึงได้ไหม คือฉันคิดว่าถ้าแต่งหน้าเพิ่มให้มีรอยแผลตามสันจมูกกับแก้ม
แล้วก็เพิ่มเลือดตรงไหล่น่าจะเท่ดีอะ” ชาร์ลขมวดคิ้วหลังจากบทสนทนาโดนแทรกโดยเด็กสาวคนหนึ่ง
“เอาสิ อะไรว่าดีก็เอาเลย”
ทั้งสองคนยืนนิ่งให้ช่างแต่งหน้าจัดการเพิ่มรอยแผลให้
เป็นจังหวะเดียวกับตอนที่แบคฮยอนกลับเข้ามาพร้อมถุงหิ้วพะรุงพะรัง ซึ่งมันคือข้าวกล่องและน้ำดื่มที่เขาซื้อให้ทุกคนโดยใช้เงินตัวเอง
คนตัวเล็กจัดแจงทุกอย่างโดยไม่ขอความช่วยเหลือจากใคร ทั้งเสิร์ฟและบิดฝาขวดน้ำให้เด็กสาวต่างโรงเรียน
จนเกิดรอยยิ้มเล็ก ๆ กับความน่ารักที่มาจากความใส่ใจ
“น่ารักอะ ขอบใจนะจ๊ะ”
“ไม่เป็นไร กินเยอะ ๆ เลยนะ
ถ้าอยากได้อะไรเพิ่มเดี๋ยวเราไปซื้อให้”
“หูย...”
เด็กสาวกัดตะเกียบพลางมองความนุ่มนิ่มที่เป็นเพศตรงข้าม
“คราวนี้ทำท่าเหมือนจะต่อยกันนะ”
“อันนี้ท่าจะสมจริง” เสียงของแจวอนเรียกเสียงหัวเราะจากใครหลาย ๆ คนได้
ยกเว้นนายแบบทั้งสองที่ยังค้างจากบทสนทนาเมื่อครู่อยู่
“ฉันก็ไม่อยากยอมรับหรอกนะว่าความจริงฉันอิจฉานาย” นั่นคือสิ่งที่ชาร์ลคิดว่าไม่น่าจะเกิดขึ้นกับคนตรงหน้า
หากแต่ดวงตาคู่นี้ที่มองมามันให้ความรู้สึกจริงจนเขาไม่ได้โต้แย้ง “นายคงคิดว่านายมีอะไรน่าอิจฉาทั้ง ๆ ที่เป็นเด็กมีปัญหาใช่ไหม ใช่ ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน”
“...”
“จนฉันเห็นจุนมยอนสนิทกับนาย
คนที่เป็นเพื่อนกับทุกคนเหมือนกับฉัน แต่เขาดันได้เพื่อนสนิทก่อนเรียนจบ
ขณะที่ฉันไม่มีเพื่อนที่จริงใจเลยสักคน”
“พอนายพูดฉันถึงเพิ่งนึกได้
นั่นสิ... แล้วมันเพราะอะไร?”
“อาจเป็นเพราะฉันไม่น่าคบ
หรือคนอื่น ๆ คิดว่าฉันเป็นลูกผอ. เป็นนายแบบที่สาว ๆ ชอบ ก็เลยไม่ค่อยอยากสนิทด้วยสักเท่าไร
แต่ว่าทุกคนก็ดีกับฉัน พอเป็นอย่างนั้นมันก็โอเค”
เรื่องแปลกใหม่ที่ได้รู้วันนี้ว่าคนอย่างคิมไคก็มีจุดดำในใจที่ฝังไว้โดยไม่ให้ใครรู้
น่าแปลกที่ชาร์ลี ฮอปส์ไม่รู้สึกสมเพชอีกฝ่าย
กลับกันแล้วเขายังเหงาไปกับความรู้สึกแบบนั้น สิ่งที่ทั้งคู่พบเจออาจจะแตกต่างอย่างสิ้นเชิง
แต่สิ่งที่รู้สึกกลับเหมือนกัน คือความว่างเปล่าซึ่งมีแต่เราเท่านั้นที่เข้าใจ
“แล้วก็ความพยายามของลิตเติ้ลบันนี่
ขอโทษนะ แต่ฉันชอบชื่อนี้จริง ๆ”
“ย่าห์!
อย่าหัวเราะสิวะคิมไค!”
“โทษที”
เจ้าของชื่อขอโทษขอโพยกับประธานหอพลางกลั้นยิ้ม ก่อนจะหันมาสบตากับคนตรงหน้าอีกครั้ง
“คิดว่าเพื่อนวัยเด็กคนนั้นต้องเป็นคนแบบไหนถึงทนความเอาแต่ใจของนายได้”
“โมจิเป็นคนน่ารัก
และฉันก็อยากเป็นคนปกติเวลาอยู่กับเขา”
“ไม่ได้น่ารักในแบบเพื่อนซะด้วย
ฉันพูดถูกไหม?” ทั้งคู่สบตากัน และชาร์ลีก็พยักหน้าส่ง ๆ
เป็นคำตอบ “เพราะถ้าเป็นฉัน
ฉันก็คงคิดแค่เพื่อนไม่ได้เหมือนกัน”
“แต่ตอนนี้นายต้องคิดแค่นั้น โอเค?”
“ดูเหมือนว่าตอนนี้นายกำลังโมโหได้สมจริงเกินฉากที่ต้องถ่ายแล้วล่ะชาร์ลี” คิมไคยิ้มขำ
พลางมองสายตาอีกคนที่บอกให้รู้ว่าถ้ายังพูดถึงลิตเติ้ลบันนี่แบบนั้นอีกคงได้มีคนโดนต่อยจริง
ๆ
“การเสียสละของนายครั้งนี้อาจทำให้โมจิประทับใจได้
แต่คนที่น้องรักมากที่สุดคือฉัน อย่าให้ต้องพูดซ้ำหลาย ๆ รอบ”
“เรียกน้องด้วยเหรอ แปลกหูดีนะ”
“คนเกาหลีไม่ได้เรียกแฟนแบบนี้หรือไง
ที่ไมอามี่เรียก bae นะ บอกไว้ถือว่าให้ความรู้”
“เฮ้ย สองคนนั้นมันยังไงวะ...” จีซูสะกิดแขนแทอู คนตัวเล็กที่นั่งดื่มน้ำอัดลมอยู่ข้าง ๆ จึงกระพริบตาปริบ
ๆ มองนายแบบทั้งสองคนซึ่งทำท่าสมจริงเหมือนกับว่าพร้อมจะอัดหน้าอีกฝ่ายได้ทุกเมื่อ
“กูว่ามันกำลังจะดูดปากกันเพราะทนมาหลายวันแล้ว...” คำพูดของแจวอนทำแบคฮยอนพ่นน้ำอัดลมออกมา แต่โชคดียกมือขึ้นปิดปากทัน
แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไหลออกจากซอกนิ้วจนเลอะเสื้อนักเรียนอยู่ดี
“แหก!!!” ช่างแต่งหน้ารีบควานหาทิชชู่แล้วยื่นให้ด้วยความเป็นห่วงผู้ชายแสนดีเพียงคนเดียวที่วิ่งไปซื้อข้าวซื้อน้ำให้พวกเธอ
“อะไรวะแบคฮยอน สกปรกจริง
โดนกระเป๋ากูปะเนี่ย”
“เพราะแจวอนนั่นแหละ”
“เอ้า โทษกูเฉ๊ย”
“เป็นอะไรโมจิ?! / เป็นอะไรหรือเปล่าลิตเติ้ลบันนี่?!” สองนายแบบหันไปมองหน้ากันทันที
“ฉันเรียกก่อน”
“อย่าเด็กสิชาร์ลี ใครก่อนใครหลังก็เป็นห่วงลิตเติ้ลบันนี่เหมือนกัน”
“ไม่มีบันนงบันนี่อะไรทั้งนั้นนั่นแหละ
ไอ้คนขี้อิจฉา” ไม่มีแล้วความเห็นใจที่อินไปด้วยเมื่อไม่กี่นาทีก่อนเมื่อความหึงมันเข้าตา
คิมไคจึงเลิกคิ้วพลางไหวไหล่ไล่หลังขณะชาร์ลี ฮอปส์เดินเปลือยท่อนบนตรงเข้าไปหาคนรักพร้อมเอาเชิ้ตขาวของตัวเองยื่นให้
“ถอดออกแล้วใส่ของฉันแทน”
“ไม่เป็นไร มันเปียกแค่นี้เองอะ”
“ปล่อยไว้เดี๋ยวก็โดนมดกัดกันพอดี”
“ว๊าย จะบอกว่าหวานไปทั้งตัวจนมดกัดงี้ปะ?” เด็กสาวสามคนหันไปไฮไฟฟ์กันจนคนถูกแซวชะงักไป
“ไม่เป็นไร
ชาร์ลกลับไปถ่ายแบบต่อเลย เราจัดการได้สบายมาก!”
“หนึ่ง”
“อะไรเล่า”
“ไงล่ะดูดปากของพวกมึง...” แทอูมองภาพตรงหน้าพลางเบะปาก ซึ่งจีซูและคนอื่น ๆ โคตรจะไม่เข้าใจ
“สอง”
“ชาร์ลอะ ไม่เอาแบบนี้ ไม่” น้องน้อยทำปากยื่นหวังจะออดอ้อนขอให้เขาเปลี่ยนใจเดินกลับไปถ่ายแบบต่อ
แต่เชื่อเถอะว่าชาร์ลี ฮอปส์ไม่ยอม
เสื้อแฟนเปียกจะให้ยืนซื่อบื้ออยู่ตรงนั้นแล้วปล่อยให้ไอ้คิมไคเข้ามาทำคะแนนน่ะเหรอ
ไม่มีวัน
“นายไม่อยากให้ฉันนับสามตรงนี้หรอกโมจิ”
“เรารู้แล้ว เราจะใส่เดี๋ยวนี้เลย
ชาร์ลพอใจไหม?!” ยังจะเถียงอีก ดุมากเลยมั้งหน้าตาน่ะ
“ให้มันรู้ซะบ้างว่าใครเป็นใคร”
อย่าให้ต้องบังคับ เขามองหน้าน้องน้อยที่เอาแต่ขยับปากบ่นขณะปลดกระดุมเสื้อ
พอเห็นว่าเลิกดื้อขายาวจึงเดินกลับไปถ่ายแบบอีกครั้ง
แต่ก็ไม่ถึงยี่สิบวิหรอก
“เดี๋ยว ๆ แทอู ๆ” อะไรอีกล่ะ วันนี้จะถ่ายแบบเสร็จไหมวะ เขาอยากไปเยี่ยมไอ้โล้นที่โรงพยาบาลแล้ว
“เอาคนนี้เข้าไปถ่ายด้วยสิ” เด็กสาวชี้ไปยังน้องน้อยที่กำลังติดกระดุมเสื้อตัวใหญ่
แบคฮยอนเลิกคิ้วพลางชี้หน้าตัวเอง และผู้หญิงกลุ่มนั้นก็พยักหน้าเร็ว ๆ
“ไม่ดีมั้ง
ผู้หญิงไม่น่าชอบหุ่นแบบแบคฮยอนเปล่า?”
“จริง แห้งก็แห้ง” แจวอนเสริม
“ก็ไม่ได้อยากดูหุ่นไง” ช่างแต่งหน้ายิ้มพลางจูงมือแบคฮยอนเข้าไปหานายแบบทั้งสอง “แต่อยากดูแบบนี้”
“...” สายตาทุกคนมาพร้อมคำถาม
ซึ่งแบคฮยอนก็รีบส่ายศีรษะปฏิเสธทำท่าว่าจะออกไปจากตรงนั้นแต่ก็ถูกเด็กสาวทั้งสามรั้งไว้
“เดี๋ยวนี้จะขายหล่ออย่างเดียวไม่ได้แล้ว
ต้องขายวายด้วย เอ้าเร็ว ๆ ปลดกระดุมเสื้อเม็ดบนแล้วโชว์ไหล่หน่อย คิมไคนั่งตรงนี้นะคะ ส่วนชาร์ลีตรงนี้น้า ประกบซ้ายขวาแล้วให้คน ๆ
นี้หันหลังอยู่ตรงกลาง”
“อะไรของพวกเธอวะ?”
“อุ่ย...”
หลังจากเจอรังสีความโหดผ่านทางดวงตาสีอ่อนของคนลูกครึ่ง ช่างแต่งหน้าสาวจึงสะดุ้งอยู่ไม่น้อย
“ทำ ๆ ไปเถอะ
จะได้รวมเล่มให้เสร็จสักทีไง ถือว่าช่วยจุนมยอน”
“แต่ไอ้โล้นนั่นได้ค่ารักษาจากพ่อหมอนี่แล้ว” ชาร์ลชี้หน้าคนข้าง ๆ ซึ่งดูเหมือนว่าจะพร้อมถ่ายแบบคู่น้องน้อยเหลือเกิน
“ฉันช่วยนะลิตเติ้ลบันนี่”
“เราไม่อยากถ่ายแบบอะคิมไค... ช่วยเราหน่อยได้ไหม” นั่น... ทำเสียงออดอ้อนมันอีก ประโยคหลังถ้าไม่เห็นหน้าคงคิดว่ากำลังให้ช่วยอย่างอื่น ทั้งที่เขายืนหัวโด่อยู่ตรงนี้ทำไมไม่อ้อนวะ!
“มานี่โมจิ”
“หะ?”
“ถ่ายแป๊บเดียวเดียวพากลับ
อดทนหน่อยดิวะ” ทำขรึมจ้องหน้าน้องน้อยที่ทำตาแป๋วใส่
ไม่ยักรู้ว่าเวลาใส่เสื้อของเขาแบบไม่ติดกระดุมด้านบนแล้วจะน่าฟัดขนาดนี้
“มันน่าอายนี่ ก็เราไม่ได้หุ่นดีเหมือนชาร์ลกับคิมไคแต่ก็ให้มาทำอะไรก็ไม่รู้ เราอยากเท่บ้างอะ”
โถโมจิ... อยากให้ดูสภาพตัวเองก่อนอยากเท่
“ถือว่าทำยอดไง จะได้เอาเงินไปช่วยคนอื่นที่ป่วยเหมือนจุนมยอน ดีไหมลิตเติ้ลบันนี่?” ยัง มันยังไม่จบ
“ยืนหันหลังเฉย ๆ ไม่ต้องทำอะไรอีกใช่ไหม?”
“เออ” เด็กหนุ่มตัวสูงพยักหน้า ชักจะหัวร้อนเพราะทนแรงหึงไม่ไหวแล้ว ถ้าไม่รีบทำให้จบตอนนี้คงมีคนโดนซ้อมจนรอยแผลบนหน้าเป็นของจริง
“เอาเสื้อลงหน่อยจ้า”
“จะลงห่าไรนักหนาล่ะ”
“กับผู้หญิงมันยังถ่อย...” จีซูมองอย่างหน่าย ๆ หลังจากกระซิบบอกให้แทอูได้รับรู้เหมือนกันกับเขา
“คือผมไม่รู้ว่าภาพแนว ๆ นี้ต้องถ่ายออกมาแบบไหน
ยังไงก็ช่วยจัดแจงท่าแล้วบอกผมตอนพร้อมนะครับ”
เพื่อนแทอูที่ถูกเรียกมาให้ช่วยถึงกับหน้าซีดกับภาพแบบที่ไม่เคยถ่ายมาก่อน
“เอาแบบหน้าโหด ๆ ก่อน ใช่ ๆ
แบบนั้นเลย แล้วก็จูบไหล่นะ”
“What the --?” ชาร์ลขมวดคิ้ว
ก่อนจะหันขวับมองคนผิวแทนซึ่งดูเหมือนว่าจะพอใจอยู่ไม่น้อย
“ขอโทษนะกระต่ายน้อย”
“เดี๋ยวสิคิมไค ไม่จูบได้ไหม ชาร์ล -- อ๊ะ!”
“เชี่ย แม่งครางด้วย” แจวอนหน้าเหวอยกมือขึ้นป้องปากขณะมองไอ้ลูกครึ่งกดจมูกลงบนไหล่ขาว ๆ
นั่นอีกทั้งยังจูบไปจนถึงต้นคอขณะมองกล้อง แล้วดูเหมือนว่าไอ้คิมไคจะไม่ยอมแพ้ด้วย
“พอแล้ว... พอ... ไม่เอาแล้ว”
“ยืนนิ่ง ๆ โมจิ”
“เราขนลุก จั๊กจี้ด้วย”
“เพราะฉันเหรอ
ขอโทษนะลิตเติ้ลบันนี่”
“เพราะฉันต่างหาก
อย่าสำคัญตัวเองสิวะไอ้เซ่อ”
แบคฮยอนยืนห่อไหล่อยู่ตรงกลางแต่ก็ถูกคนตัวโตทั้งสองกดไหล่ลงเพื่อให้ใบหน้าคมเข้ามาซุกกับไหล่ของเขาได้
ทั้งลมหายใจร้อน ๆ ซึ่งดูเหมือนว่าทั้งคู่จะจงใจ
อีกทั้งริมฝีปากที่จูบลงมาท่ามกลางเสียงชัตเตอร์น่ะ
อยากกลับหอแล้ว TT_TT
TBC
จบตอนก่อนที่กานถ่ายแบบจะเปนสตูดิโอถ่ายหนังโผล้
เพราะวันนี้ไม่ใช่วันพระ พวกเทอถึงไม่ได้เจริญPorn
ความคิดเห็น